นางฟ้าที่รัก - นางฟ้าที่รัก นิยาย นางฟ้าที่รัก : Dek-D.com - Writer

    นางฟ้าที่รัก

    ไม่รู้จะอธิบายยังไง เป็นเอาว่า ลองอ่านหน่อยแล้วกัน เผื่อจะช่วยกันอธิบาย เพิ่งเคยส่งด้วย ภาษาอาจยังไม่ค่อยดี ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

    ผู้เข้าชมรวม

    704

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    704

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ส.ค. 46 / 22:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      นางฟ้าที่รัก
      บทประพันธ์... เคออซ

      ยามค่ำคืน...จันทราทอแสงนวลผ่อง  เหมือนวันนี้จะเป็นวันพิเศษยังไงก็ไม่ทราบ  ผมเดินกลับบ้านเหมือนทุกๆ ค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเวลาหลายปี  แต่วันนี้ผมรู้สึกแตกต่างจากวันอื่นมาก  ทั้งความรู้สึกและสภาพอากาศที่อบอุ่นเคล้าด้วยความเย็นยะเยือกของสายลมที่พัดโบกโชยมา  มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและความทุกข์เคล้ากันไปยามที่ผมเดินไปตามเส้นทางนั้น  ขณะกำลังรู้สึกถึงอารมณ์แปลกๆที่ไม่เคยมีมาก่อน  ก็มีเสียง กึกๆ...คล้ายกับมีของใหญ่หล่นจากที่สูง และตามมาด้วยเสียงร้อง โอ๊ย! ของใครบางคนบริเวณริมสวนสาธารณะข้างทาง  ผมเป็นคนที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น  จึงเดินเข้าไปตามที่มาของเสียง  และผมก็ได้เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  สวมเสื้อผ้าค่อนข้างโทรมๆ  นั่งเอามือกุมบริเวณข้อเท้า ดิ้นไปดิ้นมา คร่ำครวญเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่  ผมเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย “น้อง ๆ  เป็นอะไรรึเปล่า  ไหนขอดูซิ” ผมจับมือเด็กคนนั้นออกจากบริเวณข้อเท้าที่เขากุมอยู่  และจับข้อเท้าเขาดูว่ากระดูกหักหรือไม่ “โอ๊ย! เบาๆสิ”
      คงจะเป็นเพราะว่าผมจับแรงไปหน่อยเด็กคนนั้นจึงร้อง “โชคดีนะที่กระดูกไม่หัก  ข้อเท้าคงจะแพลง  และก็มีรอยถลอก....โห! แผลลึกนี่อยู่นิ่งๆนะ” ผมตกใจกับบาดแผลของเขามาก มันไม่น่าจะเป็นรอยลึกแบบนั้นคล้ายกับว่าถูกหินตำเข้าไปหรือว่าอะไรสักอย่างที่ทำให้เป็นรู ผมเอามือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมา  เพื่อที่จะพันบาดแผลของเด็กคนนั้นไว้  “โห..ผ้าสีชมพูเชียว” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นคงเพราะความเจ็บปวด แต่คำพูดนั้นมันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันนิดๆ  ผมไม่รู้สึกตลกด้วยจึงพูดสวนด้วยอารมณ์ประชด “ถ้าอยากเลือดออกตาย  ไม่ต้องพันก็ได้นะ” แต่ผมก็พันแผลเพื่อห้ามเลือดให้เขาจนเสร็จและถามต่อไปว่า “พอจะเดินไหวหรือเปล่า?”  เด็กคนนั้นพยักหน้าพร้อมทั้งยื่นแขนมาให้ผมพยุงเขาขึ้น
      “ไปโรงพยาบาลดีกว่ามั๊ยน้อง แผลไม่ค่อยดีเลย...” ผมถามเขาด้วยอาการเป็นห่วง
      แต่เขากลับบอกกับผมว่า “ไม่เป็นไรหรอก พาไปส่งที่บ้านก็พอ”

      “ แล้วบ้านอยู่ที่ไหนล่ะน้อง? ”  และนั้นก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ผมถามเขา  เขาหันมามองหน้าผม  แล้วพูดว่า “คำก็น้องสองคำก็น้อง  นายเอาอะไรมาตัดสินอายุเรานะ  นายรู้หรือว่าเราอายุเท่าไร?” คำพูดนั้นทำให้ผมไม่ค่อยพอใจนัก  อะไรกันเรียกว่าน้องแค่นี้ก็ถึงต้องพูดด้วยน้ำเสียงที่ก้าวร้าว  ดังนั้นผมจึงตัดสินใจได้ว่า  เขาต้องอายุน้อยกว่าผมแน่  เพราะคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดของพวกเด็กๆ ที่เขาพูดกัน  แต่ปากผมกลับตอบออกไปว่า “ก็เห็นนายตัวเล็กๆนี่ ก็เลยเรียกว่าน้อง แล้วอายุเท่าไหร่ล่ะ”
      เขาก้มหน้าลงกับพื้นแล้วบอกว่า “พาเราไปส่งบ้านเถอะ นี่ก็มืดแล้ว  บ้านเราอยู่โค้งขวาข้างหน้านี่เอง” เขาพูดด้วยเสียงอันเพลียๆ  “จริงอ่ะ? ไปทางเดียวกับบ้านพี่เลย ดีหละพาน้องไปส่งบ้านก่อนเดี๋ยวพี่ค่อยเดินกลับบ้านเองก็ได้”  “โอ๊ย! เดินช้าๆ ได้ไหมคนเจ็บอยู่นะ” ผมคงจะลากเขาเดินเร็วไปหน่อย  “โทษที  โทษที  ช้าก็ได้”
          บรรยากาศที่เคยมีลมเย็นยะเยือกค่อยๆหายไป  เหลือแต่เพียงแสงจันทร์ซึ่งยังคงเปล่งแสงกว่าดวงดาราบนท้องฟ้าขณะนั้น  ระยะทางที่เดินไปโค้งบ้านผมประมาณ 200 เมตร เห็นจะได้  ผมค่อยๆพยุงเขาเดินไปเรื่อยๆ  ระหว่างทางก็ถามเขาว่า “น้องเพิ่งย้ายมาอยู่เหรอ? พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย” เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมคล้ายๆ กับจะพูดว่า น้องอีกแล้ว...น้องอยู่ได้ อะไรประมาณนั้นในความคิดของผม  แต่มีสิ่งแปลกอย่างหนึ่ง คือ กลิ่นตัวเขาหอมคล้ายๆกลิ่นองุ่นผสมกลิ่นไอแดดยามเช้า  ผมจึงพูดลอยๆ ออกไปอย่างไม่ต้องการคำตอบ “นี่นายใช้น้ำหอมอะไร? กลิ่นคล้ายองุ่นเลยนะ”  ระยะทางที่เราเดินอย่างช้าๆด้วยกันเริ่มใกล้จะถึงบ้านของผม
      และเมื่อถึงหน้าประตูรั้วบ้านผม “อ้า...ถึงซะที  เจ็บแทบตาย!” เขาพูดขึ้นมาอย่างนั้น  ทำให้ผมสงสัย “ถึงที่ไหนกันล่ะน้อง? นี่มันบ้านพี่” เขาผละมือออกจากตัวผมช้าๆ และเดินเขยกไปเกาะกับเสาประตูรั้วบ้านของผม “ก็บ้านนายน่ะสิ  ไม่ใช่บ้านเราซะหน่อย” ที่เขาพูดมาก็จริงแต่ผมก็ถามเขาไปว่า “ก็บ้านพี่น่ะสิ  แล้วบ้านน้องอยู่ไหน?” เขาตอบด้วยเสียงเศร้าๆว่า “ที่นี่ไม่มีบ้านเราอยู่หรอก  เราขอพักบ้านนายสักคืนได้หรือปล่าว?” อะไรกัน? ทำไมเป็นอย่างนี้? ใครที่ไหนก็ไม่รู้จะมานอนบ้านผม
      ส่วนตัวของผมไม่มีปัญหาหรอก  แต่ที่เป็นปัญหาคือ แม่ของผม  ท่านเคยเป็นคนในวัง เคร่งครัดมาก  เรื่องที่จะพาคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาในบ้านคงไม่ใช่เรื่องดีแน่! อันที่จริงแล้ว..ผมไม่อยากจะคิดกับเขาว่า  เขาเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ  แต่ก็ไม่รู้จะไปเปรียบกับอะไรดี  แต่งกายโทรมๆ แบบนั้น เหมือนเด็กขายพวงมาลัยตามถนนเลย “นายว่าไงล่ะ ได้เปล่าเงียบไปนานเชียว” เขาเตือนสติผมเพื่อที่จะรอฟังคำตอบ  ผมก็ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี?  จะได้หรือไม่ได้ดี?  แต่ยังไงก็อุตส่าห์พยุงมาถึงบ้านแล้ว  แถมเท้าเขาก็เจ็บอีก จะขับไสไล่ส่งไปมันก็กระไรอยู่
      ผมจึงอนุญาตเขาให้เข้าไปในบ้านก่อน.
          บ้านของผมเป็นบ้านขนาดกลางไม่ใหญ่มากนัก  ผมอยู่กับแม่และก็หมาลายจุดพันธ์ดัลเมเชียน ชื่อ  เจ้าแบล็ค ส่วนพ่อของผมท่านเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อน  ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์  บริเวณบ้านมีสนามหญ้าเล็กๆ  มีต้นไม้ใหญ่ครึ้มไปทั่ว  ส่วนริมสนามหญ้าใกล้ต้นมะม่วงก็มีม้านั่งลักษณะเป็นชิงช้ามีหลังคาอยู่  ตรงนี้เป็นบริเวณโปรดของผมเลย.  
          ผมพยุงเขา  เพื่อที่จะเข้ามาในบ้านมาทำแผลก่อน  แต่เขากลับบอกกับผมว่า “ไม่ต้องเข้าบ้านหรอก  ช่วยพยุงเราไว้ตรงม้านั่งก็ได้”  ผมฟังอย่างนั้นแล้วจึงถามเขาไปว่า “ไม่เข้าแน่เหรอ? อากาศหนาวนะ” น้องเขาก็พยักหน้าเช่นเคย  แล้วก็ตอบว่า “แน่สิ…นายไม่ต้องห่วงหรอก.  โอ๊ยยย.. เจ็บอีกแล้ว”  อ้าวลืมไป! เท้าเขายังมีแผลอยู่นี่ “นายรอตรงนี้นะ เดี๋ยวจะไปหยิบกล่องยามาให้”  ผมรีบวิ่งเข้าบ้านเพื่อที่จะไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลให้เขา  น่าแปลกทำไมวันนี้แม่ของผมเข้านอนเร็ว ปกติจะรอผมกลับมาก่อนเสมอ  เจ้าแบล็คก็หลับไม่เห่าเหมือนเคย  ผมเข้าบ้านรีบวางกระเป๋า  หยิบกล่องปฐมพยาบาล ผ้าห่ม และก็นมกับขนมออกไป “มาแล้ว...มาแล้ว...พี่หยิบผ้าห่มมาให้ด้วยนะเผื่อน้องจะหนาวและก็นี่ขนมเผื่อหิว”  “ขอบใจนายมากนะที่เอาผ้ากับขนมมาให้ด้วย  แต่จะยิ่งขอบใจยิ่งขึ้นไปอีกถ้าไม่เรียกน้องน่ะ”  ผมคิดในใจ ก็ไอ้เจ้านี่หน้ามันก็เด็ก ผิวก็ขาว ตัวก็เล็ก  แล้วการพูดการจาก็เหมือนเด็กๆ หรือไม่ก็พวกผู้หญิงพูด การที่เรียกน้องกับเขาก็น่าจะเหมาะสมแล้ว  ดูสนิทดีด้วย  เอาหละ  ในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่ชอบ ผมก็เรียกเขาเป็นแบบเพื่อนก็ได้  “โทษที ลืมไป ไหนๆขอดูแผลนายซิ  ให้เราช่วยทำให้แผลให้นะ”  “ไม่ต้องหรอกดึกมากแล้ว  นายไปพักผ่อนเถอะ  เราทำเองได้นิดเดียวเอง” อะไรกันแผลลึกและก็เลือดออกขนาดนั้น แถมบอกให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่เชื่อ ยังบอกว่าทำแผลเองได้อีก “จะได้ยังไง ทำได้เหรอ?” ผมถามยืนยันในเจตนารมณ์ของผมที่อยากจะทำแผลให้ “ไปพักผ่อนเถอะ  ทำได้ก็ทำได้สิ !” น้ำเสียงเขาดื้อรั้นและออกคำสั่ง  ผมไม่อยากขัดใจเขาอีกต่อไป  จึงบอกไปว่า “ก็ตามใจ”  และแล้วผมก็เข้าบ้านอาบน้ำ  แต่งตัว    ล้มกายลงนอนบนเตียงอันนุ่มสบายด้วยความเพลีย  คงเพราะพยุงเขามาตั้งไกล  ระหว่างที่นอนอยู่ผมก็คิดว่า  น้องเขาเป็นใครกัน? บ้านอยู่ที่ไหน? น้ำหอมที่เขาใช้เขาซื้อที่ไหน? กลิ่นแปลกดี.  แล้วก็เดินมาตั้งไกลยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย  ทำไมผมไม่ถามนะ ผมคิดเรื่องราวต่างๆนานา จนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว  ตื่นมาอีกครั้งก็เพราะเสียงเจ้าแบล็คมันเห่า  ได้ยินเสียงฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรงคล้ายมีพายุเข้า  ผมตื่นขึ้นมาในอาการสะลึมสะลือ  ขยี้ตาตัวเอง มองนาฬิกา  ตี 2 แล้วเหรอเนี่ย จากนั้นผมก็มองไปที่หน้าต่าง  ทำให้มีสติคิดได้ “ตายหละ! น้องเขาจะเป็นอะไร ปล่าววะ ฝนตกหนักขนาดนี้” ผมอุทานกับตัวเอง  จากนั้นผมก็รีบกระโจนลงจากเตียง  สวมเสื้อคลุม  หยิบร่มออกไป และไปปล่อยเจ้าแบล็คที่กำลังเห่าอยู่ออกจากโซ่  ผมยังยังไม่ทันปล่อยมืออกจากโซ่ที่ล่ามเจ้าแบล็คไว้  มันก็ลากผมออกไปที่ม้านั่งตรงต้นมะม่วง  ฝนตกหนักมากจนมองเห็นม้านั่งเป็นเพียงภาพลางๆ  ผมยังไม่ทันเห็นภาพอะไรบริเวณม้านั่งแต่ปากก็ตะโกนออกไปว่า “นี่นายเข้าบ้านเราก่อน-เถอะ ฝนตกหนักมาก  เดี๋ยวจะไม่สบาย”  เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆม้านั่งก็ไม่พบร่างของเขาแล้ว  เหลือแต่เพียงผ้าห่ม  กล่องยาที่เปียกละอองน้ำฝน  และยังมีอีกอย่างหนึ่งคือแหวนเงินวงเล็กๆ  หัวของแหวนเป็นอัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่  ซึ่งน่าจะเป็นทับทิมหรือโกเมน  ตกอยู่บนพื้นของม้านั่ง  มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  แล้วเขาไปไหน? บางทีแหวนนี่อาจเป็นของก็ได้  ผมต้องเอาไปคืน  แต่ว่า...จะคืนที่ไหนล่ะ?
          หลังจากวันนั้น 2 ปีกว่าแล้ว  เห็นจะได้  ผมยังเก็บแหวนวงนั้นไว้ที่ตัวตลอดเวลา  เผื่อว่าสักวันอาจมีโอกาสเจอเด็กคนนั้นอีกครั้ง และมอบแหวนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นของเขา  คืนให้เขาไป  แต่ผมไม่ได้สวมมันไว้หรอก  วงมันเล็กมาก ผมจึงทำมันเป็นจี้ห้อยไว้ที่คออยู่ตลอดเวลา  ตอนนั้นผมอายุย่างเข้าปีที่ 21 แล้ว  แต่ด้วยที่นิสัยเป็นคนค่อนข้างเจ้าชู้ของผม  หาเด็กสาวๆ แถวโรงเรียนจีบไปเรื่อยๆ  จนไปเจอกับน้องผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เอ  น้องเขาสวยมาก  ตาคม  คิ้วเป็นรูปคันธนูเลย  ผมสวย ผิวขาว  นิสัยก็ดี  ผมไม่รู้จะบรรยายยังไง  เอาเป็นว่า เธอเป็นเบญจกัลยาณีเลย-หละ ในความคิดผม  เราคบกันเป็นเพื่อนอยู่ได้ 2 เดือน  มีอยู่วันหนึ่งผมชวนเธอไปกินข้าวแถวๆศาลเจ้าและบอกกับเธอว่า “เราก็คบกันมา 2 เดือนแล้ว มาเป็นแฟนกันมั๊ย” น้องเขาก็ยิ้มและพูดว่า “2 เดือน เองนะคะ  เรายังไม่รู้จักกันมากเลย เป็นเพื่อนก่อนดีกว่านะคะ พี่โอม”  น้องเขาพูดมาแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกอึ้งเสียใจไปพักใหญ่  มันอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก          ครู่หนึ่งขณะผมกำลังอยู่ในอารมณ์        ตาบอดเพราะความรัก  ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างแต่อย่างใด  น้องเขาก็ถามผมแปลกๆว่า “พี่โอมคะ เดือนหน้าเราก็จะเรียนจบกันแล้ว  เอ ขอแหวนคืนด้วยนะคะ” ผมงงกับสิ่งที่น้องเขาถามจึงถามต่อไปว่า  “แหวนอะไรกันเอ พี่เคยให้เอด้วยเหรอ?”  เธอยิ้ม แล้วพูดว่า “ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยเอาคืนที่หลังก็ได้.  ตายจริง! หกโมงแล้ว   ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ  ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก” เธอยิ้ม ยกมือไหว้ผมและเดินจากไป  ผมเดินกลับบ้านอย่างทุกคืนเหมือนเดิม  พอเดินผ่านสวนสาธารณะก็นึกถึงเรื่องเมื่อ 2 ปีก่อน ทุกครั้ง  ผมเอามือกุมแน่นที่จี้แหวนวงนั้น  และนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่เอ ได้พูด  เธอขอแหวนคืน....หรือว่าจะเป็นแหวนวงนี้? แต่เธอรู้ได้อย่างไรว่าผมมีแหวนวงนี้  มีเพียงผมและเจ้าสี่ขาของผมเท่านั้นที่รู้  ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่แม่ของผม  เจ้าแบล็คก็คงจะไปบอกกับใครไม่ได้เช่นกัน
      เธอรู้ได้อย่างไร? ถึงเธอจะรู้มันก็คงไม่ใช่ของเธอหรอก แหวนเป็นของเด็กคนนั้น  แต่เขาอาจรู้จักกับเอก็ได้ แล้วฝากให้เอ  มาเอาคืน  ผมนี่มันโง่จริงๆเลย  ทำไมเพิ่งมานึกออกตอนนี้ .  
          ผมกะว่าในวันพรุ่งนี้จะเข้าไปในโรงเรียนของเอ  ถามเอให้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องแหวน  แต่เมื่อถึงเวลานั้น...เอ  ไม่อยู่  เธอไม่ได้มาโรงเรียน  ผมถามตาลและก้องเพื่อนสนิทของเอ  ว่าทำไมวันนี้เธอไม่มา?  ทั้งสองต่างตอบว่า  พวกเขาไม่มีเพื่อนชื่อเอ  มันทำให้ผมเริ่มงงอีกครั้ง  แต่ผมไม่ลดละความพยายามยังคนถาม เพื่อนคนอื่นๆ ของเธอ แต่ทุกคนต่างตอบว่าไม่รู้จักเอกันทุกคน  อ้าว! อะไรกันแล้วคนที่ผมทานข้าวด้วยเมื่อวานนี้มันใคร?
          เมื่อผมเรียนจบชั้น ปวส. ผมก็ขึ้นไปเรียนต่อที่สวนดุสิต  ผมเช่าหอพัก พักอยู่กับเพื่อน 3 คน ชื่อ ชิต เอก และเล็ก  พวกเราเรียนคณะเดียวกันที่เดียวกัน          ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันตลอด  จนวันที่เราสำเร็จการศึกษา  แม่ผมขึ้นมาจากเพชรบุรีมาแสดงความยินดีกับผม  ที่ลูกสุดที่รักของแม่เป็นบัณฑิตใหม่  ผมแนะนำเพื่อนๆ ของผมให้แม่รู้จักและขออนุญาตแม่ไปฉลองกับเพื่อนแถว RCA โดยผมและเพื่อนบอกแม่ว่าจะนั่งรถของชิตไป  เพราะแม่ของมันเพิ่งถอยเป็นของขวัญเรียนจบและแม่ผมก็อนุญาต
          พวกเราฉลองกันอย่างสนุกสนานจนผมกับเพื่อนๆ เมากันทั้ง 4 คน แต่รู้สึกว่าผมจะมีอาการเมาน้อยที่สุด  ไอ้ชิตเจ้าของรถจึงบอกผมว่า
      “ไอโอม..มึงขับรถไหวปล่าววะ  กูไม่ไหว มึงขับที”  ชิตยื่นกุญแจรถให้ผม  แต่ผมก็ได้ปฏิเสธไป เพราะขับรถไม่เป็น และก็ไม่มีใครขับเป็นนอกจากเจ้าชิตคนเดียว  ชิตเพื่อนผมมันก็เลยขับรถไปทั้งๆ  ที่เมาแบบนั้น  ผมรู้สึกเพลียมากพอหัวถึงเบาะรถก็หลับเลย  มารู้สึกตัวอีกที  ก็เห็นแสงไฟขาวๆส่องหน้า  มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด และเห็นผู้หญิงสวยๆสวมหมวกสีขาว เดินอยู่ข้างข้างผม  กับผู้หญิงแก่ๆ ที่กำลังร้องไห้  “โอมๆ ตื่นแล้วหรือลูก  แม่คิดว่าจะเสียลูกไปซะแล้ว ฮือ....ฮือ.....”
      แม่ของผมร้องไห้ด้วยความดีใจหรือเสียใจก็ไม่ทราบ
      “โชคดีนะคะที่แค่ศีรษะแตก และมีรอยฟกช้ำนิดหน่อย  รอผลตรวจเอ็กซเรย์สมองก่อน และคงกลับบ้านได้ค่ะ” นางพยาบาลคนสวยบอกกับผม  ตอนนั้นผมปวดหัวไปหมดนึกอะไรไม่ออก  นึกออกอยู่ว่าไปเที่ยว RCA กับเพื่อน  แล้วก็มาอยู่ที่นี่เลย
      ผมถามแม่ว่า “แม่ๆ ไอ้ชิต ไอ้เอก และไอ้เล็กล่ะแม่?” พอแม่ได้ฟังแค่นั้นหละแม่ก็ร้องไห้โฮออกมาเลย  นางพยาบาลคนสวยจึงตอบแทนให้ “มีผู้หญิงคนหนึ่งผมยาว  ใส่ชุดสีชมพู  อุ้มตัวโชกเลือดของคุณมาส่งที่นี่ค่ะ ส่วนเพื่อนของคุณข่าวรายงานประเดี๋ยวนี้เอง ทั้งสามเสียชีวิตคาที่เลยค่ะ  คุณโชคดีมากเลยนะคะแค่มีรอยช้ำและศีรษะแตกนิดเดียว แถมยังมีคนมาช่วยไว้อีก”  ผมสงสัยเกี่ยวกับคนที่ช่วยชีวิตผมไว้จึงถามนางพยาบาลว่า “คนที่ช่วยผมไว้เขาชื่ออะไรครับ?”
      “ดิชั้น ไม่ทราบค่ะ เธอไม่ได้แจ้ง เธอเอาคุณมาส่งและก็เดินหายไปพร้อมกลิ่นองุ่นของเธอเลยค่ะ” นางพยาบาลตอบ พร้อมทั้งหัวเราะในคำพูดของเธอ
          หลังจากที่ผมหายดี  ผมก็ได้ไปร่วมงานศพของเพื่อนทั้ง 3 คนในที่ต่างๆ บรรดาญาติของเพื่อนผมที่เสียชีวิตต่างบอกว่า ผมเป็นคนมีบุญ  ยังอยู่อีกนาน ไม่เหมือนพวกเพื่อนทั้ง 3 คน อายุมันสั้นเลยจากกันไปก่อน  แต่ทว่าผมข้องใจอยู่คนหนึ่ง คือย่าของไอ้ชิต  ย่าของมันมาบอกผมว่า “หลานเอ๋ย...หลานเป็นคนดีนะ  หลานเคยช่วยเขา  เขาจึงช่วยหลานเป็นการตอบแทน” ผมเคยไปช่วยใครเมื่อไหร่กันนะ? นึกไม่ออกจริงๆ




          3 ปีต่อมา  ผมได้เปิดบริษัทเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้รักษาโรค เสริมความงาม การงานของผมเจริญรุ่งเรืองมาก  แต่ผมก็ยังไม่มีครอบครัวกับเขาเสียที คงเป็นเพราะนิสัยเจ้าชู้เก่าๆ ของผมที่ยังเลิกไม่ได้  ผมมีแฟนหลายคนแต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังสักคนเดียว  แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผมยังคงรักมากไม่เปลี่ยนแปลงก็คือน้องเอ
          ที่บริษัทของผมมีลูกสาวของลูกน้องผมคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก อายุสักประมาณ 6-7 ขวบ ชื่อน้องวุ้น  ผมรักเขาเหมือนลูกสาวของผมคนหนึ่งเลย
      น้องวุ้นดูๆแล้วก็เหมือนกับเด็กทั่วไป  แต่มีอยู่วันหนึ่งน้องวุ้น เล่าความฝันของเธอให้ผมฟังว่า
      “คุณลุงคะ เมื่อคืนน้องวุ้นฝันว่า  มีผู้หญิงใส่ชุดสีชมพู ตกต้นไม้ลงมาขาหักด้วยค่ะ”
      “แล้วทำไมหรอลูก?” ผมถาม
      “เขาให้น้องวุ้นพาไปส่งบ้านด้วยค่ะ”
      “แล้วพอไปส่งที่บ้าน เขาบอกว่าไม่มีบ้านใช่ปล่าวลูก?” ผมพูดเล่นๆกับน้องวุ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตของผม  ซึ่งไม่ได้เกิดกับผู้หญิง  แต่เกิดกับผู้ชายตัวเล็กๆ
      และผมถึงกับช็อก เมื่อน้องวุ้นพูดต่อไปว่า
      “เขาบอกกับน้องวุ้นว่า พรุ่งนี้ตอนกลางคืนให้คุณลุงเอาแหวนที่คุณลุงห้อยคอไปคืนเขาด้วยค่ะ”  อะไรกัน! เด็กคนนี้รู้ได้ยังไงอีกว่าผมมีแหวนห้อยอยู่ที่คอ?
      “หัวหน้าครับ! หัวหน้าครับ! ผมขอรับลูกสาวกลับบ้านก่อนนะครับ” ลูกน้องของผมซึ่งเป็นพ่อของน้องวุ้นพูด  ตอนนั้นผมหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก พูดตอบรับไม่ออก ได้แต่โบกมือให้สัญญาณว่า ไปได้...เอาไปเถอะ...เชิญ... อะไรทำนองนั้น ก่อนไปน้องวุ้นก็บอกว่า “คุณลุงอย่าลืมนะคะ เดี๋ยวเขาจะรอนาน สวัสดีค่ะคุณลุง”
          เย็นวันนั้นผมก็ขับรถกลับเพชรบุรี กลับมาที่บ้านหลังเดิมของผมก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ น้าผมมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ผมที่บ้านหลังนั้นเพราะไม่มีเจ้าแบล็คอีกต่อไปแล้ว  มันคงไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อของผมนั้นหละ  วันถัดมารู้สึกจะเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ผมไม่ได้ไปร่วมเวียนเทียนกับแม่และน้า เพราะมัวแต่นั่งดูบัญชีสินค้าของลูกค้าตั้งแต่เช้ายันดึก  ออด...ออด..มีใครบางคนกดกริ่งอยู่หน้าประตูรั้ว  เนื่องจากว่าผมคงเครียดอยู่กับงานบัญชีอยู่ จึงลืมเรื่องของน้องวุ้น
      ผมเดินลงไปเปิดประตูด้วยตัวเอง เพราะทุกคนต่างหลับหมดแล้ว ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนผมรู้สึกอย่างนั้น  แต่เพื่อความแน่ใจก็มองดูนาฬิกาที่ข้อมือเสียหน่อย  มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนจริงๆ  เมื่อผมเปิดประตูสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือ ผู้หญิงผมยาว ผิวขาว สวมเสื้อผ้าสีชมพูและกางร่มสีเดียวกันกับเสื้อผ้า  ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนคนที่ผมเคยรู้จัก  คนที่ผมเคยชอบ  เอ นั้นเอง.
          “เอ เหรอเนี๊ย  เอ จริงด้วย เป็นไงมาไง  หายไปไหนมา” ระหว่างที่ผมถามก็มีกลิ่นที่เคยได้สัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง มาเตะจมูกอีกครั้ง มันคือกลิ่นองุ่นผสมไอแดดยามเช้านั่นเอง  เอยิ้มอย่างมีมารยาทและดูนุ่มนวล และบอกกับผมว่า
      “เอ มารับของคืน” เธอยื่นมือซ้ายพร้อมทั้งกระดิกนิ้วนาง  ผมรู้โดยทันทีว่าเธอต้องการอะไร? ผมล้วงสายสร้อยและปลดแหวนเงินหัวทับทิมเม็ดงามออกจากสายสร้อยสวมไปที่นิ้วนางของเธอ  เธอสวมมันได้อย่างพอดี จากนั้นเธอถึงกับหลั่งน้ำตาและจูบเบาๆที่แก้มของผม เธอพูดแปลกๆเหมือนกับว่าผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน “โอม...เรามีของมาคืนให้นายด้วย”  เธอล้วงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ  เธอกำไว้ในมือและบอกกับผมว่า “แบมือสิ”
          ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  สิ่งของที่เธอให้ผมนั้นคือผ้าเช็ดหน้าสีชมพูของผม  ที่ผมได้เอาพันแผลให้เด็กคนที่ผมเคยช่วยไว้ เมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว  เธอกอดผมและกระซิบข้างหูว่า “ถ้าเราไม่ได้นายช่วยไว้เมื่อวันนั้น  นายคงจะไม่มีวันนี้  และเราก็คงไม่มีด้วยเช่นกัน” ผมได้เจอแล้วเจ้าของแหวนที่ผมเก็บรักษาไว้ตลอด  เขาคือคนที่ผมรัก คนที่ช่วยชีวิตผม ผมได้เอาคืนให้แก่เขาแล้ว
          บรรยากาศเริ่มเย็นลง  แสงจันทร์เริ่มจะสว่างแรงขึ้น  ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นและความอบอุ่นที่เคล้ารวมกันอีกครั้งเหมือนก่อน
      “ถึงเวลาต้องไปแล้วหละ  เราคงมีโอกาสได้เจอกันอีกนะโอม” เธอพูดขึ้น
      ผมพูดรั้งเธอไว้ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” แต่ทว่าหญิงสาวผู้นั้นค่อยๆ เดินจากผมไปไกลขึ้น...ไกลขึ้น....  ผมรู้สึกเสียใจ  เดินก้าวขาไม่ออกแต่ ริมฝีปากกับดวงตาของผมยังคงรู้สึกได้  เธอสวมเสื้อผ้าสีชมพูและเดินกางร่มสีชมพูท่ามกลางแสงจันทร์  แล้วหันหลังกลับมาถามผมอีกครั้ง “เราไม่ได้ชื่อ เอ นะ นายอยากรู้ชื่อเรามาตั้งนานแล้วนี่ จะไม่ถามหน่อยเหรอ” ใช่แล้วสิ่งที่ผมอยากถามแต่ไม่ได้ถาม  ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้วผมต้องรู้ให้ได้ ผมอ้าปากพร้อมเสียงอันสั่นด้วยความตื่นเต้น
      “เธอ..เธอ..ชื่ออะไร?” ผู้หญิงคนที่ผมเคยเรียกว่า เอ พูดด้วยน้ำเสียงอันเศร้าเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ทอแสงสวยงามขณะนั้น
      “มนุษย์ทั้งหลายรู้จักเราในนามของ เทพธิดาโซเบียห์  นางฟ้าผู้นำทาง”
      เธอยิ้มและเดินหายไปในกระแสหมอกอันหนาวเย็น  และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเธอยิ้ม  ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงเธอ  ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเธอ  และอีกอย่างคือ ทำให้ผมได้รู้ถึงคำตอบว่าทำไมเด็กคนนั้น จึงไม่ชอบให้ผมเรียกว่าน้อง เพราะเธอมีอายุมากกว่าเราทุกคนบนโลก เธอไม่มีวันตาย  หลังจากนั้นทุกค่ำคืนผมได้แต่เฝ้ามองพระจันทร์  หวังว่าเธอจะกลับมานำทางผมกลับบ้านอีกครั้ง.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×