Moon\'s Memorial ความทรงจำใต้แสงจันทร์ - Moon\'s Memorial ความทรงจำใต้แสงจันทร์ นิยาย Moon\'s Memorial ความทรงจำใต้แสงจันทร์ : Dek-D.com - Writer

    Moon\'s Memorial ความทรงจำใต้แสงจันทร์

    ...หยาดน้ำฟ้าที่โปรยปรายนั้นราวกับผืนฟ้ากำลังร่ำไห้ ฉันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ น้ำตาหยดน้อยๆค่อยๆรินไหลอาบแก้มของฉันก่อนที่จะมลายหายไปพร้อมกับสายฝนที่หยาดหยด...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,052

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.05K

    ความคิดเห็น


    40

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ย. 47 / 00:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หยาดน้ำฟ้าที่โปรยปรายนั้นราวกับผืนฟ้ากำลังร่ำไห้  ฉันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ  น้ำตาหยดน้อยๆค่อยๆรินไหลอาบแก้มของฉันก่อนที่จะมลายหายไปพร้อมกับสายฝนที่หยาดหยด  แม้น้ำตาจะไหลออกมาเพียงน้อยนิด  แต่ความเจ็บปวดภายในจิตใจของฉันนั้นราวกับมันไม่ใช่น้ำตา...แต่ว่ามัน...คือสายเลือดที่ไหลหลั่ง  ฉันยกแขนที่เปรอะไปด้วยคราบดินคราบโคลนปาดน้ำตาที่หยาดหยดโดยที่ฉันไม่อาจจะยับยั้ง  นัยน์ตากลมโตคู่น้อยๆของฉันแหงนขึ้นมองผืนฟ้า  เหตุใดโชคชะตาจึงต้องกลั่นแกล้งให้ฉันทรมานเฉกเช่นนี้...

      ...เรื่องของฉันมันเริ่มตั้งแต่วันที่ฉันเข้าเรียนที่รร.มัธยมแห่งหนึ่ง...

      ฉันชื่อรัตติพร ประภัสสรสวรรค์ ชื่อเล่นชื่อมูน  ตอนนั้นฉันอายุ 15 ปี  หน้าตาน่ะเหรอ? ก็ประมาณมีหนุ่มมาจีบไม่ขาดละกัน  แต่ฉันเป็นผู้หญิงห้าวๆ ทอมๆ ผู้ชายที่มาจีบก็เลยโดนฉันไล่ตะเพิดไปซะทุกรายน่ะแหละ แฮะๆ

      ฉันเป็นคนหัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่  แถมยังขี้เกียจจนผลการเรียนอ่อนๆของฉันทำให้โดนทางบ้านดุอยู่บ่อยๆ  เลยกลายเป็นว่าฉันต้องมาเลือกเรียนแผนศิลป์ภาษาในชั้นม.ปลายที่กำลังจะมาถึง  แต่ก็ดีนะ  เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นวิชาที่ฉันชอบแล้วก็เก่งพอตัวเลยเชียวล่ะ

      ฉันเป็นคนที่เพื่อนฝูงรักใคร่  เพราะเป็นคนพูดเก่ง  แล้วก็เป็นคนรักเพื่อนมาก  ในห้องเรียนน่ะฉันพูดจาเล่นหัวได้เกือบทุกคนน่ะแหละ  ยกเว้นผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเขาสักเท่าไหร่

      เขาชื่อศิลา วิหารศรีสุวรรณสุนทราเทพ  เป็นผู้ชายที่มีนามสกุลยาวที่สุดในโลกเลยล่ะมั้ง  เหตุที่ฉันไม่ค่อยถูกกับเขาน่ะเหรอ  เรื่องมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ฉันเพิ่งเข้าม.1 น่ะแหละ

      “ขออนุญาตเข้าห้องค่ะ”

      “เธอชื่ออะไรน่ะ”

      “รัตติพรค่ะ”

      “คราวหน้าอย่ามาสายอีกล่ะ เข้าไปได้”

      ฉันไหว้ขอบคุณอาจารย์แล้วจึงเดินก้มหัวเข้ามาในห้องเรียนท่ามกลางสายตาของนักเรียนชายหญิงทั่วทั้งห้องที่มองกันเป็นจุดเดียว  ที่ว่างภายในห้องเหลือเพียงที่นั่งที่ติดอยู่กับผู้ชายเพียงที่เดียวเท่านั้น

      “ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย” ฉันเอ่ยถามอย่างสุภาพ

      “ตามใจสิ” เขาตอบด้วยเสียงเรียบๆกับท่าทีเฉยเมย  เล่นเอาฉันล่ะไม่ถูกชะตากับเขาเลยจริงๆ

      “นายชื่ออะไรเหรอ” ฉันระงับความหมั่นไส้เอาไว้  แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร    

      “ถ้าคิดจะถามชื่อคนอื่นก็หัดบอกชื่อตัวเองมาก่อนสิ” เขาพูดโดยไม่หันมามองหน้าฉัน  แต่คำพูดนั้นเล่นเอาฉันชะงักไปเลย  เพราะฉันไม่เคยเจอใครตอบกลับแบบนี้มาก่อน

      “เอ่อ...รัตติพร  ประภัสสรสวรรค์  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันพูดชื่อนามสกุลจริงกะประชดเขาเป็นในๆ

      “ศิลา  วิหารศรีสุวรรณสุนทราเทพ  ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ที่ได้รู้จัก” คำพูดม้าๆของเขา  เล่นเอาฉันอยากจะกระโดดชกหน้าเขาจริงๆ

      นายศิลาเป็นคนแปลกเพราะไม่มีชื่อเล่น  แต่ดันมีนามสกุลยาวเป็นกิโลเลย  เขาเป็นคนที่เงียบๆไม่สุงสิงกับใคร  แต่เรียนเก่งเป็นบ้าเลยล่ะ  เป็นนักกีฬาโรงเรียนเลยซะด้วยนะ  มีเพื่อนฉันบางคนชอบเขาอยู่หน่อยๆด้วยล่ะ  แต่คงเพราะความขี้เก๊กของเขาทำให้เพื่อนฉันได้แต่แอบชอบเขา  ส่วนฉันน่ะเหรอ  ไม่ถูกชะตากับหมอนี่เป็นที่สุดเลย  ถึงหน้าตาจะพอไปได้  เรียนดี  กีฬาเก่ง  แต่ฉันหมั่นไส้ท่าทางขี้เก๊กของเขาแบบสุดๆเลยน่ะสิ  นายศิลาชอบที่จะพูดประชดประชันล้อเลียนฉันอยู่บ่อยๆ  ฉันรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับเขามาตั้งแต่ตอนนั้น  แต่ฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในคนที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตฉันจนมาถึงทุกวันนี้

      ก่อนวันเปิดเทอมวันแรกของชั้นเรียนมัธยมปลาย  ฉันรู้สึกตกใจมากที่ได้เห็นชื่อนายนี่อยู่ในห้องเรียนเดียวกับฉัน  เพราะฉันไม่คิดว่าคนที่หัวดีระดับอัจฉริยะแบบเขาจะมาเลือกเรียนแผนศิลป์ภาษา  เท่าที่รู้มาตอนนั่งข้างๆกันชั้นม.1  เขาได้ท็อปวิชาด้านคำนวณมาตลอด  ไม่ว่าจะเป็นเลขหรือวิทย์  แต่ด้านภาษาก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น  ได้คะแนนเยอะแต่ก็ไม่ถึงกับท็อปน่ะนะ

      ในวันเปิดเทอมวันแรกขณะที่ฉันกำลังเดินไปที่ตึกเรียนนั้น  ฉันเหลือบไปเห็นนายศิลานั่งกึ่งนอนพิงอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ๆที่สูงตระหง่านอยู่ในโรงเรียน  ใบไม้สีเขียวสดถูกประดับอยู่ตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้แผ่ขยายให้ร่มเงาแก่เหล่าสรรพชีวิต  ใบไม้สีเหลืองอ่อนๆล่วงหล่นลงบนใบหน้าของนายศิลาที่ฉันมองเขาตาไม่กระพริบฉันเพิ่งจะรู้เห็นว่าเวลาที่นายนี่อยู่เงียบๆไม่ได้ก่อกวนอะไรฉันก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน  ในขณะที่ฉันกำลังมองเขาอยู่นั้นเองฉัน  อยู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้นหันกลับมาสบตากับฉัน  นัยน์ตาสีดำเรียวๆเป็นประกายภายใต้แว่นเลนส์เว้าบางๆที่ลอดผ่านทำให้ฉันรู้สึกวาบๆพิกล  ฉันรีบละสายตาจากเขา  ไม่รู้ว่าทำไมฉันกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นที่ใบหน้า  จนต้องรีบรุดเดินหนีไปทางตึกเรียน  พยายามทำเป็นว่าไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่

      เมื่อชั่วโมงโฮมรูมของวันปฐมฤกษ์นั้น  ที่นั่งข้างๆนายศิลายังคงถูกเว้นว่างเช่นเดียวกับทุกๆปี  แต่โชคดีที่คราวนี้สนิทยัยน้ำฝนเพื่อนสุดที่รักของฉันได้จองที่ไว้ให้ฉันแล้ว  ฉันเลยไม่ต้องนั่งข้างๆกับนายนี่อีก  แต่ก็ไม่วายที่จะต้องมานั่งอยู่ข้างหลังนายคนนี้แทน  ยัยน้ำฝนเป็นเด็กน่ารัก  แถมขยันมากด้วย  แต่โชคไม่ดีที่เธอหัวแย่ยิ่งกว่าฉันเสียอีก  น้ำฝนเป็นนางฟ้าผู้น่ารักในสายตาของคนอื่นๆ  ต่างจากฉันที่เหมือนกับนางมารร้ายที่เคียงคู่อยู่กับนางฟ้า  แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูงด้วยกันล่ะก็นะ  น้ำฝนจะออกลายกลายเป็นซาตานเลยเชียวล่ะ  จริงๆแล้วคนที่มาจีบฉันก็มีไม่น้อยไปกว่าน้ำฝนหรอกนะ  ถึงฉันจะปฏิเสธไปหมดก็เถอะ  น้ำฝนเองก็ปฏิเสธผู้ชายพวกนั้นไปหมดเหมือนกัน  ฉันสงสัยว่าไม่ใช่เพราะเธอขี้อายอย่างเดียวหรอก  แต่เพราะเธอจะต้องมีคนที่ชอบอยู่แล้วแน่ๆเลย  ซึ่งมันเป็นความลับเรื่องเดียวที่น้ำฝนไม่เคยยอมบอกฉันว่าเขาคนนั้นคือใคร

      ในชั่วโมงโฮมรูมวันนั้นมันยังไม่ได้จบแค่นี้หรอก  ในวันนั้นมีนักเรียนใหม่จากเมืองนอกด้วยล่ะ  ในวินาทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้องน่ะ  ทุกสายตาจดจ้องไปยังผมสีทองเหลือมอร่ามที่ดูราวกับจะเปล่งแสงเป็นประกายออกมายังไงยังงั้น

      “คาลอส คริสโตเฟอร์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” สำเนียงภาษาเพี้ยนๆเป็นแฟชั่นของนักเรียนนอกเล่นเอาเพื่อนๆฉันตาข้างกันไปเป็นแถบๆ  คาลอสเป็นลูกครึ่งไทยกับฝรั่งเศส  รูปร่างของเขาก็สูงใหญ่ล้ำสันไม่แพ้อาจารย์พละในโรงเรียนเลยล่ะ  ดวงตาสีฟ้าของเขากับหน้าตาหล่อระเบิดสไตล์ลูกครึ่งก็ทำให้สาวๆในห้องต่างก็หลงไหล  ฉันเองก็รู้สึกว่าเขาน่ารักอยู่เหมือนกันนั่นแหละ  

      หนุ่มลูกครึ่งเดินมานั่งตรงข้างหน้าฉันซึ่งเป็นที่ว่างข้างๆนายศิลาซึ่งเป็นที่เดียวที่เหลืออยู่ภายในห้อง  ฉันจะกังวลอยู่นิดหน่อยเรื่องที่จะมองกระดานไม่เห็น  แต่จริงๆฉันก็คงไม่ค่อยได้มองมันอยู่แล้วล่ะแหละ  แล้วอยู่ๆ...ดวงตาสีฟ้าของเขาก็กลับหันมามองฉันที่นั่งอยู่ข้างหลัง

      “Nice to meet you ยินดีที่ได้รู้จักครับ...คุณคนสวย” เขาจับมือของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นพร้อมกับใช้ริมฝีปากจูบลงอย่างแผ่วเบา  สีหน้าของฉันแดงระเรื่อขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว  ถึงฉันจะเป็นคนที่ดูมั่นใจในตัวเองแต่ลึกๆก็เป็นคนขี้อายมากโดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้  ภาพที่เห็นทำให้น้ำฝนรวมไปถึงทุกๆคนในห้องต่างก็ตกตะลึง  เว้นแต่นายศิลาที่มองด้วยสายตาเมินเฉยราวกับว่ามันไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

      “เอ๋...เอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันตอบอย่างตะกุกตะกักกับท่าทีที่แปลกๆของหนุ่มลูกครึ่ง  พร้อมกับรีบดึงมือหนีกลับออกมา  นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดหวานๆกับความหล่อของเขาฉันคงแว้ดใส่ไปแล้วล่ะ

      คาลอสหันมามองและยิ้มให้ฉันอยู่บ่อยครั้ง  พูดคำหวานๆเป็นภาษาไทยปนฝรั่งบอกฉันบ้างเป็นบางเวลา  ความรู้สึกของฉันทีแรกมันก็เลี่ยนๆอยู่หรอก  แต่นับวันๆความเลี่ยนนั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกชอบเขามากขึ้นทุกทีๆ  เหมือนกับว่าถ้าวันไหนเกิดเขาหายไปฉันคงจะเหงาไม่น้อยเลย  แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตนักเรียนมัธยมปลายของฉันก็คงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  อย่างไม่มีสีสันฉูดฉาดอะไรนอกจากมีหนุ่มนักเรียนนอกคอยตามจีบ  จนมาถึงวันนั้น...วัน...ที่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของฉัน

      วันนั้นเป็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่พวกเพื่อนๆของฉันจะนัดกันไปเที่ยวต่อเป็นประจำ  แต่วันนั้นฉันติดงานที่ค้างอยู่และอาจารย์เดธไลน์ต้องส่งภายในวันนั้น  ฉันเลยนัดกับยัยน้ำฝนและเพื่อนคนอื่นๆว่าจะตามไปทีหลัง  หลังจากที่คนอื่นพากันกลับไปหมดแล้ว  ฉันถอนหายใจพลางมองไปทางอาทิตย์อัศดงสีแสดที่ค่อยๆเคลื่อนคล้อยสู่ทิศตะวันตก  ฉันมองดูนาฬิกาและพบว่ามันเย็นเกินกว่าที่ฉันควรจะมานั่งเหม่ออยู่แบบนี้  ถ้าไม่รีบทำงานให้เสร็จฉันอาจจะส่งมันไม่ทัน  แล้วยิ่งแย่กว่าถ้าจะไม่ได้ไปกับเพื่อนตามที่นัดกันเอาไว้

      หลังจากที่ส่งงานเสร็จฉันรีบหิ้วกระเป๋าวิ่งออกจากอาคารเรียนทันที  แต่แล้วท้องฟ้าที่หม่นหมองก็กลับกลั่นแกล้งฉัน

      “ซ่า~” เสียงฝนตกกระหน่ำจนฉันเปียกไปทั่วทั้งตัว  ฉันยกกระเป๋าขึ้นปิดบังร่างพลางหันมองไปทางที่ร่มที่อยู่ใกล้ที่สุด  แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นใหญ่  ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้น

      “ปั๊ก!” ฉันหลับหูหลับตาวิ่งจนชนเข้ากับคนๆหนึ่ง  ฉันล้มหลงก้นกระแทกพื้นอย่างแรง

      “อูย...” ฉันรู้สึกเจ็บแปร้บๆที่ข้อเท้านิดหน่อย  แต่มันก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกเลวร้ายไปกว่าการที่ฉันผิดนัดเพื่อนในวันนี้

      “ขอโทษครับ ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ยครับ” เสียงที่ดังแว่วผ่านเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำ  ทำให้ฉันรู้เพียงว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

      “เจ็บสิยะ  ถามมาได้” ฉันหันไปตวาดด่าเขาอารมณ์ความฉุนเฉียว  แต่ในวินาทีที่สายตาของฉันกับเขาประสานกันนั้นทำให้หัวใจของฉันมันเต้นรวนไปหมด

      ...ทำไมฉันต้องมาเจอนายนี่ในเวลาแบบนี้ด้วยนะ...

      ศิลารีบหันหน้าหนีฉันด้วยท่าทางร้อนรน  ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้เกลียดขี้หน้าฉันถึงขนาดนี้  แต่ฉันก็ไม่ยอมน้อยหน้า  รีบสะบัดหน้าหนีเขาเหมือนกัน  ฉันกับศิลานั่งพิงต้นไม้ต้นนั้นอยู่คนละด้าน  ฉันนั่งนึกถึงเพื่อนๆของฉันที่ป่านนี้คงกำลังเที่ยวกันหูดับตับไหม้  จนลืมหน้าเพื่อนคนนี้ไปแน่ๆ  ฉันแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า  พลางคิดว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดตก  แต่ที่ฉันเห็นมีเพียงใบไม้สีเขียวชอุ่มที่ปกคลุมอยู่เท่านั้น  ฉันเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นต้นไม้ต้นเดียวกันกับตอนที่ฉันพบศิลาในวันแรกของการเปิดเทอม  ฉันนั่งกอดเข่าในแบบของฉันก่อนที่จะเหลือบตามองนายศิลาที่นั่งหันหน้าไปทางทิศตรงข้าม  ฉันสังเกตเห็นว่าตัวเขาเปียกจนทั่ว  แต่กระเป๋าของเขากลับแห้งสนิท  ฉันคิดว่าเขาคงต้องใช้ตัวบังกระเป๋าจากฝนแน่ๆ  ต่างจากฉันที่ห่วงตัวเองมากกว่ากระเป๋านักเรียนเสียอีก  ฉันเริ่มคิดถึงเรื่องระหว่างเขากับฉัน  ทำไมพวกเราถึงแทบจะไม่คุยกันเลยทั้งๆที่นั่งใกล้ๆกันมาตั้งหลายครั้ง  ทำไมเขาถึงชอบพูดจาแย่ฉันทั้งๆที่พูดจาเพราะๆกับทุกคนที่ไม่ใช่ฉัน  ทำไม...เขาถึงขอโทษผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายวิ่งชนเขา  แต่กลับ...หันหน้าหนีเมื่อรู้ว่าเป็นฉัน

      ร่างของฉันสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บจากลมหนาวที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ  แต่แล้วลมลมที่พัดมานั้นมันก็ค่อยๆเบาลงจนน่าประหลาด  ฉันเหลือบมอง

      ทางต้นลมก่อนจะเห็นศิลาที่นั่งหันหลังขวางทางลมอยู่ข้างๆฉัน  คำถามที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ฉันตัดสินใจเอ่ยออกไป

      “ทำไมนายถึงย้ายมานั่งตรงนี้ล่ะ” ฉันทำลายความเงียบที่ก่อเกิดมาเป็นเวลานาน

      “แล้วทำไมถึงนั่งตรงนี้ไม่ได้ล่ะ” คำพูดกวนๆดังสวนมาทันที  ฉันเบ้ปากหันไปมองชายที่พูดยียวนกวนโทสะ  โดยที่เขาไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าฉัน

      “นี่นายน่ะตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ  ทำไมถึงได้ชอบกวนเราแบบนี้ทุกทีเลย”

      “แล้วไปกวนเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

      “นายนี่มัน” ฉันตวาดด้วยเสียงดังพร้อมกับลุกยืนขึ้น  แต่ความเจ็บปวดที่ข้อเท้ามันกลับทำให้ฉันทรุดลงทันที  ตอนนั้นฉันรู้สึกได้เพียงว่าหัวของฉันฟาดลงกับต้นไม้หรืออะไรสักอย่าง  ดวงตาอันสะลึมสะลือของฉันแหงนมองสู่ร่มไม้ที่ปกคลุมอย่างหนาแน่น  ก่อนที่นัยน์ตาคู่น้อยนั้นจะมองเห็นสีหน้ากระวนกระวายของเด็กหนุ่ม  แล้วฉันก็...หมดสติไป

      ……………

      อาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดแสงแยงตาจนนัยน์ตาฉันลืมตื่นขึ้น  ฉันหันมองบรรยากาศที่คุ้นเคยรอบๆข้าง  ก่อนจะเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่เข็มสั้นชี้เลย 10 โมงเช้าไปแล้ว  ฉันรีบแหกตากด้วยความทุรนทุรายไปอาบน้ำ  แต่งชุดนักเรียนไปพลางคาบขนมปังอาหารเช้าที่เพิ่งปิ้งสดๆ

      “อุนแอ่อะอัดอีอ่ะ” ฉันก้มลงไหว้สวัสดีแม่ด้วยเสียงอู้อี้  คุณแม่ขมวดคิ้วหรี่ตาลงมองฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ

      “ทำไมถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะจ้ะมูน”

      “ไอโองเอียนไออ๊ะ” ฉันหันกลับมาตอบแม่ทั้งๆที่ยังคาบขนมปังไปพลางใส่รองเท้า

      “วันนี้วันเสาร์นะจ้ะ” คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบานั้น  เล่นเอาขนมปังในปากของฉันร่วงลงบนพื้นไปเลย

      “หาาาาาาา” เสียงตะโกนนั้นดังขึ้น  ฉันเพิ่งคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด  แล้วฉันจะรีบอาบน้ำแต่งตัวรวมไปถึงปิ้งขนมปังแทบไม่ทันนี่ไปเพื่ออะไรกัน  ฉันนั่งลงอย่างหน่ายๆบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร  ก่อนจะมองไปทางคุณพ่อที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดอ่านหนังสือพิมพ์ที่มาส่งตอนเช้า  แล้วก็น้องชายสุดน่ารักน่าหยิกน่าถีบที่กำลังวิ่งซุกซนกวนคุณแม่ขณะทำกับข้าว

      “ขาหายแล้วเหรอ” คุณพ่อถามด้วยท่าทางเครียดๆเหมือนเคย

      ฉันเริ่มเอะใจกับอาการของขาที่ทุเลาลงแล้ว  และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  จนกระทั่งฉันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานฉันขาแพลง...แล้วก็นั่งหลบฝนที่ต้นไม้ต้นใหญ่...จนกระทั่งถึงตอนที่ฉันล้มลงหัวกระแทกกับต้นไม้  และจากนั้น...จากนั้นล่ะ...?

      “ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ” คำถามนั้นเอ่ยขึ้นเพียงเสียงที่แผ่วเบา  แต่มันกลับทำให้ทั้งคุณพ่อและแม่หันมามองฉันเป็นทางเดียว  คุณแม่ๆวางจานกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จลงอย่างช้าๆ  คุณพ่อเองก็ลดหนังสือพิมพ์ลง  สายตาของท่านจ้องมองมาทางฉันผ่านเลนส์แว่นหนาๆ

      “เมื่อวานมีคนแบกลูกขึ้นหลังมาส่งที่บ้านน่ะจ้ะ” คุณแม่เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ตอนนั้นแม่ได้ยินเสียงเคาะประตูในขณะที่ฝนยังตกหนัก  แม่ตกใจมากเลยที่เห็นสภาพของเขาน่ะ  เนื้อตัวเขามอมแมมมากเลย  มือทั้ง 2 ข้างแบกลูกขึ้นบนหลัง  
      ปากคาบกระเป๋าเรียนใบเบ่อเร้อ  ตอนนั้นแม่ตกใจมากกลัวว่ามูนจะเป็นอะไรไปซะอีก”

      “ถูกผู้ชายอุ้มมางั้นเหรอ...” สีหน้าของฉันแดงระเรื่อขึ้นทันทีที่รู้ว่าตัวเองถูกผู้ชายอุ้มมาส่งที่บ้าน  และยิ่งไม่อยากนึกว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้น...

      “เขาชื่ออะไรเหรอคะ” ฉันตัดสินใจถามออกไป

      “เขาไม่ได้บอกไว้น่ะจ้ะ  หลังจากส่งลูกเสร็จเขาก็รีบกอดกระเป๋าวิ่งกลับออกไป  แม่เรียกให้เข้าบ้านรอฝนหยุด  เขาก็ไม่เข้า  จะให้ยืมร่มเขาก็ไม่รับ  เขาเพียงแค่ขอบคุณแล้ววิ่งหายไปเลยน่ะจ้ะ”

      “วิ่งกอดกระเป๋างั้นเหรอ...” ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนแบกฉันมาส่งถึงบ้าน  และที่สำคัญคือเขาไม่น่าจะรู้จักบ้านของฉันนี่นา...

      “เขาคือใคร” คุณพ่อถามด้วยน้ำเสียงดุๆ

      “เอ่อ...ถ้าคิดไม่ผิดคงเป็นเพื่อนร่วมห้องหนูน่ะค่ะ”

      “ผู้ชายที่ไหนจะแบกเพื่อนร่วมห้องมาส่งตอนฝนกำลังตกกระหน่ำกันล่ะ” เสียงกวนๆของน้องชายสุดที่รัก...พูดแทรกขึ้นเล่นเอาฉันอยากจะกระโดดชกหน้ามันจริงๆ

      “ว่าไงนะคะน้องวัน...” เสียงที่เย็นยะเยือกของฉันกลับไม่กระทบกระเทือนเจ้าตะวันน้องชายของฉันเลยแม้แต่น้อย

      “ก็อย่างที่พูดน่ะแหละพี่สาวใจแตก” น้องชายสุดที่รักแสยะยิ้มเล็กๆที่ดูน่าสะพรึงกลัวจนบอกไม่ถูก

      ฉันกำหมัดแน่นถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย  ลุกขึ้นถอยเก้าอี้จนเสียงดังพรืด  ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงอันดังกึกก้อง

      “ว่าไงน้าาาาา” ฉันวิ่งไล่ตะเพิดเจ้าวันที่มุดลงใต้โต๊ะกินข้าวด้วยร่างของเด็กชายวัย 9 ขวบครึ่ง  ก่อนที่เสียงตะโกนที่ดังก้องกว่าจะถูกเปล่งออกมา

      “หยุดเล่นได้แล้ว!” เสียงอันเด็ดขาดที่ปรามขึ้นทำให้ฉันเงียบลงทันตา  นายวันน้องชายสุดรัก...ยิ้มเล็กๆขณะที่กำลังหลบอยู่ด้านหลังคุณแม่  ฉันเดินคอตกนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยหน้ามุ่ยๆ  รอรับฟังคำต่อว่าจากคุณพ่อ

      “พ่อไม่รู้หรอกนะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร  แต่ถ้าลูกชอบเขาแล้วเขาชอบลูกพ่อก็จะไม่ขัดขวาง”

      “เอ๋?” ฉันตกใจกับคำพูดของพ่อจนลืมปฏิเสธเรื่องที่ศิลาไม่ใช่แฟนฉัน

      “คงจะมีผู้ชายไม่กี่คนหรอกที่จะอุ้มผู้หญิงมาส่งถึงที่บ้านตอนฝนตกหนัก  โดยที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังสลบอยู่แบบนี้” คุณพ่อพูดพลางยิ้มเล็กๆ  ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

      “ยกเว้นว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆน่ะนะ” นายตะวันน้องชายตัวน้อยพูดแทรกด้วยใบหน้ายียวนแบบสุดๆ

      “ว่าไงน้าาาาาาา” ฉันวิ่งไล่ตะเพิดมันอีกรอบ  แต่ก็ไม่วายต้องพ่ายแพ้เพราะบารมีของพระบิดาพระมารดาดังเช่นเคย

      เรื่องเมื่อวันก่อนทำให้ฉันรู้สึกว่าศิลาไม่ได้เป็นคนที่นิสัยแย่อย่างที่คิด  แต่เขาเป็นคนที่นิสัยน่ารักมากคนหนึ่งซะด้วยซ้ำ  ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงหน้าแดงตอนที่รู้ว่าถูกอุ้มมาหรือตอนที่ถูกตะวันล้อ  ฉันไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกกับเขายังไง  ฉันไม่รู้ว่าทำไม...เขาถึงดีต่อฉันแบบนี้...ไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับฉัน...อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็แอบชอบฉันอยู่รึเปล่า...แต่ไม่หรอกคนชอบกันที่ไหนเขาจะชอบชวนทะเลาะกันแบบนี้ล่ะ...เนอะ?

      ฉันนั่งคิดนอนคิดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่นานสองนาน  แต่ฉันก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้กับคำถามในหัวใจของฉันได้  ฉันหงุดหงิดนอนกระสับกระส่ายจนกลายเป็นไม่ได้หลับยันเช้า...

      “เป็นอะไรไปน่ะยัยมูน” น้ำฝนถามฉันที่กำลังตาปรือเดินไปยังตึกเรียนด้วยความง่วงเหงาหาวนอน

      “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยน่ะ แฮะๆ” ฉันหัวเราะแห้งๆตอบน้ำฝน

      “ระวังตัวหน่อยนะ  เมื่อคืนวานเราเพิ่งดูรายการโทรทัศน์เรื่อง “ผีเขมือบหัว” มาล่ะ  เขาว่าผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสที่มีขอบตาคล้ำจะเป็นเป้าหมายที่จะถูกเขมือบด้วยล่ะ”

      “อ...เอ๋...ไม่จริงน่า...” ฉันยิ้มแห้งๆ  มองไปทางน้ำฝนที่ตากำลังเปล่งประกายสีแดงฉานราวกับเลือด

      “ใช่แล้วล่ะ  แกต้องระวังตัวนะมูน  เวลาที่มีเสียงเรียกเย็นๆดังขึ้นข้างๆใบหูเธอล่ะก็...นั่นแหละ...คือเวลาที่มันจะมาเขมือบเธอ” น้ำฝนพูดพลางแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอันแหลมคมที่ดูน่าสะพรึงกลัว  ร่างของฉันสั่นเทิ้ม  รู้สึกเหมือนมีอะไรเย็นวาบๆอยู่ตรงข้างหลัง  และแล้ว...

      “มูน~น” เสียงเรียกอันเย็นยะเยือกนั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

      “กรี๊ดดดดด” ราวกับวิญญาณจา พนมเข้าสิง  ฉันจับแขนของเจ้าของเสียงก่อนจะทุ่มร่างของเขาที่อยู่ด้านหลังกระแทกลงสู่ผืนปฐพีจนสุดแรง

      “อมิตตาพุทธๆๆ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ  อย่ามาหลอกมาหลอนกันอีกเลยน้าาา” ฉันนั่งคุกเข่าลงพนมมือสองข้าง  โรคกลัวเรื่องผีๆสางๆนี่เล่นเอาฉันแทบคลั่งซะทุกทีจริงๆ

      “ค...คาลอส” น้ำฝนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ  ฉันรีบหันมองไปทางชายที่ถูกฉันทุ่มจนสุดแรง

      “โกหกน่า...”

      “คาลอสสสส” เสียงตะโกนดังก้องขึ้นอีกครั้ง  ฉันรีบวิ่งไปดูร่างใหญ่ยักษ์ที่ถูกทุ่มลงนั้นอย่างรวดเร็ว  นักเรียนที่เดินผ่านต่างก็หันมาสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไทยมุงค่อยๆขยายใหญ่

      “ทำไมคุณมูนต้องทุ่มผมด้วย...ผมแค่เอานมเปรี้ยวรสชาเขียวมาฝากเอง...ว่าแต่ทำไมถึงได้มีคิวปิดมาบินวนรอบๆหัวผมล่ะเนี่ย...โอย...มึน...” คาลอสละเมอเพ้อไปเรื่อยเปื่อย

      ฉันเหลือบไปเห็นกระป๋องนมเปรี้ยวรสชาเขียวยี่ห่อ COO~!! ที่ตกอยู่ข้างๆ  มันทำให้ฉันเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หลังฉันเย็นวาบๆเมื่อครู่

      “นี่มูนพูดปลอบให้เขารู้สึกดีขึ้นหน่อยสิ  เขาอุตส่าห์หวังดีซื้อนมเปรี้ยวรสชาเขียวมาฝากนะ” น้ำฝนกระซิบข้างๆหูฉัน

      “เอ่อ...” ฉันนึกสรรหาคำพูดดีๆเพื่อจะปลอบให้คาลอสรู้สึกดีขึ้น

      “ยังไม่ตายนะ!?” คำปลอบประหลาดๆของฉัน  เล่นซะจนน้ำฝนทรุดลงหัวฟาดพื้นไปเลย

      “นี่แกไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้แล้วเรอะยัยมูน” น้ำฝนพูดด้วยท่าทางค้อนๆ

      “ก็ฉันไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา” ฉันเบ้ปากทำท่าค้อนกลับไป  ก่อนที่ฉันจะเหลือบไปเห็นศิลาที่เดินผ่านไปเร็วจี๋ทำท่าเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ไม่รู้ตอนนั้นทำไมในใจของฉันมันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กๆ

      “...” เสี้ยววินาทีนั้นเองฉันหันไปเห็นอาการแปลกๆของน้ำฝนที่นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด  แต่ชั่วเวลาเพียงแค่ฉันส่ายหน้าเรียกสติเท่านั้น  น้ำฝนก็หันกลับไปดูอาการของคาลอสต่อ

      ...คนที่น้ำฝนแอบชอบ...คือศิลางั้นเหรอ...

      คำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้พุ่งปราดเข้ามาในหัวฉันที่กำลังสับสน  ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าภาพน้ำฝนที่ฉันเห็นเมื่อครู่นั้นฉันตาฝาดไปเองรึเปล่า…

      ……………

      “ศิลา” ฉันส่งเสียงเรียกเขาขณะที่เจ้าหนุ่มยังคงนอนพิงต้นไม้ต้นประจำของเขาอย่างเคย  เขาเหลือบตามามองฉันก่อนจะหันกลับไปดังเดิม  ฉันเบ้ปากมองเขาอยู่พักหนึ่ง  ก่อนที่จะส่ายหน้ารวบรวมความกล้าแล้วกล่าวถามออกไป

      “เอ่อ...คือ...นายเป็นคนแบกฉันไปส่งที่บ้านจริงๆเหรอ” ฉันพูดอย่างติดๆขัดๆเล็กน้อย

      “…ทำไมล่ะ” ฉันเห็นว่าเขาแอบเหลือบกลับมามองฉันนิดๆ

      “ก็ไม่ทำไมหรอก  แค่อยากจะขอบคุณน่ะ...ไม่ได้หรือไง” ฉันค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆเขาทีละก้าวๆ

      “ม...มันก็เรื่องของเธอไม่ใช่เหรอ  ใครจะไปบังคับให้เธอทำไม่ได้กันล่ะ” เขาหลบหน้าฉันด้วยสีหน้าที่ค่อยๆแดงขึ้นทีละน้อย

      “แทนคำขอบคุณนะ” ฉันยิ้มเล็กๆหลับตาข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นปิ่นโตฝีมือตัวเองไปอย่างกล้าๆกลัวๆ  แล้วก็รีบเชิดหันหน้าหนีกลับด้วยความอายสุดขีด  ฉันแอบหลบหลังอาคารเรียนมองเขาอยู่ไม่ห่าง  เขาค่อยๆเปิดปิ่นโตที่ฉันทำอย่างช้าๆ  แต่ก็คงจะแปลกใจอยู่หน่อยๆแหละนะที่เห็นแต่กับข้าวสารพัดไข่ฝีมือฉันน่ะ  ฉันแอบหัวเราะเล็กๆมองเขา  จนกระทั่งเขากินมันจนหมด

      เขาถือปิ่นโตที่ล้างทำความสะอาดเสร็จให้กับฉันในเที่ยงของวันถัดมา  เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันส่งปิ่นโตชุดใหม่ให้กับเขา  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมามู่ที่มีครบทุกรูปแบบทุกชนิดที่จะปรุงเป็นอาหารได้  แต่เขาก็กินมันจนหมดไม่เหลืออีกเหมือนกัน  ฉันกับเขาแอบมาพบกันที่ต้นไม้ต้นนั้นทุกเที่ยง  จนกระทั่งฉันกล้าที่จะนั่งกินข้าวกับเขา  และหยอกล้อกันจนกระทั่งกล้าที่จะป้อนข้าวให้กันเป็นบางครั้ง  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีเพียงแค่ฉันกับศิลาเท่านั้นที่รู้  แม้แต่น้ำฝนเพื่อนสุดรักก็ได้แต่สงสัยว่าฉันหายไปไหนทุกๆเที่ยง  แต่ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันแอบมาหลบมุมกินข้าวกับศิลาที่ต้นไม้ต้นใหญ่หลังตึกเรียนที่เหมือนเป็นอนุสรณ์ของเรา 2 คน  หัวใจดวงน้อยๆของฉันค่อยๆพองโตขึ้นทุกๆครั้งที่ได้พบและพูดคุยกับเขา

      มันอาจจะดูเหมือนหลงตัวเอง  แต่ฉันก็คิดว่าศิลาแอบชอบฉันมาตลอด  แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดออกมาตรงๆเลยสักครั้งก็ตาม  ฉันเริ่มเข้าใจเหตุผลที่เขาเลือกเรียนแผนศิลป์ภาษาทั้งๆที่เขาถนัดวิชาคำนวณ  และนั่นทำให้ฉันรู้สึกชอบเขามากขึ้น  แม้ว่าเขาจะยังคงปากร้ายเย็นชาอยู่หน่อยๆก็เถอะ  ในช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน  ราวกับอยากจะให้เวลามันหยุดอยู่ตรงนั้นตลอดไป  ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันชอบผู้ชายคนนี้  แต่ฉัน...ยังไม่กล้าเรียกมันว่า...ความรัก

      วันวานที่ผ่านพ้นไปนั้นทำให้ความรู้สึกดีๆที่ฉันมีต่อศิลามากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ยิ่งสงสัยว่าน้ำฝนชอบศิลามากขึ้นทุกทีๆ  คำถามที่ค้างคาใจนั้นทำให้ฉันไม่อยากที่จะหลอกตัวเองอีกต่อไป  ฉันต้องการที่จะพิสูจน์ความรู้สึกที่แท้จริงของน้ำฝน  อยากจะรู้ว่าชายที่ทำให้น้ำฝนรู้สึกหวั่นไหวใช่คนเดียวกันกับชายที่อยู่ในหัวใจฉันหรือเปล่า  ก่อนที่ฉัน...จะถลำลึกไปมากกว่านี้

      “น้ำฝน” ฉันตีสีหน้าเครียดเรียกเธอขณะที่กำลังเรียนอยู่ในห้อง

      “อื๋อ?” น้ำฝนทำหน้างงๆกับอาการแปลกๆของฉัน

      “เธอชอบศิลาเหรอ” คำถามที่ไม่ปี่มีขลุ่ยของฉันถูกเอ่ยออกไป  เพียงเสี้ยววินาทียัยน้ำฝนตัวแสบรีบเอามือมาปิดปากฉัน  ศิลากับคาลอสที่ได้ยินไม่ถนัดหันกลับมามองเราสองคนด้วยสีหน้างงๆ

      “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” น้ำฝนแสร้งยิ้มตอบด้วยใบหน้านางฟ้าน้อยๆของเธอ  ก่อนจะกดหัวฉันมุดลงใต้โต๊ะ

      “นี่เบาๆซี่ แกพูดอะไรของแกน่ะ”

      “ที่ทำท่าทางแบบนี้แสดงว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” ฉันแสยะยิ้มเล็กๆทำหน้าทะเล้นกวนส้นเป็นที่สุด

      “แกไปเอาเรื่องนี้มาจากไหนกัน” น้ำฝนหันหน้าหนีฉันพร้อมกับถามแบบปฏิเสธเป็นในๆด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ  การที่เพื่อนที่สุดจะขี้อายของฉันไม่กล้าจะสบตาทำให้ฉันไม่อาจตีความเป็นอื่น

      “งั้นก็ตอบมาสิว่าใช่เรื่องจริงรึเปล่าน่ะ” ฉันยังคงแสยะยิ้มราวกับนางร้ายที่กำลังขู่บังคับนางเอก

      “เอ่อ...” น้ำฝนหลบตาฉันไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของเธอออกมา

      “ศิลา...” ฉันลุกพรวดขึ้นเรียกศิลาที่อยู่ข้างหน้า  เขาหันกลับมาช้าๆหรี่ตาลงมองฉันด้วยความพิศวงงงงวย

      “ไม่มีอะไรหรอกนะ  เรียนกันต่อเถอะค่ะ” น้ำฝนยิ้มแห้งๆก่อนจะกดหัวฉันลงไปอีกครั้ง

      “ตกลงว่าจะยอมตอบมั้ย” ฉันแสยะยิ้มเช่นเคย

      “เอ่อ...คือ...”

      “ศิ...” น้ำฝนปิดปากกดหัวฉันก่อนที่เสียงนั้นจะเล็ดลอดออกมาได้

      “ยอมรับแล้วๆ  ฉันชอบเขา  ชอบมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วด้วย  พอใจรึยังล่ะ” น้ำฝนเบ้ปากพูดกับฉันก่อนจะหันหน้าแดงระเรื่อของเธอหนีไปเพราะความเขินอาย

      ...ฉันชอบเขา  ชอบมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วด้วย พอใจรึยังล่ะ...

      เสียงนั้นดังก้องในหูของฉันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  ฉันนิ่งไปพักหนึ่งราวกับเหมือนต้องมนต์สะกดไปยังไงยังงั้น  ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกมันเกินกว่าที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด

      “ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันลุกพรวดขึ้นก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องที่ยังคงเรียนกันอยู่  เล่นเอาทั้งอาจารย์และเพื่อนๆรวมทั้งยัยน้ำฝนต่างก็รู้สึกประหลาดใจเอามากๆ  แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยสักน้อยนิด

      ฉันค่อยๆปิดประตูห้องน้ำหญิงอย่างช้าๆ  และแหงนมองใบหน้าตัวเองในกระจก  น้ำใสๆค่อยๆเอ่อล้นออกจากดวงตาคู่น้อยๆ  มันรินไหลอาบแก้มทั้ง 2 ข้างของฉัน  ฉันใช้แขนเสื้อปาดมันออก  พยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งไหล  แต่มันก็กลับไหลออกมาอีก...ไหลออกมาจนฉันไม่อาจที่จะหยุดมันได้  เสียงสะอื้นไห้นั้นดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย  ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจถึงขนาดนี้...ฉันไม่รู้ว่าทำไม...โชคชะตาถึงได้กลั่นแกล้งให้เพื่อนที่ฉันรักที่สุด...หลงรักผู้ชายที่ฉันรักที่สุด

      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันไม่เคยที่จะทำปิ่นโตให้กับศิลาอีก  ไม่แม้แต่จะไปหาเขาที่นั่งรอที่ต้นไม้ต้นนั้นทุกๆวัน  ศิลาร้อนใจถึงขนาดเป็นฝ่ายเอ่ยถามอาการของฉันที่เปลี่ยนแปลงไป  แต่ฉันก็กลับหลบหน้าไม่กล้าตอบทุกคำถามที่ถูกเอ่ยออกมา  เหมือนกับว่าชีวิตของฉันกลับมาเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง

      จนกระทั่งวันหนึ่งคาลอสสารภาพรักต่อฉัน  คำพูดหวานๆที่ถูกเปล่งออกมาด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นนั้นทำให้ฉันตอบตกลงอย่างไม่ลังเล  และฉันก็เริ่มที่จะคบเป็นแฟนกับคาลอสตั้งแต่วันนั้น

      ฉันพยายามจะยิ้มให้คาลอส  พยายามที่จะเพิ่มความรู้สึกดีๆที่มีต่อเขา  พยายาม...ที่จะลบภาพศิลาให้หมดไปจากความทรงจำของฉัน  ฉันค่อยๆรู้สึกตัวทีละน้อยว่าที่ฉันตอบตกลงคบกับคาลอสเพราะต้องการจะให้เขาช่วยเติมเต็มในส่วนที่มันขาดหายไป  แต่มันกลับเหมือนกับการหลอกตัวเอง  ทุกครั้งที่มองศิลาฉันยังคงรู้สึกเจ็บ  ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนั้น  ไม่รู้...ว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกนั้น...ใช่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รักไปหรือเปล่า

      ศิลาคุยกับฉันน้อยลงเรื่อยๆจนเหมือนกับว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อน  แต่เขากลับคุยกับน้ำฝนบ่อยขึ้นทุกวันๆ  ฉันควรจะดีใจที่ความรักของเพื่อนฉันใกล้จะสมหวังเข้าไปทุกที...แต่ทำไม...ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้...น้ำตา...มันถึงได้ไหลออกมากัน...
      ความรักคืออะไรนั้นฉันไม่อาจให้คำตอบได้  ฉันรู้เพียงว่าสำหรับฉันมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายลมที่พัดผ่าน...และจางหายไปอย่างไม่หวนคืนกลับ

      ฉันกลายเป็นที่ปรึกษาหัวใจให้กับน้ำฝน  ฉันบอกเรื่องของศิลาหลายเรื่องกับเพื่อนรักของฉัน  ทั้งเรื่องที่เขามักจะชอบแอบนั่งที่ใต้ต้นไม้หลังอาคารเรียน  เรื่องที่เขาชอบกินของง่ายๆอย่างไข่เจียวหรือมามู่หมูสับ  เรื่องที่ภายในเขาเป็นคนดีนิสัยน่ารักแต่มักจะแสดงออกไม่เก่งเลยดูเหมือนคนขี้เก๊กอยู่นิดหน่อย  แต่ถึงแม้ว่าฉันจะบอกทุกๆเรื่องให้กับน้ำฝนได้รู้  แต่ฉันไม่เคยบอกถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่ฉันมีต่อศิลา...ความรู้สึก...ที่แท้จริงของฉัน

      วันเวลาที่พ้นผ่านล่วงเลยไปจนถึงปีการศึกษาใหม่ในชั้นมัธยมปลาย  ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องเรียนเดิมๆก็ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรสักเท่าไหร่  มีเพียงความรู้สึกภายในจิตใจของหลายๆคนที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ฉันกลายมาเป็นแฟนกับคาลอสเต็มตัวแล้ว  และเริ่มที่จะมองหน้าศิลาติดขึ้นมานิดๆ  ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บแปล้บอยู่นิดหน่อยก็เถอะ  ส่วนศิลากับน้ำฝนก็ดูเหมือนจะคบกันอยู่เป็นในๆ  เพราะน้ำฝนพยายามที่จะเข้าหาศิลาอยู่ตลอดถึงแม้นิสัยจริงๆของเธอจะเป็นคนขี้อาย  แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมถอยกับเรื่องนี้เลย  ศิลาเองก็สนิทสนมกับน้ำฝนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เปิดใจรับน้ำฝน  และจนถึงเดี๋ยวนี้เขาก็มักจะหลบตาฉันอยู่เสมอๆ  จนในที่สุด...น้ำฝนก็รู้ถึงสาเหตุที่ศิลาไม่เปิดใจให้กับเธอ  ในเย็นหลังเลิกเรียนวันนั้น...

      “ศิลาชอบเธอใช่มั้ย” คำถามที่แทงใจดำของฉันดังขึ้นจนฉันตั้งตัวไม่ติด

      “หมายความว่าไงน่ะน้ำฝน” ฉันหันไปถามกลับด้วยท่าทางงงๆ  สบสายตาคู่น้อยๆอันหม่นหมองของน้ำฝนที่จ้องมองกลับมา

      “ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อนะ  เรารู้เรื่องหมดแล้ว” น้ำฝนตะคอกฉันด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ

      “เมื่อปลายปีก่อนที่เธอหายไปทุกเที่ยงน่ะ  ก็เพราะไปนั่งกินข้าวกับศิลาใช่มั้ยล่ะ  ศิลาชอบเธอ  แล้วเธอก็ชอบศิลาใช่มั้ย  ตอบมาสิ...มูน”

      “ธ...เธอเข้าใจผิดแล้วนะน้ำฝน  เรื่องนั้นน่ะมันเป็นอดีตไปแล้วนะ  เอ่อ...ฉัน...”

      “โกหก!” เสียงตวาดนั้นกลบเสียงของฉันจนหมดสิ้น “คาลอสเป็นคนบอกเราเองว่าเขาเห็นเธอกับศิลานั่งกินข้าวด้วยกันตลอดเป็นเดือนๆ  เขาเองก็รู้ว่าศิลาชอบเธอ  แล้วก็รู้ว่าเธอยังไม่หมดเยื่อใยไปจากศิลา  เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะมูน  ไม่คิดว่าคนที่ทรยศหักหลังจะเป็น...เพื่อนที่เรารักที่สุด” น้ำตานั้นค่อยๆไหลผ่านแก้มน้อยๆของน้ำฝน  เธอปาดน้ำตาพยายามฝืนกลั้นไม่ให้มันหยาดหยดลงมาอีกครั้ง

      “บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิดน่ะ...จริงๆแล้ว...ฉันแค่...”

      “แค่อะไรล่ะ” ฉันชะงักกับคำถามนั้นเล็กน้อย  ฉันหลับตาลงกัดริมฝีปากแน่นด้วยร่างอันสั่นเทา  ฉันสูดลมหายใจก่อนที่จะกัดฟันพูดออกไป
      “ฉันก็แค่คบกับศิลาเล่นๆเท่านั้นเอง”

      ...แค่คบกับศิลาเล่นๆเท่านั้นเอง...

      คำพูดที่โกหกทั้งเพื่อนและแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองดังซ้ำไปซ้ำมา  มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บเหลือเกิน  ตอนนั้นฉันคิดเพียงว่าเพื่อเพื่อนสุดที่รักของฉันแล้ว  ฉันเลือกที่จะหลอกความรู้สึกของตัวเองต่อไป...ไม่ว่าผลมันจะออกเป็นยังไง...ไม่ว่าฉัน...จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแค่ไหนก็ตามก็ตาม

      “แค่เล่นๆงั้นรึ” เสียงที่คุ้นหูนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง  ฉันรีบหันกลับไปมองใบหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตานั้น  ใบหน้าของ...ศิลา

      “สิ่งที่ทำให้ทั้งหมดนั่น...มันเป็นแค่เรื่องโกหกงั้นเรอะ” ศิลาคำรามด้วยเสียงอันดังก้อง  มือขวาอันสั่นเทาถูกกำแน่น...ทุบลงบนโต๊ะจนสุดแรง
      น้ำฝนวิ่งหนีฉันออกจากห้องไปทั้งน้ำตา  ฉันตะโกนเรียกเธออยู่ 2-3 ครั้ง  แล้วหันกลับไปมองศิลาที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น  ฉันส่ายหน้าเรียกสติเล็กน้อย  ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันคงจะรับได้ถ้าตัดสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของเราทิ้งไปซะ...ฉันเลือกน้ำฝนเพื่อนของฉัน  และเลือก...ที่จะหลอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวฉันเอง

      ฉันตัดสินใจวิ่งตามน้ำฝนออกไป  ดูราวกับไม่เหลือเยื่อใยให้กับผู้ชายที่ยังคงนั่งอยู่นิ่ง  ฉันวิ่งตามน้ำฝนจนไปถึงหน้าโรงเรียน  ในขณะที่น้ำฝนยังคงไม่ใส่ใจเสียงเรียกของฉัน

      “น้ำฝน” ฉันตะโกนเรียกหลายครั้ง  แต่น้ำฝนก็ไม่ชะลอลงเลย  ฉันวิ่งจนถึงตัวเธอก่อนจะฉุดแขนของเธอเอาไว้  พยายามจะเหนี่ยวรั้งให้ความสัมพันธ์ของพวกเราคืนกลับมาดังเดิม

      “อย่าทำแบบนี้สิน้ำฝน  เราเป็นเพื่อนกันนะ  หันมาคุยกันก่อนจะได้มั้ย”

      “เพื่อน...งั้นเหรอ” น้ำฝนหยุดการเดินลง  ฉันใจชื้นขึ้นเล็กๆ  ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดที่ทำลายเยื่อใยกับชายที่ฉันรักที่สุด  แต่ฉันก็ยังไม่ได้สูญเสียเพื่อนที่สำคัญที่สุดของฉันไป

      “จริงสินะ  ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่นะ  แล้วก็...” น้ำฝนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆก่อนจะค่อยๆหลับตาหันหน้ามาหาฉัน

      “นับแต่นี้ต่อไปความเป็นเพื่อนของเราขาดกัน” น้ำฝนหันมาตะคอกใส่ฉัน  ก่อนจะเดินหันหลังจากฉันไปราวกับจะไม่หวนกลับมาอีก  ฉันไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกที่มีอยู่ในตอนนั้นได้  ความรู้สึกที่เสียทั้งเพื่อนที่สำคัญที่สุด...และคนที่ฉันรักที่สุด...
      ฉันคุกเข่าลงร้องไห้โดยไม่อายสายตาที่มองผ่าน  ความเจ็บปวดและความทุกทรมานนั้นเกินกว่าที่จะมีใครมาเข้าใจจิตใจอันปวดร้าวของฉันได้  ฉันไม่รู้ว่าทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้  ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องเสียคนที่ฉันรักไปพร้อมๆกันแบบนี้  ฉันสับสนไปหมดแล้ว  ฉันจะทำยังไงต่อไป...จะต้องอยู่กับความเจ็บปวดนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน

      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาน้ำฝนไม่เคยคุยกับฉัน  ไม่เคยสนใจฉัน  ไม่เคยหันมาสบตาฉัน  ไม่...แม้แต่จะคิดว่าฉันเป็นเพื่อน…
      คาลอสตัดสินใจเดินทางกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส  เขาบอกกับฉันว่าเขาอยากจะไปหารักแท้ที่นั่น  เขาบอกว่าฉันไม่อาจที่จะรักเขาได้อย่างหมดหัวใจ  เพราะในใจของฉันมีเพียงแต่ศิลาเท่านั้น  หลังจากที่คาลอสจากฉันไป  ฉันก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว  ทุกๆคนในห้องต่างก็มองว่าฉันเป็นคนร้ายที่ทรยศหักหลังความรู้สึกของเพื่อน...ไม่เว้นแม้แต่ศิลา

      วันเวลาล่วงเลยไปจนถึงชั้นเรียนปีการศึกษาสุดท้ายในชั้นเรียนมัธยมปลาย  ฉันกลายเป็นคนไร้เพื่อน  ไร้แฟน  และ...ไร้คนที่รักฉัน  แม้ว่าฉันจะขอโทษน้ำฝนกี่สิบครั้ง  ไม่ว่าฉันจะเสียน้ำตาไปสักกี่ร้อยกี่พันหยด  ฉันก็ไม่อาจจะเรียกความเป็นเพื่อนของเธอกับฉันให้กลับมาเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว  ศิลาเริ่มคบกับน้ำฝน  และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ราบรื่นขึ้นทุกทีๆ  จนฉันรู้สึกห่างไกลกับเขาเหลือเกิน  เกินกว่าที่ฉันจะไขว่คว้าเขาได้อีกครั้ง

      ชีวิตของฉันในตอนนั้นมันเหมือนอยู่ในความมืด  ความมืดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างจะเล็ดลอดเข้ามาได้  ตรงข้ามกับตอนที่ฉันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้หลังอาคารเรียนเงียบๆ  ช่วงเวลาที่ฉันอยู่กับเขาคนนั้นมันช่างมีความสุขเหลือเกินจริงๆ  แต่ฉันคงไม่อาจเรียกวันเวลาแห่งความสุขมาได้อีกแล้ว...ฉันไม่อาจจะนำเพื่อนและคนที่ฉันรักกลับคืนมาได้อีกแล้ว...

      เมลประหลาดถูกส่งมาหาฉันผ่านทางอินเตอร์เน็ต  ฉันคิดว่ามันคงไม่มีอะไรแปลกใหม่  มันคงไร้สาระเหมือนกับอีกหลายข้อความที่ผ่านๆมา  แต่ฉันก็เลือกที่จะเปิดมันอ่าน  ข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ฉันพอจะจับใจความของมันออกมาได้

      “เป็นไงบ้างมูนสบายดีรึเปล่า  ผมสบายดีนะ  ตอนนี้เริ่มจะปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆที่นี่ได้แล้วด้วยล่ะ  จริงๆแล้วผมแอบปิ้งแคทเทอรีนที่อยู่ข้างห้องด้วยนะ  เธอน่ารักเป็นบ้าเลย  แต่น้อยกว่าคุณอยู่นิดหน่อยนะ  อ๊ะ! อย่าหาว่าผมเจ้าชู้ล่ะ  จริงๆแล้วผมยังไม่ลืมคุณหรอก  แต่ผมไม่อยากจะยึดติดกับอดีตน่ะ  ผมอยากจะลืมภาพของคุณในฐานะคนรักให้หมดไปจากความทรงจำของผม  อยากจะให้มันเหลือเป็นเพียงภาพของเพื่อนรักคนหนึ่งของผมเท่านั้น  คุณเองก็น่าจะเลิกหลอกความรู้สึกของตัวเองได้แล้วนะมูน  ถึงคุณรักน้ำฝนมากก็เถอะ  แต่ถ้าคุณยังหลอกตัวเองต่อไปจริงๆละก็...คุณอาจจะต้องกลายเป็นคนที่เสียใจที่สุดก็ได้...  สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าละกันครับ  ระวังจะขึ้นคานล่ะ!

      …Calos Cristofer…

      “ไม่ไหวเลยนะเราเนี่ย...ต้องให้คนอย่างหมอนี่มาสอนเรื่องแบบนี้” ฉันปาดน้ำตาน้อยๆที่รินไหลออกมา  ก่อนจะค่อยๆส่ายหน้าเรียกสติ  ผลิยิ้มเล็กๆ  พิมพ์ตอบกลับด้วยข้อความสั้นๆที่มาจากทั้งหมดของหัวใจ

      ...Thanks my best friend…

      อย่างที่คาลอสว่า  อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์  วันเกิดที่ฉันควรจะยินดีเป็นที่สุด  แต่ในครั้งนี้อาจจะไม่มีเพื่อนคนไหนอยู่ฉลองวันเกิดกับฉันก็ได้  ฉันคิดว่าน้ำฝนอาจจะรู้สึกไม่ดีต่อฉัน  แต่นิสัยโดยเนื้อแท้ของน้ำฝนเป็นคนรักเพื่อน  ฉันพยายามจะคิดว่าฉันยังมีโอกาสที่จะดึงเพื่อนคนสำคัญของฉันกลับคืนมา...ฉันรู้ว่ามันอาจจะเป็นการเห็นแก่ตัว  แต่การมีเพื่อนแท้สักคนนั้น...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ  ฉัน...ต้องการเพื่อนคนสำคัญของฉันกลับคืนมาจริงๆ

      ...หลังเลิกเรียนวันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์...

      “น้ำฝน  วันนี้กลับด้วยกันนะ” ฉันพยายามเรียกเธอแม้จะถูกปฏิเสธด้วยท่าทีเฉยชาเหมือนอย่างทุกครั้ง

      “วันนี้ฉันมีธุระ” น้ำฝนปฏิเสธด้วยคำพูดเรียบๆ  แต่นั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเราช่างอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน

      “เอ่อ...เสร็จเมื่อไหร่เหรอ  วันนี้ฉันรอได้นะ” ฉันยิ้มตอบ

      “...” น้ำฝนนิ่งเงียบเขม่นตามองฉัน  ก่อนจะถือกระเป๋าด้วย 2 มือรีบเดินดิ่งออกไป

      ฉันคิดว่าน้ำฝนคงจำวันเกิดของฉันได้แน่จึงจงใจพูดว่าวันนี้มีธุระ  แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันจะเดิมพันด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันมี  ฉันจึงตัดสินใจเดินตามเธอแบบหน้าด้านๆ  ไม่ว่าเธอจะไปทำอะไรที่ไหน  ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่  ฉันก็รอคอยและเดินตามเธอจนกระทั่งเริ่มมืดลงทุกทีๆ  น้ำฝนเริ่มหงุดหงิดกับการเดินตามของฉัน  แต่ฉันก็ยังไม่ยอมถอย

      “เลิกตามมาสักทีจะได้มั้ย  จะให้พูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจนะรัตติพร  ฉันไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างเธอ  เข้าใจมั้ย”

      หยาดน้ำหยดน้อยๆกระเซ็นมาโดนใบหน้าฉัน...  ฉันตะลึงยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง  ในขณะน้ำฝนรีบวิ่งหนีฉัน...ไกลออกไป...ไกล...จนฉันไม่อาจจะไขว่คว้าหาเธอได้  ฉันส่ายหน้าเรียกสติอีกครั้ง  พยายามนึกถึงใบหน้าของน้ำฝนที่ตะคอกใส่ฉัน...ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตานั้น...ช่างเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน

      ฉันไม่อยากจะให้การหลอกตัวเองของเราทั้งคู่  ทำให้เราต้องแตกแยกกันอีกแล้ว  ฉันตัดสินใจวิ่งตามน้ำฝนไปด้วยย่างก้าวที่หนักแน่นไร้ความลังเล  แต่แล้ว...ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น...กลับทำให้ฉันตะลึงจนถึงขีดสุด

      “น้ำฝนนน” ฉันตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นร่างของน้ำฝนล้มลงนอนจมอยู่บนกองเลือด  ฉันฝ่าฝูงคนมากมายตรงทางเดินที่ได้แต่มุงดูน้ำฝนที่ถูกรถชนอยู่กลางถนน  ตอนนั้นหัวของฉันมันมืดไปหมด  เป็นเพราะฉันทำให้น้ำฝนรู้สึกสับสนจนต้องวิ่งหนีออกมาแบบนี้  เป็นเพราะฉันคนเดียวแท้ๆ

      ……………

      น้ำฝนหายใจรวยรินเต็มที  ฉันวิ่งตามเธอไปจนถึงหน้าห้องฉุกเฉิน  ฉันพยายามโทรติดต่อทางบ้านของเธอแต่ก็ไม่มีใครรับสาย...ทางบ้านของฉันเองก็เหมือนกัน

      คุณหมอบอกว่าเธอเสียเลือดไปมากและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต  แต่เพราะที่นั่นเป็นเพียงโรงพยาบาลเล็กๆจึงขาดแคลนเลือดที่เตรียมไว้ให้ผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินแบบนี้  ฉันจึงได้แต่เฝ้ารอ...แต่ว่า...การรอคอยสำหรับฉัน...มันเป็นเรื่องที่ทรมานใจเหลือเกิน

      ……………

      “ที่นี่...” นัยน์ตาที่หลับไหล  ค่อยๆลืมตื่นขึ้นจากนิทรา  ฉันหันมองบรรยากาศรอบๆที่แปลกตา  แล้วจึงสังเกตเห็นว่าตัวฉันเองนั้นกำลังอยู่ในชุดของคนไข้ในโรงพยาบาล

      “เป็นไงบ้างจ้ะน้ำฝน” เสียงของคุณแม่ดังขึ้น  สีหน้าท่านดูเป็นห่วงฉันเอามากๆ  คุณพ่อที่นั่งข้างหลังเองก็เหมือนกัน

      “เอ่อ...ก็เวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ  แล้วนี่หนูมาที่โรงพยาบาลได้ยังไงกันคะ” ฉันเอ่ยถาม

      “มูนเป็นคนพาลูกมาส่งน่ะ”

      “ว...ว่าไงนะคะ” ฉันรู้สึกงงๆกับคำพูดของคุณพ่อ  สีหน้าของท่านดูเคร่งเครียดขึ้นทันตา

      “ลูกถูกรถชนน่ะ  ลูกเสียเลือดมากจนต้องได้รับการผ่าตัด  ทีแรกทางโรงพยาบาลบอกว่าเลือดกรุ๊ป O ของลูกถูกใช้ไปมากเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำก่อนหน้าลูกจะถูกรถชนไม่นาน  ก็เลยได้แต่รอรับเลือดจากโรงพยาบาลใกล้ๆ  แต่มันก็อาจกินเวลามากจนลูกทนผิดบาดแผลไม่ไหว  ตอนนั้นแม่กับพ่อเป็นห่วงมากเลยนะ  เพราะเลือดของแม่กับพ่อก็ใช้กับลูกไม่ได้  ดีนะที่มูนก็เลือดกรุ๊ปเดียวกับลูกน่ะ  เขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้เลือดของเขาเพื่อช่วยเหลือลูก” คุณแม่พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  แต่ฉันเองกลับรู้สึกตกใจกับคำพูดเหล่านั้น

      “มูน...เหรอคะ”

      “ลูกมีเพื่อนที่ดีจริงๆนะ  เพื่อนแท้แบบนี้  หาทั้งชีวิตยังไม่รู้เลยว่าจะได้เจอคนที่จริงใจต่อเราแบบนี้จริงๆรึเปล่า”

      คำพูดของคุณพ่อนั้นทำให้ฉันรู้สึกผิด...รู้สึกเจ็บแปร้บที่หัวใจ  ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่ามูนจะแคร์ฉัน...จะรักฉันมากถึงขนาดยอมสละเลือดของตัวเองให้กับฉัน...ทั้งๆที่ฉันทำแย่ๆแบบนั้นกับเขาแท้ๆ  ฉันยังรักมูนและยังอยากจะเป็นเพื่อนเธออยู่เสมอ  แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ฉันเจ็บแค้นเธอได้ถึงขนาดนั้น  ศิลางั้นเหรอ?  ถ้ามาลองคิดดีๆแล้วมูนตีตัวออกห่างศิลานั้นมันเป็นเวลาเดียวกับที่เธอรู้ว่าฉันชอบศิลา  แล้วถ้าเธอรักศิลาจริงทำไมถึงได้ยอมเลิกกับเขาล่ะ...เพราะฉันแอบชอบเขางั้นเหรอ...คำถามมากๆเกิดขึ้นจนทำให้ฉันรู้สึกสับสนเหลือเกิน...ทั้งๆที่มูนเลือกที่จะรักษามิตรภาพระหว่างเรา  แต่ฉันกลับเลือกที่จะทำลายมันเพราะความรักที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งแค่นั้นงั้นเหรอ...
      “มูนยังอยู่รึเปล่าคะ”

      “กลับจากโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ

      “ขอโทรศัพท์ให้หนูหน่อยได้มั้ยคะ” ฉันพูดแล้วจึงรีบโทรไปที่บ้านของมูนทันที

      “ฮาโหล” เสียงของเด็กผู้ชายในโทรศัพท์เป็นเสียงที่ฉันเคยคุ้นหูแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันมานานมากแล้ว

      “ตะวันเหรอ  นี่พี่ฝนนะ  ขอสายพี่มูนหน่อยได้มั้ยจ้ะ”

      “พี่มูนยังไม่กลับบ้านเลยครับ  อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ...” จู่ๆโทรศัพท์ก็ถูกดึงไปจากมือของหนุ่มน้อย

      “ฮัลโหล  นั่นมูนรึเปล่าจ้ะ  ลูกอยู่ไหนน่ะทำไมไม่กลับบ้านจ้ะ  เรารอฉลองวันเกิดให้ลูกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ  ลูกไม่กลับบ้านทำไมบอกแม่ก่อนล่ะจ้ะ” เสียงคุณแม่ของมูนที่พูดด้วยความห่วงหาทำให้ฉันไม่อยากจะทำลายมันลงเลยจริงๆ

      “หนู...ไม่ใช่มูนน่ะค่ะ”

      “งั้นเหรอจ้ะ...ขอโทษทีนะ  นั่นน้ำฝนใช่มั้ยจ้ะ” เสียงนั้นแผ่วลงในทันที

      “ใช่ค่ะ” ฉันรู้สึกงงนิดหน่อยที่คุณป้ายังจำเสียงฉันได้  แม้ว่าฉันจะไม่ได้โทรไปหามูนมานานมากแล้ว

      “รู้มั้ยจ้ะว่ามูนหายไปไหน”

      “หนูไม่รู้เหมือนกันค่ะ  ว่าจะโทรมาหามูนเหมือนกันน่ะค่ะ”

      “...งั้นเหรอจ้ะ...งั้นถ้ามูนติดต่อมาแล้วรีบโทรกลับมาหาป้านะจ้ะ”

      “ค่ะ...สวัสดีค่ะ”

      หลังจากที่โทรศัพท์ถูกวางสายลงนั้นเอง  พ่อกับแม่ถามฉันถึงเรื่องของมูน  แต่ฉันไม่ได้ตอบกลับไป...มีเพียงน้ำตาที่รินไหลออกมาเท่านั้น  ทำไมฉันถึงได้เป็นเพื่อนที่เลวแบบนี้  ทำไมถึงได้ทำกับเพื่อนที่รักฉันมากที่สุดแบบนี้กันนะ...ทั้งๆที่ฉันเป็นฝ่ายที่ทำร้ายเขา  พรากคนรักมาจากเขา  แต่เขากลับทุ่มเททุกสิ่งให้กับฉัน...ตอนนั้นฉัน...ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาออกมาได้จริงๆ

      ในบ่ายวันเดียวกันนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง  ฉันดีใจมากจริงๆเพราะคนที่โทรมาหาฉันก็คือมูน  เธอโทรมาถามถึงอาการป่วยของฉัน  ฉันบอกเธอว่าฉันสบายดีแล้วและก็อยากจะพบเธอมากด้วย  ฉันพยายามถามต่อว่าเธออยู่ที่ไหน  แต่เธอก็ไม่ยอมตอบฉัน  ได้แต่อวยพรให้ฉันหายไวๆเท่านั้น  แล้วก็วางสายไป

      ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาศิลา  แน่นอนว่าในการพูดเปิดอกกันครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะของตัวฉันเอง  แต่เป็นในฐานะของเพื่อนฉัน  ทีแรกเขาก็ปฏิเสธที่จะคุยถึงเรื่องของมูน  แต่ฉันก็ขอร้องให้เขายอมรับฟังฉัน...คำขอร้องในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น  ฉันบอกเขาว่าฉันรู้ดีว่ามูนรู้สึกกับเขาอย่างไร  เหมือนกับที่ฉันรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่มีทางที่จะหันมารักฉันได้  เขาหลอกตัวเองมาตลอด  เขาปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองมาตลอด  เพราะคนที่เขารักจริงๆไม่ใช่ฉันแต่คนๆนั้น...คือเพื่อนรักคำสำคัญของฉัน  และคนที่มูนรักนั้น...ก็มีเพียงเขาคนเดียวตลอดมา

      ฉันเกลี่ยกล่อมศิลาอยู่นาน  แต่มันก็ไม่ทำให้คนที่จิตใจเข้มแข็งอย่างศิลาสั่นคลอนได้ง่ายๆ  จนกระทั่งเขาเอ่ยปากบอกว่าเขาอยากจะขอพบมูนอีกสักครั้ง  และอยากจะฟังคำตอบจากปากของเธอเอง  แต่ฉันก็ไม่รู้จะตอบเขากลับไปอย่างไร  เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่ามูนอยู่ที่ไหน  ฉันบอกได้เพียงว่ามูนหนีออกจากบ้านไปแล้ว  และเพียงแค่สิ้นคำนั้นเอง...สายโทรศัพท์ก็ตัดไป

      ……………

      ผมรีบวิ่งออกจากบ้านด้วยคำถามมากมายที่เต็มไปด้วยความสับสน  สับสน...ในความรู้สึกของตัวผมเอง  ผมตรงดิ่งไปยังสถานที่แห่งนั้น  สถานที่ที่ผมไม่มีวันลืมเลือนเป็นเด็ดขาด  สถานที่...ที่ความสัมพันธ์ของพวกเราก่อเกิดและเติบโตที่นั่น  สถานที่...อันเต็มไปด้วยความทรงจำของผมกับมูน

      ใต้ต้นไม้หลังอาคารเรียนนั้น  เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอดีตอันหอมหวานที่ยังไม่เลือนหายไปจากจิตใจของผม  ผมไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ตอนนี้ผมเห็นเธอนั่งกอดเข่าพิงมันอยู่เหมือนอย่างเคย  ผมเคยบอกเธอว่าถ้ามีเรื่องกลุ่มใจให้ลองมานั่งใต้ร่มไม้ต้นนี้  แล้วลมสบายๆจะช่วยผ่อนคลายทำให้เราแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้  แต่ว่าในตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาที่ค้างคาใจมาเนิ่นนานนี้ได้  เพราะความขี้ขลาดของผมที่ทำให้มันได้แต่เฝ้ามองเธออย่างเงียบๆมาตลอด  และเพราะความโง่งมของผมทำให้ผมฝังลึกกับคำพูดเพียงประโยคเดียวที่บดบังความรู้สึกที่แท้จริงในใจเธอ  แต่ในตอนนี้ผมไม่อาจจะทนความโง่เขลาและความขี้ขลาดของผมได้อีกต่อไปแล้ว  ในตอนนี้ผมต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้เท่านั้น  ผม...ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวผมเอง

      “มูน” เพียงแค่ส่งเสียงเรียก  เธอก็สะดุ้งเฮือก  หันมองผมด้วยท่าทางตกใจ

      “ศิลา...” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา  แล้วจึงรีบลุกขึ้นพยายามจะหนีหน้าผม  ผมรีบฉุดคว้าร่างของเธอเอาไว้  แล้วกอดเธอด้วยสองมือจนแน่น...ราวกับว่า...

      ...เขาจะไม่ปล่อยให้ฉันหนีไปไหนอีกแล้ว...

      “ขอร้องล่ะนะมูน  อย่าหนีอีกเลยจะได้มั้ย  ผมเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของผมแล้ว...ผมไม่อยากจะให้คุณหนีหายไปไหนอีกแล้ว...ผม...อยากจะอยู่เคียงข้างคุณแบบนี้ตลอดไป”

      ไออุ่นนั้นแผ่ซ่านมายังร่างของฉัน  ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นภายในสองมือที่โอบกอด  มันเป็นความรู้สึกที่จางหายไปจากชีวิตของฉันมาเนิ่นนานแค่ไหนกันนะ  ฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกินจริงๆ  ว่าฉันมีความสุขแค่ไหน...ฉัน...รักเขาแค่ไหน  แต่ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้าความรู้สึกเหล่านั้น...ไม่กล้าพอที่จะมันพูดออกไป

      “น้ำฝน...รักศิลานะ” ฉันกัดริมฝีปากแน่นกลั้นน้ำตาพูดออกไป

      “เรื่องนั้นผมรู้  แต่ผมไม่อยากจะให้ความหวังเขาอีกแล้ว  ผมไม่อาจจะฝืนจิตใจของตัวผมเองได้จริงๆ  ผมไม่อยากจะหลอกตัวเองอีกแล้ว...” ศิลาจับไหล่ทั้งสองข้าง  พยายามให้ฉันหันกลับมาสบตาเขา...  เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด  ร่างของเขาสั่นเทาจนมองเห็นได้ชัด  แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่กล้าที่จะสบตาเขา

      …ผมรักคุณนะ…

      เสียงนั้นดังซ้ำไปซ้ำมา...มันดังก้องไปในส่วนลึกแห่งจิตใจ  ฉันแทบจะฝืนอดกลั้นมันได้อีกแล้ว  หยาดน้ำใสๆไหลรินเอ่อล้นจากนัยน์ตาน้อยๆของฉัน  ฉันอยากที่จะโผเข้ากอดอ้อมอกอันแสนอบอุ่นที่ฉันเฝ้าใฝ่หามาตลอด...ใฝ่หามานานแสนนานเหลือเกิน…

      …ฉันก็รักคุณ...

      ถึงแม้จะอยากเอ่ยคำนั้นออกไปมากซักเพียงไหน  ฉันก็ไม่อาจจะทำตามที่หัวใจปรารถนาได้  ฉันได้แต่กัดริมฝีปากแน่น  พยายามฝืนกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้...

      ฉันบอกกับศิลาว่าฉันอยากจะขอเวลาที่จะอยู่ตัวคนเดียว...ขอเวลาให้หัวใจของฉันได้คิดทบทวนถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวฉันเอง

      “จะรออยู่ที่นี่นะ” นั่นเป็นคำมั่นที่เขามอบให้ฉันพร้อมกับจี้ห้อยคำเส้นเล็กๆที่เขามักจะสวมมันอยู่เสมอ  ก่อนที่ฉันจะลาจากเขามา

      ฉันขึ้นรถไฟไปต่างจังหวัดด้วยเงินเก็บที่เตรียมมาใช้เพื่อฉลองในวันเกิดของฉัน  แม้ว่ามันจะมีอยู่ไม่มากนักแต่ก็พอที่โดยสารทั้งไปและกลับได้  ในตอนนั้นฉันคิดเพียงแค่อยากที่จะอยู่ในที่ๆสงบให้จิตใจฉันได้ผ่อนคลายบ้าง  และหวังเพียงว่ามันจะทำให้ฉันได้ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

      ณ ผืนทะเลสีครามอันเงียบสงบนั้น  ฉันได้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศสบายๆและสายลมที่โพยพัด  ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงที่กำลังเคลื่อนคล้อย  ฉันทอดสายตามองคลื่นน้ำที่สาดกระเซ็นกระทบฝั่ง  ฉันเห็น...ผู้ชายคนหนึ่งค่อยๆก้าวลงสู่ผืนทะเลแห่งนั้น

      “คุณ...อย่าเพิ่งคิดสั้นนะ  หยุดก่อน...คุณ...” ถึงจะตะโกนเรียกออกไปแบบนั้น  แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับค่อยๆจมลึกลงสู่ผืนทะเลอันกว้างใหญ่

      “คุณ” คลื่นน้ำทะเลลูกใหญ่โหมซัดเข้าใส่ร่างของชายคนนั้นจนเลือนหายไปจากสายตาของฉัน  ฉันรีบกระโดดดำลงน้ำเพื่อค้นหาร่างของเขาที่น่าจะยังไม่จมไปลึกมากสักเท่าไรนัก  แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ฉันก็ไม่พบร่างของเขาสักที

      “เฮ้อ” ฉันขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจ  แล้วคิดที่จะดำลงไปอีกครั้ง

      “คุณครับ” เสียงเรียกนั้นทำให้ฉันรีบหันกลับไปทันที

      “ทำอะไรอยู่น่ะ” คำถามนั้นทำให้ฉันถึงกับอึ้งไปเลย  เพราะคนที่ฉันคิดว่าเขากำลังจะฆ่าตัวตายกลับเป็นฝ่ายที่มายืนอยู่ตรงหน้าฉัน

      “เอ่อ...ขอโทษค่ะ  ฉันด่วนตัดสินคิดไปเองว่าคุณกำลังจะฆ่าตัวตายน่ะ” ฉันตอบด้วยท่าทางสำนึกผิดแบบสุดๆ

      “...ฮึๆๆ งั้นเหรอครับ  งั้นผมก็ทำให้สาวน้อยผิดหวังสิน้า...แบบนี้”

      “ม...ไม่ใช่นะ  พูดอย่างกับว่าฉันหวังให้คุณฆ่าตัวตายอย่างนั้นแหละ”

      “ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วทำไมถึงทำท่าผิดหวังตอนที่เห็นผมอยู่ข้างๆล่ะครับ”

      “ไม่ได้ผิดหวังนะ  ฉันแค่ตกใจนิดหน่อยเอง  แล้วก็แค่ป้องกันไว้ก่อนน่ะ  เพื่อว่าเกิดคุณคิดจะทำแบบนั้นจริงๆจะได้ช่วยทันไงล่ะ”

      “งั้น...ถ้าผมจะขอร้องอะไรคุณสักอย่างแลกกับการที่ผมจะไม่ฆ่าตัวตาย...จะได้มั้ยครับ” คำถามที่ถูกเอ่ยออกมานั้น  ทำให้ฉันไม่อาจจะปฏิเสธได้

      “ได้สิ  ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันช่วยได้นะ”

      “ทำได้อยู่แล้วล่ะ...แค่ขอให้คุณทานข้าวกับผมสักมื้อ...จะได้มั้ยครับ” คำพูดและน้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้น  ทำให้ฉันคล้อยตามคำชวนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

      เขาเป็นคนคุยสนุกมาก  ยิ้มไปหัวเราะไปจนดูแล้วไม่น่าจะฆ่าตัวตายได้เลยจริงๆ  เขากินเหล้าจนเริ่มเมานิดๆหน่อยแล้วก็เริ่มจ้อไม่หยุด  คำพูดปนมุขตลกที่ปล่อยออกมาแบบไม่หยุดทำเอาฉันหัวเราะจนท้องแข็งเลย  แม้ว่าฉันจะเห็นรอยยิ้มออกมาอยู่ตลอดเวลาก็ตาม  แต่ภายใต้รอยยิ้มที่สดใสนั้น...ฉันกลับเห็นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลา  จนฉันแยกไม่ออกเลยว่าสิ่งไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา  แต่ฉันอาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้นี่นะ...คนร่าเริงแบบเขาจะคิดฆ่าตัวตายได้ยังไงกันล่ะ

      “คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ  นายชื่ออะไรเหรอ” ฉันตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

      “ก่อนจะถามชื่อคนอื่น หัดบอกชื่อตัวเองก่อนสิครับ” คำตอบกลับกวนๆ นั้นทำให้ฉันรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

      “รัตติพร ประภัสสรสวรรค์ ชื่อเล่นชื่อมูนค่ะ แค่นี้พอรึยังคะ” ฉันขมวดคิ้วเบ้ปากถามกลับ

      “ชื่อของผมน่ะเหรอ...” เขายิ้มเล็กๆทำหน้ากวนๆก่อนจะพูดออกมา...

      ...ศิลาครับ...คำตอบนั้นทำเอาฉันตกใจมากเลยจริงๆ  ฉันคิดว่าคงไม่มีใครที่จะมีชื่อแปลกๆเหมือนกับนายนั่นอยู่ในโลกนี้  แต่กลายเป็นว่าเขาดันมานั่งอยู่ตรงหน้าฉัน  ดูๆไปแล้วภายนอกของเขาคนนี้ก็ไม่ได้เหมือนกับศิลาเท่าไหร่หรอกนะ  แต่เขากลับทำให้ฉันคิดถึงศิลาจริงๆซะนี่  เพราะทั้งคำพูด ท่าทาง และ...แววตาของเขา  เหมือน...กับศิลามากจริงๆ

      “ไปว่ายน้ำเล่นกันเถอะ” เขาวางเงินลงบนโต๊ะซึ่งมากพอที่จะจ่ายเป็นค่าอาหารของสองโต๊ะเลยก็ว่าได้  ฉันอึ้งเล็กๆก่อนจะถูกเขาดึงตัวไปว่ายน้ำเล่นต่อ  ถึงจะรู้ว่าเขาเมามากแล้ว  ฉันก็ได้แต่ตามเขาไปเท่านั้น  

      ฉันนั่งกอดเขาดูเขาว่ายน้ำเล่นอยู่ข้างๆหาด  เขาว่ายน้ำโชว์เล่นบ้าง  ทำท่าประหลาดๆให้ฉันหัวเราะบ้าง  เขาบอกกับฉันว่าเขาจะดำน้ำโชว์  ให้ฉันช่วยจับเวลาให้หน่อย  ทีแรกฉันก็ทำตามโดนไม่ได้สงสัยอะไร  แต่ระยะเวลาของมันเริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ  จนทำให้ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแล้ว  ฉันจึงตัดสินใจกระโดดดำลงน้ำเพื่อหาเขาทันที  มันเป็นไปตามที่ฉันคาด  เขานอนเคว้งคว้างนิ่งๆใต้พื้นผิวทะเล  ฉันรีบฉุดดึงร่างของเขาขึ้นจากน้ำ  ก่อนที่เขาจะขาดอากาศหายใจ
          
      หลังจากที่พาเขาขึ้นมาที่ฝั่ง  เขาสำลักน้ำออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพูดกับฉันด้วยใบหน้าที่เหมือนกับว่าเขา...กำลังร้องไห้

      “ช่วยผมขึ้นมาทำไม  ผมอยากตาย  คุณได้ยินมั้ยผมอยากตาย  ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว  ไม่เหลือแม้กระทั่งคนที่ผมรัก  ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว” เขาร้องไห้ระบายความในใจอันแท้จริงที่อัดอั้นอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ

      เขาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาอกหักจากคนที่เขารัก  และคนที่แย่งคนรักของเขาไปก็คือเพื่อนที่รักและสนิทที่สุดของเขา  ทั้งๆที่เพื่อนคนนั้นก็รู้อยู่ว่าเขารักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน  ถึงแม้ว่าปลาไม่เคยที่จะกล้าสารภาพความในใจออกไปแม้แต่ครั้งเดียวก็ตามที  จนกระทั่งเขาเสียเธอไป...  ความเสียใจนั้นทำให้ปลาคิดอยากจะฆ่าตัวตายตั้งแต่ในทีแรกแต่ก็ทำใจไม่ได้  เขาจึงกินเหล้าเพื่อทำให้เขาลืมอดีตที่เกิดขึ้น  กินมันเพื่อทำให้เขากล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความตาย

      “แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วยังงั้นเหรอ” ฉันขมวดคิ้วเบ้ปากพูดเสียงดังใส่เขาที่กำลังซึมเศร้า

      “ทั้งๆที่ยังไม่ได้บอกความในใจกับเขาไปไม่ใช่หรือไง  แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ  ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย  ความกล้าเมื่อกี้มันไปไหนหมดกันล่ะ  ถ้าแบบนี้ล่ะก็สมควรแล้วล่ะที่ผู้หญิงคนนั้นจะเลือกเพื่อนนายน่ะ  แสดงความกล้าให้เขาเห็นไปเลยซี่  แสดงความเป็นลูกผู้ชายของนายออกมาให้เขาเห็น  สารภาพความในใจไปซะเลย  แล้วถ้าถึงตอนนั้นผลมันออกมาเป็นยังไงนายจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบตอนนี้  โลกนี้มีผู้หญิงดีๆคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ  แค่นี้จะมานั่งท้อไปทำไมกัน  ลุกขึ้นสู้ซี่  นายยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ  นาย...ยังรักเธออยู่ไม่ใช่เรอะไงกันเล่า” คำพูดที่ใส่เป็นชุดแบบไม่ยั้งของฉันเล่นเอาเขาทำหน้างงตาค้างเถียงไม่ออกเลยสักนิด  เขาหลับตาลงสักพักหนึ่ง  ก่อนที่จะหันมายิ้มให้กับฉันด้วยแววตาที่ต่างออกไปจากเดิม  แววตา...ที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังและความมุ่งมั่น

      “นั่นสินะ...เป็นผู้ชายที่ไม่เอาถ่านจริงๆเลยนะผมเนี่ย  ต้องให้ผู้หญิงมาสอนเรื่องแบบนี้ซะได้”

      “รู้แบบนั้นก็ดีแล้ว”

      “ขอบคุณมากนะมูน  ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมคงตายไปแล้วล่ะ  นี่ถ้าเกิดผมเจอคุณก่อนเธอผมคงหลงรักคุณแล้วล่ะ”

      “พูดแบบนั้นฉันก็ไม่ดีใจหรอกนะ” ฉันพูดยิ้มๆออกไปในขณะที่เขาเองก็ยิ้มตอบกลับ

      “ไปก่อนนะครับ  หวังว่าสักวันเราคงได้พบกันอีก” เขาพูดพลางเดินถอยหลังหันหน้าให้ฉัน  ก่อนที่จะหันหลังกลับไป

      “โชคดีนะ  ขอให้สมหวังในความรักนะ” ฉันตะโกนไล่หลัง

      “คุณเองก็เหมือนกัน”

      ประโยคสุดท้ายที่ถูกตอบกลับทำให้ฉันนิ่งนึกไปพักใหญ่  ทั้งๆที่ฉันบอกกับปลาไปแบบนั้น  แต่ตัวฉันเองกลับเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไป...  ทั้งๆที่ศิลาเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง  แต่ฉันกลับหนีหน้าเขามาแบบนี้...  ไม่ใช่เขาที่หนีความรู้สึกของตัวเอง  แต่เป็นฉันเองต่างหากที่หนีมันมาตลอด...  ฉัน...หลบหนีการเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด...  ความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน
      ฉันไม่รีรอที่จะนั่งรถไฟเที่ยวแรกสุดกลับไป  ไม่รีรอที่จะไปยังสถานที่แห่งนั้น  ไม่รีรอ...ที่จะตรงไปยังต้นไม้อันเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเราทั้งสอง

      ฉันรีบวิ่งไปสุดฝีเท้า  ในมือของฉันกำจี้ห้อยคอของเขาเอาไว้แน่น  ฉันอยากจะพบเขาเหลือเกิน  อยากจะพูดคุยกับเขา  อยากจะบอกเขาว่าฉัน..รักเขามากแค่ไหน  แต่ฉันก็กลับ...ไม่ได้พบเขา...

      ต้นไม้ทั้งต้นที่มอดไหม้กลายเป็นเพียงเศษซากที่เคยมีชีวิตเท่านั้น  มันไม่หลงเหลือแม้กระทั่งใบไม้สีเขียวชอุ่มที่คอยให้ร่มเงาหรือแม้กระทั่งใบไม้สีเหลืองอ่อนๆที่ร่วงโรย  มีเพียงตอไม้ไหม้ๆที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
      ฉันคุกเข่าก้มลงมองมันอย่างช้าๆ  ในจิตใจรู้สึกว้าวุ่นราวกับว่าสูญเสียสิ่งสำคัญที่มีค่าไป...ฉันเพิ่งจะรู้ว่าฉันผูกผันกับมันเสียแค่ไหน  เพิ่งจะรู้ว่าฉันหวงแหนวันคืนดีๆที่ผ่านพ้นไปแล้วนั้นแค่ไหน  และเพิ่งจะรู้...ว่าฉันรักศิลาแค่ไหน

      “ต้นไม่ต้นนี้มันโดนฟ้าผ่าไปเมื่อคืนวานน่ะ” เสียงชายคนนั้นดังขึ้น  ฉันรีบหันไปทางต้นเสียงนั้น  ในใจฉันหวังเพียงขอให้...ต้นเสียงนั้นเป็น...เขา...

      “ศิ...”

      “โทษทีนะหนู  มีอะไรกับต้นไม้ต้นนั้นเหรอ” ชายคนนั้นก็คือคุณลุงภารโรงที่ฉันเคยเห็นอยู่บ่อยๆ  แต่นั่นทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆ

      “เห็นผู้ชายใส่แว่นๆ  สูงประมาณ 170 อยู่ที่ใต้ต้นไม้นี้บ้างรึเปล่าคะ” ฉันวาดมือประมาณความสูงของศิลา  คุณลุงภารโรงทำหน้านึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา

      “อ๋อ~อ พ่อหนุ่มคนนั้นน่ะเอง…”

      คำพูดทั้งหมดของคุณลุงยังคงก้องอยู่ในหูของฉัน  ในขณะที่เท้าทั้งสองยังคงวิ่งตรงดิ่งไปสถานที่แห่งนั้นอย่างไม่คิดชีวิต

      (พ่อหนุ่มนั่นนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่มาตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อนแล้ว  ลุงถามเขาว่าเขานั่งรออะไร  พ่อหนุ่มก็บอกแค่ว่าเขาเฝ้ารอคอยอยู่เท่านั้น  รอคอยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา  จนกระทั่งเมื่อคืนวานฝนตกหนักเอามากๆ  แต่พ่อหนุ่มก็ยังนั่งคงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้นแม้ว่ามันจะดึกดื่นขนาดไหน  ในตอนที่ลุงจะเดินเข้าไปดึงตัวเขามานั้น...  จู่ๆฟ้าก็ผ่าลงตรงกลางต้นไม้ต้นนั้น  ฝนทำให้ร่างของพ่อหนุ่มถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเอา...ตอนนี้พ่อหนุ่มคงยังอยู่ที่โรงพยาบาลแถวๆนี้แหละ)

      “ไม่...ไม่นะ...ศิลา~า” ฉันไม่รู้ว่าน้ำตาของฉันมันรินไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่  ไม่รู้ว่ามันไหลออกมาแค่ไหน  ฉันรู้เพียงว่า...ไม่อยากให้เขาต้องจากฉันไปเท่านั้น

      ฉันวิ่งไปถึงโรงพยาบาลที่คุณลุงภารโรงบอก  ฉันถามห้องพักที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์อย่างร้อนรน  และไม่รีรอที่จะวิ่งไปยังห้องพักห้องนั้น  เตียงรถเข็นนั้นขนพาร่างของผู้ป่วยที่ถูกไฟครอกทั่วร่าง  ฉันรีบวิ่งตรงเข้าไปหมายจะดูอาการเขา  แต่กลับถูกเสียงนั้นปรามเอาไว้

      “เสียใจด้วยนะครับ” คุณหมอที่เดินตามออกมาถอนหายใจอย่างช้าๆ

      “ผู้ป่วยเกิดอาการช็อคอย่างฉับพลัน...ผมพยายามอย่างที่สุดแล้ว...ขอตัวก่อนนะครับ” คำพูดนั้นดูเย็นชาเสียเหลือเกิน  ฉันได้แต่ยืนนิ่งไม่อาจกล่าวอะไรกลับออกไปได้...ฉันไม่อาจจะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นได้เลยจริงๆ

      “ศิ...อึก...” ฉันพยายามฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตาที่แทบจะทะลักนั้นเอ่อล้นออกมา...

      ...ศิลา...แม้จะตะโกนเรียกไปกี่ร้อยกี่พันครั้งด้วยเสียงอันดังสักเท่าไหร่  เสียงเพรียกนั้นก็ไม่อาจส่งไปถึงชายที่นอนอยู่เบื้องหน้านี้ได้อีกแล้ว  ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไรบ้าง...มันเหมือนกับว่าหัวใจของฉันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ...ทำไม...เพราะอะไรกัน...ทำไมฉันถึงได้ไม่บอกเขาให้เร็วกว่านี้...ทั้งๆที่ฉันรักเขาคนเดียว...มาตลอด...ฉันมัน...เลวที่สุด  เป็นเพราะฉัน...ศิลาถึงได้...กลายเป็นแบบนี้
      ฉันวิ่งเร็วจนสะดุดล้มลง  จี้ห้อยคอในมือนั้นหล่นลงแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  ฉันเก็บเศษจี้ห้อยคอนั้น  แล้วลุกยืนขึ้นแหงนมองฟากฟ้าที่มีสายน้ำร่วงหล่นกระทบใบหน้าของฉัน

      หยาดน้ำฟ้าที่โปรยปรายนั้นราวกับผืนฟ้ากำลังร่ำไห้  ฉันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ  น้ำตาหยดน้อยๆค่อยๆรินไหลอาบแก้มของฉันก่อนที่จะมลายหายไปพร้อมกับสายฝนที่หยาดหยด  แม้น้ำตาจะไหลออกมาเพียงน้อยนิด  แต่ความเจ็บปวดภายในจิตใจของฉันนั้นราวกับมันไม่ใช่น้ำตา...แต่ว่ามัน...คือสายโลหิตที่ไหลหลั่ง  ฉันยกแขนที่เปรอะไปด้วยคราบดินคราบโคลนปาดน้ำตาที่หยาดหยดโดยที่ฉันไม่อาจจะยับยั้ง  นัยน์ตากลมโตคู่น้อยๆของฉันแหงนขึ้นมองผืนฟ้า  เหตุใดโชคชะตาจึงต้องกลั่นแกล้งให้ฉันทรมานเฉกเช่นนี้...
      ฉันกลับมาที่บ้าน  แต่กลับไม่พูดไม่จากับใครเลยสักคำ  ได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว  ไม่ตอบคำถามของคนที่บ้าน  ไม่รับโทรศัพท์ของน้ำฝนหรือเพื่อนคนอื่นๆ  ไม่แม้แต่จะออกมากินอาหาร...  ฉันได้แต่สะอื้นไห้ถึงความทรงจำอันแสนสุข...แต่นั่นมันกลับทำให้ฉันยิ่งรู้สึกทุกข์ระทมขมขื่นที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี

      ฉันได้แต่เฝ้ามองเศษจี้ห้อยคอที่ไม่เหลือชิ้นดี  ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าศพของศิลาจะถูกพาไปอยู่ที่ไหนแล้ว  แต่อย่างน้อย...ฉันก็อยากจะฝังมันลงไปพร้อมกับความทรงจำของฉัน...ที่ต้นไม้ต้นนั้น...

      เมื่อไปถึงที่นั่น  สิ่งที่ฉันพบกลับเป็นซากต้นไม้มอดไหม้นั้นถูกถอนออกไปแล้ว  มีเพียงชายหนุ่มที่กำลังขุดดินตรงจุดเดียวกันกับต้นไม้ต้นนั้น  เมื่อเห็นดังนั้นฉันรู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกทำลายความทรงจำดีนั้นไป

      “ทำอะไรของนายน่ะ” ฉันตวาดด้วยเสียงดังต่อว่าชายหนุ่มคนนั้นด้วยความฉุนเฉียวอย่างมาก  แต่เพียงเห็นใบหน้านั้นมันกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น...

      “ม...มูน”

      “ศ...”

      ...ศิลา...ฉันไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งจิตใจของฉันเอาไว้ได้อีกแล้ว  เพียงแค่หันมองไปทางใบหน้านั้น...ฉันวิ่งโผเข้าอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่ฉันใฝ่ฝันถึงมาเนิ่นนาน  ที่ฉันนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีกแล้ว...ไม่สิ...นี่ฉันตาฝาดไปเองหรือเปล่านะ  ศิลาจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันนะ  ...นี่คงเป็น...ความฝันล่ะมั้ง  แต่ขอแค่ไหนฝังก็ยังดี  ขอแค่พบเขาไหนความฝัน...แค่นั้น...ฉันก็พอใจแล้วล่ะ

      “ขอแค่ในฝันเท่านั้น...ขอให้ฉันได้พบคุณแบบนี้...ได้มีความสุขแบบนี้...ก็เพียงพอแล้วล่ะ”

      “เพ้ออะไรน่ะมูน”

      “เอ๋...?”

      “ไม่ใช่ฝันสักหน่อย  ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง  นี่มันโลกแห่งความเป็นจริงนะ  ผมศิลาไง  ศิลา วิหารศรีสุวรรณสุนทราเทพ...ผู้ชาย...ที่หลงรักคุณ  ตั้งแต่พบกันครั้งแรก...หลงรักมาตลอด...แล้วก็ไม่มีวันที่จะหมดรักคุณ  ผม...”

      “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะพ่อนามสกุลยาว” ฉันใช้นิ้วหยุดปากของศิลา  พร้อมกับปาดน้ำตาแห่งความตื้นตันที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุดยั้ง  รอยยิ้มค่อยๆเบิกกว้างขึ้น  ฉันโผเข้ากอดเขาอีกครั้ง...มันไม่ใช่ความฝันจริงๆ...แต่มัน...คือโลกแห่งความเป็นจริง...

      ฉันบอกกับหัวใจของฉันเองว่าฉันรักเขามากแค่ไหน  ฉันไม่คิดที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมันอีกต่อไปแล้ว  ความเงียบสงัดบังเกิดขึ้นกับบริเวณรอบๆ  นัยน์ตาของเราทั้งสองประสานกันจนฉันตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์  ฉันค่อยๆหลับตาลงช้าๆ  ก่อนที่ริมฝีปากอันอ่อนโยนของเขาจะสัมผัสลงที่ริมฝีปากของฉัน

      ศิลาบอกกับฉันว่าเขาออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว  คนที่ถูกไฟเผาจนทั่วทั้งตัวนั้นไม่ใช่เขา  และเขาคงจะสวนทางกับฉันในตอนที่ฉันกลับมาที่นี่  แล้วก็เห็นว่าต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าถูกถอนออกไปแล้ว  เขาไม่อยากจะให้ความทรงจำดีๆระหว่างฉันกับเขามันต้องเลือนหายไป  เลยอยากที่จะปลูกมันขึ้นใหม่อีกครั้ง  ฉันจึงตัดสินใจว่าจะช่วยเขาปลูกต้นกล้าต้นนั้น  ใช่แล้วล่ะ...นี่มันไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวของพวกเรา...แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก  มันเป็นเพียงจุดจบของความทรงจำที่เลวร้ายที่ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น...แต่นับจากวันนี้ไป  ความทรงจำของพวกเราจะถูกสร้างขึ้นด้วยมือของพวกเราเอง...เช่นเดียวกับ...การเติบใหญ่...ของต้นไม้ต้นนี้

      ...THE END...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×