[b]วันแห่งความฝัน[b]
[b]ความฝัน[b] คือการที่คนเราจิตนาการภาพขึ้นมาว่าอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนมีความฝันแต่คิดว่าคงทำตามความฝันไม่ได้ เพราะคิดว่ามันคงอยู่สูงเกินกว่าที่เราจะเอื้อม จริงๆแล้วความฝันไม่ได้อยู่สูงเกินกว่าที่เราจะเอื้อมหรอก แต่เรากล้าที่จะทำตามฝันชองเราหรือเปล่า ถ้าเรากล้าทำตามความฝันบีเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราคงจะไปถึงสิ่งที่เราฝัน
บีเป็นเด็กต่างจังหวัด ซึ่งเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น ป๊าแม่และพี่ชายต่างก็รักบีและส่งเสริมทุกอย่างที่บีอยากจะทำ แต่สิ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ดีและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ในแต่ละวันบีมีความหวังและมีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองฝัน ทุกคนคงมีความฝันในวัยเด็กกันทั้งนั้น อาจจะเหมือนหรือต่างกันในหลายๆรูปแบบ เด็กผู้ชายอาจจะฝันว่าอยากจะเป็นตำรวจเป็นทหาร เด็กผู้หญิงก็อาจจะฝันว่าอยากจะเป็นนักแสดงเป็นแอร์โฮสเตส บีเองก็มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องนักแสดง อาจจะเหมือนกับเด็กหลายๆคน แต่บียังไม่รู้เลยว่าความฝันอันนี้เมื่อไรจะเป็นจริง ตอนที่บีอายุ 3-7 ปีถ้าที่โรงเรียนมีกิจกรรมอะไรบีจะร่วมกิจกรรมตลอด เด็กๆบีเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากไม่ขี้อาแต่พอโตขึ้นกลับขี้อายและไม่ค่อยกล้าแสดงออกเหมือนตอนเด็ก พอบีอายได้ 7 ปีบีมีโอกาสได้มาเล่นแบดมินตัน แต่ก็ไปฝึกได้ไม่กี่เดือน เพราะป๊าไม่มีเวลาพาไปซ้อม เวลาผ่านไป 2 ปีโค้ชไปมาตามให้บีกลับไปซ้อมอีก เพราะโค้ชย้ายมาสอนอยู่ที่สนามข้างบ้าน บีก็เลยได้มาเป็นนักกีฬา ตอนที่บีเริ่มเล่นแบดมินตันความฝันของบีก็ได้เปลี่ยนไปจากที่อยากนักร้องนักแสดงมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ บีเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ด้านกีฬามากกว่าด้านการร้องเพลงการแสดงซะอีก บีฝึกซ้อมได้ 3 เดือนโค้ชได้พาไปแข่งซึ่งเป็นการแข่งขันในภาคอีสาน ตอนนั้นบีแข่งรุ่นอายุไม่เกิน 9 ปี บีแข่งได้ที่ 2 บีดีใจมากเพราะมันเป็นการแข่งขันครั้งแรกแถมยังได้ตำแหน่งอีกด้วย แล้วสิ่งนี้มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้บีมีกำลังใจในการฝึกซ้อม พออายุได้ 11 ปีบีได้ไปแข่งขันรายการไวตามิลล์พัฒนาฝีมือเยาวชนมือใหม่ภาคอีสาน ซึ่งครั้งที่แล้วบีได้ที่ 2 แต่ครั้งนี้บีได้ที่ 1 ได้ถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ ดีใจมากเพราะเป็นถ้วยรางวัลใบแรกแล้วยังได้เข้าไปรับถ้วยที่วังสวนจิตรดา นี้เป็นขั้นแรกของความฝันที่บีจะต้องก้าวไปให้ถึงสิ่งที่ฝันไว้ ช่วงที่บีอายุ 12-14 บีทะเลาะกับป๊าแทบจะทุกวันเลย เหตุก็คือบีขี้เกียจซ้อม แต่บีคิดว่าเด็กนะก็ต้องมีบางเวลาที่ขี้เกียจจะให้ขยันตลอดมันเป็นไปไม่ได้ พอโตขึ้นบีก็ขยันซ้อมมากขึ้นและรู้จักคิดว่าตอนนี้เราทำอะไรต้องการความฝันของตนเองอยู่ที่ไหน ถ้าเรายังเป็นอย่างนี้อยู่ก็จะไปไม่ถึงฝันซักที บีเล่นไม่เก่งหรอกแต่ก็ยังมีคนมาอิจฉาบีว่าบีเล่นเก่ง บีไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลยและไม่เคยคิดที่จะอิจฉาใครเลย เราควรจะพอใจในสิ่งที่เราเป็นสิ่งที่เราทำ ถ้าอยากจะเก่งเหมือนเขาเราก็ต้องขยันและพยายามทำให้ดีกว่าเขา ตั้งแต่บีเล่นแบดมินตันมาบีเจออุปสรรคอะไรหลายอย่างแต่บีก็อดทนเพื่อความฝัน เคยมีพ่อของนักกีฬารุ่นน้องคนหนึ่งบอกว่าท้อได้แต่อย่าถอยถ้าเราถอยเมื่อไรนั้นแหละก็คือเราแพ้ คนเรากว่าจะประสบความสำเร็จก็ต้องเจออุปสรรคกันทั้งนั้น ถ้าเราสามารถชนะมันได้ก็ไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัว แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งก็คือใจของตัวเอง ถ้าเราสามารถชนะมันได้จะถือว่าเป็นการชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีน้อยคนนักที่จะชนะใจตัวเองได้ แต่บีว่าบีก็เป็นคนหนึ่งนะที่ชนะใจตัวเอง เช่นทุกวันบีจะต้องไปซ้อมแต่ใจเราอยากจะไปเดินห้างสรรพสินค้าอยู่บ้านดูโทรทัศน์ และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่บีไม่มีวันลืม บีเป็นคนที่ใจร้อนอารมณ์เสียง่าย วันนั้นบีกำลังแข่งขันอยู่ซึ่งเป็นรอบก่อนรองชนะเลิศถ้าชนะก็ได้ที่ 3 ถ้าแพ้ก็ตกรอบ เกมวันนั้นคู่แข่งเขาเสิร์ฟช้ามาก เพราะเขารู้ว่าบีเป็นคนอารมณ์เสียง่าย เขาทำอย่างนี้เพื่อที่จะให้บีโมโห คนเราถ้าโมโหทำอะไรก้จะเสียไปหมด ป๊าก็เลยตะโกนบอกว่าใจเย็นๆเขาช้าเราก็ต้องช้าจะไปเร่งเพื่อกดดันตัวเองทำไม แล้วบีก็เริ่มใจเย็นขึ้นจากที่เขานำไปจนเกือบจะเกมอยู่แล้วบีก็ได้ไล่ขึ้นมาทีละแต้มจนชนะ พอแข่งเสร็จป๊าบอกว่าคนเราถ้ายังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ก็อย่าหวังเลยว่าจะไปชนะคนอื่น บีก็ได้ก้าวไปเรื่อยๆตามฝันของตนเอง แต่เมื่อบีอายุได้ 16 ปีบีเกิดอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าในขณะที่กำลังทำการแข่งขันอยู่ เจ็บชนิดที่ว่าจะต้องใช้เปหามกันเลย หมอบอกว่าหมอนรองกระดูกแตกแต่ก็ไม่ได้แตกมาก ถ้าอยากจะหายจะต้องผ่าตัดอย่างเดียว แต่บีก็ไม่ได้ผ่าเพราะกลัวเจ็บและกลัวการผ่าตัดมากที่สุดเลย พอกลับไปเล่อนมันก็เจ็บอยู่เรื่อยๆ บีคิดทันทีเลยว่าคงจะไปไม่ถึงสิ่งที่ฝันไว้แล้ว แต่บีก็ได้พยายามที่จะไปให้ถึงฝันตั้ง 8 ปี บียังมีความฝันในวัยเด็กอยู่เแล้วมันก็คงยังไม่สายเกินไปที่บีจะกลับมาทำตามความฝันในวัยเด็ก คือการเป็นนักร้องนักแสดง บีเลยขอแม่ไปเรียนร้องเพลงที่โรงเรียนดีนตรียามาฮ่าอุดรธานี บียังได้ส่ง Demo ไปตามรายการต่างๆที่มีการประกวดร้องเพลง แต่ก็น่าเศร้าไม่เห็นจะมีรายการไหนติดต่อกลับบมาบ้างเลย แล้วก็ยังมีส่งรูปไปตามโมเดลลิ่งต่างๆก็เหมือนกันเลยไม่มีใครติดต่อกลับมา แต่บีก็ไม่ย่อท้อ ขนาดฝันที่บีอยากจะติดทีมชาติบียังใช้เวลาในการสานฝันตั้ง 8 ปีแต่นี่ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง วันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ก็จะต้องได้ซักวันหนึ่งละ บีจะต้องทำฝันอันนี้ให้สำเร็จให้ได้ไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรคใดก็ตาม เพราะที่อยากจะติดทีมชาติมันก็เป็นความฝันในอดีตไปแล้ว แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่บีประทับใจตลอดระยะเวลาที่บีเล่นแบดมินตันและสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในความทรงจำของบีตลอดไป เราจะต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดถีงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง บีคิดเสมอว่าสิ่งไหนที่เราเคยพลาดในอดีตมันเป็นบทเรียนที่สำคัณที่สุด
บีคิดว่าคนเราถ้ามีความฝันแล้วไม่ลองทำแล้วจะรู้หรอว่ามันอยู่ใกล้หรือไกล แบบพี่เอซึ่งเป็นพี่ชายของบีเอง ฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่กล้าที่จะทำตามความฝันก็ได้แต่ฝันไปวันๆ ว่าวันหนึ่งคงจะมีอัลลั้มเป็นของตัวเอง บีพูดกับพี่เอว่าคนเราจะฝันอย่างเดียวไม่ได้มันต้องลองทำด้วย พี่เอเป็นคนที่ร้องเพลงเพราะเสียงดี บีอยากจะให้เขาลองทำตามความฝันของตัวเองซักครั้งหนึ่ง อนาคตของคนเราเป็นสิ่งไม่แน่นอน บีอยากจะให้ทุกคนตั้งความหวังไว้สักสิ่งหนึ่ง แล้วก้าวไปให้ถึงสิ่งที่หวัง ก้าวไปด้วยใจมั่นและพลัง ก็จะถึงสิ่งที่หวังดังตั้งใจ ทุกคนต้องไม่ละความพยายาม ในยามที่ท้อให้หันไปมองคนที่พิการหรือคนที่ด้อยโอกาส ถึงแม้เขาจะพิการและไม่มีโอกาสแบบเราเขาก็ยังไม่ท้อเขากลับพยายามสู้เพื่อจะใช้ชีวิตให้เหมือนกับคนปกติที่ไม่พิการและพร้อมทุกอย่าง ที่บีเขียนเรื่องนี้ก็เพราะว่าบีอยากจะให้ทุกคนทำตามความฝันของตนเอง ถึงแม้ว่าจะต้องเจออุปสรรคแต่เราก็ต้องสู้และไปให้ถึงสิ่งที่เราฝันให้ได้ ชีวิตของคนเราก็เหมือนละคร เมื่อเราได้รับบทบาทอะไรแล้วเราก็ควรแสดงให้เต็มที่ บีถือคติอย่างหนึ่งก็คือ [b]Without struggle , there\'s on progress . แปลว่า ถ้าปราศจาคความพยายามก็อย่าหวังความก้าวหน้า[b]
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น