ส ร้ อ ย ส น - ส ร้ อ ย ส น นิยาย ส ร้ อ ย ส น : Dek-D.com - Writer

    ส ร้ อ ย ส น

    เขาไม่รู้เลยว่า ข้อความที่กล่าวออกมานี้จะกรีดแทงเข้าไปถึงส่วนไหนของหัวใจเธอ หญิงสาวจึงหลั่งน้ำตาพราวอันแม้จะซ่อนไว้ด้วยการก้มหน้า หากหยดน้ำใสยังหยาดลงมิได้หยุด

    ผู้เข้าชมรวม

    316

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    316

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.ค. 47 / 11:23 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      กุหลาบโรยกลิ่นหอมเย็น ฟุ้งกรุ่นกำจายทั่วบริเวณ  บางกลีบปลิวลมมาเคลียแขน กลิ่นกลีบอ่อนบางซ่านเข้าไปถึงในใจของชายหนุ่ม ผู้ห่างสัมผัสอันหอมหวานมานานนัก

          เขามาที่ส่วนสวนกุหลาบนี่เป็นประจำ  เพราะนอกจากสีและกลิ่นอันพึงใจแล้ว  เขายังจะได้มีโอกาสได้ทอดตามองอีกคนที่เขาเฝ้ามองมาตลอด

          สวนสาธารณะแห่งนี้มีทั้งกลุ่มไม้ดอก ไม้ใบ ไม้โชว์กิ่ง และไม้ให้ร่ม ปลูกร่วมและสลับกลุ่มกันได้จังหวะจนน่านั่งไปเสียทุกมุม จากตรงซุ้มกุหลาบข้ามลานหญ้าไปก็เป็นส่วนของสวนสนหลากพันธุ์  ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของชายหนุ่มจะจับจ้องไปยังหญิงสาว ซึ่งก็มานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้เงาสนนั่นเป็นประจำเช่นกัน

          ลมกรรโชกแรงขึ้นจนกุหลาบเหลืองโรย ต้องปลิดกลีบทิ้งเกสรไปทั้งดอก เช่นเดียวกับเพื่อนต่างสีที่พากันสลัดก้านปล่อยให้ละอองเรณูปลิวลมตลบจนเขาต้องหลับตาหลบพิษแห่งความหอมของราชินีดอกไม้  พลางรีบปิดสมุดบันทึกในมือด้วยเกรงว่าความรักความหลังจะปลิวไปไกลจนเกินเก็บคืน

          สิ่งหนึ่งสัมผัสแขนแกร่งด้วยความแผ่วเบาแล้วพาดไพล่อยู่ที่หน้าตัก  เมื่อลืมตาก็เห็นว่าเป็นแพรโปร่งบาง สอดดิ้นทองงามระยับราวกับเครื่องประดับมากกว่าเป็นแค่ผ้าคลุมผม  เขามองกลับไปยังเจ้าของ ซึ่งนั่งอยู่ใต้หมู่สนฝั่งโน้น  ลมเอยช่างเป็นใจให้ช้ำ พัดยอกย้อนจนมีเหตุเป็นอันต้องสบสายตากันจนได้

          เธอนั่งนิ่งราวไร้ความรู้สึกใด  เพียงสายตาที่มองเท่านั้นเขาก็จำต้องมาส่งแพรบางคืนให้ถึงมือ ทั้งที่อยากจะแอบซ่อนเก็บมันไว้จะแย่

          “ขอบคุณค่ะ....อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้นะคะ...ฉันเห็นคุณมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายกันเลย....มาที่นี่เป็นประจำเหมือนกันนะคะ....ท่าทางจะชอบกุหลาบมาก  เห็นมาทีไรก็ตรงไปอยู่ในสวนกุหลาบนั่นตลอดเลย”  

          ตลอดเวลาของการเปิดบทสนทนาอันยาวนาน  เขาได้แต่เพียงมองลึกลงไปในแววตาใสหมดจดของเธอ  พยายามมองให้ลึกไปถึงข้างใน  จนไม่แน่ใจว่าเขาไม่เห็นอะไรหรือในนั้นไม่มีอะไรกันแน่  จึงพยายามมองหาทุกซอกมุมที่พอมี ทว่าทุกส่วนคงยังว่างเปล่า และลืมไปว่าปล่อยให้ฝ่ายที่เพิ่งกล่าวขอบคุณ พูดอยู่คนเดียวมาหลายคำ

          “อ้อ...ครับ....ผมชอบกลิ่นกุหลาบน่ะครับ....มันหอมเย็นชื่นจนช่วยให้ผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก...”  เขายิ้มให้ทั้งหน้าเมื่อเธอยิ้มตอบกลับมาอย่างเต็มใจ

          “นิลค่ะ...ดาวนิล....ยินดีที่ได้ทักกันเสียทีนะคะ”  เธอชิงแนะนำตัวเองเสียก่อน  จนเขาไม่ทันคิดอะไรได้มากไปกว่า แนะนำตนเองตอบไปโดยอัตโนมัติ

          “ชื่อกานต์ ที่แปลว่าที่รักหรือเปล่าคะ...แหมชื่อยังกับพระเอกนิยายรายสัปดาห์”  เธอหยอกอย่างเป็นกันเองได้เร็วเกินไปด้วยซ้ำ  “แต่ว่าชื่อคุณนี่คุ้นหูจังค่ะ.....แต่จำไม่ได้เสียแล้วหละค่ะว่าเคยมีใครที่รู้จักมาก่อนมีชื่อนี้”  เธอเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่ต้นแขน ท่าทีแสดงความขอโทษทั้งที่ยังมิได้ทำผิดกิริยาอันใดเลย

          “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนิล.....ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวตลอดเลยเล่าครับ”  เขาพลาดไปโดยไม่ทันสะกิดใจ

          “เอ๊ะ...คุณกานต์แอบมองนิลอยู่ตลอดเลยหรือคะ”  เธอยังคงอารมณ์แจ่มใส

          “ขอโทษครับที่เสียมารยาท....ผมหมายความว่า...เอ่อ...” คนที่เฝ้ามองมาตลอดจึงได้แต่ตะกุกตะกักอยู่แค่นั้น

          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ก็จริงนี่คะ....นิลมานั่งที่นี่คนเดียวตลอดมา....มานั่งรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ น่ะค่ะ”

          เพียงแค่นั้นทั้งคู่ก็นิ่งงันจมอยู่กับความคิด ความรัก ความหลังของแต่ละฝ่าย  กานต์ยังจำเธอที่รักของตนได้ตลอดมา ทั้งยังย้ำกับใจว่ายังรักเธอมั่นเสมอ  สิ่งใดที่เธอจะได้มีความสุขกับชีวิตเขาก็จะยินดีหามาพลีให้ ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง

          ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร  เพราะอาการกรีดปลายนิ้วค่อยสานสิ่งหนึ่งอยู่นั้นดูเป็นไปตามความเคยชินมากกว่าจะตั้งใจ
          “สร้อยสน....สวยจริงครับคุณนิล”  เขาเอ่ยปากทักสิ่งที่อยู่ในมือเรียวละมุน  ทำลายความเงียบและห้วงคำนึงของหญิงสาวตรงหน้า
          “ค่ะ...สร้อยสน...ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าฉันชอบร้อยมันตั้งแต่เมื่อไหร่...รู้แต่เพียงว่า...ฉัน...เคยร้อยมันด้วยหัวใจทั้งดวง  และด้วยสร้อยสนนี่แหละค่ะที่ร้อยหัวใจอีกดวงของคนที่ฉันรักเอาไว้”

          เธอสลดลงเล็กน้อย คล้ายดอกไม้งามต้องแสงแรงร้อนของแดดบ่าย

          “น่าอิจฉาความรู้สึกดีๆ ของคุณนะครับ”  เขาจะเอ่ยอันใดได้มากกว่านี้อีกเล่า

          “อย่าเลยค่ะ....สิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ หากวันใดมันห่างหาย หรือว่าเราเผลอลืมเลือนไป  แต่แล้ววันหนึ่งเรากลับห่วงหาหรือจดจำมันได้ขึ้นมา  ความรู้สึกดีมากๆ นั้นจะกลับมาทำร้ายความเป็นตัวของตัวเราได้รุนแรงพอๆ กัน  โดยเฉพาะความรู้สึกที่เรียกว่า รัก”

          ดาวนิลไม่ได้หยุดมือจากการถักร้อยเส้นใบสนในมือ เขาสังเกตเห็นว่า  มือนั้นสั่นเล็กน้อย แล้วปลายเล็บบางก็เผลอจิกให้สายใบสนขาดจากกัน

          “อุ๊ย....ขาดเสียแล้ว....ตั้งใจว่าจะร้อยให้คุณกานต์ในฐานะคนที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกันในโอกาสต่อไป....เดี๋ยวจะร้อยให้ใหม่นะคะ”  คนพูดรวบกำเศษเส้นแหลกสลายไว้ในมือ ราวกับว่าอยากจะหลอมมันด้วยกระไอร้อนแห่งชีวิตให้มันได้หวนคืนดังเก่ากระนั้น

          เขาแอบหวังว่า แม้สร้อยสนเส้นขาดนั้นก็เพียงพอแล้วกับตน ทว่าเธอกลับโปรยมันลงรวมกับเศษก้านใบแห้งแข็งตรงหน้า สุดที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาได้ จึงเพียงแต่เพียงเอื้อมหยิบมันขึ้นมาพินิจดูอีกครั้ง

          “น่าเสียดาย...ไม่น่าเชื่อว่าเส้นใบสนแข็งๆ เป็นข้อเล็กๆ นี่จะเอามาร้อยเป็นอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มแสดงความเห็นราวกับตนไม่เคยเห็นความละเอียดอ่อนเช่นนี้มาก่อน

          “ไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ....ฉันร้อยมันได้แค่ลายนี้ลายเดียวเท่านั้น  ลายเดียวที่ฉันจำได้...จะด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่  เส้นใหม่นี่ก็ไม่เคยด้อยกว่าเส้นเก่าเลยค่ะ  แม้ว่ามันจะไม่เคยสวยงามกว่าก็ตาม”

          ความเงียบมาเยือนคนทั้งสองอีกคราว  ภาพความหลังมีแรงมหาศาลในการดึงให้ทั้งคู่กลับไปจมอยู่กับอดีตอีกครั้ง  ภาพของหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองมานานกลายเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผัดผ่านความรานร้าวร้ายมาหนักหนาสาหัส   อาจจะเช่นกันกับสร้อยสนเส้นใหม่ในมืองาม ที่เจ้าตัวดูจะตั้งใจจับจ้องและระมัดระวังไม่ได้มันขาดจากกันเหมือนอย่างเส้นก่อนหน้า


          หมู่นกทยอยกลับรังที่กลุ่มไม้ใบหนา ถัดสวนกุหลาบไปอีกด้าน  ลมแรงพัดหวนย้อนกลับมาจากทางนั้น จนกลิ่นหอมอ่อนกำจายผ่าน เธอยืดตัวขึ้นตรงสูดหายใจยาวขณะมองไปยังซุ้มกุหลาบนั่น  เขามองตามนิดหนึ่งก่อนจะกลับมามองตาเธอ  นัยตารื้นน้ำฉ่ำชื่นยังคงไม่มีอันใดเคลือบแฝงเช่นเคย

          “หากยังรักยังคิดถึง ทำไมไม่กลับไปหาสิ่งที่เรารัก เราคิดถึงล่ะครับ”  เขาไม่รู้เลยว่า ข้อความที่กล่าวออกมานี้จะกรีดแทงเข้าไปถึงส่วนไหนของหัวใจเธอ  หญิงสาวจึงหลั่งน้ำตาพราวอันแม้จะซ่อนไว้ด้วยการก้มหน้า หากหยดน้ำใสยังหยาดลงมิได้หยุด

          “คุณครับ...คุณ...คุณนิล....เป็นอะไรไปครับ...ผมขอโทษ...ขอโทษนะครับหากว่าพูดอะไรผิดไป”

          อีกเป็นนานกว่าอีกฝ่ายจะข่มน้ำตาน้ำใจของตนให้กลับมาดำรงสติกับปัจจุบันได้

          “ดูสิ   ขาดอีกจนได้   คุณกานต์คะ  ฉันตั้งใจจะร้อยมันให้กับคุณจริงๆ รออีกครู่นะคะ”  เธอยังถอนสะอื้น จนถ้อยคำขาดเป็นห้วงๆ

          “วันหน้าก็ได้ครับ.......ผมต้องขอโทษจริงๆ  ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีขนาดนี้เลย”


          เพราะแดดอ่อนเริ่มปรับสีฟ้าเป็นชมพูหม่นซีดและหมอง  แมลงกลางคืนเริ่มระงมขานทักทายยามอาทิตย์ย่ำยอแสง  กลิ่นกุหลาบจางเริ่มถูกแทนด้วยดอกไม้กลางคืน  ซ่อนกลิ่นคละกลิ่นมากับราตรีและวาสนา  ทั้งนั้นหอมฉุนรุนแรงชวนวิงเวียนมากกว่าจะสดชื่น

          “ผมว่าผมคงต้องกลับก่อนแล้วหละครับ…

          เขาบอกอย่างเกรงใจเธอเต็มที่ กระไรเลยกับความเป็นสุภาพบุรุษซึ่งต้องยกไปไว้เสียอีกทางหนึ่งก่อน

          “…คุณ  ก็ควรจะกลับได้แล้วนะครับ….ถ้า…หากว่า  ผมต้องเป็นเหตุให้คุณรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม…..ผม…..ผม……ก็   ก็ควร จะต้องไปจากตรงนี้เสียที……”    

          “ได้โปรดเถิดค่ะ…โปรดอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักครู่  อีกครู่เดียวเท่านั้น   เมื่อ …..   เมื่อตะวันลับฟ้าเราค่อยไปจากตรงนี้พร้อมๆ กัน”   เสียงของหญิงสาววิงวอนจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเพียงในประโยคแรก  แล้วความเลื่อนลอยก็กลับมาประทับตรงที่เดิมของมันอีกครั้ง

          เงาไม้ของหมู่สนทอดยาวหนีแรงแสงอันอ่อนล้า  หรีดหริ่งเรไรสงัดเสียงลงเหมือนตกใจในคำพูดของเธอ  เขาใจหายวาบ เผลอตัวตะลึงมองจ้องตาอีกฝ่ายอย่างมีความหวัง  โน้นตัวเข้าไปใกล้เพื่อหมายจะมองว่ามีสิ่งไรบ้างที่กำลังดิ้นเร่าอยู่ในแววตาใสทว่าหม่นหมองตรงหน้า

          สมุดบันทึกอันแอบซุกกายอย่างเงียบเชียบอยู่ในซอกแขนข้างใกล้หัวใจของเขามาตลอด   จึงเลือนมานอนราบอยู่บนหน้าตัก ทั้งทำท่าจะเผยอเปิดเผยใจความทั้งหมดซึ่งเขาสู้อุตส่าห์ฝากฝังไว้กับมันอย่างเชื่อใจ  

          กานต์รีบตะครุบมันไว้ได้ทันแต่เพียงปกข้างหนึ่ง เมื่อหน้ากระดาษสีซีดเซียวเปิดพลิกไล่กันไปตามแรง  สิ่งซึ่งคั่นอยู่ในหน้าหนึ่งนั้นก็โรยตัวช้าๆ ลงไปกองรวมกับเศษเส้นใบสนก่อนหน้า

          ก่อนที่เขาจะก้มลมหยิบมันได้  หญิงสาวก็ฉวยสร้อยสนซึ่งแผ่บางเพราะทับไว้ในที่แห้งมาเป็นเวลานาน  เธอพลิกมันไปมาอย่างจะพิจารณาให้ถ่องแท้ว่ามันจะเกิดมาเป็นสร้อยนี้ได้นานสักเท่าไรแล้ว ทั้งยังนำมันลงวางทาบเทียบกับเส้นใหม่บนข้อแขนของตนเอง

          “ขอ….”

          “ลายเดียวกันเลยนะคะ…..แต่…คิดว่าคงสวยกว่าของนิลแน่ๆ”  

          ดาวนิลยิ้มอย่างที่อารมณ์แจ่มใสกลับมาเยือนแล้ว  จนเขาต้องแอบระบายลมหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก

          “อย่างนี้ก็ขายหน้าแย่เลย…ริจะสอนหนังสือสังฆราชเสียแล้ว”   เธอยื่นสร้อยสนเส้นเก่านั้นมาให้เขาอย่างระมัดระวัง

          “ไม่ใช่ฝีมือผมหรอกครับ…เมื่อก่อนผมเคยลองหัดแต่ไม่เคยทำได้ดี  และ….และเดี๋ยวนี้ …ผมหมายถึงว่าหลังจากนั้น ผมก็ไม่คิดจะทำมันขึ้นมาอีกเลย”  เขาพยายามปะติดปะต่อคำพูดโดยไม่ให้สะเทือนใจใครเลยสักคน

          “นิลร้อยสร้อยสนนี่ตลอดเวลาเพราะรู้สึกได้เหมือนว่ามีใครสักคนมาคอยนั่งรอยื่นข้อมือมาให้ลองสวม…มีใครสักคนมาคอยให้กำลังใจเมื่อมันขาดออกจากกัน….คุณกานต์ก็คงเหมือนกัน….สร้อยสนของคุณก็คงสำคัญกับคุณมากสินะคะ  เราอาจจะมีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง….นั่นคือยังผูกพันกับความสุขที่ผ่านเลยไปแล้ว……”

          โดยตลอดหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้แสดงอาการหรือน้ำเสียงอย่างใดที่จะทำให้เขารู้สึกว่า เธอกลับไปเศร้าหมองหดหู่อีกครั้ง  นั่นอาจเป็นเพราะขณะนี้เธอได้พบกับเพื่อนร่วมทุกข์อย่างเดียวกันแล้วก็เป็นได้

          “ครับสร้อยสนเส้นนี้….เธอ…ที่รักของผมร้อยไว้ให้ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ”  ไม่ว่าเขาจะพยายามเรียบเรียงถ้อยคำอย่างไร ก็ไม่อาจสกัดกั้นข้อเรียกร้องจากหัวใจของตนเองได้

          “หยุดเถิดค่ะ….ถ้านิลอยากจะฟังอะไรสักอย่างจากคุณ   ก็ขอฟังช่วงเวลาแห่งความสุขของคุณเถิดนะคะคุณกานต์”  เธอถึงกับส่งปลายนิ้วเรียวงามมาแตะริมฝีปากของเขา

           “ยังดีที่คุณรู้ว่าคุณเก็บมันไว้เพื่ออะไร  แต่กับนิล…นิลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะร้อยมันเพื่อใครหรือเพื่ออะไร….

          ขณะนี้เหมือนเสียงหัวใจของชายหนุ่มจะดังกลบเสียงใดๆ ได้ทั้งสิ้น หรือว่าความพยายามที่ต้องทุ่มเทพลังใจทั้งหมดจะมามลายลงเสียในย่ำค่ำคืนนี้

          “อย่างนี้…คุณกานต์คงไม่ต้องการสร้อยสนของนิลอีกแล้วใช่ไหมคะ”   หญิงสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ความกระตือรือล้นเมื่อแรกมลายหายไปหมดสิ้นแล้ว


          จันทร์เสี้ยวสะท้อนแสงนวลใสได้ทันทีที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทั้งดวง   ลมยังโชยกลิ่นดอกไม้ขาวให้อวลตรลบอยู่รอบกาย  กบเขียดเริ่มโผล่ขึ้นจากสระเพื่อลิ้มหยาดน้ำค้างแรก  เขาเบือนหน้าไปเสียทางอื่น  เพราะไม่อยากสบสายตาเธอไปพร้อมๆ กับการโกหกอย่างร้ายกาจที่กำลังจะพูดออกมา

          “เธอที่รักของผม ได้จากผมไปแล้วครับ  จากไปอย่างไม่มีวันกลับ  ด้วยอุบัติเหตุในครั้งนั้น”

          “คุณกานต์คะ…เห็นแก่มิตรภาพที่เพิ่งเริ่มต้นของเราสองคนเถิดค่ะ….กรุณาอย่าพูดเรื่องอย่างนี้ให้นิลฟังอีกเลย…..นิลฟังมามากพอแล้ว….จากปากของคนอื่น  ขอคุณไว้สักคนได้ไหมคะ….อย่าทำให้นิลต้องทรมานเหมือนกับคนอื่นๆ อีกเลย…”  

          เธอถึงกับคุกเข่าลงตรงหน้าของเขา และเปลี่ยนจากตั้งใจจะให้เป็นสร้อยข้อมือ ให้กลายเป็นที่คั่นหนังสืออันใหม่อีกอัน  แม้นเธอไม่ได้บอกว่าขอให้สร้อยสนของเธอได้วางอยู่เคียงข้างกับสร้อยสนเส้นเดิม  แต่เขาก็บรรจงสอดซ้อนมันไว้กับหัวใจดวงเก่าของเขา  พร้อมกับรับปากกับเธอเบาๆ

          “ครับคุณนิล…ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจหรือลำบากใจอะไรอีกเลย…..เรากลับกันเถิดครับ…น้ำค้างลงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายไปเสียเปล่าๆ…”

          “ค่ะ….กลับกันเสียที….ให้นิลช่วยไปส่งคุณที่ในตึกนะคะ”


          หญิงสาวอ้อมไปด้านหลัง แล้วค่อยผ่อนแรงเข็นรถเข็นให้เพื่อนใหม่ผู้มีขาทั้งสองข้างเหลือเพียงแค่เข่า

           ในใจยังคงคิดว่า  สร้อยสนที่เธอจะบรรจงร้อยเป็นพิเศษในวันพรุ่งนี้  คงจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำของตนให้มันกลับมาได้บ้าง

           ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่า  อุบัติเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าถึงกับพิการอย่างสาหัสนี้  จะเป็นคราวเดียวกันกับที่ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปหรือเปล่าหนอ


      8*8*8*8*8*8*8*8*8*8*8


      song982

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×