ณ ชายทะเลแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ มีแต่เสียงของน้ำทะเลกำลังเซาะหาดทรายเข้ามาเรื่อยๆเท่านั้นที่ดังเป็นจังหวะ ราวกับเป็นเสียงเพลงของธรรมชาติที่ขับกล่อมผู้คนในยามที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่ผู้ที่เปลี่ยมล้นไปด้วยความฝัน นั่งอยู่ริมหาดทรายเหม่อมองออกไปไกลในทะเล ราวกับกำลังจะมองหาคำตอบบางอย่างที่สุดขอบฟ้าของท้องทะเล ในขณะที่วันใสเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเขานั้นกลับหยิบกิ่งไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง แล้วขีดเขียนตัวอักษรไว้มากมายลงบนพื้นทราย และรอคอยให้น้ำทะเลซัดเข้ามาลบข้อความต่างๆที่เธอพรรณนาเขียนไว้ถึงบุคคลต่างๆ
   
                                “วันใส” เด็กหนุ่มเรียกเพื่อนสาว “เธอว่าชาตินี้เราสองคนจะมีทางรวยไหม”
    “อะไรนะ” วันใสถาม วันใสไม่ได้ตั้งใจฟังที่ทอฝันพูดเพราะเธอกำลังตั้งใจเขียนชื่อของเธอเองบนพื้นทรายอยู่นั้นเอง
    “ฉันถามว่า...เมื่อไหร่เราจะรวย” ทอฝันทวนคำถาม
    “เมื่อไหร่นะเหรอ” วันใสหยุดเขียน “ไม่รู้สิ...แต่เราว่าอยู่แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วนิ ยิ่งรวยมากเท่าใดความจริงใจของคนรอบข้างก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น”
    “แต่เธอไม่อยากลองใช้ชีวิตแบบลูกคุณหนูดูบ้างเหรอ” ทอฝันพยายามโน้มน้าววันใส “ลองคิดดูสิถ้าเธอรวยมหาศาล เธอจะเอาเงินไปทำอะไร”
    “ก่อนอื่น” วันใสกล่าว “ฉันจะไปเดินสยามแล้วแต่งตัวเวอร์ๆ...ดีมั้ย”
    “ส่วนฉันจะเอาเงินมาซื้อที่ตรงนี้ก่อน” ทอฝันกล่าวบ้าง “พ่อฉันบอกว่าตาหลงเจ้าของที่จะขายที่ตรงนี้เร็วๆนี้แหละ”
    “จริงเหรอ” วันใสมีอาการตกใจ เมื่อรู้ว่าที่ที่เธอและทอฝันรักกำลังจะถูกขายให้คนอื่น “ตาหลงเขาคิดยังไงกันนะ ถึงจะขายที่สวยๆแบบนี้ทิ้ง”
    “พ่อบอกว่าแกจะเอาเงินไปรักษามาวิน” ทอฝันเขวียงเปลือกหอยลงไปในทะเลซึ่งไกลพอควร “เห็นเขาบอกว่าเป็นมะเร็งในเมล็ดเลือดขาว”
    “มาวินที่เป็นเพื่อนเราตอนประถมแล้วไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯใช่มั้ย” วันใสถามอย่างสงสัย
    “อืมม์...ใช่ๆคนนั้นแหละ” ทอฝันตอบ “ถ้าฉันรวย...ฉันจะรักษามาวินแทนตาหลงเอง”
    “น่าสงสารวินจัง” วันใสกล่าวเศร้าๆ “ทอฝันนี้เป็นคนดีจริงๆเลยนะ...คิดจะทำเพื่อคนอื่นตลอด นี่ถ้าทอฝันรวยขึ้นมาจริงๆคงจะเปิดมูลนิธิทอฝันแน่เลยล่ะมั้ง”
    “เหอะๆๆ” ทอฝันหัวเราะฝืดๆ “ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ”
    “กลับบ้านกันเถอะ” วันใสเสนอ “เย็นมากแล้ว”
    “ตกลง” ทอฝันตอบ
                                ทั้งสองเดินไปหยิบจักรยานสองคันที่จอดอยู่ไกลๆพวกเขานี้เอง คันหนึ่งเป็นสีแดงแล้วมีตระกล้าอยู่ข้างหน้าเป็นของวันใส ส่วนอีกคันเป็นจักรยานเสือภูเขาสีดำเป็นของทอฝัน คนทั้งคู่ปั่นจักรยานไปตามถนนที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อสองปีก่อน ทางซ้ายเป็นทะเลส่วนทางขวาก็เป็นต้นสนที่ปลูกเรียงรายกันไปตามถนนที่ตัดใหม่เส้นนี้ และในที่สุดพวกเขาก็ปั่นมาถึงตลาดนัดกลางคืนซึ่งเป็นทางแยกที่คนทั้งคู่จะต้องแยกจากกัน พวกพ่อค้าแม่ค้าเริ่มที่จะทยอยกันตั้งร้านขายของกันแล้ว วันใสชวนทอฝันให้ไปทานที่บ้านก่อน แต่เขาปฏิเสธเพราะเกรงว่ามันจะดูไม่ดี แต่ในเวลานั้นเองวันใสบังเอิญไปเห็นบางอย่างเข้าเธอจึงชวนทอฝันให้จอดจักรยานไว้แล้วเดินตามเธอไป
   
                                “ลุงๆ” วันใสตะโกนเรียกชายชราตาบอดคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าตลาด “ล็อตเตอร์รี่สองใบสุดท้ายนี้ลุงขายยังไงค่ะ”
    “ใบล่ะร้อยครับ...แต่จากการฟังเสียงแล้วเธอคงจะเป็นเด็กวัยรุ่นใช่มั้ย” ลุงคนขายล็อตเตอร์รี่กล่าวอย่างอารมณ์ดี “น้อยคนนะที่จะมาซื้อของแบบนี้” ชายชราหัวเราะเบา
    “ใช่ค่ะ...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะค่ะ” วันใสสารภาพ “เห็นมันเหลือสองใบสุดท้าย คงจะนำโชคมาให้บ้างนะค่ะ...เพราะช่วงนี้หนูกับเพื่อนต้องการใช้เงิน เราจะเอาไปรักษาเพื่อนกับที่แห่งหนึ่งไว้ซึ่งมันมีความหมายต่อพวกเรามากค่ะ”
    “เธอกำลังจะทำอะไร” ทอฝันถามอย่างงง ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจในสถานการณ์บางอย่างที่วันใสกำลังทำ
    “ก็....กำลังหาวิธีรวยทางลัดอย่างถูกกฎหมายอยู่ไง” วันใสตอบเรียบๆ “ว่าแต่เอาเงินมายืมก่อนห้าสิบสิเงินไม่พอ”
    ในขณะที่ทอฝันกำลังจะหยิบเงินออกมาให้ ชายชราก็กล่าวแทรกขึ้นมา “ใบนี้ลุงยกให้พวกเธอก็แล้วกัน...ถือเสียว่าลุงช่วยเพื่อนของพวกหนูอีกแรงก็แล้วกัน”
    “จะดีเหรอค่ะ” วันใสไม่จะอยากรับ
    “เอาไปเถอะ...อย่าคิดมาก” ชายชรายื่นล็อตเตอร์รี่ให้วันใส ก่อนที่วันใสจะกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป
   
                                สองเดินกลับไปที่ที่จอดจักรยานทิ้งไว้ วันใสยังรู้สึกดีใจไม่หาย ขณะที่ทอฝันเริ่มสงสัยว่าชายชรามีจุดประสงค์อะไรกันแน่น แต่นี้แหละนิสัยของทอฝัน ชอบมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อนสำหรับคนแปลกหน้า
    “เอาไปสิ” วันใสยัดล็อตเตอร์รี่ทั้งสองใบใส่มือทอฝัน “ฉันตั้งใจจะซื้อให้นายอยู่แล้ว”
    “ทำไม” ทอฝันถาม
    “ฉันไม่รู้ว่าจะทำไงให้นายสบายใจ” วันใสกล่าวพลางกระโดขึ้นนั่งบนจักรยาน “นายคงอยากจะได้เงินมาก เพื่อเอาไปรักษาเพื่อน และที่ตรงนั้น...ฉันก็เลยอยากจะช่วยทอฝันบ้างแต่ก็คงทำได้แค่นี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับดวงแล้วกัน”
    “ขอบใจนะ” ทอฝันกล่าวเขินๆ
    “ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้เจอกัน” วันใสกล่าวลาก่อนที่คนทั้งคู่จะแยกย้ายกลับบ้านไป
                                เช้าที่สดใสของวันใหม่ก็มาถึง แต่ทอฝันตอนนอนตอนสายๆ เขาเดินลงบันไดไม้จากชั้นสองมาอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่าง ก่อนจะไปนั่งกินข้าวเช้าที่โต๊ะกลางบ้าน เขาหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วสังเกตเห็นว่ามีตัวเลขเรียงเบอร์เต็มไปหมด นั้นแสดงว่าล็อตเตอร์รี่ที่เขาได้มารู้ผลตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ถ้ายังงั้นเมื่อคืนนี้ชายชรานำล็อตเตอร์รี่มาให้พวกเขาทำไม
                                ทอฝันตัดสินใจถือหนังสือพิมพ์เดินขึ้นห้องไป แล้วหยิบกางเกงตัวที่ใส่เมื่อวานที่ถูกโยนกองอยู่ที่พื้นขึ้นมา จากนั้นจึงล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆที่มีตัวเลขเรียงกันหกหลักออกมา เขาตรวจสอบดูวันที่ก่อนเป็นอันดับแรก หวยใบนี้ประกาศผลไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วจริงๆด้วย ทอฝันรู้สึกเจ็บใจเกือบที่ถูกชายชราคนเมื่อวานหลอกเอาเงิน แต่โชคดีที่ชายชราไม่เก็บเงินพวกเขาไปแต่เขาก็ไม่น่าจะพูดเชิงพ่อพระ ที่มีจิตใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น
                                ทอฝันอารมณ์เสียแต่เช้า เขาวางล็อตเตอร์รี่ใบนั้นลงบนหนังสือพิมพ์ข้างๆเลขเรียงเบอร์ที่ประกาศผลเลขรางวัลที่หนึ่ง เขาตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับวันใส เพราะถ้าเธอรู้เธออาจเสียใจก็เป็นได้ แต่แล้วนาทีนั้นเองทอฝันหันไปเห็นตัวเลขหกตัวที่อยู่ในล็อตเตอร์รี่ของเขา บังเอิญมีเลขเหมือนกับตัวเลขหกตัวที่ประกาศรางวัลที่หนึ่งในหนังสือพิมพ์ เขาจองมองมันอย่างมหัศจรรย์ราวกับจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง หัวใจของเขานั้นเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีกเรื่อยๆ เขาตรวจดูวันที่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
   
                              “อ๊ากกกกกกกกก” ทอฝันกรีดร้องอย่างสุดเสีย
                  “เป็นอะไรไปลูก!” นางอรวรรณวิ่งหน้าตื่นขึ้นมาดูลูกชายที่ห้อง ในมือขวาถือแฟ้บมือซ้ายแปลงซักผ้า
                  “เรากำลังจะรวยแล้ว” ทอฝันตะโกนสุดเสียง นางอรวรรณที่กำลังยื่นงงอยู่นั้น พอเห็นล็อตเตอร์รี่ที่อยู่ในมือลูกชายก็พอที่จะเข้าใจ หล่อนหยิบมันขึ้นมาตรวจดูอีกหนึ่งรอบก่อนจะกรีดร้องด้วยเช่นกัน
    “ไหนใครเป็นอะไร” นายสุชาติผู้เป็นบิดา วิ่งหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมายังชั้นสองพร้อมปืนลูกซองที่บรรจุลูกพร้อมจะยิง คนทั้งสองหยุดกรีดร้องทันที ทอฝันรวบรวมสมาธิโยนความดีใจทั้งหมดทิ้งไปก่อนจะเล่าให้บิดาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อนายสุชาติทราบเรื่องทั้งหมดเขาเองก็แทบที่จะหยุดกรีดร้องด้วยไม่ได้เลยเช่นกัน
                                เย็นวันนั้นเมื่อทุกคนรวบรวมสติกลับคืนมาได้จนหมดแล้ว ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกจึงปรึกษากันที่โต๊ะอาหารว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี นายสุชาติเสนอที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ในขณะที่นางอรวรรณอยากจะประกาศเรื่องนี้ให้ชาวบ้านทุกคนๆรับรู้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ชาวบ้านจะพูดกันไปได้อีกหลายปี ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้จึงยกให้ทอฝันเป็นคนจัดการ เพราะเงินทั้งหมดเป็นของทอฝัน
                                ทอฝันเลือกที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เขายังไม่ได้บอกวันใสเลย เขาคิดว่าเขาจะไปรับเงินคนเดียวเงียบๆที่กรุงเทพฯ จากนั้นจะกลับมาซื้อที่ของตาหลง แล้วมอบให้วันใสเพราะเงินนี้มันควรเป็นของเธอ ส่วนเงินที่เหลือก็จะเอาไปช่วยตาหลงรัษามาวินที่กรุงเทพฯ นี้คือความตั้งใจทั้งหมดของเขา โดยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯพรุ่งนี้เช้าคนเดียว แต่ปัญหาก็คือทอฝันไม่เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯคนเดียวมาก่อนเลยในชีวิต
   
                                “ทำไมลูกไม่ให้พ่อกับแม่ไปเป็นเพื่อนลูกล่ะจ๊ะ” นางอรวรรณถามอย่างเป็นห่วง
    “ผมโตแล้วนะครับแม่...ขอให้ผมได้แสดงความเป็นผู้ใหญ่ดูบ้างนะครับ” ทอฝันอธิบายเหตุผล “แล้วอีกอย่างผมก็ไปกับเฟริสด้วยแม่ว่างใจเถอะครับ...เฟริสเขาเดินทางเข้าออกกรุงเทพฯ บ่อย ถ้าพ่อกับแม่ไปด้วยก็มีต่จะทำให้เฟริสพลอยลำบากเปล่าๆ เพราะพวกเราเองก็ไม่รู้จักถนนหนทางในกรุงเทพฯดีซะด้วย”
    “เฟริสเพื่อนลูกที่หลงแสงสีในกรุงเทพฯนะเหรอ” นางอรวรรณถาม “แม่ไม่ไว้ใจหมอนั้นเลยนะ”
    “โธ่แม่ !” ทอฝันถอนหายใจ “อย่าไปว่าเข้าแบบนั้นสิครับ เฟริสเขาก็เป็นเพื่อนฝันแล้วก็เป็นคนดี เพียงแต่เขาชอบเที่ยวกลางคืน ก็เท่านั้นเองครับ”
    “นั้นแหละ!ถึงยังไงแม่ก็ยัง...” นางอรวรรณกำลังจะพูดต่อแต่นายสุชาติผู้เป็นสามีห้ามไว้
    “เอาเถอะลูก” นายสุชาติกล่าว “ถ้าลูกตัดสินใจแล้ว พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก รีบไปรีบกลับล่ะ”
    วันรุ่งขึ้นมาถึง ทอฝันก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯกับเฟริสแต่เช้า เฟริสเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้ว่าทอฝันกำลังจะเป็นเศรษฐี เพราะฉะนั้นไม่ว่าทอฝันจะพูดหรือทำอะไร เขาก็จะมองงว่าทอฝันดูดีไปหมด ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เฟริสพาทอฝันตรงดิ่งไปที่ธนาคารทันที่เพื่อเบิกเงินจำนวนเกือบสิบสองล้านบาท
                               
                                หลังจากที่ทอฝันรับเงินมาแล้ว เขาเริ่มจะสังเกตว่ากรุงเทพฯนี้มันสวยกว่าที่เขาเคยคิดไว้เสียอีก ทอฝันเองก็เคยมากรุงเทพฯแล้ว แต่ตนนั้นเข้ายังเด็กมากๆ จึงจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่มาวันนี้ทุกสิ่งในกรุงเทพฯเปลี่ยนไปมากจริงๆ มีแต่ความสวยหรู่และสะดวกสบายมากมาย ชนิดที่จะหาจากต่างจังหวัดไม่ได้เลย
                                ทอฝันเริ่มตกหลุมรักที่นี้ให้เข้าแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจที่จะกลับวันนี้เลย แต่ระหว่างทางที่เดินทางมานี้ ทอฝันได้ฟังเรื่องราวต่างๆมากมายเกี่ยวกับกรุงเทพฯจากปากเฟริสตลอดทาง มันจึงทำให้เขาอยากที่จะอยู่ต่ออีกสักสองวัน เพื่อทำความรู้จักกับกรุงเทพฯมากขึ้น โดยเฟริสเป็นคนจัดการหาห้องพักให้กับเขา
                              เฟริสเลือกโรงแรมระดับห้าดาวที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้ทอฝัน บรรยากาศบนนี้เมื่อยืนออกไปนอกระเบียงและมองเห็นแม่น้ำ มันยิ่งทำให้ทอฝันรู้สึกรักกรุงเทพมากไปอีก หลังจากนั้นหนุ่มๆก็ไปเดินห้างที่ดังที่สุดแถบสยาม เลือกซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อที่แพงที่สุด ทีแรกทอฝันแค่อยากจะไปดูเฉยๆ แต่เฟริสบอกว่านานๆซื้อ ทีไม่เป็นอะไรหรอก
                              ทอฝันเป็นคนที่มีหุ่นดีเหมือนนักกีฬา ผิวขาวเพราะแม่เป็นคนเหนือ และมีใบหน้าเป็นรูปไข่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทอฝันจะลองชุดไหนหรือสวมแว่นกันแดดทรงอะไร มันก็ทำให้เข้าดูดีไปหมด ซึ่งต่างจากเฟริสอย่างสิ้นเชิง ตกดึกเฟริสก็พาทอฝันไปเที่ยวพับที่ดังที่สุดย่านสุขุมวิท เมื่อทอฝันเริ่มเมาเพราะเบียร์ที่เฟริสยื่นให้จนได้ที่แล้ว เขาก็ออกไปเต้นอย่างเมามันส์กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ตนเองไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต เขาไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใครแต่ที่รู้ตอนนี้เขาสนุกมาก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งทำให้ทอฝันติดใจแล้วลืมจุดประสงค์ทั้งหมดที่มาในกรุงเทพฯครั้งนี้     
                                อาทิตย์หนึ่งผ่านไปทอฝันยังคงอยู่ในกรุงเทพฯโดยไม่มีวี่แววที่จะกลับบ้านเลย เขาโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่ที่กระบี่เรียบร้อยแล้ว โดยบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสองวัน แต่นั้นมันก็เมื่อเจ็ดวันก่อนและนับจากวันนั้นเขาก็ยังไม่เคยโทรกลับไปอีกเลย ทอฝันวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวในยุโรปต่อและขอร้องให้เฟริสไปกับเขาด้วย เพราะเขาคงจะแย่แน่ถ้าไปเที่ยวคนเดียวในยุโรป อีกอย่างเขาก็เริ่มที่จะเบื่อกรุงเทพฯ แล้ว เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้เขาได้ไปเที่ยวมาจนเกือบหมดแล้ว
                                ทอฝันตั้งใจว่าหลังไปเที่ยวและกลับมาจากลับมาจากประเทศในยุโรปแล้ว จะเดินทางกลับบ้านที่กระบี่ทันที่เพื่อไปซื้อที่และรักษาเพื่อน โดยตั้งใจจะซื้อของฝากดีๆไปให้ทุกคน เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่โกรธที่อยู่ๆเขาหายตัวไปเฉยๆ ทอฝันไม่กล้าที่จะโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่เพราะถ้าพวกท่านรู้คงจะต้องให้เขารีบกลับบ้านทันทีแน่ เขาจึงเลือกที่จะส่งจดหมายไปบอกแทน เพราะเมื่อพวกท่านรู้ทอฝันก็อยู่ที่ยุโรปเรียบร้อยแล้ว
                                และแล้ววันออกเดินทางก็มาถึง ทอฝันและเฟริสเดินทางไปตัวเปล่าโดยคิดว่าจะไปตายเอาดาบหน้า เพราะว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเป็นล้านๆ แต่ก่อนจะออกเดินทางไม่มีอะไรเป็นสัญญาณหรือลางบอกเหตุอะไรเลยที่เตือนพวกเขาว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัวในไม่ช้า เครื่องบินโดยสารโบอิง 747  ทยานออกจากลู่วิ่งอย่างช้าๆจนในที่สุดมันก็ทรงตัวได้ และลอยลำอยู่บนท้องฟ้าในที่สุด ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ตามที่ทอฝันได้ว่างแผนเอาไว้
       
                              “นายเคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนมั้ย” ทอฝันถามเฟริส
                              “นี้ก็เป็นครั้งแรกของฉันนะ” เฟริสกล่าวอย่างประหม่า
                              “เหอะๆๆ” ทอฝันหัวเราะฝืดๆ ก่อนจะเบนหน้าหนีหันมางออกไปนอกหน้าต่าง แต่แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าข้างนอกฝนตก
                              นาทีต่อมาเครื่องบินก็เริ่มตกหลุมอากาศเป็นระยะๆ ราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะที่สวนสนุก ไม่นานนักกัปตันเครื่องก็ประกาศว่า ‘ตอนนี้เครื่องบินกำลังเผชิญกับพายุโซนร้อนที่ก่อตัวอย่างกะทันหันในมหาสมุทรเบื้องล่างนี้ ทางเราเคยเจอสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว แต่เราก็รอดมาได้ขอให้ทุกท่านโปรดว่างใจในบริการของเรา’ ทันทีที่สิ้นสุดเสียงประกาศ
                                เปรี้ยง !!!
                                ปีกขวาของเครื่องบินเพิ่งจะถูกฟ้าฝ่าเข้าอย่างจัง ทำให้เครื่องบินสูญเสียการทรงตัว และกำลังร่อนต่ำลงสู้พื้นมหาสมุทรเบื้องล่าง ผู้โดรสารทุกคนต่างขวัญเสีย และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ทอฝันพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่เหลืออยู่มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อที่ว่าเมื่อเครื่องตกลงในมหาสมุทรเขาจะได้หาทางว่ายน้ำหนีออกมา แต่เมื่อมองออกไปกลับพบว่าเครื่องบินกำลังพุ่งลงสู่พื้นดินบนเกาะร้างแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทร
                              ไม่นานนักเครื่องบินก็สัมผัสกับพื้นบนเกาะ และไถลราบไปบนพื้นเป็นทางยาวหลายสิบกิโลเมตร แรงไถลทำให้ต้นไม้นับร้อยต้นถูกโค้นลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากความเร็วของเครื่องที่พุ่งลงมา ท่อนหลังของเครื่องขาดออกจากส่วนหน้าแล้วระเบิด เกิดเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้ที่กลางลำตัว
                                เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบลงทอฝันก็พบว่าตัวเองนั้นปลอดภัยดี มีรอยถลอกที่แขนซ้ายและขวาแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาหันไปมองหาเฟริสที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรากฏว่าเฟริสเองก็ปลอดภัยดีด้วยเช่นกัน แต่ผู้โดยสารคนอื่นๆมีอาการบาดเจ็บสาหัส  ทอฝันออกไปช่วยปฐมพยาบาลให้คนอื่นเท่าที่ตนจะทำได้ เขาบอกให้เฟริสมาช่วยคนอื่นด้วย แต่เฟริสกลับปฎิเสธ
                                “เฟริส” ทอฝันตะโกน “ยืนนิ่งอยู่ทำไมมาช่วยกันซิ คนเจ็บเยอะเยะเลย”
                “ฉันไม่ใช่หมอนะ...ไอ้ฝัน” เฟริสตะโกนกลับไป
    “แล้วฉันใช่รึไงเล่า” ทอฝันตะโกนไปด้วนเสียงที่ดังกว่าเดิม “คนพวกนี้เขาต้องการความช่วยเหลือนะ”
    “นายอยากทำก็ทำไปคนเดียวสิ...มันไม่ใช่ญาติฉันซะหน่อย” เฟริสพูดจบก็เดินหนี
                                ทอฝันอดที่จะคิดไม่ได้ว่าถ้าคนที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเขา เฟริสจะยอมช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาทำให้คนอื่นหรือไม่ แต่คำตอบที่เขาได้รับจากตัวเองนั้นนั้นคือไม่ ความลำบากในครั้งนี้เขาจะจดจำไปจนวันตายเลย  เขาเริ่มที่จะคิดถึงพ่อและแม่ที่กระบี่ คิดถึงวันเวลาที่เคยมีความสุข คิดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต และคิดถึงวันใสเพื่อนที่รักและเป็นห่วงเขามากที่สุด แต่เขากลับคิดถึงเธอเป็นคนสุดท้ายที่สุด นี่เขาเริ่มเป็นคนเห็นแก่ตัวแล้วใช่มั้ยเนี๊ยะ ความจริงเราน่าจะกลับกรุงเทพฯทันทีเลยหลังจากที่รับเงินมาแล้ว ทอฝันรำพึงกับตัวเองและอดที่จะสมน้ำหน้าตัวเองไม่ได้ ถ้าเลือกได้ตอนนี้เขาอยากจะกลับไปกราบเท้าพ่อกับแม่และไปขอโทษวันใสแต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้
                                  เวลาผ่านไปแล้วห้าชั่งโมงแต่ทอฝันกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันนานราวกับห้าปีเลย ความหวังที่จะมีคนมาช่วยของทุกคนเริ่มที่จะเจือจางลงทุกทีๆ ผู้คนเริ่มหิวโหย บางคนก็เริ่มที่จะฟุ้งซ่านและเสียสติ บางคนก็เอาแต่นั่งร้องไห้เป็นระยะๆเมื่อเหนื่อยก็จะหยุดพักจากนั้นก็จะร้องไห้ต่อ แต่บางคนก็พยายามคิดจะหาวิธีที่จะติดต่อกับคนภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ
                                    แต่แล้วไม่นานนักทุกคนก็เริ่มที่จะยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินของหน่วยกู้ภัยมาถึงพร้อมกับพวกนักข่าว ทุกคนถูกลำเรียงนำส่งโรงพยาบาลกลางในจังหวัดกระบี่ เพราะเกาะร้างที่เครื่องบินตกอยู่ในเขตประเทศไทยนี้เองและอยู่ใกล้ๆกับจังหวัดกระบี่ด้วย ข่าวนี้ดังไปทั่วทั้งประเทศ ทุกคนถูกแพทย์สั่งให้นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลกลางกระบี่ รวมทั้งทอฝันเองด้วย แต่เขาตั้งใจว่าถ้าเช้าเมื่อไหร่จะหนีออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านทันที แต่แล้วในกลางดึกของคืนนั้น....
                                    ก๊อกๆๆๆ
                                  เสียงประตูห้อง 805 บนชั้นที่แปดห้องห้าของโรงพยาบาลกลางในกระบี่ซึ่งเป็นห้องที่ทอฝันนอนพักฟื้นตามคำสั่งของแพทย์ดังขึ้นอย่างร้อนรน แล้วใครก็ตามที่เคาะอยู่หลังประตูบานนี้ คงจะต้องมีธุระสำคัญมาก ทอฝันซึ่งสะดุ้งตื่นจากความฝันที่โหดร้ายเดินไปเปิดประตูอย่างงวยงง เขามั่นใจว่าต้องเป็นนางพยาบาลแน่ที่มาปลุก แต่ห้องมันไม่ได้ล็อกไว้นิทอฝันเริ่มเอ๊ะใจแต่ก็เปิดประตูห้องไปแล้ว แต่ภาพที่ปรากฏกลับทำให้ทอฝันตาสว่างขึ้นมาทันที
                                เพี๊ยะ
                                ทอฝันถูกตบไปที่ใบหน้าอย่างแรงไม่มีคำพูดใดๆทั้งสิน มีแต่หยดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาไม่หยุดหย่อนของเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อวันใส ทอฝันรู้สึกเจ็บแต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ เขาคิดว่าชาตินี้วันใสจะไม่ยุ่งกับเขาตลอดไปเสียอีก
                                “เธอหายไปไหนมา” ฝันใสกล่าวเสียงสั่นๆ “รู้ไหมแม่กับพ่อเธอเขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
                                “ฉัน.....” ทอฝันรู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำว่าขอโทษ
                                “ฉันขึ้นไปตามหาเธอที่กรุงเทพฯถึงสองครั้งกับคุณป้า” วันใสกล่าวต่อไป “แม่เธอถึงกับร้องไห้เลยรู้ไหมคิดว่าเธออาจจะถูกใครทำร้ายคิดเองก็คิดเช่นนั้นด้วย...แต่แล้วทายซิว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ อยู่ๆก็มีจดหมายส่งมาถึงบ้านเธอหนึ่งฉบับใจความว่าจะไปเที่ยวยุโรปไม่ต้องเป็นห่วงจากทอฝัน....เธอทำได้ยังไงกันทอฝัน เธอทิ้งทุกคนที่เป็นห่วงเธอทุกนาทีเพื่อไปเที่ยวเธอทำได้ยังไงกัน” วันใสตะโกนถามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่หยุด                         
                                “ฉันเสียใจ” ทอฝันพูดได้เพียงแค่นี้
                                “แล้วที่ฉันมาในวันนี้ก็เพื่อจะบอกเธอว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว” วันใสพูดเศร้าๆทั้งที่ดวงตายังบวมช้ำ ”ฉันเป็นคนบอกตาหลงเองไม่ให้ขายที่ให้คนอื่น เพราะฉันคิดว่าเธอจะต้องกลับไปซื้อมันอย่างแน่นอน แต่แล้วอาการของมาวินกลับแย่ลงเรื่อยๆในขณะที่เธอเองก็หายสาปสูญไป ตาหลงไม่มีทางเลือกจึงประกาศขายที่ แต่กว่าจะขายได้มันก็สายเกินไปมาวินได้ตายจากเราไปแล้ว...ตายจากไปพร้อมกับทอฝันคนเก่าที่ฉันเคยรู้จัก”
                             
                                วันใสเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย ในขณะที่ทอฝันได้แต่เงียบแล้วหยดน้ำใสๆก็หลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างโดยที่เขาเองไม่ทันรู้ตัว แต่ในตอนนี้เขานึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปด้วย เขารู้เพียงแต่ว่าวันเวลาที่ล่วงผ่านมาแล้วนั้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขมันได้
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น