เรื่องเล่าเจ้าหมีอ้วน - เรื่องเล่าเจ้าหมีอ้วน นิยาย เรื่องเล่าเจ้าหมีอ้วน : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าเจ้าหมีอ้วน

    เรื่องราวของชีวิตน้อยๆ สี่เท้า หางยาว ที่จะทำให้หัวใจคุณอิ่มเอม

    ผู้เข้าชมรวม

    475

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    475

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.ค. 47 / 12:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อแม่แมวสีปะหลำปะเหลือตัวหนึ่งได้ให้กำเนิดลูกแมวน้อยน่ารักหนึ่งคอกที่ข้างๆ บ้านเรา ลูกๆ ทุกตัวของแม่แมวต่างมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ละตัวมีหน้าตาน่าเอ็นดู

                แม่แมวเลี้ยงลูกอย่างดีเรื่อยมา จนหลายเดือนคล้อยหลัง แม่แมวจึงปล่อยให้ลูกน้อยเดินกันเพ่นพ่านไปทั่วตามลำพัง ลูกแมวน่ารักเหล่านั้นเป็นที่ต้องตาต้องใจเจ้าน้องชายตัวดีของเรามานาน เมื่อได้ทีมันจึงแอบไปลักเอาลูกแมวเขามาหนึ่งตัว

                เจ้าน้องชายตัวดีคว้าได้ลูกแมวตัวเมียสีขมุกขมัว จมูกกับหูเป็นสีกระดำกระด่างเหมือนราขึ้นขนมปัง หางยาวๆ ของมันดูเหมือนหางหนูเสียมากกว่าหางแมว แต่ด้วยความน่ารักของมันที่เห็นแล้วก็ทำให้เราอดยิ้มไม่ได้
                
                เจ้าน้องชายตัวดีมันเอาลูกแมวตัวน้อยมาปล่อยให้เดินเล่นในบ้าน

                ตามประสาแมวกำลังซนลูกแมวน้อยจึงเดินสำรวจไปเสียทุกซอกทุกมุมของตัวบ้าน

                ‘แปะ!!!’ เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น
                
                ฟังดูคล้ายเสียงกับดักหนูที่พ่อวางเอาไว้ใต้ตู้กับข้าว เพื่อกำจัดกองทัพหนูที่เข้ารุกรานบ้านเรา แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้คิด เสียงร้องโหยหวนชนิดที่เรียกได้ว่าเจ้าของเสียงกำลังเจ็บปวดจนสุดทนก็ดังตามมาติดๆ

                เมื่อทุกคนรุดเข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ จึงพบกับดักหนูแบบหนีบ ‘แปะๆ’ อันหนึ่งกับลูกแมวน้อยที่ยังกระโดดไปมา ปากก็ร้องเหมียวหง่าว! ด้วยความเจ็บปวด

                แน่แล้วคงเป็นเพราะเจ้าลูกแมวมันเดินสำรวจไปทั่วจนเจอเข้ากับกับดักหนูนั่นเอง ร้อนถึงพ่อที่ต้องเข้าปฐมพยาบาลเป็นการด่วน

                ผลการตรวจบาดแผลพบว่า ลูกแมวสีขมุกขมัวถูกกับดักหนูแบบหนีบดีดเข้าที่ดั่งจมูกสีดำของมัน แต่อาการไม่น่าเป็นห่วง คาดว่าคงจะโดนแค่ถากๆ หลายวันต่อมาอาการเจ็บปวดทั้งหลายจึงทุเลาลง

                จากการสันนิษฐาน (คาดเดา) ถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสยองในครั้งนั้น อาจสรุปได้ว่ามาจากปัจจัยสองประการคือ 1. อาจเนื่องมาจากความไม่ชำนาญในพื้นที่ของลูกแมว และ2. มันยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้ว่าโลกนี้โหดร้ายนัก

                ผลพวงจากอุบัติเหตุสยอง พ่อถูกเด็กๆ สั่งห้ามไม่ให้นำกับดักหนูแบบใดๆ มาใช้อีกต่อไป เพราะเกรงว่ามันอาจกลายเป็น
      กับดักแมวและสัตว์ใหญ่อย่างเราไปในที่สุด และข่าวดีที่ตามมาคือเจ้าของลูกแมว ตัดสินใจยกลูกแมวสีกระดำกระด่างหางหนูให้กับเรา เพราะคิดว่าเราอาจจะอยากเลี้ยงมัน บ้านเราจึงได้ต้อนรับสมาชิกใหม่มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

                --------------------          

                สมาชิกใหม่ที่เพิ่งย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในบ้านเราชื่อว่า ‘หมี’ แม่เป็นคนตั้งให้ แม่บอกว่าเป็นเพราะหน้าตามันเหมือนหมีเป็นที่สุด ฉันก็เลยต้องเอ๋อ... เอ้ย! เออออตามแม่ไปด้วย (ทั้งที่ฉันอยากจะแย้งแม่ว่ามันอ้วนเหมือนหมีต่างหาก!!!)

                การที่หมีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเรานั้น ถือเป็นช่วงเวลาพอดิบพอดีกับที่เราได้ข่าวว่าครอบครัวของหมี ทั้งแม่แมว พี่แมว และน้องแมวของมัน มีอันต้องอพยพไปอยู่วัด! เนื่องจากเจ้าของแมวไม่ต้องการเลี้ยงมันอีกต่อไป การถวายให้เป็นสมบัติของวัดจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง หมีเลยต้องพลัดพรากจากครอบครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเรียกว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้ายของเจ้าหมีอย่างไรนั้นฉันก็ไม่ทราบได้
          
                หมีต้องพลัดพรากจากครอบครัวตั้งแต่ยังเล็ก ในขณะที่มีอายุได้ 2-3 เดือนเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ลูกแมวกำลังจะอย่าขาดจากนมแม่แล้ว หมีจึงไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ร้องเรียกหาแม่ให้ต้องรำคาญใจ หากแต่ฉันยังเชื่อว่า ลึกๆ แล้วในใจของหมีคงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็คงอยู่ลึกเต็มทีเกินกว่าที่คนอย่างเราๆ จะหยั่งถึง

                หมีน้อยเป็นแมวตัวแรกที่ครอบครัวเราตัดสินใจเลี้ยงไว้ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ตัวแม่เองพูดอยู่เสมอว่าไม่อยาก และไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ เพราะมันเป็นภาระ อีกทั้งบ้านเราก็ไม่มีใครที่มีเวลามากพอจะดูแลพวกมันได้ ถ้าเลี้ยงไว้ก็เหมือนเอามันมากักขังเปล่าๆ อีกอย่างแม่เชื่อว่าการเลี้ยงสัตว์จะทำให้สุขภาพพวกเราไม่แข็งแรง เพราะสัตว์เป็นพาหะของโรคร้ายต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคงเลี้ยงหมีเรื่อยมา อาจเป็นเพราะแม่ทนเสียงเรียกร้องจากพวกเด็กๆ ไม่ไหว และที่สำคัญคือ หมีไม่เหลือใครที่รู้จักแล้ว แม่ไม่ใจร้ายพอที่จะเอาหมีไปปล่อยวัดหรอก ถึงจะนั่งบ่นทุกเช้า-เย็นก็ตาม

                ด้วยความที่หมีเป็นแมวตัวแรก และครอบครัวเราก็ไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อน เราจึงดูเหมือนเด็กอ่อนหัด เพราะนอกจากข้าวคลุกปลาทูที่เราทราบว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแมวแล้ว เราก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นๆ เลย

                เรานึกไม่ถึงกระทั่งว่า แมวก็ต้องเข้าห้องน้ำ ต้องขับถ่ายเหมือนกับคน ดังนั้นในช่วงแรกๆ หมีจึงเป็นแมวที่ชอบฉี่เรี่ยราด บางทีหมีฉี่รดที่นอน  บางทีหมีฉี่บนกระเป๋า  บนกองผ้า  หมีทำอย่างนี้จนติดเป็นนิสัย แต่ก็มีบางทีนะ บางทีเท่านั้นที่หมีนึกอะไรขึ้นมาได้ หมีก็จะเดินเข้าไปฉี่ในห้องน้ำเหมือนอย่างคน เรียกว่าเป็นแมวที่มารยาทงามสุดๆ  

                อย่างไรก็ตามบ้านเราช่วงนั้น ไม่ว่าจะนั่งอยู่มุมไหนก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นฉี่ของหมี จะโทษว่าเป็นความผิดของหมีที่มีนิสัยไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากหมีไม่มีห้องน้ำส่วนตัวสำหรับแมวนั่นเอง ในเมื่อไม่มีห้องน้ำหมีก็เลยไม่รู้จะไปฉี่ที่ไหน หมีจึงเปรียบเสมือนบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเรียนรู้ว่า     สัตว์ก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกันนะ เหมือนกับคนนั่นแหละ ต้องกิน ต้องนอน ต้องมีที่ทางให้ขับถ่าย จากนั้นมาพ่อกับแม่เราจึงตระเตรียมกะละมังที่ข้างในมีทราย บางทีเป็นทรายก่อสร้างธรรมดา บางทีก็เป็นทรายวิทยาศาสตร์ทันสมัยไว้สำหรับให้แมวฉี่โดยเฉพาะเพื่อเป็นห้องน้ำส่วนตัวของหมีนั่นเอง

                อาหารการกินของหมีนั้น หมีจะชอบข้าวคลุกกับปลาทูนึ่ง (ที่นึ่งแล้วนึ่งอีก เพราะแม่กลัวว่าถ้าปลาไม่สุกดีจะทำให้หมีเป็นพยาธิ) หมีไม่ชอบอาหารสำหรับแมวเท่าไร เพราะไม่เห็นหมีจะพิศวาสมากไปกว่าข้าวคลุกปลาทูฝีมือแม่ แต่ของกินที่หมีจะชอบเป็นพิเศษ คงจะเป็นพวกไก่ย่าง ตับไก่ และของทอดทั้งหลายที่คนกิน แต่แม่ไม่ค่อยชอบให้หมีกินของย่างของทอดนักเพราะมีไขมันเยอะ จะทำให้หมีกลายเป็นแมวอ้วนพุงพลุ้ย หรืออาจถึงขั้นไขมันจุกอกตายได้ ดังนั้นหมีจึงได้กินของพวกนี้เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น     ถึงอย่างนั้นปัจจุบันหมีก็กลายเป็นแมวอ้วนอยู่ดี เพราะลับหลังแม่ทีไรก็มักมีมือดีแอบให้ของต้องห้ามแก่หมีทุกครั้งไป

                ที่นอนของหมีในช่วงปีสองปีแรกจะอยู่ในห้องพี่ชาย ทำให้หมีสนิทกับพี่ชายมากกว่าใคร เมื่อถึงเวลาเข้านอน หมีจะตามพี่ชายเข้าไปในห้อง และตรงรี่เข้าไปนอนเบียดเพื่อให้ได้ไออุ่น หมีนอนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน แต่พอเช้ามาจะไม่มีใครหาหมีเจอหรอก แม่เล่าให้ฟังว่าต้องเปิดผ้าห่มพี่ชายออกดู จึงพบว่าหมีเข้าไปหลบนอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม หมีนอนขี้เซามาก และติดนิสัยชอบนอนเบียดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

                ช่วงกลางวันเป็นเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้านเลย พวกเราจำต้องขังหมีไว้ในบ้านทั้งที่ความจริงนั้นไม่อยากทำอย่างนั้นเลย เพราะเข้าใจอยู่ว่าธรรมชาติของแมวแล้วรักอิสระ และชอบท่องเที่ยวมากกว่า แต่เราก็ไม่ต้องการให้หมีไปติดโรคร้ายจากเพื่อนแมวมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยแก่ตัวหมีเอง หมีจึงต้องรับอาสาเป็นยามคอยเฝ้าบ้าน ถึงอย่างนั้นหมีก็ไม่รังเกียจ (เราคาดว่าจะเป็นอย่างนั้น) ที่จะต้องอยู่แต่ภายในบ้าน แม้บางครั้งหมีจะแอบหนีออกไปเดินชมนกชมไม้นอกบ้านบ้าง หรือหยุดทักทายกับเพื่อนแมวระหว่างทาง แต่ไม่นานนักหมีก็จะกลับมา (เราหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน)

                ในวันว่างเราพยายามให้อิสระแก่หมีให้มากที่สุด เพื่อที่หมีจะได้เดินเล่นดูโน่นชมนี่บ้าง โดยได้ทำสัญญาใจกันว่า หมีจะต้องอยู่ในที่ๆ เราสามารถมองเห็นได้ ซึ่งบ้างครั้งหมีก็ยอมทำตามแต่โดยดี ด้วยการนั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้ แต่หารู้ไม่ว่าหมีได้วางแผนหลอกให้เราตายใจ     เพราะเผลอเมื่อไรหมีก็จะวิ่งปรู้ดหายไป ไม่มีใครทันได้ว่าอะไรหมีหรอกเพราะกว่าหมีจะกลับมาเราก็หายโกรธหมีกันแล้ว

                หมีกลัวแม่เป็นที่สุดเพราะแม่ตัวใหญ่ และมีเสียงดุเหมือนยักษ์ แม่จะไม่ชอบใจมากๆ เวลาที่หมีหนีออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เมื่อแม่เห็นเจ้าหมีอ้วนแอบย่องไปที่ประตูเมื่อใด แม่จะทำเสียงดุใส่เพื่อคอยปราม เมื่อหมีได้ยินก็จะวิ่งหายเข้าบ้านไปในทันที แต่อีกสักพักหมีก็จะแอบย่องออกมาใหม่จนได้สิน่า สอนไม่จำสักที (ขณะผู้เขียนกำลังนั่งพิมพ์ต้นฉบับ เจ้าหมอกน้อยแมวแสนรักกำลังนอนอยู่ในถุงพลาสติกใบพอดีตัว)

                ช่วงแรกๆ ที่หมียังไม่มีน้องแมวไว้คอยเป็นเพื่อนเล่น หมีก็จะเล่นและคลุกคลีอยู่กับคน หมีจะเล่นกับพี่ชายบ้าง เล่นกับฉันบ้าง หรือไม่ก็เล่นกับเจ้าน้องชายทำให้หมีสนิทกับคนมาก ดังนั้นหมีจะกลายเป็นแมวขี้เหงาในทันทีถ้าไม่เห็นคน เช่น บางทีถ้าหมีรู้ว่ามีคนอยู่บ้านแล้วแอบหลบเข้าไปนอนในห้อง ปล่อยให้หมีอยู่นอกห้องคนเดียว หมีก็จะร้องโวยวายเรียกหาเป็นการใหญ่ ทำเอาคนที่อยู่ตกอกตกใจ นึกว่าหมีเป็นอะไร ที่แท้หมีก็ขี้เหงานี่เอง เพราะเมื่อหมีเห็นคน หมีก็จะหยุดร้องไปโดยปริยาย หมียังติดนิสัยเป็นแมวขี้เหงาเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

                ฉันเคยเห็นแมวมาก็มาก ทั้งแมวที่พี่สาวข้างบ้านเลี้ยงไว้ หรือจะเป็นแมวตามสถานที่ต่างๆ ที่บังเอิญไปพบเจอ แต่กระนั้นก็ไม่แน่ใจนักว่า จะมีแมวตัวไหนที่ประหลาดเท่าหมีอ้วนของเราหรือเปล่า

                หมีเป็นแมวประหลาดอย่างที่ว่า คือ บางครั้งหมีก็เกิดมีนิสัยขี้อายมากๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหมีเริ่มคิดจะขี้อายอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าหมีจะอายมากเวลาที่มีคนมาเห็นหมีกำลังทำธุระส่วนตัว เมื่อหมีเห็นคนเดินผ่านมาทีไร หมีจะจัดแจงรีบฉี่รีบอึให้เสร็จเดี๋ยวนั้น จากนั้นก็จะรีบวิ่งหายลับไป

                หมีขี้อายเอามากๆ ถึงขนาดว่าบางครั้งแม้หมีจะปวดท้องมากๆ แต่ถ้ายังไม่ปลอดคน หมีจะไม่ยอมฉี่ยอมอึเด็ดขาด ต้องรอจนเกือบราดนั่นแหละถึงจะยอม  ฉันคิดว่าถ้าหมีเป็นคน ป่านนี้หมีคงจะอายหน้าดำหน้าแดงให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

                เรื่องประหลาดอีกอย่างของหมีคือ พฤติกรรมชอบลอกเลียนแบบ ทั้งๆ ที่หมีมีห้องน้ำส่วนตัวอยู่แล้ว แต่บางครั้งเราก็จะเห็นหมีแอบย่องมาใช้บริการห้องน้ำของคนอยู่เป็นประจำ เห็นท่าทางของหมีแล้วเป็นต้องนึกขำในใจทุกที เพราะหมีจะขึ้นไปนั่งยงโย่ยงหยกอยู่ตรงที่คนใช้ฉี่ แต่พอมีคนมาเห็นเข้าเท่านั้นหมีก็จะรีบวิ่งหายลับไปในทันทีตามระเบียบ

                จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันว่าง ฉันกำลังเล่นกับหมีอยู่ดีๆ ก็เกิดนึกครึ้มอยากร้องเพลงให้หมีฟัง ไม่รู้ว่าร้องเพลงอะไรของใครบ้าง แต่เท่าที่จำได้ก็หลายเพลงอยู่เหมือนกัน แรกๆ ก็นึกว่าหมีอาจจะชอบ และมีอารมณ์เคลิบเคลิ้มตามเสียงเพลงอันไพเราะ เพราะเห็นหมีนั่งฟังเฉยๆ อยู่ได้ตั้งนาน แต่อยู่ดีๆ หมีก็หันมาจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วร้อง “แง้ว” ออกมา ก่อนจะเดินตรงเข้ามางับที่ขา ฉันจึงรู้ว่าหมีคงอดทนฟังมานานเต็มทีจนทนไม่ไหว นี่ถ้าหมีพูดได้หมีคงอยากตะโกนบอกกับฉันว่า “เมื่อไรจะหยุดร้องสักทีวะ รำคาญจริงโว้ย!” หรืออะไรทำนองนั้น
          
                เรื่องนิสัยประหลาดๆ ของหมียังมีอีกมากมายอย่างเช่นเรื่อง การหาวิธีปลุกให้คนตื่นนอนแบบประหลาดๆ หมีเลือกที่จะเอามาใช้กับฉันโดยเฉพาะ เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่พี่ชายย้ายออกจากบ้านไปตามประสาคนหนุ่มที่ชอบใช้ชีวิตตามลำพัง หมีก็ต้องระเหเร่ร่อนไปนอนกับเจ้าน้องชายบ้าง นอนกับพ่อกับแม่บ้างซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีใครทนหมีได้นานนัก เพราะหมีชอบนอนเบียด และชอบฉี่รดนู่นนี่อยู่เรื่อย ดังนั้นฉันจึงได้รับเกียรติจากหมีที่มักมาอาศัยที่นอนอันอบอุ่นของฉันบางเป็นครั้งคราวแล้วแต่อารมณ์ของคุณเธอ

                ฉันเองเป็นคนนอนขี้เซามากขนาดว่าหมียังต้องเรียกพี่ทีเดียว ดังนั้นบ่อยครั้งหมีจึงตื่นนอนก่อน และเมื่อหมีต้องการออกไปทำธุระนอกห้องในตอนเช้า ขณะที่ฉันยังหลับไม่รู้ตื่น หมีจึงต้องเป็นฝ่ายปลุก วิธีการปลุกของหมีไม่ธรรมดาตรงที่หมีไม่ต้องเสียแรงส่งเสียงร้อง “เหมี๊ยว เหมี๊ยว” ตามประสาแมวทั่วไป หรือไม่จำเป็นต้องตะกุยตะกายผ้าห่มให้เมื่อยตุ้ม แต่หมีจะใช้วิธีดิ่งพสุธาท้านรกแทน ซึ่งก็เป็นวิธีแสบซึ้งที่หมีชอบใช้เป็นพิเศษ

                “ปัก!!!” เสียงน้ำหนักตัวสามกิโลกว่าของหมี (ในตอนนั้น ปัจจุบันหกโลแล้ว!) กดทับลงบนอก ได้ผลเกินคาดจริงๆ เพราะฉันจะกระเด้งสุดตัว ลุกขึ้นมาเปิดประตูให้หมีอย่างรวดเร็วทันใจแมวเหมียวใจร้อน เป็นวิธีที่แม้แต่แม่ซึ่งเป็นนักปลุกชั้นเซียน ที่คอยปลุกลูกๆ มามากกว่าสิบปียังนึกไม่ถึง หมีฉลาดจริงๆ และคงภูมิใจมากเสียด้วย แต่อย่าให้บ่อยนักนะหมีนะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×