ความฝัน - ความฝัน นิยาย ความฝัน : Dek-D.com - Writer

    ความฝัน

    คนเรามีสิทธิ์ที่จะฝัน มีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของตนเอง แต่จะมีซักกี่คนนะที่สามารถทำตามฝันของตนเองให้สำเร็จ

    ผู้เข้าชมรวม

    437

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    437

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 46 / 16:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คนเรามีสิทธิ์ที่จะฝัน มีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของตนเอง แต่จะมีซักกี่คนนะที่สามารถทำตามฝันของตนเองให้สำเร็จ แต่ก่อนฉันฝันไว้ว่าจะได้อยู่กับเพื่อนจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง ความฝันของฉันก็สิ้นสุดลง

      เมื่อตอนฉันอยู่ป.1 ได้เข้าโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ฉันเรียนไปเรื่อยๆจนเมื่ออยู่ป.4 จะขึ้นป.5 ทางโรงเรียนมีเอกสารไปถึงทางผู้ปกครองทุกคนว่าต้องการให้บุตรของท่านเรียนโปรแกรมIntensive(การเรียนเน้นภาษาอังกฤษ) หรือไม่ตอนนั้นฉันอยากเรียนทั้งที่ตนเองก็ไม่ชอบภาษาอังกฤษ แต่เป็นเพราะเพื่อนของฉันจะเรียนเยอะมาก พ่อกับแม่ฉันก็ตกลงแม้ต่าฝช้จ่ายจะสูงขึ้นก็ตามเพราะคิดว่าฉันคงเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ฉันก็พยายามเรียนเรื่อยมา ถึงจะได้คะแนนไม่ดีมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับตกวิชานี้ จนเมื่อฉันขึ้นม.1 ฉันก็เริ่มเข้าใจคำว่าเพื่อนได้ดีขึ้น ฉันอยู่ห้องม.1 /1 ที่ห้องมีทั้งหมด 59 คน กลุ่มเพื่อนของฉันเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเด่นและมีจำนวนสมาชิกเยอะเกือบ20คน ฉันเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนๆก็ชอบฉันบอกว่าฉันเป็นคนตลกดี พอฉันเริ่มเป็นวัยรุ่นก็เริ่มเรื่องทะเลาะกับเพื่อนๆบ้างเสียน้ำตาบ้างแต่สุดท้ายเราก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม เพราะพวกเรารักกันมาก และเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของพวกเรา พวกเรายังรักกันดีจวบจนขึ้นม.3ห้องของเราเหลือกันแค่52คนเนื่องจากลาออกไปอยู่ที่อื่น แต่เราก็ยังเหมือนเดิมแม้จะออกไปแล้วแต่ก็ยังกลับมาที่นี่มาหาพวกเราบ่อยๆ ต่อมาเพื่อนเราคนนึงโดนพ่อและแม่ของตนบังคับให้ไปเรียน แต่เพื่อนเราก็ไม่ยอมพ่อของเธอจึงบอกว่าถ้าไม่ไปเรียนนั้นก็ออกไปจากบ้านแต่ในเวลานั้นเป็นเวลาเกือบจะ2ทุ่มแล้ว ลองคิดดูสิคะเด็กม.3อายุเพิ่ง15ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดจะรู้สึกอย่างไร เพื่อนเราก็เลยนำเศษเหรียญไปโทรหาเพื่อนอีกคนนึง เพื่อนคนนั้นจึงพาแม่ของตนมารับเพื่อนเราไปอยู่ที่บ้านซักระยะหนึ่ง แล้วโทรมาบอกพ่อกับแม่ของเขา วันต่อมาฉันพึงรู้เรื่องนี้ และได้นำไปปรึกษาครูที่พวกเราสนิทด้วย ครูบอกกับพวกเราว่าพ่อแม่ทุกคนนั้นอยากให้ลูกได้ดีมีที่เรียนที่ดี เพื่อนของเราเลยตกลงไปเรียนที่พ่อแม่จัดให้ แต่ยังมีข้อตกงว่าจะขออยู่กับเพื่อนจนกว่าจะเข้าค่ายเสร็จ เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วพวกเราห้องม.3/1ก็เริ่มเศร้า แต่ก็อยากให้เป็นวันที่น่าจดจำที่สุด เมื่อคืนวันที่สองนั้นเป็นคืนวันรอบกองไฟ เราก็ทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน จนเมื่อจะเลิกพวกเราขอเวลากับครูและเริ่มร้องเพลงที่พวกเราหากันมา และส่งเนื้อเพลงให้กับอีก4ห้องที่เหลือ พวกเราก็เริ่มร้องไห้ความในใจของพวกเราไม่มีใครสามารถเข้าใจได้นอกจากเพื่อนของเราเอง เราเสียใจมากไม่อยากให้ใครต้องจากไปอยู่ที่อื่น สุดท้ายถึงจะพยามทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่ได้ ต่อมาเพื่อนของเราก็จากไปสู่ที่อื่นเราได้แต่เก็บความเศร้าใจไว้ใต้ใบหน้าอันยิ้มแย้มของเรา แต่พวกเราก็รู้กันดีว่าภายใต้ใบหน้าที่ทั้งเปื้อนน้ำตาทั้งมีรอยยิ้มรู้สึกอย่างไร ต่อมาเมื่อเปิดเทอม 2 เพื่อนเราก็ต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ 2 คน พวกเราก็เสียใจมากเรานึกไม่ถึงว่าจะต้องสูญเสียเพื่อนที่เรารัก และที่รักเรา ไปอีก พวกเราได้ไปส่งเพื่อนที่สนามบินและให้ของขวัญ เพื่อนที่จากไปกลัวเราลืมเขาแต่เราก็กลัวเขาจะไปมีเพื่อนใหม่แล้วลืมเราเหมือนกัน แต่เพื่อนที่ไปก็ได้แต่ปลอบใจเราว่า แม้จะมีเพื่อนใหม่แต่ความผูกพันและความรู้สึกที่มีให้ยังเหมือนเดิมและจะไม่มีใครที่สามารถมาทดแทนพวกเราได้ ต่อมาเริ่มเข้าช่วงสุดท้ายของเทอมนี้ก็มีจดหมายส่งไปถึงผู้ปกครองว่าต้องการให้บุตรของตนเรียนในแผนกวิชาใดหรือมีความประสงค์ที่จะลาออก เราก็ขอร้องพ่อแม่เราว่า เราอยากเรียนต่อที่นี่ไม่อยากจากไป เราขอเรียนต่อที่สายศิลป์-คำนวณและเพราะว่าฉันอยากเรียนทางด้านศิลปะ หรือไม่ก็ดีไซน์เนอร์เพราะว่าฉันชอบและมีหัวทางด้านนี้อยู่แล้ว จดหมายนี้เค้าให้เวลาเราในการตัดสินใจนานทีเดียว จนมาวันหนึ่งวันที่ความฝันของฉันสิ้นสุดลง เมื่ออาซึ่งมีลูกสาวอยู่ในวัยเดียวกับฉันมาบอกพ่อฉันว่าต้องการให้ฉันไปเรียนต่อในโรงเรียนเดียวกับลูกของอา ในตอนแรกฉันปฏิเสธพ่อเสียงแข็งว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมไปอย่างเด็ดขาด แต่พ่อก็บังคับฉันเละฉันทะเลาะกับพ่อแทบทุกครั้งที่เจอกัน และที่พ่อเชื่ออาเพราะอาเป็นคนเก่งกว่าพ่อร่ำรวยกว่า และลูกทั้งสองคนของอาก็เป็นเด็กดีเรียนเก่งและเรียบร้อยเชื่อฟังที่อาพูดเสมอ พ่อจึงคิดว่าลูกของอาจะทำให้การเรียนของฉันดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย ฉันเริ่มนำเรื่องนี้ไปพูดกับเพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนก็ได้แต่ปลอบเพราะฉันนั่งร้องไห้เพราะพวกผู้ใหญ่ได้แต่บังคับเราในสิ่งที่เราไม่ชอบไม่อยากทำ แต่ไม่คิดถึงเราเลยว่าเราจะชอบไหม จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งแม่ของฉันก็มารับฉันเพื่อนของฉันรีบวิ่งมาหาแล้วมาขอร้องแม่ว่าอย่าให้ฉันไปอยู่ที่โรงเรียนนั้นเลย ฉันซึ้งน้ำใจเพื่อนมากแต่จะทำไงได้แม่ไม่ได้เป็นคนที่บังคับฉันไปเรียนแต่เป็นพ่อ พ่อผู้ซึ่งทำลายความฝันของฉัน และทำลายความตั้งใจที่มีของฉัน ฉันกลับบ้านไปวันรุ่งขึ้นแม่ก็เล่าเรื่องเพื่อนของฉันให้พ่อฟังพ่อโมโหมากหาว่าฉันเอาเพื่อนมาช่วย พ่อดุฉันสารพัด แต่ฉันก็ยังไม่ยอมแพ้พ่อ และตอบจดหมายฉบับนั้นว่าจะสอบเข้าเรียนสายศิลป์คำนวณ(ทางโรงเรียนต้องการเกรดวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาอังกฤษที่2.5และฉันได้เกรดของภาษาอังกฤษเพียง 2.4 จึงทำให้ฉันต้องสอบเข้า) และให้แม่ช่วยเซ็นต์ลายเซ็นต์ให้  ต่อมามีการประชุมครูที่รับผิดชอบและมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านต่างของนักเรียนม.3 และดูประวัติของแต่ละคนว่าตกลงจะได้ต่อหรือไม่พวกเราลุ้นมาก เพราะพวกเราก็ก่อวีรกรรมไว้เยอะ แต่เมื่อผลสรุปออกมาห้องม.3/1 ผ่านทุกคนได้เข้าเรียนหมดยกเว้นว่าใครที่ได้เกรดไม่ดีวิชาไหนก็จะให้มาเรียนเสริมช่วงปิดเทอมเป็นเวลา 1 เดือนเต็มแต่มีเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งประวัติค่อนข้างมีปัญหาแต่ก็โชคดีที่ทางโรงเรียนให้ลองสอบเข้าโรงเรียนอีกครั้งช่วงนี้พวกเราเอากล้องมาและถ่ายรูปกันทุกวันเพื่อเป็นที่ระลึกและเก็บไว้เป็นของสำคัญตลอดไป ต่อมาเมื่อถึงเวลาสอบอีกครั้งพวกเราก็ไม่มีเวลามานั่งเสียใจพวกเราเมื่อสอบเสร็จก็ได้ไปเลี้ยงอำลาที่โรงแรมมณเฑียรริเวอร์ไซด์ พวกเราอยู่กันตั้งแต่เช้า พวกเรารวบรวมคนที่เคยอยู่ห้อง 1 มาทั้งหมด เราสนุกสนานกันมากและไม่อยากให้วันนี้หมดไปไม่อยากให้พวกเราต้องแยกย้ายกันไปแต่ก็เหมือนกับคำว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา และทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเราเศร้าแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะรู้ว่าถ้าพูดคงพูดได้ไม่จบแต่จะเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาแทนเราจึงได้แต่นั่งรวมกันร้องเพลงแล้วความรู้สึกที่อัดอั้นได้พรั่งพรูผ่านทางน้ำตาออกมาแทนคำพูดที่จะมีไว้ให้กัน แต่เมื่อเวลา 5 โมงมาถึงก็จำเป็นที่จะต้องกลับบ้านเราได้แต่กอดกันน้ำตานองหน้าเพราะรุ้ว่าบางคนนั้น อาจจะไม่ได้มาเจอกันอีกครั้ง เมื่อปิดเทอมพ่อแม่มาลาออกให้ฉันและรับใบร.บ.ไปโดยที่ฉันไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว ฉันเสียใจมากและได้แต่ร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะลาออกมาแล้วฉันจึงต้องสอบเข้าไปในโรงเรียนเดียวกับลูกอา และต้องเรียนที่นั่นทั้งที่ไม่อยากเรียน เพราะด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย แต่ต้องจำใจเรียนที่นั่น และต้องอยู่บ้านที่เดียวกับลูกอา ฉันอยู่ที่นั่นก็เหมือนกับนักโทษมีกฎมากมายสารพัด ซี่งทำให้ฉันอึดอัดใจมากตอนนี้ฉันไมมความสุขเลยถึงแม้ว่าฉันจะมีเพื่อนใหม่มากมายแต่ความรู้สึกที่มีก็แทนกันกับเพื่อนเก่าของฉันไม่ได้
      เพื่อนของฉันเปรียบเสมือนคนที่นำความสนุกสนาน และน้ำตามาสู่เรา เป็นคนที่คอยห้ามเมื่อเราทำผิด เพราะคำว่าเพื่อนนั้นเป็นคำที่ไม่สามาถอธิบายออกมาได้แต่สามารถรู้และเข้าใจได้ผ่านความรู้สึก
      ป.ล. ก่อนจะทำสิ่งใดลงไปคิดถึงจิตใจของผู้อื่นด้วยมินั้นอาจทำให้เค้าเสียใจ และไม่มีความสุขได้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×