“ถ้าไม่ได้เจอกับความลำบากร่วมกัน มิตรแท้ก็คงไม่ปรากฏ นี่คงเป็นความจริงสำหรับใครหลายๆคนที่ได้เสียมิตรไป คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคุณจะไม่เดินจากคุณไปในยามที่คุณมีปัญหา ถ้าคุณไม่ได้เจอกับปัญหาอันหนักหนาแล้วพยายามพึ่งพาเพื่อนของคุณก็คงไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัดได้อีกแล้วว่าเพื่อนคนนั้นจะเป็นมิตรแท้ของคุณ”
   
    เมย์ดาราสาวสวยชื่อดังกำลังเล่าถึงอดีตของตนด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมาให้กับรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง ภายในห้องส่งเงียบสงัด รวมไปถึงพิธีกรที่เหมือนจะลืมบทพูดปล่อยให้เมย์เล่นเรื่องในอดีตที่เท้าความไปถึงคำพูดที่เมย์ได้กล่าวไว้ข้างต้น
   
    เมื่อ10ปีที่แล้ว ตอนนั้นเมย์คงเรียนอยู่ประมาณชั้นมัธยม4 โดยเรื่องราวของเมย์เริ่มต้นด้วยเย็นวันหนึ่ง
แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหมือนกับเป็นสัญญาณเตือนให้นักเรียนที่ยังทำภารกิจอยู่ที่โรงเรียนได้รีบกลับบ้าน ที่หน้าประตูโรงเรียนมีนักเรียนทยอยเดินออกจากโรงเรียนเป็นกลุ่มๆ เมย์กับเพื่อนอีกสองคน,ดาวและฝนก็กำลังเดินกลับบ้านด้วยกัน ซักพักเมื่อทั้งสามคนเดินไปถึงทางแยกที่จะต้องเดินแยกกัน พวกเธอได้เดินสวนกับหญิงแก่ชราผู้หนึ่งแต่งตัวแปลกประหลาดดูคล้ายกับคนเสียสติ หญิงชราผู้นั้นได้พูดบอกเตือนกลุ่มของเมย์
   
    “พวกหนูระวังตัวไว้หน่อยนะ คนทางซ้ายกับคนทางขวาน่ะ ใกล้จะหมดสั้นอายุไขซะแล้ว หนูอีกคนก็เหมือนกันเจ้าจงระวังตัวเอาไว้ขืนเจ้ายังอยู่ใกล้เพื่อนของเจ้าระวังภัยจะมาถึงตัวเจ้าด้วย”  เมื่อพวกหล่อนได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกลับกลั้นอาการหัวเราะไม่อยู่ และเดินผ่านหน้าหญิงชราไปอย่างไปไม่สนใจหล่อนอีกเลย
   
    ในเช้าวันต่อมาเมื่อเมย์เดินไปที่ห้องเรียนตามปกติก็ได้พบว่าฝนเพื่อนข้างโต๊ะของเมย์ไม่ได้มาโรงเรียน ทำให้เมย์เกิดอาการแปลกใจเล็กน้อยเพราะเมื่อวานมานี้ตอนกลับบ้านด้วยกันฝนเองยังสบายดีอยู่เลย พอเลิกเล่นเสร็จเมย์ได้รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากโรงเรียนไปยังบ้านของฝน เพื่อไปดูว่าฝนเป็นอะไรไปทำไมถึงไม่ได้ไปโรงเรียน
   
    “สวัสดีค่ะ ฝนอยู่บ้านหรือเปล่าค่ะ” เมย์ถามคนที่เปิดประตูต้อนรับหน้าบ้าน
    “อยู่ค่ะ ฝนเขาไม่สบายล่ะจ๊ะหนูจะเข้าไปดูอาการหน่อยไหม” คนที่เดินออกมาต้อนรับซึ่งนั้นก็คือแม่ของฝนตอบอย่างยิ้มแย้ม
   
    “ฝนเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ งั้นหนูขอเข้าไปดูอาการของเขาหน่อยนะค่ะ” เมย์ถามด้วยอาการเป็นห่วง
   
    เมื่อเมย์ดูอาการของฝนก็รู้สึกเบาใจเมื่อฝนยังมีอาการสบายดีอยู่ เมย์เข้าไปในห้องของฝนพร้อมกับพูดคุยกันอยู่นานสองนาน หลังจากที่พูดคุยกันทำให้รู้ว่าฝนไม่ได้เป็นอะไรมากค่อยป่วยเป็นหวัดดีนิดหน่อย แสงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงเมย์กล่าวคำอำลาที่หน้าบ้านของฝนพร้อมกับโบกมือก่อนที่จะเดินตรงกลับบ้าน
   
    แต่และแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นฝนก็ไม่ได้มาโรงเรียนอีก ครั้งนี้ทำให้เมย์ไม่สบายใจถึงกับไม่มีกะจิตกะใจเรียนเลยทีเดียว ในบางวิชาเมย์ก็ถึงกับโดนทำโทษเนื่องนั่งเหมอลอย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เมย์อยู่คิดถึงเรื่องของฝน หลังจากเลิกเรียนแล้วเมย์ชวนดาวไปเยี่ยมฝนที่บ้านเป็นครั้งที่2
   
    “สวัสดีค่ะ คุณป้าวันนี้ฝนเป็นอะไรหรือค่ะทำไมถึงยังไม่ได้มาโรงเรียนอีกค่ะ” สองสาวกล่าวคำทักทาย
แม่ของฝน แต่วันนี้คนที่ออกมาต้อนรับพวกเธอไม่ใช่แม่ของเมย์แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวพอดูออกว่าเป็นแม่บ้าน
   
    “วันนี้เมย์เขาไม่ได้อยู่บ้านหรอกจ๊ะหนู เขาอยู่ที่โรงพยาบาลอาการไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พวกหนูไปเยี่ยมเขาไหมล่ะ” หญิงที่ออกมาต้อนรับพูดกับยื่นกระดาษที่จดหมายเลขห้องพร้อมกับชื่อโรงพยาบาลให้ แต่ทั้งเมย์และดาวแต่ก็เห็นว่าวันนี้เย็นมากแล้วจึงได้นัดกันว่าจะไปเยี่ยมกันพรุ่งนี้
   
    ในเช้าวันต่อมาชั่วโมงเช้าในวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอะไรผิดปกติ ครูที่ปรึกษาออกมายืนอยู่หน้าชั้นเรียนทั้งๆที่ชั่วโมงนี้ไม่ใช่ชั่วโมงที่ครูผู้นั้นสอน
   
    “อ้าวนักเรียนเงียบได้แล้วครูมีข่าวร้ายจะมาแจ้งให้นักเรียนได้ฟัง” ครูตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อให้นักเรียนเงียบและหันมาสนใจเรื่องที่เขากำลังจะพูด “นรีแพรวเพื่อนของเราคนนึงได้เสียชีวิตเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาด้วยโรคร้าย” เมื่อเมย์และดาวได้ยินชื่อของฝนก็ถึงทำอะไรไม่ถูก เมย์เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ในห้องคนเดียวในตอนพักกลางวัน ดาวที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นจึงเดินเข้ามาปลอบ ทั้งคู่นั่งคุยกันได้ซักพักดาวก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นได้
   
    “เมย์ๆ เธอจำยายแก่ที่เราเจอเมื่อสามสี่วันก่อนได้ไหม” ดาวถามเมย์ด้วยอาการที่ร้อนรน
    “จำได้” เมย์พร้อมกับนึกถึงคำทำนายที่หญิงชราคนนั้นได้ทำนายเอาไว้ได้ ในตอนนี้เมย์เองถึงกับทำอะไรไม่ถูกแล้วเพราะว่าตามคำทำนายตนจะต้องเป็นคนที่จะต้องตายเป็นคนต่อไป เมย์ปรึกษากับดาวอยู่พักหนึ่งจนหมดเวลาพัก
   
    เมื่อถึงตอนเลิกเรียนขณะที่ดาวกำลังเดินกลับบ้านเธอได้เดินคิดถึงคำทำนายของหญิงชราตลอดระหว่างทางกลับบ้านเนื่องจากว่าในคำทำนายนั้น หญิงชราเตือนเธอไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเมย์ ดาวคิดไปจนเดินมาถึงบ้านของตนเองและก็ได้ตัดสินใจว่าจะพยายามออกห่างเมย์ ส่วนเมย์ก็นั่งเหมอลอยอยู่ที่หน้าต่างห้องนอนของเธอ ห่างตาของเธอได้เห็นสิ่งที่ผิดปกติไปจากเดิม ดอกกล้วยไม้ที่ปลูกไว้ริมหน้าต่างของเธอมันกำลังร่วงโรยตายไป มันเหมือนกับเป็นการเตือนว่าชีวิตของหล่อนกำลังจะเหมือนกล้วยไม้ต้นนี้ ในตอนนี้เมย์ไม่สบายใจมากและกำลังอยากได้คำปรึกษา ในตอนนี้ดาวก็คงเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในความคิดของเธอทำให้เธอไม่รอช้าเดินไปกดโทรศัพท์เพื่อที่จะโทรหาดาว เมย์ทะเลาะกับดาวทางโทรศัพท์เสียงดังมากทำให้พ่อของเมย์ต้องขึ้นมาดู แต่ในตอนนั้นเองที่พ่อของเมย์กำลังขึ้นมาที่ห้องก็ได้จับความสิ่งที่ลูกพูดได้ จึงเป็นเหตุให้พ่อของเมย์ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดของลูก
   
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อเมย์ได้วางโทรศัพท์สักพัก “เมย์พ่อมีเรื่องจะพูดกับเมย์” พ่อของเมย์เคาะประตูแล้วเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นที่ปรึกษาที่ดีของลูก
   
    “มีอะไรหรือค่ะคุณพ่อ เมย์เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจและคุณพ่อของเมย์ก็ได้บอกความจริงเรื่องที่ได้รับรู้เรื่องของเธอหมดแล้ว ทั้งสองคุยกันอยู่นานสองนานพ่อของเมย์บอกให้เมย์เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับสอนให้เมย์มีสติ   
   
    “เมย์ สิ่งบางอย่างก่อนที่เราจะเชื่อถือได้ มันต้องมีที่มาที่ไปไม่ใช่อย่างงมงายถึงแม้ว่ามันจะมีเหตุจูงใจที่จะให้เชื่อถือตามแต่เราก็ควรใช้เหตุผลด้วย ในบางที่เรื่องของฝนเพื่อนเมย์มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็เป็นได้เพราะฉะนั้นเชื่อพ่อเถอะ เลิกคิดถึงคำทำนายบ้าๆและก็ทำตัวปกติเหมือนที่เคยทำถือซะว่ามันเป็นแค่เครื่องวัดว่าเพื่อนที่เมย์คบอยู่นั้นเป็นเพื่อนแท้ของเมย์จริงๆหรือเปล่า” ถึงแม้ว่าพ่อให้เมย์จะไม่ได้ให้คำแนะนำที่ดีมากนักแต่มันก็ช่วยในด้านจิตใจของเมย์ ตั้งแต่วันที่พ่อของเมย์ได้มาคุยกับเมย์ นั้นทำให้เมย์ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนเดิมเรื่องระหว่างดาวกับเมย์คงเป็นเรื่องแตกหักกันถึงขั้นไม่มีวันกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกแล้วกะมั่ง
   
    เย็นวันหนึ่งเมย์กำลังเดินเข้าอาคารเรียนแสงแวววาวได้วิ่งผ่านแสกหน้าเมย์ เธอก้มลงมองที่พื้นตามทิศทางของแสงที่วิ่งผ่านหน้าเธอ แสงที่เธอนั้นก็คือแสงที่สะท้อนจากไม้บรรทัดเหล็กที่ปักอยู่พื้นในขณะนี้ เหตุการณ์นั้นทำให้เมย์จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องคำทำนายบ้าๆนั่นอีก เธอเกิดอาการกลัวจนตัวสั่นจนเป็นที่สะดุดตาของครูที่กำสอนอยู่หน้าชั้นเรียน
   
    “วารี เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ครูเห็นเธอนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นอยู่นานสองนานแล้วนะ” ครูคนนั้นถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาเมย์
    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เมย์ตอบพร้อมกับทำใบหน้าให้ดูยิ้มแย้ม และเธอก็ทนอยู่ในสภาพแบบนั้นจนกลับมาถึงบ้านเธอนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสืออยู่พักใหญ่ พอเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่หน้าต่างสิ่งที่หน้าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น ต้นกล้วยไม้ที่ริมหน้าต่างนั้นมันกับพยายามชูดอกที่สวยงามออกมาไม่เหมือนกับเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาตอนที่มันกำลังใกล้ตาย
    ‘ขนาดต้นไม้ตันนี้มันยังพยายามรักษาชีวิตของมันไว้ แต่เราที่เป็นมนุษย์กลับท้อแท้หลงเชื่อกับคำพูดที่ไร้สาระของคนๆหนึ่ง’ และหลังจากนั้นมาเมย์ก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องคำทำนายนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น