เจ้าพวกนี้มันเป็น พวกกากเดนของสังคม พวกปลิงดูดเลือดของชาติ พวกไร้สมอง พวกไม่มีประสิทธิภาพ  วันๆ เอาแต่นั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อน เชคอีเมลล์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ปัญญาอ่อน หรือ บางทีก็นั่งหลับไปเลย  ออฟฟิศนี้มันช่างเต็มไปด้วยคนที่ใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์  หากผมได้เวลาของพวกนี้มาใช้แทนล่ะก็
    “ ประจักษ์ พิมพ์รายงานนี้ส่งฉันก่อนบ่ายนี้ด้วยนะ” เจ้านายผมสั่ง เธอก็อีกคน วันๆ เอาแต่สั่งลูกน้อง  พอทำอะไรไม่พอใจเธอหน่อย ก็ตวาดใส่  แต่พออารมณ์ดี เธอก็จะนั่งไขว่ห้าง ส่องกระจก ทาปากด้วยลิปสติกสีฉูดฉาดน่าเกลียด เขียนคิ้วเขียนตาเหมือนพวกเล่นงิ้ว ปะแป้งจนแก้มขาวเป็นกระดาษ จัดทรงผมทรงเดิมเป็นร้อยๆรอบ หรือไม่ก็เอาเวลาไปประจบท่าน ประธานบริษัท จนได้เลื่อนขั้นอีก  เฮ้อ
สังคมนี้มันช่างอยุติธรรม คนตั้งใจทำงานกลับไม่ได้ดี คนที่ได้ดีกลับไม่ตั้งใจทำงาน  นี่ถ้าเวลาที่สูญไปโดยเปล่านั้นหวนกลับมาได้ล่ะก็
    “ ประจักษ์ ” เพื่อนร่วมงานของผมทัก “ มีจดหมายส่งมาถึงเธอแน่ะ”
    ผมละมือจากแป้นพิมพ์ แล้วรับซองจดหมายสีน้ำตาลมา แต่ก็ยังไม่คิดจะเปิดอ่าน เพราะยังมีงานล้นมือ  โธ่
นี่ แม้แต่เวลาส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อจะอ่านจดหมาย ผมก็ยังไม่มีหรือ  คิดไปคิดมา ผมก็พิมพ์ไปด้วยความโมโห  ไม่น่าเลย
ถ้าผมมีกิจการเป็นของตัวเองล่ะก็ อย่าว่าแต่เวลาอ่านจดหมายเลย เวลาสำหรับสั่งลูกน้องก็มีถมเถ  ฮึ่ม! มันน่าเจ็บใจ  ถ้าขโมยเวลามาเป็นของตัวเองได้ล่ะก็
    ทันใดนั้น ก็มีลมพัดเข้ามาตรงโต๊ะทำงานผม ทั้งๆที่หน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท และเครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ทำงานผิดปรกติแต่อย่างใด  แต่ที่น่าฉงนกว่านั้น คือ ซองจดหมายถูกเปิดทั้งๆที่มันน่าจะถูกปิดผนึกไว้อย่างดี  ด้วยความกังขา ผมจึงหยิบจดหมายออกมาอ่าน  มันเป็นลายมือดูโบราณ เป็นข้อความว่า
    ข้าช่วยเจ้าได้ หากเจ้าต้องการเวลา มาพบข้าที่นี่
    ข้างล่างของส่วนจดหมายเป็นแผนที่ของสถานที่บางอย่าง ผมมองดูมันสักครู่ ก็พอจะรู้ว่ามันอยู่ทางใต้ของจังหวัดลพบุรี  ผมไม่รู้ว่าใครส่งจดหมายนี้มา เพราะไม่ได้ลงชื่อ  ที่หน้าซอง ก็มีเพียงที่อยู่ปลายทาง และต้นทาง เท่านั้น  ประหลาดมาก คนๆนี้เป็นใครกันแน่น้า
    “ ประจักษ์ ” ผมสะดุ้ง และรีบซ่อนจดหมายไว้ใต้โต๊ะ เมื่อสุชาดา เพื่อนร่วมงานของผมโผล่มาโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง “ ทำอะไรอยู่เหรอ ”
    “ เปล่า ไม่มีอะไร ” ผมตอบ
    “ เหรอ
เออ
เย็นนี้เธอว่างมั้ย ”
    “ ทำไม ”
    “ ก็ ” เธอหยุดก่อนจะพูดต่อ “ ถ้าเธอว่าง ฉันก็อยากให้เธอมากินข้าวเย็นกับฉัน
”
    “ ไม่ว่าง ” ผมตอบห้วนๆ “ ไปชวนคนอื่นเถอะ”
    เธอพูดอะไรไม่ออก หรือไม่ ก็คงตกใจกับคำตอบที่เถรตรงของผม  จากนั้นเธอก็เดินจากไป
ทำงานของเธอ โธ่
งาน
งาน
งาน
เดินไปทางไหน ก็มีแต่งานทั้งนั้น  ผมเครียดจนปวดหัวทั้งวันก็เพราะงานตัวเดียวนี่แหละ
โอ้ย
ไม่ไหว
ต้องหากาแฟดื่มสักหน่อยแล้ว
ฮะ? อะไรกัน แถวยาวอีกแล้ว โธ่เอ๊ย
จะซื้อเครื่องทำกาแฟอีกสักเครื่องมันจะเสียเงินกันสักเท่าไรเชียว  อย่างว่าบริษัทนี้ช่างขี้งกจริงๆ  เร็วๆ หน่อยสิ พวกอืดอาด  เวลาไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ นะ  ดูสิ เสียเวลาทำงานไป ๕ นาทีแล้ว เพิ่งเสร็จไปแค่ ๒ คนเอง
เฮ้ย
ไอ้นั้นแซงคิวหรือเปล่านะ
อ้าก
    “ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ไอ้บ้านั้นทำกาแฟหกใส่เสื้อผม  ผมไม่กล่าวอะไรต่อ รีบเดินจากไปจากสายตาพวกคนเหล่านั้น  พอถึงห้องน้ำ ก็รีบล้างคราบกาแฟออกเป็นการใหญ่  โอ
นี่ ต้องเสียเงินซื้อน้ำยาซักผ้าขาวอีกเหรอเนี่ย  จะบ้าตาย!  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ โลกนี้มันช่างห่วย และไม่น่าอยู่เลย
ใครก็ได้มาช่วยผมที
    ทันใดนั้น พอผมเปิดประตูห้องน้ำ ซองจดหมายสีน้ำตาลซองหนึ่งก็มาอยู่แทบเท้าผม
ผมหยิบมันขึ้นมาดูเนื้อความในจดหมาย ก็รู้ว่าเป็นซองเดียวกับที่ผมซ่อนไว้ใต้โต๊ะ!  เป็นไปได้ยังไง
ซองจดหมายมันไม่น่าจะลอยมาถึงที่นี่ได้
    ข้าช่วยเจ้าได้ หากเจ้าต้องการเวลา  ประโยคนี้ช่างต้องใจผมจริง  คงจะไม่มีอะไรเสียหาย  มั้ง ถ้าผมจะลองไปที่นั้น เพราะถ้ามัวแต่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
เวลา
เวลา
เวลา
บางครั้ง เราควรจะเสี่ยงเพื่อชีวิตตัวเองเสียบ้างเพื่อ
เวลา
ใช่
เวลา    ลพบุรี
หวังว่ามันจะช่วยเราได้  พอผมคิดได้ดังนั้น ผมก็เตรียมตัวออกเดินทางทันทีที่เลิกทำงาน
    ผมหลงทาง วนรถอยู่หลายครั้งเหมือนกัน กว่าจะเจอสถานที่ในแผนที่นี้ได้  ครั้งแรกผมนึกว่ามันเป็นป่าช้า แต่พอเดินลัดเลาะอยู่สักพักหนึ่ง ผมก็พบสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนวัดเก่าๆที่ไม่มีพระรูปไหนอยู่แล้ว  มีหินกองระเนระนาดไปทั่วบริเวณลานว่าง  มีหญ้าและไม้เลื้อยขึ้นรกรอบกองหินเหล่านั้น  ผมย่างก้าวเข้าตรวจดูโดยรอบอย่างช้าๆ เพราะไม่แน่ใจว่ามีงูอยู่แถวนี้หรือเปล่า  มันจะเป็นการโง่มาก ถ้ารู้ว่าตัวเองยอมเสียเวลาในการทำงาน ๑ วันเต็ม เพื่อที่จะมาพบกับคนสติฟั่นเฟือน ที่แกล้งส่งจดหมายมาหลอกกันเล่น  แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมก็ต้องหาตัวส่งจดหมายตัวจริงมาให้ได้
    อุณหภูมิ ภายนอกนี้คงราว ๓๔ องศาเซลเซียส ตามที่กรมอุตุฯ บอกจริงๆ  ผมเริ่มเหงื่อโชก ร้อน และ หงุดหงิด  ผมดูทั่วบริเวณสถานที่ที่ผมเรียกว่า วัด แต่ก็ไม่เห็นมีใคร  แม้แต่เสียงหมาแมวสักตัวก็ไม่มีให้ได้ยินเลย  ผมทนต่อไปไม่ไหว จ้ำออกไปที่รถอย่างไม่อาลัย
    “ สวัสดี พ่อหนุ่ม ” ตาแก่ในชุดผ้าคลุมสีดำคล้ายพราหมณ์คนนั้นทำผมแทบหัวใจวาย  ผมล่ะเกลียดจริงๆ คนที่มาโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง “ เอ็งต้องการความช่วยเหลือ มิใช่ดอกฤๅ  แล้วจะรีบจรลีไปไย ” 
    โห! ขนาดคำพูดยังเก่าเหลือกิน แบบนี้จะไปรู้เรื่องอะไร ถึงอย่างนั้น ผมก็พูดออกไปว่า “ นี่ ลุงอย่าบอกนะว่าลุงเป็นคนส่งจดหมายบ้านั้นให้ผมน่ะ”
    “ เออ แม่นแล้ว  กูเป็นคนส่งสารนั้นให้เจ้าเอง ”
    เพียงคำพูดไม่กี่คำนั้น ก็เพียงพอที่จะให้ผมเชื่อว่า ผมช่างดักดานเหลือเกิน  ผมเดินจากไปด้วยความโกรธที่ถูกตาเฒ่านั้นปั่นหัวเล่น  ผมไม่น่างมงายกับความฝันที่เป็นไปไม่ได้นี้เลย โอ้! ไม่! แล้วนี่ผมจะต้องไปชำระงานเก่าของวันนี้พร้อมกับงานใหม่ในวันพรุ่งนี้อีกหรือนี้ โอ้! อยากจะบ้าตาย น่าจะมีที่จอดรถใกล้ๆ กว่านี้หน่อยนะเนี่ย จะได้ไม่ต้องเดินจนน่องปูดแบบนี้  ฮึม! เรามันโง่ โง่ๆ โง่ๆ โง่อย่างที่สุด  ฮึม! พอกันที ความช่วยเหลือบ้าบอ!
    แต่แล้ว ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น  จู่ๆ ตาแก่นั้นก็มาปรากฏกายต่อหน้าผม!
    “ นี่ ทำไมลุงเดินเร็วแบบนี้ล่ะเนี่ย ” ผมถามด้วยความพิศวง “ เมื่อกี้ ยังอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลย
”
    “ ข้าไม่ได้เดินเร็วหรอก ไอ้หนุ่ม ” เขาตอบ “ แต่เพราะข้ามีเวลามากกว่าเจ้าก็เท่านั้นเอง ”
    ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จึงถามต่อ “ ลุงหมายความว่าไง ”
    เขายื่นมือออกมาจากเสื้อคลุม แบมือออก เผยให้เห็นเหรียญทองแดงหน้าตาประหลาดเหรียญหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ ข้าจักแสดงให้เจ้าดู ”
    เขาหลับตา พึมพำอะไรสักอย่าง จากนั้นก็
โอ้
ว้าว
ไม่น่าเป็นไปได้เลย
เหรียญนั้นลอยขึ้นทรงตัวอยู่ในอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ เขาเอื้อมมือไปจับเหรียญนั้น แล้วหมุนมันไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาสัก ๓-๔ รอบ  จากนั้น ตาแก่นั้นก็
โอ้
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง
    แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวผมจะดูเหมือนเดิม แต่การเคลื่อนไหวของตาแก่กลับเป็นเหมือนภาพเร่งความเร็ว ในภาพวีดีโอ  เขาสามารถเดินกลับไปที่วัดนั้น แล้วกลับมาหมุนเหรียญนั้นขึ้นที่เดิมได้ในเวลาไม่ถึง ๓ วินาทีด้วยซ้ำ! ไม่ว่าเขาจะเป็นพ่อมด ปีศาจ หรือ เทวดา  ผมก็ยอมเชื่อแล้ว
    “ บัดนี้ เจ้าจักเชื่อฤๅยัง ”
    “ เชื่อครับเชื่อ เชื่อจริงๆ ครับ ” ผมก้มหัวไหว้ตาแก่อย่างปูชนียบุคคล คนหนึ่ง  เขารับไหว้อย่างใจเย็น และเก็บเหรียญนั้นกลับเข้ามือ “ คุณลุงจะช่วยให้ผมได้เวลาเหล่านั้นจริงๆ หรือครับ ”
    ตาแก่คนนั้นยังเงียบกริบอยู่ครู่ จึงพูดว่า “ ข้าอยากให้เจ้าสำคัญความอย่างหนึ่งว่า มีได้ก็ย่อมจะมีเสีย  และการที่ข้าจักเอาเวลามาให้เจ้านั้น  มันหาใช่เวลาที่ได้เปล่า
”
    “ คุณลุงว่ามาเลยครับ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร ผมก็ยอม ” ผมยืนยัน
    เขามองหน้าผมอย่างไม่กระพริบตา แล้วจึงพูดว่า “ แม้แต่ชีวิตฤๅ ”
    ผมตกใจ ชีวิต? ระหว่างชีวิต กับ เวลา มันก็มีค่าเทียบเท่าเหมือนกัน นี่สรุป ตาแก่นี่มาช่วยผมจริงหรือเปล่านี่  แต่เขาแสดงให้เราเห็นนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะบันดาลได้  ถ้าพลาดโอกาสนี้แล้ว จะมีโอกาสอื่นอีกหรือ 
    ตาแก่พอเห็นผมเครียดอยู่นาน ก็หัวเราะแล้ว จึงปลอบใจผมว่า “ ไม่ใช่ชีวิตเจ้าดอก พ่อหนุ่ม  ชีวิตคนอื่นต่างหากที่ข้าพูดถึง ”   
    คำตอบนั้นช่วยฉุดผมขึ้นจากนรกที่อัดอั้นอยู่ในใจผม  ผมพูดออกไปอย่างปรีดาว่า “ โธ่! คุณลุงนี่! ทำผมคิดหนักแทบตาย  แหม ถ้าเป็นชีวิตคนอื่น ผมก็ไม่สนใจแล้ว ”
    “ เอ็งแน่ใจฤๅ” เขาถามกลับ “ ชีวิตคนอื่นหาได้สำคัญต่อตัวเอ็งเลยฤๅ”
    คนอื่นเหรอ
โธ่! มันก็แน่อยู่แล้ว!  มีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ใช้เวลาอย่างไม่รู้ค่า มีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ทำงานทุจริต แต่กลับได้ดี  มีคนอีกนับไม่ถ้วนที่มัวคลั่งไคล้กับแสงสี และสิ่งมึนเมา  ใช่! ถูกต้อง การเอาเวลาโดยแลกกับชีวิตคนพวกนี้มาไม่เพียงไม่ผิด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อสงวนเวลาไว้ทำประโยชน์ให้สังคม ใช่! คิดอีกก็ถูกอีก!
    “ ไม่ ผมไม่คิดว่าชีวิตของคนพวกนั้นสำคัญในสายตาของผม และผมก็ยินดีที่จะผันชีวิตคนเหล่านั้น เพื่อให้ได้เวลาเหล่านั้นเป็นของผมเอง!”
    ตาแก่ยังคงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดว่า “ เยี่ยงนั้นแล้ว ” เขาหันฝ่ามือมาหาผม โดยที่มีเหรียญหน้าตาประหลาดนั้นติดอยู่ “ จงผนึกนิ้วชี้ของเจ้าให้แนบกับร่องบนเหรียญนี้ ”
    ผมเดินเข้าไปใกล้เขา พิจารณาดูเหรียญนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้ว่า เหรียญนี้มีร่องกลมๆ ตรงกลางขนาดพอให้นิ้วชี้สอดเข้าไปได้ และมีร่องเล็กๆ ล้อมรอบเป็นลักษณะคล้ายลวดลายโบราณคล้ายๆ พวกลายกนก หรือ พุ่มข้าวบิณฑ์ อะไรประมาณนั้น ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ  ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง  ผมเคลื่อนนิ้วชี้เข้าติดร่องนั้น  ทีแรกๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร แต่
โอ้ย! มันเจ็บเหลือเกิน
    มันเหมือนกับว่า ในเหรียญนั้น มีกลไกอะไรบางอย่างจับนิ้วผมไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน แล้วจากนั้นมันก็เจาะนิ้วผมจนเลือดไหล ผมรู้สึกถึงกระแสเลือดผ่านออกจากร่างกายได้  ผมพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไร้ผล ตาแก่นั้นไม่ยอมขยับเลยสักนิด  เลือดยังคงไหลออกจากผมต่อไป แล้ว
โอ้
ไม่น่าเชื่อ
เลือด
เลือดของผมไหลจากร่องตรงกลางไปหาร่องเล็กๆ ทุกร่องอย่างช้าๆ จนเลือดนั้นบรรจบกันหมด  ทำให้เห็นลวดลายนั้นตกแต่งด้วยสีเลือดอย่างมหัศจรรย์  จากนั้น นิ้วของผมก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย เหลือเพียงรูแผลเล็กๆ ตรงปลายนิ้วทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า  ผมแทบอยากจะฆ่าตาแก่นี่จะแย่อยู่แล้ว แต่เพราะตอนนั้น กำลังเจ็บอยู่  เลยไม่มีแรงจะทำอะไร
    “ บัดนี้ เหรียญนี่เป็นของเจ้า  รับมันเถิด” เขายื่นเหรียญนั้นให้ผม ผมรีบคว้ามันมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวโดยไม่กล่าวขอบคุณสักคำ “ วิธีที่เจ้าจักขโมยเวลาจากใครได้ เจ้าจักต้องระลึกหน้าตาของคนๆ นั้นในจิตให้มั่น  แล้ว เอ่ยนามคนผู้นั้น ๓ หนเบาๆ  จากนั้น เมื่อใดที่เหรียญนี้ลอยเคว้งอยู่ในเวหา จงหมุนมันจากด้านขวาไปซ้าย (เขาหมายถึงทิศทางตามเข็มนาฬิกา) หนึ่งรอบจะขโมยเวลาคนๆ นั้นมาได้ ๑ ชั่วยาม (๓ ชั่วโมง)  ๒ รอบก็ ๒ ชั่วยาม แล้วแต่ตัวเจ้าจักบันดาล  แต่หากเจ้าต้องการเวนคืนเวลาให้เขาผู้นั้น จงหมุนเหรียญในทิศตรงข้าม (ให้หมุนทิศทวนเข็มนาฬิกา) ให้กลับมาอยู่ที่เดิม  เวลาของเขาจักถูกเวนคืนกลับไป” 
    “ จริงเหรอ ”
    “ จริง ลองดู แล้วเจ้าจักเห็น”
    ผมมองเหรียญนั้นอย่างลังเล แต่ก็หลับตา นึกภาพเจ้านายหญิงขี้ประจบสอพลอของผม แล้วท่องชื่อเธอ ๓ ครั้ง  พอลืมตาขึ้นมา เหรียญนั้นก็ลอยขึ้นมาอยู่ในระดับหัวของผมพอดี  ผมเอื้อมมือไปจับมันอย่างดีใจ แล้วก็หมุนมันไปตามทางที่ตาแก่บอกอย่างช้าๆ จนครบ ๑ รอบ  เมื่อผมมองดูรอบๆ ตัว ผมก็รู้ว่ามันวิเศษจริงๆ! นกที่กำลังบินอยู่ใกล้ๆ นั้นเคลื่อนไหวไปอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับ ภาพสโลว์โมชั่น ที่เราเห็นกันในภาพยนตร์ พอผมมองมาที่นาฬิกาข้อมือของผม ก็พบว่าเข็มวินาทีแทบไม่ได้ขยับเลย ส่วนตัวผมกลับเคลื่อนไหวได้เร็วเหมือนเดิม แสดงว่า ผมได้เวลาส่วนเกินนั้นมาแล้วจริงๆ  วู้ฮู้! ดีจริงๆ! ผมเอื้อมมือไปหมุนเหรียญกลับคืน แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปรกติ
    “ เมื่อกี้ เวลาผ่านไปเท่าไหร่” ผมถามตาแก่ด้วยความตื่นเต้น
    “ คนที่ไม่ได้ใช้เหรียญนั้นไม่มีทางสังเกตได้ดอก  มันเสมือนว่า เจ้าสามารถเดินไปที่อื่นเป็นเวลากว่าชั่วยาม แต่สำหรับคนอื่นมันแค่หนึ่งอึดใจ”
    “ จริงเหรอ ”
    เขาผงกหัว แล้วพูดว่า “ กระนั้น คนที่เจ้าเสียเวลาไป ก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเสมือนสายฟ้าฟาด  หนึ่งอึดใจของเขา จะเสมือนหนึ่งชั่วยามในโลกจริง”
    ผมรู้สึกดีใจ ดีใจเป็นที่สุด ดีใจมากจนเกือบลืมคำถามสำคัญ “ คุณลุง เป็นใคร และมาช่วยผมทำไม”
    เขาทำท่าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบไปว่า “ เจ้าจักสนใจไปไย บัดนี้ เจ้าได้สิ่งที่ปรารถนาแล้ว ควรที่จะรั้งรออีกฤๅ”
    แม้ว่าผมจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ แต่มันก็ตรงกับความคิดผมเหมือนกัน
    “ ข้าไปก่อนล่ะ” เขาพูด “โชคดี”
    “ คุณลุงจะไปไหนล่ะ ผมจะไปส่ง”
    “ ไม่ต้อง ข้าเดินเอาดีกว่า เอ็งไปเถอะ” แล้วเขาก็เดินจากเข้าไปในป่าช้าอันน่าสะพรึงกลัว
    ถึงจะยังค้างคาใจเรื่องตัวตาแก่นี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ภารกิจที่ผมจะต้องทำเนี่ยสิสำคัญกว่าเยอะ คอยดูเถอะ จะจัดการขโมยเวลามาให้หมดเลย!
   
    “ ผมทำงานของเมื่อวานกับของวันนี้เสร็จแล้วครับ” ผมบอกเจ้านายผม เธอแทบจะสำลักกาแฟที่ดื่มเข้าไป พอตั้งตัวได้ เธอก็หันมาพูดกับผม
    “ เป็นไปได้ยังไง เธอขาดงานไปตั้งวันนึงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม
เธอทำได้ยังไง”
    ผมยิ้มด้วยความภูมิใจ แล้วตอบว่า “ ก็คงเป็นเพราะความพยายามที่ปราศจากการเสแสร้งของผมนะสิครับ ที่ทำให้ผมทำได้”
    เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด ตาจ้องเขม็งมาที่ผม “อย่ามาทำผยองนักนะ ประจักษ์ ถ้าไม่มีฉัน เธออย่าหวังเลยว่าชาตินี้ เธอจะได้เลื่อนตำแหน่ง!”
    “ เรื่องนี้มันก็ไม่แน่หรอกครับ” 
    เธอทำหน้างงๆ “เธอหมายความว่าไง”
    ผมไม่ตอบ แล้วก็เดินออกจากห้องไปให้เธองงเล่น  เกมสนุกๆ กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
    ผมขโมยเวลาจากเจ้านายขี้ประจบนี้ ไม่ต่ำกว่า ๙ ชั่วโมงต่อวัน นั่นก็หมายความว่าแต่ละวันเธอเหลือเวลาประจบเจ้านายไม่ถึง ๑ ชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะเวลาทำงานของบริษัทเริ่มตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ถึง ๖ โมงเย็น แต่นั้นก็รวมเวลากินข้าวด้วย มันอาจทำให้ตารางเวลาการตื่นนอน การกินอาหาร การดูทีวี ของผมเปลี่ยนไปบ้าง  แต่ไม่นานผมก็ปรับตัวได้  จากนั้น ผลงานของเธอตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ยอมส่งรายงานประจำวันให้ทันกำหนด ไม่เสนอโครงงานอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมเลยสักอย่าง ไม่มีเวลานอนเพราะตรากตรำทำงานตอนดึก จนหน้าตาหมองคลำ และซูบผอม  สุดท้าย ทางบริษัทก็ไล่เธอออก  เธอร้องไห้โฮ ไปนั่งคุกเข่าขอร้องท่านประธานบริษัทให้เปลี่ยนคำสั่ง  แต่ก็ไร้ประโยชน์ ท่านประธานบริษัทไม่เหลียวแลเธอตั้งแต่ตอนที่ผมขโมยเวลาสอพลอของเธอไปแล้ว ฮึ
ฮึ
สะใจจริงๆ
    ผมได้เลื่อนขั้น ๓ ขั้นในเวลาเพียง ๑ เดือน เพราะผมใช้เวลาที่ขโมยมาจากพวกขี้เกียจสันหลังยาวหลายคนในออฟฟิศ ทำงานที่มีอยู่จนเสร็จ และ ใช้เวลาที่เหลือศึกษาการจัดการเบื้องต้น  เพื่อนร่วมงานที่ถูกขโมยเวลาไปก็เริ่มพบชะตาเดียวกัน บ้างก็ถูกพักงาน บ้างก็ถูกไล่ออก แต่ที่ดูแย่ที่สุดคือ บางคนฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหางานที่มารุมเร้า  ผมรู้ว่ามันน่าเศร้า แต่ไม่รู้สิ
ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก
    ต่อมา ผมก็ได้มานั่งที่ผู้จัดการแผนกบัญชีแทนเจ้านายขี้ประจบของผม  นี้เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันที่สุด ได้มานั่งเก้าอี้นี้แทนยัยกระจอกนั้น ชีวิตของผมราบรื่นแน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
    ไม่สิ
ผมจะมาจมปลักอยู่กับตำแหน่งนี้ไม่ได้
ผมต้องตั้งความหวังให้สูงกว่านี้  ไม่มีทางที่คนในโลกจะไม่รู้จัก ประจักษ์  คิดได้ดังนั้น ผมก็ลุกออกจากห้อง  เดินไปยืนอยู่หน้าห้องท่านผู้บริหาร  นำเหรียญนั้นออกมา จินตนาการภาพหน้าเขา แล้วก็เริ่มพูดชื่อเขา ๓ ครั้ง
    “ อะไรนะ คุณว่าเวลางานผมไม่พอเหรอ” ผู้บริหารคนนั้นพูดอย่างเกรียวกราด เมื่อได้ฟังองค์ประชุมกล่าวหาเขา
    “ คุณพลาดงานประชุมใหญ่ๆ ถึง ๓ ครั้งติดต่อกัน จนบริษัทเราเกือบต้องพลาดการลงทุนครั้งสำคัญ  แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่า เวลางานไม่พออีกหรือ  คุณ อนุชิต”
    “ ผมรู้ว่า พักนี้ ผมรู้สึกทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา” เขาพยายามอธิบาย “ แต่ได้โปรดเห็นแก่ผลงานในอดีต ที่ผมเคยทำไว้  อย่าไล่ผมออกเลยครับ  ผมขอร้องทุกท่านล่ะ”
    “ เสียใจด้วย คุณอนุชิต” ท่านประธานบริษัทพูด “ แต่เราได้ผู้บริหารคนใหม่มาทำงานแทนคุณแล้ว” เขาทำสัญญาณมือให้ผมเข้ามา และจากนั้น ผมก็เดินเข้าห้องมาอย่างภาคภูมิ “คุณประจักษ์เขาช่วยเป็นตัวแทนเจรจาธุรกิจแทนคุณทุกครั้ง จนการลงทุนเป็นไปได้ด้วยดี  เขามีความเหมาะสมมากที่จะมาแทนที่คุณ  แต่ไม่ต้องห่วง เราจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามสมควร ตอนนี้ คุณออกไปได้แล้ว” 
เขาเดินไปร้องไห้ไป ในขณะที่ผมยิ้มอย่างผู้ชนะ
    แต่การเป็นผู้บริหารก็ไม่ใช่งานง่ายๆ อย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้  ผมขโมยเวลามากกว่าที่เคยทำ และ บ่อยครั้งขึ้น เพื่อที่จะทำงานบริหารนี้  จนคนที่ผมขโมยเวลามานั้นก็เริ่มจะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะถูกไล่ออกกันเยอะ  แต่ไม่เป็นไร ยังมีพนักงานคนใหม่มาให้ผมขโมยเวลาได้เรื่อยๆ  แต่ถึงกระนั้น ก็ดันเกิดอุปสรรคกับผมอีกจนได้
    “ คุณทำงานได้ดีมาก คุณรวิชญ์  ยอดการค้าของเราเพิ่มขึ้นกว่า ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะคุณนี้แหละ” ท่านประธานบริษัทชมเขา ต่อหน้าผู้บริหารคนอื่นๆ รวมทั้งผมด้วย
    “ ท่านประธานบริษัท ชมเกินไปแล้วครับ ผลงานทุกอย่างสำเร็จได้ก็เพราะทุกคนร่วมใจกันต่างหากครับ” เขาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จนน่าหมั่นไส้
    “ อืม
ถ่อมตัวจริงๆ เลยนะ คุณ  เอาเถอะ งั้นผมจะมอบเงินโบนัสพิเศษให้กับคุณแล้วกัน”
    “ ขอบคุณมากครับ ท่านประธาน
” ฉันเกลียดแก ไอ้ รวิชญ์!
    พอออกมาจากห้องแล้ว ผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำ โดยไม่คิดที่จะแสดงความยินดีกับเขาเลย
พอปิดประตู ลงกลอนเรียบร้อย  ผมนึกถึงหน้าไอ้ขี้อวดนั้น แล้วก็พูดชื่อ รวิชญ์ รวิชญ์ รวิชญ์
พอเหรียญลอยขึ้น ผมก็หมุนมันอย่างโกรธแค้น  แต่ละรอบของการหมุนคือการระบายความเกลียดชังของผม  ผมหมุน หมุน และ หมุนไปเรื่อยๆ จน
เอ๊ะ!  ทำไมหมุนต่อไม่ได้แล้วล่ะ 
ผมพยายามออกแรงหมุนมากขึ้น แต่เหรียญก็ไม่ยอมขยับ  ช่างเถอะ! ผมออกจากห้องน้ำ เข้าไปหานาย รวิชญ์ ผู้ซึ่งกำลังยืนแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อน ส่วนคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวช้ามากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน  ผมเข้าไปต่อยหน้าเขาทันที  ฮะ ฮะ สะใจเป็นบ้า ได้ต่อยคน โดยที่เขาไม่มีโอกาสตอบโต้  แต่พูดตามตรง มันไม่สมจริงเท่าไหร่ เพราะกว่าเขาจะหันซ้าย หันขวา แต่ละที มันช้ายิ่งกว่าหอยทากคลาน  สักพัก ผมก็หมดอารมณ์  จึงเดินหนีไป เดินวนหาห้องของเขาอยู่พักหนึ่ง พอเจอ ก็เข้าไปในห้องของเขา รื้อข้าวของทั้งหมดออกจากลิ้นชักแล้วก็ทิ้งมันเกลื่อนกลาดเต็มห้อง  จากนั้น ผมก็ยกเครื่องคอมฯตรงโต๊ะทุ่มเข้าใส่กระจกจนมันค่อยๆ แตกร้าวอย่างช้าๆ  กว่าคอมฯ จะตกถึงพื้นได้ ก็นานกว่า ๑๐ วินาที  แต่นั้นยังไม่พอ ผมใช้ไฟแช็คจุดไฟเผาห้องนั้นเสีย ซึ่งเปลวไฟก็เกิดขึ้นช้าอีกตามเคย  กว่าเพลิงจะลามมาถึงตัวผมได้ ผมก็หนีออกไปจากห้องนั้นได้ตั้งนานแล้ว  ค่อยยังชั่วที่ได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้าง 
    พอกลับไปดูเหรียญนั้นอีกที มันก็คงยังลอยอยู่ที่เดิม ผมคร้านที่จะรอให้เวลาที่ขโมยมาถูกใช้หมด เพราะฉะนั้น ผมจึงหมุนเหรียญนั้นกลับตำแหน่งเดิม เพื่อคืนเวลาให้เขา  พอหมุนเสร็จ กาลเวลาก็กลับเป็นปรกติ  ผมได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกว่า “ไฟไหม้ ไฟไหม้”  ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเหมือนพวกกระต่ายตื่นตูมนั้นหรอก  ต่อให้ ผมออกไปไม่ทันจริงๆ เดี๋ยวก็ใช้เหรียญนี้ขโมยเวลานาย รวิชญ์มาอีกทีเท่านั้น เปลวไฟ ก็เอื่อยเฉื่อยเหมือนที่เคยเจออีกนั้นแหละ
ผมเดินออกจากห้องน้ำอย่างใจเย็น ในขณะที่คนอื่นกำลังวิ่งลนลานออกจากตึก  ผมตามพวกเขาไป มองเห็นควันโขมงออกมาจากอีกปีกหนึ่งของตึก ดูเหมือนว่าทุกคนจะออกมานอกตึกได้หมดแล้ว และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ 
แต่เอ
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ไป
เออ
ใช่!
นาย รวิชญ์ !
นาย รวิชญ์ ยังคงอยู่ในตึกนั้น  ตายแล้ว
ต่อยไปซะเยอะเสียด้วยสิ
ป่านนี้คงสลบอยู่มั้ง
ทำไงดี
ผมก็ไม่ได้อยากทำให้เขาสำลักควันตายหรอกนะ
โธ่
อ้อ ใช่! ขโมยเวลาเพื่อเข้าไปช่วยเขาก็สิ้นเรื่อง  แหม ลืมเสียสนิท
    ผมรีบหลบไปในซอกตึกที่ไม่มีคนเห็น นึกหน้านาย รวิชญ์  แล้วท่องชื่อเขา ๓ ครั้ง  เหรียญลอยขึ้นอีก แต่พอผมจะหมุนมัน เหรียญมันกลับไม่ยอมให้หมุน!  เฮ้ย! อย่าทำแบบนี้สิ! นี่ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
    ผมไม่รู้จะทำยังไงต่อ จึงเก็บเหรียญเข้าที่เดิม  มองหาใครที่พอจะช่วงชิงเวลามาได้ แต่ก็ไม่รู้จะเอาใคร เพราะ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานใหม่ที่ผมไม่รู้จัก หรือต่อให้รู้จัก ก็นึกหน้าตาไม่ค่อยออก  ผมกวาดสายตาไปทั่ว เผื่อจะหาคนที่คุ้นเคยสักคนหนึ่ง  มีมั้ยน่า
ไม่รู้จัก
ไม่รู้จัก
ไม่รู้จัก
อ๊ะ! เจอแล้ว สุชาดา  คนที่เคยชวนผมไปกินข้าวตอนนั้น แหม ประจวบเหมาะจริงๆ  ขอโทษทีนะ ขอเวลาของเธอไปใช้หน่อยล่ะกัน
    ผมรีบทำพิธีอย่างรีบเร่งจนขโมยเวลาสิบกว่าชั่วโมงมาจากเธอได้ ทุกอย่างดูเหมือนถูกแช่แข็งไว้ และแทบไม่มีการเคลื่อนไหว  ผมรีบเข้าไปในตัวตึก  ควันที่ลอยอยู่ ก็เริ่มหยุดนิ่ง ไม่กระจายไปไหนไกล  ผมรีบขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะไม่ต้องการที่จะใช้เวลาของสุชาดามากนัก เพราะเธอก็เป็นพนักงานที่ดีคนหนึ่งในแผนกผม  แต่ในขณะที่วิ่งอยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหนื่อย เพราะอากาศที่กำลังสูดดมอยู่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่เพียบ  แต่ยังไงๆ ผมก็ต้องไปช่วยนายรวิชญ์นั้นให้ได้  เป็นครั้งแรกที่ความรู้ดีชอบของผมผลักดันให้ผมทำในสิ่งที่ควรทำ
    นาย รวิชญ์ สลบอยู่ห่างจากที่เดิมไม่มากนัก  ผมจับแขนเขามาคล้องตรงหัวไหล่ผม แล้วก็แบกเขาลงบันไดอย่างทุลักทุเล  ตัวเขาหนักไม่ใช่เล่น ทำเอาผมเกือบล้มตอนลงบันไดตั้งหลายที จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมล้มลงไปจริงๆ จนเอาก้นกบลงกระแทกขั้นบันไดอย่างเจ็บปวด แต่สำหรับตัวนาย รวิชญ์ ร่างของเขายืนค้างอยู่ในท่าเดิม และค่อยๆ เลื่อนตกลงมาอย่างช้าๆ  กว่าจะตกถึงพื้น ผมก็แบกเขามาอยู่ในท่าเดิมได้แล้ว
เราสองคนหนีออกมาจนได้ ผมวิ่งกลับไปหมุนเหรียญนั้น เพื่อคืนเวลาให้สุชาดา  พอเวลากลับเป็นปรกติ  ผู้คนต่างแตกตื่นกับการที่นาย รวิชญ์ มานอนอยู่หน้าตึกในเวลาไม่ถึงนาที  ไม่นานรถดับเพลิงก็มาถึง นักดับเพลิงชาย ๒ คนอุ้มตัวเขาออกมาผายปอด เพราะ คิดว่าเขาสลบไปเพราะขาดออกซิเจน ส่วนนักดับเพลิงที่เหลือก็เข้าไปดับไฟ  พวกเขาผายปอดอยู่นาน แต่นาย รวิชญ์ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะ ฟื้น  สุดท้าย พวกเขาก็หยุดทำต่อ แล้วแจ้งหน่วยเก็บศพให้มาเอาร่างเขาไป
    ไม่
ผมไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
    เหตุการณ์ไฟไหม้ในคราวนั้น ทำให้บริษัทนี้เสียชื่อพอสมควร ประจวบกับสภาพเศรษฐกิจที่เสื่อมถอยของไทย ทำให้บริษัทต้องปลดพนักงานออก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ผม 
              ผมรู้สึกไม่พอใจ และ พยายามโน้มน้าวให้ท่านประธานบริษัทเปลี่ยนใจ แต่ท่านก็ยืนกรานตามเดิม  ผมรู้สึกโกรธ และ ออกจากบริษัทนั้นไปอย่างหุนหัน  พอกลับถึงบ้าน ก็เตรียมเหรียญนั้นขึ้นมาอีกครั้ง  นึกหน้าท่านประธานบริษัท พูดชื่อเขา ๑ ครั้ง  ๒ ครั้ง แต่พอกำลังจะเอ่ยชื่อครั้งที่ ๓ ผมกลับได้ยินเสียงพูดว่า “ชีวิตของคนอื่น” ดังสะท้อนก้องในหัวหลายครั้ง  ผมหยุดนิ่ง ไม่กล้าพูดชื่อเขาต่อ  คิดนึกไปถึง ชีวิตคนที่ผมได้ทำลายไป ทั้งเจ้านายหญิงคนแรกของผม เธอคงสูญเสียความมั่นใจไปมากหลังที่ถูกเฉกหัวออกจากบริษัทไปตอนนั้น  นาย อนุชิต เขาสูญเสียตำแหน่งไปทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย และ ที่แย่ที่สุด
ก็นาย รวิชญ์  เขาสูญเสียชีวิต
ชีวิตอันรุ่งโรจน์ในฐานะผู้บริหารที่มีความสามรถ  โอ้
ไม่
ผมไม่อยากทำร้ายใครอีกต่อไปแล้ว
“ ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในขณะที่ ผมกำลังเก็บเหรียญนั้นเข้ากระเป๋ากางเกง พอเปิดประตู ผมก็พบสุชาดายืนรออยู่พร้อมกระเป๋าถือที่มือทั้งสอง
“ ดิฉันเสียใจ ที่ได้ยินเรื่องคุณ” เธอกล่าว “ เขาไม่น่าไล่คุณออกเลย” ภายในสังคมที่โหดร้าย และ มืดมน ยังคงปรากฏแสงสว่างที่เจิดจรัส
“ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมพูดประโยคนั้น แทนที่จะชวนเธอเข้าบ้าน
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกคะ” เธอพูดและหยิบกระดาษอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า “นี่คือ ที่อยู่ และ เบอร์โทรศัพท์ ของฉัน  ถ้าคุณต้องการเพื่อนคุย ก็โทร.หาฉันได้นะคะ”  เธอทำหน้าเศร้าๆ “ลาก่อนค่ะ”
ในขณะที่เธอกำลังหันหลังไป ผมก็คว้ามือเธอเอาไว้ และกล่าวในสิ่งที่ผมไม่เคยพูดมาก่อน “อยู่กับผมก่อนเถอะนะ  ผม ขอร้อง”
เธอมองผมอย่างอายๆ ก่อนจะพูดว่า “ได้ค่ะ”
และแล้วเธอก็เข้ามาอยู่ที่บ้านผม เรากินอาหารเย็นด้วยกัน และนั่งคุยกันตั้งแต่ ๑ ทุ่ม ถึง ๔ ทุ่ม เธอแทบไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ ผมอาสาจะส่งเธอกลับบ้าน แต่เธอปฏิเสธ และว่า เธอไม่อยากรบกวนเวลานอนของผม  ผมไม่อยากฝืนใจเธอ จึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก  พอเธอจากไป ผมก็แทบนอนไม่หลับ เพราะ ความคิดถึง
พอถึงรุ่งเช้า ผมก็เปิดหนังสือพิมพ์เพื่อหางานใหม่  แต่มันก็ยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ดังนั้น ผมจึงขี้เกียจจะหาต่อ  พอเวลาผ่านไป ผมก็นึกถึงหน้าสุชาดาอีก ผมไม่แน่ใจว่านี้เรียกว่า ความรัก หรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อแม่ของผมก็จากผมไปตอนผมอายุได้ไม่ถึง ๓ ขวบ ลุงป้าที่ดูแลผม ก็เลี้ยงผมอย่างขอไปที  เพื่อนๆ ที่โรงเรียน ก็ไม่ยอมรับเด็กกำพร้าอย่างผมเข้ากลุ่ม  แม้ว่า ผมจะเรียนเก่งจนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ แต่สุดท้ายก็ถูกคนในบริษัทกลั่นแกล้ง  มีแต่ สุชาดาที่คอยเป็นกำลังใจให้ผมจริงๆ  คิดอย่างนั้นได้ ผมก็โทร.ไปหาเธอทันที
ผมรอสายอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงผู้หญิงมารับสาย “ฮัลโหล”
    ผมค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงสุชาดา แต่ก็ถามไปว่า “นี้บ้านคุณสุชาดาหรือเปล่าครับ”
    เธอสะอื้น และถามผมกลับว่า “ฉันเป็นแม่ของสุชาดาเอง คุณเป็นเพื่อนของเธอเหรอ”
    ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่ก็ตอบไปว่า “ใช่ ครับ ผมขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหมครับ”
    เธอสะอื้นหนักขึ้นไปอีก แล้วตอบอย่างไม่เป็นภาษาว่า “สุชาดา
สุชาดา
เธอ
เธอ
” เธอร้องไห้ฟูมฟาย ก่อนจะรวบรวมสติในการพูดต่อว่า “ เธอตายแล้ว
”
    ผมล้มฟุบลงกับพื้น
ไม่! มันไม่ใช่เรื่องจริง!  ไม่ใช่! ไม่จริง!
จากนั้น ผมก็ทำสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
ผมร้องไห้
    สุชาดาจากไปด้วยโรคไหลตาย หรือก็คือ หลับและไม่มีวันตื่นอย่างไร้สาเหตุ  ผมไปงานศพเธอทุกวัน แม้ว่าในเวลานี้ ผมควรจะหางานให้ตัวเองก็ตาม  หลังวันเผาศพ ผมร่ำลาพ่อแม่ของเธออย่างอาลัย แม่ของเธอมอบห่อของขวัญห่อหนึ่งให้ผม และว่า
“สุชาดาตั้งใจจะมอบให้คุณตอนวันเกิดของคุณ แม้ว่ามันจะเร็วกว่าวันจริงถึง ๑ สัปดาห์ก็ตาม เธอนั่งประณีตทำมันทั้งคืน แต่สุดท้าย
เช้าวันต่อมา เธอก็กลับตายจากไป
”
ผมร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วก็จากไปอย่างโศกเศร้า
    ผมนอนซมอยู่ที่เตียงอยู่นานสองนาน โดยที่ไม่คิดที่จะกินข้าว หรือ อาบน้ำ 
เธอไม่น่าตายได้เลย เมื่อวันวานนี้ เธอยังร่าเริง ยิ้มแย้ม แจ่มใส แต่บัดนี้ เธอเหลือเพียงเถ้ากระดูกที่ไร้ซึ่งวิญญาณ และความรู้สึก  และยิ่งอ่านข้อความในของขวัญนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกระทมใจเข้าไปอีก
ถึง คุณประจักษ์
    ฉันอยากจะบอกว่า ฉันแอบหลงรักคุณมานานแล้ว  แต่หลายครั้งที่ฉันเห็นคุณยุ่งอยู่กับงาน ฉันจึงยังไม่กล้าเปิดใจ กลัวว่าจะทำให้คุณรำคาญ  แต่หลังจากที่คุณถูกปลดออกจากงานคราวนี้แล้ว ฉันก็คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะเปิดใจให้กันและกันให้มากขึ้น และถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากที่จะอยู่ดูแลคุณอย่างใกล้ชิดทุกวันด้วย  ของขวัญชิ้นนี้จึงเปรียบเสมือนสิ่งที่แสดงความจริงใจของฉัน  หวังว่าคุณจะชอบมัน และใช้มันบ่อยๆ ด้วยนะคะ
                                    รักเสมอ
                                    สุชาดา
ผมร้องไห้น้ำตานองหน้าทุกครั้ง ที่ได้เห็นของขวัญของเธอ  มันเป็นขวดน้ำหอมรูปหัวใจ บนขวดสลักชื่อผม กับชื่อเธอไว้คนละข้าง ผมยังไม่กล้าใช้มันด้วยเกรงว่าน้ำหอมมันจะหมดไปและ
และผมจะไม่มีวันได้ดมกลิ่นที่เธอปรารถนาจะมอบให้ผม
โธ่
เธอไม่น่าตายเลยจริงๆ
ตกเย็น ผมเริ่มหิวจนไส้กิ่ว และต้องลุกออกจากเตียงไปหาอะไรใส่ท้องเสียหน่อย ผมเดินโซเซไปที่ตู้เย็น จนชนโต๊ะเขียนหนังสือเข้า จนเหรียญประหลาดนั้นตกลงมาบนพื้น  ผมหยิบมันขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ  เหรียญนี่มันควรจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมไม่ใช่หรือ แล้วทำไมมันมาอยู่บนโต๊ะนี้ได้
ผมมองเหรียญอาถรรพณ์นั้นด้วยความกังขา  การที่ตาแก่นั้นมอบอำนาจวิเศษนี้กับผม
เขาจะได้อะไร ไม่ว่าจะเป็นเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ เขาก็ไม่ได้
เขาต้องการอะไรกันแน่
“ก็ไม่ต้องการสิ่งใดดอก” ตาเถร! ตาแก่นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ ผมวางเหรียญไว้บนโต๊ะ และหยิบปืนออกจากลิ้นชักแล้วเล็งไปที่ตัวเขาทันที
“แก
แกทำอะไรกับชีวิตคนพวกนั้น”
“ข้าจักทำสิ่งใดได้ เหรียญนั้นเป็นของเจ้า ทุกอย่างเจ้ากำหนดเองทั้งสิ้น”
ผมขึ้นนก ทำท่าพร้อมที่จะยิง “ฉันไม่เชื่อแก บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้!”
เขาเริ่มโกรธ และด่าผมอย่างแรงว่า “ไอ้มนุษย์โลเล ข้าเคยหลงคิดว่า เจ้าจักลักเวลาจากคนมาได้มากกว่านี้  แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าจักละปณิธานของตัวเจ้าได้รวดเร็วเช่นนี้ การที่จะรอเอาเวลาจากเจ้านั้นคงจักเนิ่นนานเสียแล้ว”
ผมงง และถามเขาไปว่า “แกหมายความว่ายังไง”
“ทุกครั้งที่เจ้าหมุนเหรียญนั้นหนึ่งรอบ เจ้าจักได้เวลา ๑ ชั่วยามจริง แต่นั้นก็ทำให้ข้าได้เวลา ๓๖๔ วัน กับ ๗ ชั่วยามมาเป็นของข้าเองด้วย”
ผมไม่เข้าใจ และถามกลับไปว่า “เพราะอะไร”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกฤๅ” เขาพูด “การหมุนเหรียญนั้นหนึ่งรอบ เป็นการตัดทอนอายุขัยคนๆนั้น ๑ ปี โดยที่ ๑ ปีนั้นจักถูกแบ่งออกเป็น ๑ ชั่วยามให้เจ้า และเวลาที่เหลือให้ข้า  แม้เจ้าจักเวนเวลาคืนให้เจ้าของ แต่เวลาที่ข้าได้จักไม่หวนกลับไปให้คนผู้นั้นอีก  นี่คือสาเหตุที่ข้ามาทวงเหรียญคืน เพราะข้าไม่คิดว่าเจ้าอยากที่จักลักเวลาใครอีกต่อไปแล้ว”
ผมตะลึง นี่เท่ากับว่าผมคร่าชีวิตคนไปทีละน้อย อย่างไม่รู้ตัวเลยหรือนี่ หรือว่าตอนที่ขโมยเวลาจากนาย รวิชญ์ แล้วกลับหมุนเหรียญไม่ได้เป็นเพราะอายุขัยเขาหมดแล้ว  ตายจริงผมนี่มันโง่เหลือเกิน 
“แต่
แต่ แกไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้เลยนี่”
เขายิ้ม พร้อมกับกล่าวอย่างอวดดีว่า “ข้าไม่เคยบอกเจ้าก็จริง แต่เจ้าได้ทำสัญญายินยอมให้ข้าทำเช่นนั้นได้”
“บ้า! ฉันเคยทำที่ไหนกันเล่า”
“ก็ทำตรงนี้” เขาดึงผ้าคลุมออก เผยให้เห็นแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักอักษรโบราณ และที่ฝ่ามือ
มีชื่อผมซึ่งเห็นเป็นอักษรสีเลือด! “ตอนที่เจ้าสอดนิ้วเข้าไปในเหรียญนั้น เลือดของเจ้าก็ถูกหล่อหลอมเป็นชื่อของเจ้า ถือว่าเป็นการตกลงสัญญาว่าข้ามีส่วนขโมยเวลาจากคนที่เจ้ารู้จักได้ และข้าสามารถทวงเหรียญนั้นคืนเมื่อไรก็ได้ที่ข้าปรารถนา
”
“ปัง!” ผมทนต่อไปไม่ไหว เลยเหนี่ยวไก ยิงใส่ตาแก่เจ้าเล่ห์นั้นทีหนึ่ง เขากระเด็นลงไปนอนกับพื้น  พอกันทีไอ้ตาแก่ขี้หลอกลวง
ฉันจะไม่เชื่อแกอีกแล้ว
ว่าแล้วก็ต้องนำเหรียญนั้นมาทำลาย
แต่ เอ๊ะ! มันหายไปไหน?
เมื่อกี้ยังอยู่ตรงโต๊ะอยู่เลย
    “น่าสังเวชแท้ แม้นคนรักของเจ้าก็ยังม้วย” เฮ้ย! ไอ้แก่นี้
ทำไมยังไม่ตายอีก ผมยิงใส่เขาอีก ๒ นัด แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน “ไม่มีประโยชน์อันใดที่จักประหารข้าในยามนี้ เวลาที่ข้าได้จากเพื่อนๆ ของเจ้าทำให้ข้าอยู่ต่อได้”
    ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร จึงได้แต่ถามไปว่า “แกทำอะไร สุชาดา”
    “เจ้าเองก็มีส่วนทำร้ายนาง” เขาแย้ง “ตอนที่เจ้าใกล้จะหลับ เจ้าเฝ้าฝันถึงหน้านางไม่หยุดหย่อน อีกทั้งพลั้งเผลอเรียกชื่อนางออกมาหลายหน” ผมชะงัก ไม่คาดฝันเลยว่า ตัวเองเป็นคนเริ่มพิธีก่อนเสียเอง “ด้วยเหตุนี้ เหรียญของเจ้าจึงลอยออกมาจากที่เก่า  ส่วนข้าก็สงเคราะห์เจ้าช่วยขโมยเวลาออกจากตัวนางเสียหมด  ด้วยเหตุนี้ อายุขัยนางจึงมลายสิ้น ทำให้นางต้องตาย
”
    “แก
” ผมยิงเขาต่อเรื่อยๆ พร้อมกับน้ำตที่ไหลพราก “ไอ้ฆาตกร!”
กระสุนหมดแล้ว แต่เขาก็ยังยืนยิ้มอย่างไม่หวั่นไหว  ผมเริ่มกลัว และคิดวิ่งหนีออกจากบ้าน
“ประจักษ์ ประจักษ์ ประจักษ์” เขาเรียกชื่อผม นี่หรือว่า
 
ผมกลับไปมองเขาอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตู
ตายโหง! เหรียญนั้นอยู่กับเขาแล้ว เขาสวดคาถาอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย เหรียญนั้นก็หมุนไปเร็วอย่างกับมอเตอร์พัดลม  แย่แล้ว
อายุขัยของผมกำลังถูกผลาญ
โอ้
ไม่
ทำยังไงดี
ผมพยายามวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญนั้นคืน แต่แล้วโซฟา ทีวี โต๊ะ เก้าอี้ ในห้องก็ลอยขึ้นและพุ่งชนผมจนผมกระเด็นออกนอกบ้าน  ผมจุกแทบตาย  ไม่ไหว
ไอ้แก่นี้มันเก่งเกินคนแล้ว  ต้องรีบหาคนช่วย
ผมขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องเพื่อรีบหนี แต่จู่ๆ ก็มีคนเมาที่ไหนก็ไม่รู้ขับรถเข้ามาชนรถผมอย่างจังจนกระจังหน้าบุบบู้บี้  ยังดีที่ผมกระโจนหนีออกมาทัน ผมวิ่งไปตามฟุตบาท และรีบใช้โทรศัพท์มือถือ โทร.หาตำรวจทันที แต่แล้วฝนก็ตกกระทันหันจนโทรศัพท์เปียก และเสียจนโทร.ออกไม่ได้ ผมโกรธสุดขีดจนขว้างมันลงพื้นจนไม่เหลือซาก  แย่แล้ว ทำไมโชคไม่เข้าข้างเราเลย 
ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นรถตำรวจผ่านมาแต่ไกล  ผมดีใจมาก รีบวิ่งเข้าไปขวางถนน โบกมือไปมาเพื่อให้รถหยุด  แต่ทันใดนั้นเอง
เวลาของผมก็ต้องหมดลง
ฟ้าผ่าใส่ร่างผมอย่างไม่ปราณี จนผมชักกระตุกด้วยอาการถูกช็อต  มันผ่าใส่ผมอีกกี่ครั้ง ผมก็ไม่มีสติจะรู้ได้  สุดท้าย รถตำรวจก็มาหยุดดูร่างอันไร้ความรู้สึกของผม
ทุกอย่างมืดดับลง
ไม่มีใครหนีชะตาได้
ตาแก่นั้นยังคงหาเหยื่อรายใหม่ต่อไปเพื่อหาอายุขัยให้ตัวเอง เขาอยู่บนโลกนี้นานเท่าไหร่ ผมก็ไม่รู้  แต่ที่ผมอยากจะบอกให้ทุกๆ คนรู้ก็คือ หากทุกคนในโลกนี้ไม่โลภ อยากเอาสิ่งที่เป็นของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ตาแก่นั้นก็คงหาเหยื่อรายต่อไปไม่ได้ และก็คงสลายไปตามเวลาที่เขาควรจะมีเอง  ที่ผมเตือนนี้ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก  แต่เพราะผมไม่ต้องการเห็นชีวิตของคนต้องถูกทำลายไปมากกว่านี้ ผมได้รับบทเรียนแล้ว  แต่กว่าจะเรียนรู้ได้ ก็ต้องแลกด้วยราคาอันแสนแพงเหลือเกิน ทั้งเพื่อนผม คนรักผม ชีวิตผม ผมไม่เหลืออะไรแล้ว
ลาก่อน โลกนี้
ผมไม่แน่ใจว่าจะมีชาติหน้ากับเขาหรือเปล่า
เพราะตาแก่นั้น ขโมยเวลาไปจากผมจนหมดแล้วจริงๆ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย