เปลวแสงริมดาว : - เปลวแสงริมดาว : นิยาย เปลวแสงริมดาว : : Dek-D.com - Writer

    เปลวแสงริมดาว :

    เรี่องราวของความรักของกัปตันหนุ่มที่มีต่อโจรสลัดสาวในยุคอวกาศ

    ผู้เข้าชมรวม

    334

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    334

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ค. 47 / 19:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ในขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงรอดผ่านดาวพฤหัสเป็นสัญญานบ่งบอกถึงหน้าที่ที่กำลังจะจบสิ้นของยานเรา

      “กับตันเสด็จ เรากำลังเข้าสู่เขตกระแสแรงดึงดูดแล้ว” ต้นหนร่างกำยำหันมาหาเขาเพื่อรอการสั่งการในการต่อไป

      “ขอบใจยูริสั่งออกไปให้ลดใบรับลมสุริยะหลักลง แล่นเรื่อไปตามกระแสแรงดึงดูด เพื่อวนไปทางด้านสว่างของดาวพฤหัสเราจะเข้าเทียบสถานนีอวกาศเมียรเพื่อพักรายงานตัวและรอคำสังต่อไป บอกกับลูกเรือคนอื่นด้วยว่าให้ระวังตัว”

                เมื่อต้นหนรับคำสั่งแล้วจึงสั่งการแก่ลูกเรือ เรือรบที่ใช้เดินทางในอวกาศของ ”กลุ่มร่วมระบบสุริยะ” ที่มีลักษณะคล้ายเรือรบสเปนในยุคล่าอาณานิคม เพียงแต่มีใบรับลมสุริยะเพิ่มขึ้นมาในด้านข้างของเรือเหมือนครีบของปลาเสือ เรือกำลังที่จะค่อย ๆ เทียบเข้าไปในสถานนีอวกาศ เมียรซึ่งชื่อนี้ได้ตั้งให้เหมือนกับสถานนีอวกาศแห่งแรกของมนุษย์ เมื่อเรือได้เทียบกับสถานนี เสด็จได้สั่งให้ลูกเรือไปพักได้อย่างอิสระและเตรียมพร้อมรับคำสั่ง และตัวเขาเองก็ได้ไปรายงานตัวที่กองบัญชาการ เมื่อไปถึงห้องของผู้บัญชาการเขตดาวพฤหัส เขาได้ทำความเคารพและรายงานการทำงานในพื้นที่ ผู้บัญชาการฟังคำรายงานด้วยความพึงพอใจในการทำงานของเขาแต่สีหน้าของผู้บัญชาการเต็มไปด้วยความกังวลเนื่องจากภาระกิจที่จะได้มอบหมายให้แก่เขานั้นเป็นภาระกิจที่ค่อนข้างยากลำบาก จนกระทั้งเขาได้รายงานจนเสร็จสิ้น

            “ยอดเยียมมากกับตันเสด็จสำหรับการการบัญชาการ “เรือรบข่าน”  คุณสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากทางเราพอใจเป็นอย่างยิ่งการทำงานของคุณนั้นสามารถทำให้ดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยในระบบสุริยะ”    

      “ขอบคุณครับ” เขาตอบรับด้วยน้ำเสี้ยงที่มีความยินดี

      “แต่ทางเราต้องของโทษด้วยที่ทางเราไม่สามารถให้คุณพักผ่อนนานๆ หลังจากปฏิบัติภาระกิจได้  เพราะว่าได้มีปฏิบัติการเร่งด่วนเนื่องจากทางเราได้รับทราบว่าได้มีกลุ่มโจรสลัดอวกาศได้บุกเข้ามาในบริเวณแนวกระแสแรงดึงดูดดาวเสาร์ซึ่งมีแนวโนวจะมุ่งมาทางสถานนีนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขัดขวาง หรือทำลายกลุ่มโจรสลัดนี้ ถ้าจำเป็น”  เขาได้มองหน้าเสด็จเพื่อดูสีหน้าของเสด็จเพราะว่าภาระกิจนี้เป็นภาระกิจที่ยากลำบากมาก แต่เมื่อดูแล้วก็ไม่พบความวิตกกังวลบนหน้าของกัปตันหนุ่มเลย อาจเป็นเพราะเขาหนุ่มเกินไปหรือเปล่าที่จะรู้ว่าภาระกิจนี้ยากลำบากแค่ไหน  

      “ท่านทราบหรือไม่ว่าพวกมันเป็นโจรสลัดกลุ่มไหน”
      “ไม่เพราะว่าดาวเทียมสอดแนมที่ได้พบกับโจรสลัดถูกทำลายแทบจะทันทีที่ได้ถูกค้นพบกับพวกโจรสลัด เราจึงรู้เพียงว่าพวกมันกำลังมาหาเรา” เขาเว้นระยะก่อนที่จะพูดต่อไป
      “คุณคงทราบใช้ไหมว่าภาระกิจนี้ยากลำบากแค่ไหน” กัปตันหนุ่มเมื่อได้ฟังแล้วได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย
      “มันเป็นภาระกิจที่ยากลำบากที่สุดและอาจเป็นภาระกิจสุดท้ายในชีวิตผมได้เพราะว่าผมอาจตายได้ และเราก็แทบไม่รู้ข้อมูลใด ๆ เลย แต่ผมจะใช้ความสามารถและสติปัญญาทั้งหมดเพื่อปฏิบัติภาระกิจให้สำเร็จและพาลูกเรีอกลัมมาให้หมดทุกคน”
      เขามองหน้ากัปตันหนุ่มและคิดว่าแม้ว่าเขาอาจดูหนุ่มเกินไปที่จะปฏิบัติภาระกิจนี้แต่ว่าเขาต้องทำสำเร็จแน่นอน
      “เอาละคุณมีเวลา สองวันก่อนที่จะเริ่มเดินทางขอให้โชคดีกัปตันเสด็จ” กัปตันเสด็จทำความเคารพแล้วได้ออกไป

          ณ เรือรบข่านต้นหนยูริในชุดสบายที่รับมอบหมายให้ดูแลเรือแทนกับตัน กำลังดูแลสภาพโดยรอบของเรือรบอยู่ และเขาก็สังเกตเห็นกับตันกำลังมาที่เรือซึ้งทำให้เขารู้ว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนแน่นอนเพราะว่าถ้าไม่มีอะไรที่เร่งด่วนแล้วกัปตันของเขาจะต้องไปหาอะไรดืมที่ร้านประจำและกว่าจะกลับมาก็คงประมาณเช้าของอีกวันหรือเขาต้องไปพยุงกลับมาจากร้าน เขาจึงเดินไปหากับตันเสด็จ
      “มีเรื่องเร่งด่วนใช้ไหมครับ” เสด็จมองหน้าเขาอย่างไม่แปลกใจเพราะว่ายูรินั้นอยูเป็นต้นหนกับเขามาหลายปีซึ่งมีความสนิดเหมือนเป็นน้องชายของเขาเลยและเขารู้ดีว่าความสามารถของยูรินั้นสมควรได้รับเรือเป็นของตัวเองซักที แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือเตรียมตัวสำหรับให้พร้อมเพื่อที่จะปฏิบัติภาระกิจ

      “ก็อย่างที่แกรู้นั้นแหละมีงานยากมากโยนมาที่เรา ซึ่งเราจะต้องออกเรือในอีกสองวัน” เขาเว้นระยะ
      “งานปราบโจรสลัด” ยูริได้ยินสิ่งที่กัปตันพูดเขารู้ได้เลยได้ว่าเป็นงานที่ยากลำบากแค่ไหนครั้งล่าสุดที่ไปสู้กับโจรสลัดที่ไปหลบอยู่หมู่ดาวลูกไก่นั้นต้องเสียลูกเรือไปเกือบครึ่งแม้ว่าจะชนะแต่แทบจะไม่มีลูกเรือและรบบดำรงชีพพอที่จะเดินเรือกลับมา ในขณะที่ยูริคิดนั้น เสด็จนั้นได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของยูริจึงยิ้มเล็ก ๆ และพูดว่า

      “คราวนี้เราพร้อมและมีประสบการณ์มากกว่าคราวที่แล้ว ไม่ต้องห่วงทุกคนจะได้กลับบ้าน” ยูริได้เห็นรอยยิ้มฟังคำพูดของเสด็จก็รู้สึกคลายความกังวลลงและมั่นใจว่ามันจะสำเร็จเหมือนทุกๆ ครั้งเพราะว่ากัปตันของเขาเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดเท่าที่เขาจะได้เห็นมาและเสด็จก็เห็นสีหน้าของยูริที่ผ่อนคลายมากขึ้นจึงสั่ง

      “เอาละเรามีเวลาสองวันในการเตรียมตัว จักการเตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้วคือนี้ไปหาฉันที่ร้านสปุกนิกเพื่อที่จะเตรียมพร้อมรายละเอียดของแผนการเดินทาง” เขามองหน้ายูริเพื่อรอคำตอบ
      “ครับ” เป็นคำเดียวที่ได้กลับมาใจความซึ่งเป็นไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งเหมือนเดิม ซึ่งเป็นคำที่เขาต้องการจะฟังเมื่อเขาได้ยินแล้วจึงเดินจากไป  
          ในระหว่างที่เสด็จได้เดินไปที่ร้านสปุกนิก เขาได้นึกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกที่การที่เราได้รับข้อมูลนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไปเพราะว่าพวกโจรสลัดก็รู้อยู่แล้วว่าทางเราได้ส่งดาวเทียมในการตรวจสอบอยู่เต็มไปทั่วระบบสุริยะ และทางโจรสลัดก็ควรที่จะมีเทโนโลยีที่จะสามารถหลบการตรวจจับได้แทนที่จะทำลายดาวเทียมเพื่อที่จะปกปิดที่ตั้งเหมือนที่จะพยายามที่จะบอกตำแหน่งให้เรารู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ จากประสบการณ์ทำให้เขามีความรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในการมาครั้งนี้ซะแล้ว เขามีความรู้สึกว่าพรุ่งนี้เขาต้องระดมลูกเรือให้มาที่เรือก่อนกำหนด หนึ่งวันเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมต่อเหตุการที่เกิดขึ้น และขณะนั้เขาก็เดินไปถึงร้านสปุกนิกพอดีเลย

                     เมื่อเขาเดินเข้าร้านด้วยความคิดที่ผ่อนคลายและรอให้ยูริมารายงานความเรียบร้อย ภายในร้านเป็นร้านที่มีแสงไฟสลัวและมีนักร้องร้องเพลงเบา ๆ เพื่อกล่อมให้ลูกค้าผ่อนคลายความตรึงเครียดจากการทำงานทั้งหลายโดยที่เขาได้สั่งโกโก้เย็นที่เป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากในยุค  เขาได้ผ่อนคลายอารมณ์ไปกับเพลงไปซักพักจนกระทั้ง ยูริได้มาถึง และได้รายงานความเรียบร้อยของการเตรียมพร้อมของยานซึ่งเป็นที่พอใจของเขามากเพราะว่ายานสามารถออกได้ทันทีที่ลูกเรือมาถึง ในขณะที่เขากำลังพูดคุยกับยูริอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยมนต์เสนห์ที่สามารถสะกดทุกคนในร้านให้ต้องหยุดฟังเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่สูงประมาณ 175 ผิวขาว รูปร่างค่อนข้างมีเนื้อมากมีหน้ารูปไข่และผมสีดำยาวแม้ว่าจะไม่สามารถเห็นหน้าอย่างชัดเจน แต่ว่าก็แน่ชัดว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างสวย เธอได้ร้องเพลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกว่าทุกเพลงเป็นเพลงที่เศร้าและสื่อถึงการศูนย์เสียและปลอบประโลมผู้ตาย เมื่อเธอได้ร้องเพลงสุดท้ายจบ เธอได้กล่าวบางสิ่ง

      “ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ได้ติดตามฟังเพลงมาตลอด วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการร้องเพลงของฉันแล้ว” ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกประหลาดใจและส่งเสียงอื่ออึง
      “และเพลงในวันที่ของมอบให้เป็นเพลงที่จะปลอบประโลมทุกชีวิตที่จะต้องตายในคืนนี้”  เมื่อสิ้นคำพูดของเธอได้มีคนจำนวนมาก รู้สึกประหลาดใจและโกรธในคำพูดของเธอเพราะบางคนคิดว่าเธอกำลังสาบแช่งเขา และได้มีคนลุกขึ้นไปบนเวที และเขาคิดว่าเป็นโอกาสของเขาแล้วที่เขาจะได้เขาไปหาเธอ(ในฐานะวีรบุรุษด้วย) แต่ก่อนที่เขาจะได้ไปช่วยเธอ

                            เปรี้ยง....เสียงปืนได้ดังขึ้นและเสียงนั้นได้กลบทุกเสียงในร้านไปหมดทุกคนได้จ้องมาไปที่ต้นทางของเสียงปืนนั้น คือตัวเธอนั้นเองที่เป็นผู้ที่ยิงปืนนั้นออกมา ทุกคนจ้องไปที่เธอแลเห็นเธอสเยะยิ้มเล็กน้อยด้วยความสะใจ ด้วงตาที่สดใสสของเธอเปลี่ยนไปเป็นด้วงตาที่เข้มแข็ง และในขณะที่ทุกคนตะลึงก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาแต่ว่าไม่ใช้เสียงปืนของเธอแต่ว่าเป็นเสียงปืนใหญ่ ซึ่งในเวลาไม่ถึงอึดใจโลหะแทสไดสที่เป็นกระสุนปืนใหญ่ได้กระแทกสู่ผิวของสถานนีอวกาศ เป็นเสียงดังสนั่น ซี่งยิ่งทำให้ทุกคนในร้านตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งเข้าไปอีกท่ามกลางการตกตะลึงและความสับสนที่มีมากขึ้นของผู้คนก็มีเสียงใสแต่แข็งกร้าวประกาศขึ้น
      “ ทุกคนถ้าไม่อยากตายจงยอมแพ้ซะ ตอนนี้พวกเราโจรสลัดนางเงือกได้โจมตีแล้ว และข้าคือมาเรียกัปตันเรือและโจรสลัด” เมื่อเธอประกาศจบก็มีบรรดาโจรสลัดจำนวนมากออกมาจากหลังเวทีเข้าโจมตีลูกค้าในร้าน

                              แม้จจะอยู่ในอาการตกตะลึกแต่ทุกคนก็ทำการชักดาบขึ้นสู้อย่างสุดความสามารถ เพราะว่าลูกค้าในร้านนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับนายทหารผู้ควบคุมเรือแทบทั้งนั้น การต่อสู้เต็มไปด้วยความชุนลมุนและเขาได้สังเกตเห็นมาเรียกำลังต่อสู้อยู่ในภาวะที่ค่อนข้างเสียเปรียบเนื่องจากนายทหารทุกคนนั้นค่อนข้างมีฝืมือซึ่งได้มีดาบนึงได้ฟันไปที่เธอแม้จะหลบได้แต่ดาบได้ไปโดนเส้นผมของเธอซึ่งมันเป็นวิกที่ได้หลุดไปตามดาบที่ได้ฟันผ่านไป

                              ซึ่งเมื่อวิกได้หลุดไปแล้วฝมสีทองที่ยาวสลวยที่พลิ้วไหวไปตามการเคลือนไหวของเธอมันช่างเป็นมนต์สะกดที่งดงามแม้ในสถานการเช่นนี้แต่เหตุการณที่เกิดขึ้นก็เป็นคำตอบในความสิ่งที่เขาคิดในระหว่างทางที่มาร้าน การปรากฎของโจรสลัดนั้นเป็นการลวงตำแหน่งของมันเพื่อให้เราเข้าใจคลาดเคลื่อน จะได้ทำการโจมตีได้โดยไม่รู้ตัวและการที่เธอได้ได้เลือกการโจมตีในร้านนี้ทั้ง ๆ ที่จะเสียเปรียบเป็นอย่างมากเนื่องจากเต็มไปด้วยทหารที่มีฝีมือ เพราะว่าจะได้เป็นการทำให้เรือที่จอดอยู่ที่ท่านั้นไม่มีผู้บัญชาการหรือมีก็เป็นเพียงในระดับต้นหนยังไม่มีประสิทธิภาพในการบัญชาการที่ดีเท่าที่ควรเท่ากับเป็นการทอนกำลังการต่อสู้ลงอย่างมาก

                            เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหาเธอเพื่อที่จะจับเพื่อใช้เป็นตัวประกันในการบังคับ ให้พวกโจรสลัดยอมแพ้ ซึ่งตัวมาเรียเองเมื่อเห็นเสด็จพุ่งเข้าหาเธอแทนที่จะพยายามป้องกันตัว แต่กับเป็นว่าเธอได้พุ่งเข้าหาเขาด้วย สร้างความประหลาดใจให้แก่เขามาในความบ้าบิ่นของเธอ แต่การต่อสู้ระหว่าเขากับเธอได้เริ่มขึ้นท่ามกลางความโกลาหนเขาได้ตระหนักว่าเธอมีฝีมือดาบที่ดีมากอย่างที่หาตัวจับได้ยากคนหนึง และเขาก็รู้ตัวว่ากำลังเพลียงพล้ำแกหล่อนจนโดนเธอปัดดาบออกจากมือไป ทำให้เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ๆ และเธอกำลังจะลงดาบมาที่เขา ซึ่งเขากำลังจะเห็นความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว

      “กัปตันได้เวลาไปแล้วพวกเราต้านไว้ไม่ไหวแล้ว” เสียงจากลูกน้องของเธอทำให้เธอชะงักและมองมาที่เขาเธอยิ้มให้และเดินเข้ามาหาเขาและจูบเข้าที่แก้มเขา และมีเสียงเบาๆ ที่ข้างหู

      “ชีวิตเธอเป็นของฉันแล้วแล้วฉันจะมาเอาไป รักษาตัวละ” แล้วเธอก็รีบถอยออกไปและออกไปจากร้านพร้อมพรรคพวก ในขณะที่เสด็จกำลังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นยูริก็เข้ามาหาเขา

      “กัปตัน เราต้องรีบไปที่เรือแล้ว เรือโจรสลัดอยู่เต็มไปหมดเลย” เสียงนั้นทำให้เขาได้สติและรีบไปที่เรือและเมื่อไปถึงที่ท่าเรือก็ปรากฎว่าเรือรบส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไปกว่าครึ่งเพราะว่ากัปกันเรือส่วนใหญ่นั้นถูกถ่วงเวลาอยู่ในร้านอยู่ทำให้ไม่สามารถมาบัญชาการเรือได้ และเรือข่านของเรานั้นก็โดนทำลายจนไม่สามารถใช้การได้

                                 เรื่องที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ตอนนั้นก็คือการที่เขายังไม่ได้สั่งให้ลูกเรือเข้าไปในเรือทำให้ยังไม่มีใครตายจากการโจมตีเรือ และเขาได้ไปสังเกตุเห็นเรืออีกลำที่ยังอยู่ในสภาพที่เสียหายไม่มากจึงได้ไปดูกับยูริเมื่อขึ้นไปก็พบลูกเรืออยู่ในเรือในสภาพสับสนไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกเพราะว่ากัปตันเรือได้ ตายไปที่ร้านสปุกนิกแล้ว

      “ไม่เป็นไรฉันจะเป็นกัปตันเรือแทนเอง เชื่อฉันแล้วเราจะสามารถปกป้องเมืองได้ และรอดตาย” เสียงอันเด็ดขาดของเขาได้เข้าไปสู่หัวใจของลูกเรือให้มีพลังขึ้นมาอีกครั้งเขาเริ่มสั่งการให้เรือเคลื่อนที่ไปโจมตีโจรสลัดร่วมกับเรือที่เหลืออยู่

          ท่ามกลางสนามรบระหว่างเรื่อโจรสลัดกับเรือปกป้องสถานนี่เต็มไปด้วยควันจากดินปืนศูนย์ยากาศ ปืนเลเซอร์ไม่สามารถใช้การได้เพราะความหนาแน่นของควันที่ทอนประสิทธิภาพของลำแสง และระบบสนามแม่เหล็กหักเหแสงที่ทำให้แสงวิ่งไปทางอื่นแทน  เรือของเสด็จได้เข้าไปในวงของสนามรบ ซึ่งเข้าได้สั่งให้เรือเข้ายิงของโจรสลัดโดยการหมุนเรือเพื่อปืนในกราบซ้ายและขวาสามารถยิงในศัตรูได้ ในขณะเดียวกันเขาได้มองดูเรือต่าง ๆ เพื่อหาอะไรบางอย่าง

                          ซึ่งเขาก็ได้พบมันเรือที่มีธงเป็นรูปเงือกมีหัวกระโหลกไข้วด้านล่าง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องเป็นเรือของมาเรียคนที่ได้จองชีวิตเขาไว้เขาจึงได้สั่งการให้เรือของเขาพุ่งเข้าหาเรือของ เธอและเมื่อเรือของเสด็ดได้พุ่งเข้าไปไกลเรือลำนั้นเขาได้เห็นผู้หญิงที่ผลที่เป็นสีทองปลิวไปตามกระแสลมทำให้เขาแน่ใจเธอได้เข้ามาอยู่ในเรือลำนี้แน่นอน

                          มาเรียเองก็ได้สังเกตเห็นเรือลำหนึ่งได้พุ่งเข้าหาเรือเธอด้วยความเร็ว และเธอได้มีความรู้สึกแปลก ๆ กับเรือลำที่พุ่งเข้าหาเธอซึ่งสิ่งนั้นทำให้เธอรู้ว่าเสด็จได้อยู่ในเรือลำนั้น เธอยิ้มด้วยความรู้สึกสนุกและสะใจว่าเธอจะได้ชีวิตของเขาเร็วกว่าที่คิด เธอจึงสั่งให้หันกราบเรือที่เต็มไปด้วยปืนใหญ่เข้าหาเรือของเสด็จ

        “ยิง......”  เมื่อสิ้นเสียงของมาเรียปืนใหญ่นั้บสิบ ๆกระบอกได้แผดเสียงคำรามแทบจะพร้อม ๆกันลูกกระสุนวิ่งเข้าใส่เรือของเสด็จอย่างไม่ปราณีแต่โชคดีที่เรือของเขานั้นหันด้านหน้าให้กับแนวลูกปืนใหญ่จึงทำให้ลูกปืนเเฉลบหัวเรือไป ไม่ได้สร้างความเสียหายที่ทำให้เรือล่มแต่ก็เสียหายหนักพอสมควร

      “จะสั่งให้ยิงปืนใหญ่ไหมครับ” ยูริตะโกนถาม
      “ไม่” เขาตอบอย่างเด็ดขาดทันที
      “ถ้าเราเสียเวลาหันข้างเราจะโดยยิงอีกชุดจนเรือพัง.....สั่งเตรียมปืนเลเซอร์หน้าเรือ เราจะเอาเรือเข้าชนและระดมยิงเลเซอร์เข้าใส่ในระยะติดกันนะสนามแม่เหล็กไม่สามารถใช้การได้หรอก” เมื่อยูริได้ฟังเขารีบสั่งต่อทันที  

                          เสด็จได้ไปที่ห้องส่งสัญญานเพื่อที่จะดูความคืบหน้าในการต่อสู้ในตัวสถานีที่ถูกโจรสลัดบางส่วนไปโจมตีที่สถานนี  ทำให้เขารับทราบว่าตอนนี้ที่ตัวสถานนีได้โดนโจมตีอย่างหนักจนแทบจะแพ้แล้วเพราะว่าคนส่วนใหญ่เอาแต่พยายามหนีไม่มีการบัญชาการบนพื้นสถานนีเนื่องจากส่วนกลางโดนโจมตีอย่างไม่ตั้งตัวทำให้ระบบการบัญชาการเสียหาย ซึ่งเป็นภาวะที่วิกฤษสุดขีด เขาจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่วิทยุต่อสัญญานวิทยุของเขาเข้ากับเครื่องกระจายเสียงทั้งหมดและตัวเขาก็เดินไปที่หัวเรือที่กำลังพุ่งเข้าหาเรือของมาเรีย

      “พร้อมส่งสัญญานแล้วครับ”  เจ้าหน้าที่วิทยุตะโกนบอก เสด็จพยักหน้ารับ

      “ถึงทุกคนในสถานนีอวกาศเมียร ทุกคนคงทราบแล้วว่าเรากำลังโดนโจรสลัดโจมตี และถ้าทุกคนเอาแต่หนีคงโดนฆ่าตายทุกคนทางเดียวที่เราทำได้คือเราต้องสู้ ผมขอให้กัปตันเรือที่เรือถูกทำลายที่อยู่บนพื้นล่างเป็นผู้นำในการต่อสู้ ผมขอให้เราตระหนักไว้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้สำคัญมาก แม้ว่าเราอาจจะตายในการต่อสู้แต่ว่าขอให้รู้ไวว่าการตายของเราจะเป็นการตายเพื่อคนที่เรารักและต้องการที่จะปกป้องการตายเพื่อความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางที่แตกสลายได้ง่าย แต่การสู้และตายเพื่อคนที่เรารักนั้นเป็นความเข้มแข็งที่ยิ่งใหญ่และเราจะสู้เพื่อชัยชนะ” ทันทีที่เขาพูดจบเรือเขาได้ชนเข้ากับเรือของมาเรียอย่างแรง หัวเรือของเขาฝังเข้าไปในกราบเรือของมาเรีย  

      “เลเซอร์ยิง...” สิ้นเสียงขิงเขาปืนเลเซอร์ได้ระดมยิงเข้าไปในเรือของมาเรียจำนวนมากจนเรือของมาเรียได้รับความเสียหายอยากหนัก
        “พวกเราบุก......”เสด็จตะโกนพร้อมกระโดดเข้าไปในเรือของมาเรียโดยที่มียูริพร้อมทั้งลูกเรือ

                              ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายได้เข้าต่อสู้กันอย่ารุนแรงสถานการเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเรือของมาเรียนั้นเป็นเรือที่บัญชาการการรบของโจรสลัดเมื่อโดยโจมตีทำให้การสั่งการขาดไปนำมาซึ่งความวุ่นวายในหมู่โจรสลัด และการที่เสด็จได้พูดปลุกใจให้ต่อสู้นั้นทำให้เกิดกระแสการต่อต้านโจรสลัดขึ้นมาทำให้ฝ่ายสถานนีได้เปรียบอีกครั้งหนึง  

          ในขณะที่การต่อสู้มีอยู่ทั่วไปในเรือของมาเรีย เสด็จได้พยายามหาจุดสิ้นสุดของการต่อสู้นั้นคือการตามหาเธอ กัปตันมาเรียกัปตันของเรือโจรสลัดนางเงือก ในตอนที่เขาแพ้เธอนั้นเข้าอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมแต่ตอนนี้เขาพร้อมในการสู้แล้ว ในที่สุดเขาก็มองเห็นสิ่งที่เขามองหาอยู่มาเรียอยู่ด้านบนด้านหลังของเรือเส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงของลมโดยด้านหลังเป็นดาวพฤหัสบดี

      “ไม่น่าเชื่อว่านายจะมามอบชีวิตได้เร็ว ช่างไม่รักชีวิตเลยนะ” เธอพูดอย่างสบายอารมณ์
      “ไม่หรอก ผมไม่ได้เอาชีวิตมาให้คุณหรอ แต่ผมจะมาเอาชีวิตของผมคืน”    
      “ถ้าทำได้ก็มาเอาคืนเลย....” เธอตระโกนพร้อมทั้งกระโดนลงมาใส่ เขาอย่างรวดเร็ว

                      แต่ว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาหวันไหวแต่อย่างไร เขาชักปืนขึ้นแล้วยิงใส่เธออย่างรวดเร็ว แต่ว่าเธอเบียงตัวหลบไปได้อย่างฉิวฉียดพร้อมทั้งพาดดาบลงมาที่เขา เสียงโลหะพิเศษที่คมกว่าดาบเลเซอร์ กระทบกันอยู่หลายนาทีซึ่งในการต่อสู่ครั้งนั้ทำให้เขายอมรับว่าไม่ว่าเขาจะพร้อมแค่ไหนก็ไม่อาจสู้ได้เพราะว่าเธอเป็นนักดาบชั้นยอดคนหนึ่ง ในที่สุดดาบของเขาก็ถูกเธอปัดออกจากมืออีกครั้งหนึง

      “กลับมาเหมือนในร้านอีกแล้วนะ...”เธอพูดอย่างผู้ชนะ
      “ในครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกับ” เธอพูดพร้อมกับลงดาบมาที่เขา
      ปัง......
      “ผมบอกแล้วว่าผมมาเอาชีวิตคืน” เขาพูดขึ้นพร้อมๆ กับเสียงปืน มืออีกข้างหนึงได้ชักปืนที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ ซึ่งเขาได้ยิงไปที่ขาข้างซ้ายของเธอทำให้เธอล้มลงกับพื้น เขาจึงเข้าไปแย่งดาบของเธอมาแล้วนำดาบนั้นมาจ่อไว้ที่คอของเธอ
      “กัปตันของพวกแกแพ้ฉันแล้วยอมแพ้ซะ” เมื่อบรรดาโจรสลัดที่เหลือเห็นว่ากัปตันของเขาได้พ่ายแพ้ ก็ได้แต่ยอมแพ้กันไปเรื่อยจนหมดทำให้สถานนีอวกาศเมียรมีชัยชนะเหนือโจรสลัดอย่างเด็ดขาด  

                     ท่ามกลางเสียงโห่ร้องไปทั่วเขาได้เข้าไปหาแล้วพยุงเธอ
      “แกจะทำอะไรฉัน” เธอตะคอกถาม แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรและคนรอบข้าก็ไม่ได้สังเกตเห็นเขาเพราะมัวแต่ยินดีกันอยู่

                     ขณะที่เขาพยุงเธอไปลงไปเรื่อย ๆ เธอก็ได้ด่าทอและข่มขู่ต่าง ๆ นานาเพราะว่าไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหนเมื่อถึงห้องยานชูชีพ เขาได้เปิดยานหนึงลำและโยนเธอเขาไปในยานท่ามกลางความมึนงงของเธอ

      “นายช่วยฉันทำไม” เธอถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาก็ได้เข้าไปจูบที่แก้มของเธอ
      “ชีวิตเธอเป็นของฉันแล้วนะรักษาไว้แล้วฉันจะไปเอา…ที่รัก”

                           ทันทีที่เธอได้ยินคำนั้นดวงตาทั้งสองเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ โดนเฉพาะคำสุดท้าย แต่ทันที่เธอจะพูดอะไร เขาก็ได้ปิดประตูยานแล้วปล่อยยานไปยังดาวที่ได้ตั้งโปรแกรมไว้  เขาได้มองยานนั้นไปจนลับตา “คุณอาจโดนขึ้นศาลทหารได้นะครับที่ปล่อยเธอไป” เสียงของยูริพูดขึ้นมาเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอย่างไร เพราะเขาถือว่าสิ่งที่กัปตันของเขาได้ตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้แล้วว่าดีที่สุด “รักหรือครับกัปตัน” เขาถาเสด็จเข้าไปอีกทีและดูเหมือนคำถามนี่จะโดนใจของเสด็จมากที่สุด “บางที่นะ  หล่อนอาจขโมยหัวใจฉันไปตั้งแต่ในร้านนั้นแล้วก็ได้” แล้วเขาก็ได้พูดอะไรอีกพร้อมทั้งเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือเพื่อฉลองชัยชนะและตามหาเธอ........

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×