[b]ผมรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประจำอำเภอมาได้กว่า ๑ เดือนแล้ว[/b] อาการของผมก็ดีขึ้นเรื่อย โดยที่แม่และเพื่อนสนิทของผมแวะเวียนมาเยี่ยมมาดูแลเป็นประจำ ในวันนี้อาการเย็นสบาย ลมพัดมาอยู่เป็นระยะๆ ผ่านหน้าต่างที่แม่เปิดไว้ให้ก่อนไปทำงาน ทำให้ผมรู้สึกสดชื่น เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นน้องของผม เปิดประตูห้อง ๔๐๑ ในโรงพยาบาล เดินเรียงแถวเข้ามาในห้องเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์อย่างผม
“สวัสดีครับพี่ภู ดีขึ้นแล้วหรือยังครับ” รุ่นน้องกล่าวทักทายผมอย่างเป็นกันเอง
“ดีขึ้นแล้วครับ ขาหัก ๒ ท่อนก็ต้องดามเหล็กเข้าเฝือกเอาไว้ คันชะมัดเลย ขอบคุณพวกคุณนะครับที่มาเยี่ยม” ผมรู้สึกดีใจที่พวกเขายังเป็นห่วงรุ่นพี่ที่ไม่ค่อยได้เรื่องอย่างผม ก็ตอนรับน้องเมื่อ ๒ ปีก่อนผมแกล้งเขาไว้เสียมากมาย พวกเขาก็ยังใจดีมาเยี่ยมผมอีก นึกว่าจะโดนเกลียดเสียแล้ว ผมจึงคิดจะตอบแทนหรือเป็นการไถ่โทษก็แล้วแต่จะคิด โดยการเล่าเรื่องวีรกรรมอันบ้าดีเดือดของผมให้พวกเขาฟังตามที่พวกเขาเคยขอร้องตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุใหม่ๆ พวกเขานั่งลงและผมก็เริ่มเล่า
.............................................................................................
..
ในเย็นวันนั้นซึ่งเป็นตอนเย็นของวันเสาร์ ผมได้ทะเลาะกับแม่ของผม ผมขออนุญาตแม่ออกไปหาเพื่อน แต่พอแม่รู้ว่าพวกเรานัดกันไปแข่งรถที่ถนนทางไปโรงงานร้าง แม่ก็ห้าม
“มันอันตราย” แม่บอก
“ไม่เป็นอันตรายหรอก มีเพื่อนตั้งหลายคนอยู่ด้วย ครั้งที่แล้วผมไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ผมเถียง
แต่แม่ก็ยังไม่ยอมให้ไปอยู่ดี และผมเองก็จะไม่ยอมอยู่บ้านแน่ นัดเพื่อนเอาไว้แล้ว อีกทั้งหากผมชนะผมจะได้เงิน ๓๐๐๐ บาทซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะในครั้งนี้ การแข่งขันนี้จะจัดเพียงเดือนละ ๑ ครั้งเท่านั้น
ผมจะไม่ยอมอยู่ฟังแม่อีกต่อไปแล้ว ผมจึงวิ่งออกไปที่ลานจอดรถ แล้วขี่จักรยานยนต์ออกไปเลย ผมได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกตะโกนให้ผมกลับมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
.............................................................................................
..
ผมมาพบเพื่อนที่สวนสาธารณะอันเป็นต้นถนนสู่โรงงานร้าง มีคนมารออยู่ก่อนแล้ว ๓-๔ คน ผมเข้าไปทักทายพวกเขา แล้วรอเพื่อนคนอื่นๆที่จะมาสบทบอีกจำนวนหนึ่ง พอเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา พวกเราก็มีกันอยู่ประมาณ ๒๐ คน พวกเราเริ่มการแข่งขันในเวลา ๒๑ นาฬิกา ผมเริ่มบิดคันเร่งแล้วขี่ออกไป สักพักหนึ่ง ผมก็เริ่มแซงหน้าคนอื่นๆ ในตอนนั้นผมรู้คึกคะนองมาก เร่งความเร่งจนสุดความสามารถของผม แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น ในตอนที่ผมควรจะมีสมาธิ มองตรงไปข้างหน้า ผมกลับคิดถึงเรื่องที่ทะเลาะกับแม่เสียได้ ภาพในสมัยก่อนที่แม่ทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียว แม่สนใจแต่งาน ผมมองไม่เห็นรถบรรทุกคันใหญ่จอดขวางถนนอยู่หน้าผมเลย เพื่อนๆก็ตะโกนเรียก พอผมได้สติผมก็พยายามหักหลบอย่างสุดฤทธิ์จนตัวโก่ง แต่ช้าไปเสียแล้ว รถจักรยานยนต์แฉลบล้มลง ตัวผมก็ปลิวกระเด็นกระดอนออกไป ผมไม่รู้สึกตัวอีกเลย
.............................................................................................
..
“คุณทำใจดีๆ ไว้นะค่ะ” ผมลืมตาขึ้น นางพยาบาลในรถพยาบาลพยายามจะปลุกผมให้ตื่น พวกหล่อนคงพยายามจะช่วยผมอย่างเต็มที่ก่อนจะถึงโรงพยาบาล ผมหันหน้าไปอีกฝังหนึ่งของรถพยาบาล อ๊อด เพื่อนสนิทของผมที่ร่วมการแข่งครั้งนี้นั่งกอดเข่าก้มหน้าตัวสั่นอย่างกับกลัวอะไรบางอย่าง ผมเข้าใจและรู้ดีว่าเขากลัวอะไร เขากลัวผมจะบาดเจ็บมากจนถึงตาย ก็คงจะน่ากลัวอยู่เพราะผมในตอนนี้ผมคงอยู่ในสภาพที่แย่ที่สุด ถึงผมจะไม่เห็นแต่ผมรู้สึกได้ รู้สึกถึงของเหลวที่ไหลออกมาและยังรู้สึกถึงความเจ็บ เจ็บที่ลึกลงถึงกระดูกเหมือนถูกโบยตีเป็นพันๆครั้ง ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ผมคงกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่ขาข้างซ้ายซึ่งเจ็บปวดที่สุดจนผมคิดว่าประสาทของผมแทบไม่อยากรับรู้ถึงอาการเจ็บนั้นเลย ผมเอื้อมมือไปสะกิดอ๊อดเบาๆ อ๊อดเงยหน้าขึ้น คำพูดทั้งหลายที่ผมเดาเอาเองว่าเขาคงคิดมาตลอดตั้งแต่ขึ้นรถพยาบาลหรืออาจก่อนหน้านั้นพรั่งพรูออกจากปาก
“ภู
นายจะตายไม่ได้นะ นายก็รู้นี่ว่าชั้น
ชั้นเป็นห่วงนายแค่ไหน แล้ว..แม่ของนายอีกแม่นายจะต้องเป็นห่วงนายมากนะ แม่เหลือนายเพียงคนเดียวเท่านั้น“ น้ำตาของอ๊อดไหลออกมาแต่ผมกลับบอกกเขาโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม
“แม่
แม่นะหรือ ไม่เห็นเคยจำได้เลยว่าแม่เคยเป็นห่วง เห็นแม่สนแต่งาน งานและงานเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ยังทะเลาะกันอีก แม่คงจะโกรธมากสินะ”
ผมจำได้ว่านานแสนนานมาแล้วหลังจากที่พ่อตาย แม่ก็ทำแต่งานมาตลอด ไม่ค่อยพาผมไปเที่ยว กินข้าวกับผม คุยกับผมเหมือนเมื่อก่อนที่พ่อจะจากผมไป พ่อจากผมไปผมก็แทบไม่เหลือใครอีกแล้ว เพราะเรามีกันอยู่เพียง ๓ คน ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก แม่ยังสนใจแต่งานไม่สมใจผม ผมเคยถามแม่ว่า
”ระหว่างภูกับงาน แม่เห็นอะไรสำคัญกว่ากันครับ”
“ภูสำคัญที่สุดสำหรับแม่” แม่ตอบ แต่ผมไม่เห็นว่าแม่จะทำตามที่พูดเลย ก็ยังสนแต่งานเหมือนเดิม
ในห้องผ่าตัดเหล่าแพทย์ผู้ชำนาญ ฉีดยา ล้างแผล ผ่าตัด ต่อร่างกายของผมกับสายต่างๆ มากมายจนวุ่นวายไปหมด ผมไม่สนใจหรอกว่าแพทย์พวกนี้จะทำอะไรกับตัวผม ผมรู้เพียงว่าเขาจะช่วยชีวิตของผมเท่านั้น และผมเดาเอาว่าผู้ป่วยคนอื่นๆก็คงคิดเช่นเดียวกัน เจ็บเจียนตายแล้วยังมาสนใจอะไรกันอีก จากนั้นผมก็สลบไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลยจนเหล่าแพทย์พึงพอใจในการรักษาตัวผม
.............................................................................................
..
ผมตื่นขึ้นในห้องพยาบาลพักพื้น เหล่าแพทย์พวกนั้นคงทำอะไรกับร่างกายผมเสียจนพอใจทั้งหมดแล้ว ผมมองไปยังปลายเตียง นาฬิกาเรือนไม่ใหญ่นักถูกแขวนอยู่ตรงนั้น มันบอกผมว่านี่เวลา ๒ นาฬิกาของวันใหม่แต่จะผ่านไปกี่วันแล้วผมไม่รับรู้ ผมรู้สึกว่าใครสักคนกำลังกอดผมอยู่ คงเป็นภาพที่ตลกน่าดู คนๆหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้คงเตียงพยาบาลเอาแขนข้างเดียวโอบผ่านหน้าอกของคนเจ็บอย่างแผ่วเบา เป็นการกอดที่แปลกมาก แต่ก็อบอุ่นมากเช่นกัน ในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงนาฬิกาปลายเตียงที่ดัง ตึก
ตึก
ตึก เป็นจังหวะเท่านั้น
แสงไฟที่ส่องลอดมาทางหน้าต่างสว่างเพียงพอที่จะทำให้ผมเห็นว่าคนที่กอดผมด้วยท่วงท่าอันพิสดารนั้นคือ แม่
มารดา บุพการีผู้ให้กำเนิด ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของผม ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักที่สุดในโลก ไม่มีใครมาแทนเธอได้ อ้อมกอดของเธอช่างอบอุ่นเสียจริง นี่นะหรืออ้อมกอดของแม่ อ้อมกอดที่ผมลืมมานานนับ ๑๐ ปี สิ่งนี้ทำให้มีความสุขที่สุด
ภาพในอดีตที่ผมลืมมันไปกลับมาอีกครั้ง ภาพของเด็กผู้ชายเดินจูงมือมากับพ่อแม่ เพื่อไปเที่ยวสวนสัตว์ เที่ยวสวนสนุก พ่อกับแม่หัวเราะให้กับเขาเมื่อเขาเล่าเรื่องพร้อมทั้งทำท่าทางตลกขบขัน เขาในตอนนั้นก็คือผมในตอนนี้ต่างกันก็เพียงแต่ผมในตอนนั้นมีความสุขมากกว่าตอนนี้ พ่อกับแม่เองก็มีความสุขเช่นกัน
ทำไมผมถึงได้ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดนี้เสียได้ พ่อกับแม่รักผมมากไม่ใช้หรือ ตอนนี้พ่อจากไปแล้ว จากผมไปตลอดกาล ผมยังไม่ทันอำลาพ่อเลย ผมอยากอำลาพ่อจัง อีกคนที่เหลืออยู่คือแม่
แม่เองก็คงอยู่กับผมได้อีกไม่นานนักและคงอยู่กับผมตลอดไปไม่ได้ ทำไมผมถึงไม่ใช้ชีวิตกับครอบครัวคนสุดท้ายของผมให้ดีที่สุด เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลังละ ทำไมผมถึงสนใจสิ่งอื่นๆมากกว่าแม่ บุพการีของผม ในที่สุดผมก็เข้าใจ เข้าใจเสียทีกับคำว่า [b]แม่ ครอบครัวและลูกกตัญญู[/b] ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมควรทำ ควรจะทำมาตลอด และควรจะกระทำตลอดไปเพื่อแม่ สุดที่รักของผม
.............................................................................................
..
ผมตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้า สตรีนางหนึ่งซึ่งก็คือแม่ของผมยืนอยู่ข้างกายผม แม่กำลังเช็ดตัวให้ผมอย่างทะนุทนอมรักใคร่
“แม่ทำให้ภูตื่นหรือเปล่า” เสียงของแม่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่ปลุกผม
“เปล่าครับแม่ ผมตื่นของผมเอง”ผมตอบ ตามองหน้าแม่อย่างไม่กระพริบ วันนี้แม่สวยเหลือเกินในสายตาของผม
“แม่สวยจังครับ” ผมเอื่อนเอยออกไปตามความคิดกับภาพที่ผมเห็น
“แม่สวยหรือ โทรมอย่างนี้นะเรียกว่าสวยหรือภู สมองกระทบกระเทือนหรือเปล่าลูก” แม่หัวเราะอย่างเบิกบาน
“เจ็บตรงไหนบ้าง ลูกช้ำไปทั้งตัวเลย หมอบอกว่ากระดูกที่ขาหักเป็น ๒ ท่อน แต่ลูกโชคดีมากที่ลูกใส่หมวกกันน๊อกเอาไว้ไม่อย่างนั้นแม่อาจจะไม่ได้พบลูกอีกก็เป็นได้”
“แม่ไม่ไปทำงานหรอกหรือครับ” ผมถามขึ้นแต่ก็กลับนึกกลัวคำตอบอยู่จับใจ
“ไม่หรอกจ๊ะ แม่ขอเจ้านายลางานแล้ว ลูกเจ็บอย่างนี้จะให้คนเป็นแม่ทิ้งไปได้อย่างไร ลูกคือคนสำคัญสำหรับแม่นะ”
“เมื่อก่อนนี้ แม่ไม่เห็นสนใจผมเลย ทำแต่งานตลอด จนทำให้ผมคิดว่าแม่ไม่รักผมแล้ว คงเห็นผมเป็นตัวถ่วง เกะกะ”แม่เริ่มน้ำตาคลอ ผมคงพูดแรงไปทำให้ผมเองอยากจะถอนคำพูดนั้นกลับมา ผมมันปากเสียเอง
“แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกนะ แม่กลัวลูกลำบากจึงได้พยายามหาเงินมาให้ใช้มากๆ ลูกก็จะได้เท่าเทียมกับเพื่อนๆ แม่ไม่อยากเห็นปมด้อยของลูก แต่บางที
” น้ำตาของแม่ไหลหยดลงมาบนมือผม “แม่คงคิดผิดที่สนใจแต่จะหาเงินมากเกินไปเลยลืมคิดถึงจิตใจของลูก เป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์แม่อยากจะขอ
” ผมตัดประโยคของแม่ในทันใด
”แม่ครับ คนที่ควรขอโทษที่สุดคือผมครับ ผมเอาแต่ใจ ปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมเข้าใจในการกระทำของแม่ ผมควรมีความคิดมากกว่านี้ ผม
[b]ผมขอโทษครับแม่[/b]”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เองก็ผิดเหมือนกัน เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะภู” น้ำตาลูกผู้ชายอย่างผมไหลออกมาเหมือนล้นจากหัวใจ นี้ไม่ใช่ น้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ แต่คือน้ำตาแห่งความสุข ความปิติยินดีปรีดา ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่ากลุ่มคำสั้นๆ
[b]“เริ่มต้นกันใหม่”[/b] จะเป็นเสมือนยาวิเศษที่เทวดาบนฟ้าประทานออกจากปากของแม่ ทำให้บาดแผลที่หยั่งรากลึกในจิตใจนับ ๑๐ ปีของผมสมานเข้าติดกันอย่างง่ายดาย ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าจะนานสักเพียงไร บาดแผลในจิตใจของผมจะไม่มีวันปริออกอีกแล้ว และก็จะไม่มีวันที่แผลใหม่จะมาแทนที่ เพราะว่าผมเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกสิ่ง สายใยระหว่างผมกับแม่ แม้นจะเป็นเพียงสายใยที่เบาบางแต่เหนี่ยวแน่นไปด้วยความรักความเข้าใจนี้จะไม่มีวันขาดและสลายไปได้ เพราะผมเหลือเพียงแม่ ผู้เป็นครอบครัวคนสุดท้ายของผม ผมจะไม่ยอมให้อะไรมากั้น มาตัด มาขัดขวางอีกแล้ว ผมจะรักษามันด้วยชีวิตของผมตลอดไป
..............................................................................................
..
“พวกคุณคงเข้าใจถึงสิ่งที่ผมอยากให้พวกคุณรู้ใช่ไหมครับ ตอนนี้ผมสำนึกได้แล้ว พวกคุณเองละครับเข้าใจหรือยังเกี่ยวกับคำว่า[b]”ครอบครัว”[/b] แล้วพวกคุณจะสามารถรักษาสายใยของครอบครัวให้ดีได้ด้วยตัวของคุณไหม เพราะไม่ว่าสิ่งไหน อะไรในโลกนี้ที่สำคัญต่อคุณ ขอให้อย่าได้ลืมความสำคัญของครอบครัว เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณจะไม่สามารถจะหาที่ใดได้เลยนอกจากครอบครัวของคุณและนี้ก็เป็นความสุขที่แท้จริง สุขที่สุดในโลกก็ว่าได้” และผมก็ได้สัญญากับตัวเองและแม่ไว้ว่า
“ผมจะไม่ลืมความสำคัญและสายใยของครอบครัวเลย”
พวกคุณทุกๆคนจะสามารถให้คำมั่นสัญญากับตัวเองได้ไหม ผมคิดว่าทุกคนจะทำได้และจะทำได้อย่างดีเสียด้วย
.............................................................................................
พวกรุ่นน้องของผมพยักหน้า [b]“พวกเราจะพยายามให้เต็มที่ครับ”[/b] นี่คือคำสัญญาของพวกเขา พวกเขาลาผม แล้วทยอยเดินออกห้องของผมไป ในห้องพักของผมเงียบลงอีกครั้ง สายลมอ่อนๆก็ยังพัดเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สายลมนั้นแผ่วเบาเย็นสบาย ผมภาวนาไปกับสายลมขอพวกเขาสามารถทำได้ ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แต่ผมยังภาวนาให้ทุกคนในโลกนี้หันมาสนใจ [b]”ครอบครัว”[/b] ก่อนที่จะหลงระเริงไปกับสิ่งที่เป็นวัตถุนิยมมากไปกว่านี้ และหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจแล้วนำไปกระทำให้เป็นจริงขึ้นมา ผมจึงต้องการอย่างนั้นที่สุดจริงๆครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น