หลายวันก่อนเปิดไดฯของคนคนหนึ่งที่เขียนเล่าเรื่องราววันเกิดของคุณตาเขาไว้....เลยพลอยทำให้ฉัน
คิดถึงคนหญิงชราคนหนึ่ง ที่ฉันเคารพรักมากที่สุดในชีวิต ขึ้นมาจับใจ จนต้องหยิบยกเรื่องราว
ของท่านมาบันทึกไว้ในความทรงจำที่นี่
ย่าทวดของฉันเป็นหญิงชราที่ใจดี และเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสมอ...ท่านเป็นคนที่มองโลกกว้าง
และถึงแม้ว่าวันเวลาจะร่วงโรย จนอายุท่านย่างก้าวเข้าเลข 8 แล้ว ท่านก้อยังเป็นคนแก่ที่มีเหตุผลเสมอ
ตอนเด็กๆเพราะว่าพ่อกับแม่ต้องออกทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ในความทรงจำของฉันจึงมีแต่ภาพ
ของฉันและคุณย่าทวดเสียส่วนใหญ่...ย่าทวดเป็นคนดูแล ให้การอบรมสั่งสอนในเรื่องมารยาทต่างๆ
กับฉันตอนเด็กๆ..เนื่องจากฉันเป็นเหลนคนแรกของท่าน เลยสนิทกับท่านมากที่สุด
เราสองมักจะใช้เวลาว่างๆทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน ตอนเด็กๆ ย่าทวดเป็นคนสอนให้ฉันสวดมนต์
เป็นคนตัดผมให้ฉันเสมอ...ฉันชอบไอติมรสฟักทองกะทิที่ท่านทำเป็นพิเศษให้ฉัน
ท่านเป็นคนแก่ที่รักความสงบมาก ทุกๆวันท่านจะตื่นตี 5 เดินเล่นประมาณ 30 นาที
และจะเริ่มต้นสวนมนต์จนถึง เวลาราวๆ 7 โมงกว่าๆ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันจะตื่นขึ้นมาทุกๆเช้า
ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและสงบในการสวดมนต์ของท่าน หลังจากนั้น 8 โมงกว่าๆ
ท่านก้อจะนำอาหารออกมาไหว้พระ...ตอนบ่ายๆท่านจะไปห้องครัว ช่วยทำอาหาร
และบ่ายแก่ๆท่านจะชอบนั่งอยู่ในชิงช้า แกว่งไปมาเบาๆ สายตาทอดออกไปไกล
ท่านคงกำลังคิดอะไรอย่างเงียบๆเป็นแน่....ฉันก้อได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
เราทานข้าวด้วยกันทุกวัน แต่จานอาหารของเราไม่เหมือนกัน เพราะว่า
ท่านไม่ชอบอาหารคาว ดังนั้นบั้นปลายชีวิตของท่านจึงทานแต่อาหารเจเป็นส่วนใหญ่.....
ฉันจำได้ว่าตอนที่ผลการสอบตอนประถม 1 ของฉันออกมาแย่ โดนพ่อดุ แต่ขณะที่ย่าทวดอยู่
ท่านไม่เพียงแต่ห้ามพ่อไม่ให้ดุด่าแล้ว ท่านยังให้ค่าขนมเพิ่มอีก ท่านบอกฉันว่า
“ครั้งนี้ไม่ดี คราวหน้าก้อตั้งใจเรียนกว่านี้ เข้าใจไหม” ......ฉันได้แต่ผงกหัวรับ...แต่ในใจรู้สึก
ปลาบปลื้มและละอายใจยิ่งหนักเชียว..........
ครั้งหนึ่งฉันโดนมอเตอร์ไซด์เฉี่ยว และขาถลอกเป็นแผลใหญ่....ย่าทวดได้ข่าว
วันรุ่งขึ้นก้อรีบมาดูอาการของฉันทันที...ท่านคงรู้ว่าฉันเจ็บแผล แต่ฉันก้อไม่ร้องไห้สักแอะเดียว
บ่ายวันนั้น ท่านสอนฉันพับเรือใบกระดาษ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกสนุกกับการพับกระดาษ
ท่านบอกว่า เวลาเราเจ็บแผลน่ะ ก้อนั่งหาอะไรทำเพลินๆจะได้ไม่คิดถึงมันน่ะ
ตกเย็นท่านก้อกลับบ้านไป...ตอนนั้นฉันยังแอบคิดเสียดายในใจเงียบๆว่า
“ไม่น่าแกล้งทำเป็นเข้มแข็งเลย ถ้าอ้อนท่านสักหน่อย ท่านคงจะไม่รีบกลับเป็นแน่”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ย่าทวดก้อจากฉันไปเพราะโรคชรา....ฉันยังจำช่วงเวลา
ที่แม่พาฉันไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลทุกๆเย็น จนกระทั่งเราย้ายท่านกลับมา
พักรักษาตัวที่บ้าน ...... ฉันยังจำบ่ายวันนั้นที่ท่านจากเราไปได้แม่น เหมือนกับว่า
มันเพิ่งผ่านมาไม่นาน
เที่ยงวันนั้น หลังกลับจากเรียนพิเศษ ฉันวิ่งเข้าไปหาย่าทวดที่ห้องนอน
และเข้าไปคุยกับท่าน
“ย่าทวด กินข้าวยังจ๊ะ” ฉันถามไปพร้อมๆกับลูบแผ่นหลังของท่านไปเบาๆ
“ทวดกินแล้วลูก....เพิ่งกลับเหรอ..ไปกินข้าวสิ” ท่านพูดด้วยท่าทางเหม่อลอย
แต่ก้อยังมีสติครบถ้วนทุกประการ....หลังข้าวเที่ยงวันนั้น ฉันไปนั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น
สักพักหนึ่งก้อได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม และเสียงคนตะโกนดังวุ่นวาย......
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...แต่ก้อไม่ได้เอ๊ะใจอะไรมากมาย...สักพักหนึ่งป้า** (แม่บ้าน)
ก้อเข้ามาบอกฉันว่า พ่อ แม่ และน้าพาย่าทวดไปโรงพยาบาล เพราะย่าทวดไม่หายใจ
กับเด็กอายุเพียง 8 ขวบเศษๆ ฉันไม่เข้าใจว่าการไม่หายใจมันคืออะไร และมีความร้ายแรง
เพียงใด.....
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน...หลังจากนั้นน้าก้อรับฉันตามไปโรงพยาบาลด้วย....
ฉันไปถึงก้อไม่มีคนสนใจฉัน แต่ฉันเห็นแม่ตาแดง และร้องไห้มาก
ย่าทวดนอนอยู่บนเตียงเหมือนตอนที่ท่านหลับปกติ จากสถานการณ์ในตอนนั้น
ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก...ท่านคงไม่ได้หลับธรรมดาแน่ๆ
“แม่ ทวดเป็นไร” ฉันถาม....ทั้งๆที่พอจะรู้คำตอบแล้ว
“ท่านเสียแล้วลูก...หมอปั๊มหัวใจหลายที แต่หน้าจอก้อขึ้นเป็นเส้นตรงตลอด” แม่ตอบ
ไม่รู้ว่าเพราะช็อคกับคำพูดแม่ หรือว่าเพราะอะไร...ฉันไม่รู้สึกตัวเลย...
ฉันพยายามจ้องมองย่าทวดที่นอนอยู่บนเตียงเข็น...และเพ่งพิจราณาแบบไม่ละสายตาไปไหน
สักพักหนึ่ง ฉันเหมือนกับเห็นว่าท่านยังหายใจอยู่ เหมือนกับว่าร่างกายท่านขยับขึ้นลงเบาๆตาม
จังหวะการหายใจ....ฉันคิดอย่างไร้เดียงสาว่า ไม่แน่ท่านอาจจะแค่หลับไปจริงๆก้อได้
แล้วทุกคนคงเข้าใจผิดว่าท่านสิ้นลมแล้ว.....แต่แม่ก้อยังยืนยันเสียงแข็งว่าท่านเสียแล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามบอกในสิ่งที่ฉันคิด...มาคิดตอนหลัง ที่ฉันคิดว่าร่างกายท่านขยับขึ้นลงเบาๆ
อาจเป็นเพราะว่าจังหวะการหายใจของฉันเอง ที่ทำให้มองเห็นอย่างนั้น.....
แม่เล่าว่าแม่ไปกินข้าวเที่ยง และเอาชาโสมใส่น้ำร้อนแช่ไว้ กะว่าพอกินข้าวเสร็จจะไปปลุก
ย่าทวดตื่นมาดื่มชาโสม...แต่ตอนที่เรียกท่านตื่น ท่านก้อไม่ขานรับแต่อย่างใด...
เมื่อแม่เขย่าตัวท่าน ท่านก้อไม่มีลมหายใจแล้ว...ท่านจากไปอย่างสงบ.....ด้วยวัย 82 ปี
หลังงานศพของท่าน ฉันร้องไห้ติดต่อกัน 3 คืน เพียงเพราะแค่คิดว่าเมื่อไหร่ที่ตื่นมา
ก้อคงไม่เห็นท่านอีกแล้ว อยากเจอเมื่อไหร่ ก้อไม่รู้จะไปหาที่ไหน....ท่านอาจจะไป
เกิดใหม่ที่ประเทศไหนสักแห่ง อาจจะมีคนหน้าตาคล้ายๆท่านอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แล้วฉันจะหาเจอไหม.....ฉันวคิดวนไปวนมาแบบนี้อยู่เป็นเวลาหลายเดือน.....
ฉันเรียนรู้ถึงความน่ากลัวของการจากไปจากตอนนั้น และรับรู้รสชาติของการ
สูญเสียญาติอันเป็นที่รักไป
เดี๋ยวนี้ ทุกๆครั้งที่ฉันขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว มักจะคิดเสมอว่า หากย่าทวดตอนนี้
ท่านยังอยู่ จะดีแค่ไหน....ฉันคงจะพาท่านไปเดินเล่นทุกๆเย็น และนั่งคุยกับท่านหลัง
อาหาร..ว่างๆก้อพาท่านไปช้อปปิ้ง...ท่านคงจะมีความสุขที่ได้เห็นฉันโตขึ้นมาเยอะขนาดนี้
ฉันคิดว่าท่านคงไม่ได้จากฉันไปไกลมาก...แต่ยังคงมองดูฉันอยู่จากที่ไหนสักแห่ง......
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น