ดังนั้น...ฉันจึงรักทะเล - ดังนั้น...ฉันจึงรักทะเล นิยาย ดังนั้น...ฉันจึงรักทะเล : Dek-D.com - Writer

    ดังนั้น...ฉันจึงรักทะเล

    บางเรื่องราวในชีวิตและความทรงจำที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด

    ผู้เข้าชมรวม

    261

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    261

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 พ.ค. 47 / 17:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ดังนั้น..ฉันจึงรักทะเล ฉันบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้…ว่าฉันชอบทะเล…. หลายหลากฉากต่าง ๆ ในชีวิตของฉันก็มักจะเกี่ยวข้องกับทะเล และบ่อยนักหนอที่ฉันมัก คิดถึงทะเลอย่างหมดจิตหมดใจ คิดถึงอย่างไม่อาจจะหักห้ามใจตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ฉันจำวันที่ฉันเห็นทะเลครั้งแรกไม่ได้ หรืออาจจะได้แต่ฉันไม่อยากจำ ….หากแต่ทะเลครั้งแรกในใจของฉันคือทะเลตอนอายุ 17 ปี ทะเลที่มีคลื่นสูง 3-4 เมตร และการแกร่วรอให้คลื่นสงบกว่านั้นเล็กน้อยเพื่อที่เราจะได้นั่งเรือข้ามเกาะไปได้ “เราจะได้ข้ามไหมเนี่ย” คนบ่นคือฉันเองแหละไม่แน่ใจว่าบ่นเพราะกลัวหรือบ่นเพราะเบื่อ คลื่นที่ม้วนตัวกระแทกฝั่งส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหว เหมือนมันจะขู่ฆ่าฉันซะอย่างนั้น “อย่าได้หวังเลยว่าฉันจะกลัว” ฉันหันหน้าไปบอกเจ้าพวกคลื่นยักษ์ ในขณะที่พวกมันก็พากันทยอยซาดซัดเข้ามาไม่หยุดยั้ง…. มันชวนขนลุกดีเหมือนกันนะนี่… มีคนรอขึ้นเรือพร้อมเราหลายคน ต้องบอกหลายสิบคนสินะ ฉันไม่แน่ใจว่าแต่ละคนมีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคลื่นลูกโตถึงเพียงนี้ แม้แต่ตัวฉันเอง ก็ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย มองย้อนกลับไปในวันนั้น ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ก็คงไม่มีใครเสียใจมากไปกว่าตัวฉันเองหรอก เสียใจที่หลอกทางบ้านเพื่อจะได้ไปเที่ยว เหตุใดฉันในวันนั้นจึงได้ดูถูกความรักของคนรอบข้าง ดูถูกชีวิตตัวเองได้ถึงเพียงนั้นกันหนอ ดูถูกจนไม่ใส่ใจสนใจในชีวิตของตัวเองเท่าที่ควร….. เรานั่งรอให้คลื่นสงบร่วมสามชั่วโมง ฉันไม่แน่ใจว่าที่เรามีเรือข้าม หรือที่คนเรือยอมเอาเรือออกเพราะมั่นใจว่าคลื่นสงบแล้ว หรือเพราะเบื่อที่จะรอ จะด้วยเหตุผลใดก็เถอะ ในที่สุดเราก็มีเรือข้ามไป… มันเป็นการได้สัมผัส “ท้องทะเล”เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉัน….ท้องน้ำที่เวิ้งว้าง ไกลสุดลูกหูลูกตา ที่สุดสายตาเบื้องหน้าคือท้องฟ้า ที่บางทีในวันนั้นอาจไม่ได้เป็นสีครามสวยงามอย่างที่ใคร ๆ วาดภาพไว้ แต่หลังจากวันนั้นเมื่อฉันได้หลับตาคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฉันก็มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีครามเสมอ คลื่นที่สูงร่วมสามเมตรโถมตัวกระแทกเรือที่เรานั่งอยู่ไม่รู้เบื่อ เสียงผู้หญิงหลายคนที่นั่งร่วมมากับเราต่างร้องตะโกนลั่น “ถ้าเราไม่ตะโกนเราอาจจะคลื่นไส้ได้นะ” คนข้าง ๆ ฉันบอก…แต่ฉันก็ไม่ได้ตะโกนหรอก ฉันยืนมองฟองคลื่นสีขาวที่เบียดตัวผ่านเรือลอยล่องไปด้านหลัง ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเรือที่เมื่อถึงเวลาโคลงไปซ้ายฉันก็ไปซ้ายด้วยโคลงไปทางขวาฉันก็โยนตัวไปทางขวาด้วย…สนุกจัง.. ท้องทะเลในวันนั้น น้ำไม่ใสนัก อาจเพราะคลื่นแรงหรือจะอย่างไรไม่ทราบ ฉันก็เฝ้ามองดูคลื่นแต่ละลูกอย่างมีความสุขจนกระทั่งเรือเทียบท่าเรือที่เกาะ พวกผู้หญิงพวกนั้นเป็นลม….สงสัยตะโกนมากจนกระทั่งหมดแรง เราต้องเดินขึ้นเกาะโดยการข้ามเรือต่าง ๆ จนถึงสะพานไม้ที่ยื่นออกมา ปัญหาต่อไปของฉันก็เกิด…เรามาถึงแล้ว และเรากำลังไม่รู้ว่าจะไปตรงส่วนไหนของเกาะ การศึกษาพื้นที่หรือก็ไม่มี คนรู้จักที่นี่หรือ..ไม่มี เรามีแค่ใจที่อยากมาเท่านั้น โดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวในเรื่องใด ๆ เลย คนมากหน้าหลายตาเข้ามาถามเรา จะไปไหน ? จองที่พักหรือยัง ? ฉันเองก็บอกไม่ถูก เพื่อนฉันเองก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น…ที่สำคัญ…ฉันเพิ่งตระหนักว่าเรายังเด็กกันจังเลย..แต่ มาแล้วนี่นะ ก็ต้องลองเดินหน้าต่อไป …อย่างนี้เข้าข่ายตกกระไดพลอยโจนไหมนะ เราตัดสินใจนั่งรถวนรอบเกาะก่อนแล้วค่อยเลือกว่าจะเข้าพักที่ไหน การนั่งรถบนเกาะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับฉันอีกเช่นกัน ถนนที่เอียงไปเอียงมาทำให้เหมือนกับกำลังล่องแก่งมากกว่านั่งอยู่บนรถ มือของเราต้องยึดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้แน่น และแม้ว่าเราจะไม่อยากนั่งเบียดคนข้าง ๆ มากเกินความจำเป็น เราก็ต้องเบียดจนแทบจะเป็นการนั่งตักกันเพราะเมื่อรถลงเนินหรือห้ามล้อ พวกเราก็จะพากันเทลงไปกองรวมกันอยู่ด้านหน้า….ช่างสนุกอะไรอย่างนี้ เราเลือกได้อ่าวเล็ก ๆ อ่าวหนึ่งข้าง ๆ อ่าวใหญ่ ๆ ที่มีคนพลุกพล่าน มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับฉันในวันนั้น อ่าวหนึ่งเมื่อเดินเข้าไป คนเยอะนัก พลุกพล่านนัก เดินเลี่ยงมาอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร คนกลับน้อยมาก น้อยจนแทบไม่มีเลย เนื้อที่ของอ่าวน้อยมาก ประมาณแค่สามร้อยเมตรเท่านั้นที่เป็นความยาวของอ่าว…นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้คนมาพักน้อย และเป็นสาเหตุที่เราเลือกจะพักที่นี่ ฝนตกตอนที่เรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะลงไปสำรวจความเค็มของน้ำทะเล…ฉันคิดว่าทะเลคงเค็มไม่เท่ากันหรอกนะ…เพราะถ้าทะเลโดนน้ำฝน ความเค็มน่าจะจางลงไปบ้าง…แต่ฉันไม่มีโอกาสได้เปรียบเทียบซะที ก็เลยได้แค่ข้อสรุปที่ว่าน้ำทะเลเค็ม ฝนไม่ใช้อุปสรรคเลยในการลงน้ำของเรา ฉันกับเพื่อนอีกสองคนต่างดำผุดดำว่าย ดั่งประหนึ่งว่าเราได้แปลงร่างเป็นปลาไปแล้วก็ปาน…ทั้งอ่าวไม่มีใครเลยนอกจากเราสามคน…โลกเป็นของเราแล้ว! ฝนไม่ใช่อุปสรรคโดยตรงแต่สักพักฉันก็พบว่ามันนำความยุ่งยากอีกอย่างมาสู่ฉัน ( คนเดียว ) นั่นคือความหนาวเยือก…ฉันทนความหนาวเย็นที่เกิดจากน้ำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ฉันไม่สามารถเล่นน้ำ ว่ายน้ำได้นานเพราะความเย็นของน้ำเป็นอุปสรรคใหญ่…ใครจะเป็นอย่างฉันบ้างไหมนะ สุดท้ายฉันก็ต้องขึ้นมานั่งตัวสั่นเทาอยู่บนโขดหิน… ดีว่าฝนตกไม่ต่อเนื่อง เหมือนกับจะบอกว่าฉันจะตกก็ต่อเมื่อฉันอยากตก ตก ๆ หยุดอยู่อย่างนั้น ฉันนั่งตัวสั่นโดยไม่ยี่หระกับสายฝนหรอก ชอบที่จะได้มองทะเล มองเพื่อน ๆ จนกระทั่งดวงอาทิตย์กำลังจะลับแล้ว….อ่าวที่เราเลือกสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ลับน้ำได้ ฉันปีนขึ้นไปนั่งบนโขดหินใหญ่ โดยมีเพื่อน ๆ อีกสองคนปีนขึ้นมานั่งข้าง ๆ คนหนึ่งเอาหลังมาพิงฉัน อีกคนนั่งทำซึ้งอยู่คนเดียว ต่างคนต่างมีเรื่องราวในใจให้ต้องคบคิด หรือบางทีอาจเป็นการซึมซับความสุขที่มีทั้งหมดให้ตราตรึงในใจให้เนิ่นนานที่สุด ต่างคนต่างมีวิถีอยู่ในใจ…ฉันไม่ถามไถ่อะไรในใจใครทั้งนั้น สิ่งที่ฉันถามคือใจตัวเอง ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับลาขอบฟ้าขอบน้ำในยามนี้ ในที่นี้…คือตะเกียงดวงใหญ่ของฉัน…ตั้งแต่เป็นเด็ก..ที่ฉันมักจะนั่งมองดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ เลื่อนลับขอบฟ้าจากหน้าต่างในห้องนอนที่บ้าน พร่ำบอกกับตะวันกลมแดงว่ารีบ ๆ กลับมานะ มีคนทางนี้รออยู่ พรุ่งนี้เราจะกลับมาคุยกันใหม่ บ่อยครั้งที่ตะวันแดงยามกำลังจะลาลับคือคนที่ฉันไว้ใจที่สุด….ฉันจะเล่าทุกเรื่องราวให้ฟัง ฝากความรู้สึกถึงใคร ๆ….. ใคร ๆ ที่ฉันเชื่อว่าเค้ายังอยู่ จะที่ใดก็ตามฉันเชื่อว่าเค้ายังอยู่ “เห็นอาทิตย์ตกดินแล้วเศร้าว่ะ” “เรอะ…” “ทำไมต้องเศร้า” “ไม่รู้…ฉันว่ามันหดหู่ยังไงไม่รู้ แกว่าไหมม่าน” ทำไมต้องถามฉันด้วยนะ ฉันคิดในใจ มองแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ หายไปช้า ๆ “แกจะเศร้าหรือไม่เศร้า ตอนนี้ก็ไม่มีแสงแล้วหล่ะ ไปหาอะไรกินดีกว่า แสบท้องแล้ว” ฉันเดินนำเพื่อน ๆ เข้าที่พัก อาบน้ำและไปรับประทานอาหาร….ข้าวไข่เจียวจานละ 80 บาท อร่อยที่สุดในโลก….. ฝนไม่ตกแล้วในวันต่อมา เราทั้งสามคนต่างคนต่างก็มีกิจกรรมไม่เหมือนกัน ฉันชอบนั่งเฝ้าคลื่นอยู่บนโขดหิน อีกคนชอบเดินเก็บเปลือกหอยมาเรียงเป็นรูปร่างต่าง ๆ อีกคนก็ชอบที่จะก้มหน้าก้มตาดำน้ำตามปลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หันไปอีกทีก็อยู่ห่างจากฝั่งร่วมสามสิบ สี่สิบเมตร มันว่ายออกไปได้ไงกันนะ ไกลออกปานนั้น ฉันกลัวแทนจัง แต่ความสนใจทั้งหมดของฉันอยู่ที่คลื่นแต่ละระลอกที่ม้วนตัวมากระแทกโขดหินมากกว่า ไม่เจ็บกันหรือไงนะ….โถมตัวมากระแทกหินอยู่ได้…ฉันถามอย่างคนที่ว่างเปล่าจัดถามคำถามโง่ ๆ และก็ฉันเองนั่นแหละที่ตั้งตัวเป็นคนฉลาดตอบคำถาม… บางทีชีวิตก็เลือกไม่ได้…เพราะการดำรงอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เป็นการดำรงอยู่….ชีวิตไม่ได้มีทางให้เลือกมากนัก เป็นแต่ว่าทำให้ดีที่สุดในขณะนั้น ๆ ก็คงเพียงพอ….. อาทิตย์กลมโตโคจรมาที่ขอบน้ำอีกครั้ง…เพื่อนตัวโตของฉันมานั่งข้าง ๆกวาดหนังสือสองสามเล่มที่ฉันอ่านตั้งแต่วันมาถึงเกาะจนกระทั่งวันนี้ยังไม่จบออกห่างไป เอาสองแขนมากอดรอบตัวฉัน เอาคางแหลม ๆ กดลงบนหัวฉัน “มาเที่ยวทะเลครั้งนี้ ปุนก็เห็นม่านอ่านหนังสือเหมือนเดิม..ต่อไปไม่ชวนไปไหนแล้ว ปล่อยให้อ่านหนังสืออยู่บ้านดีกว่า” “จะบอกว่าครั้งต่อไป ปุนจะแอบมาคนเดียวใช่ไหม” “ถ้าม่านสัญญาว่าจะเลิกหอบหนังสือไปไหนมาไหนด้วย ปุนก็จะให้ม่านไปกับปุนทุกครั้ง” “ขี้โกง” ปุนหัวเราะแล้วโยกหัวฉันเบา ๆ “เออ..หวานกันนักนะพวกแก..นั่งกอดกันไม่ได้ห่วงความรู้สึกเพื่อนเลย” อีกคนในกลุ่มตะโกนพร้อมกับเอามือมาขยี้หัวฉัน แล้วนั่งลงข้าง ๆ “ม่านถ้าปุนขออะไรม่านอย่างม่านจะให้ไหม” “ว่ามา” “ช่วยเอาเชือกไปผูกดวงอาทิตย์ไว้ที….” “ทำไมเหรอ” “ปุนอยากอยู่อย่างนี้ไปนาน ๆ” “ประสาท….” ฉันหัวเราะกับความคิดของเพื่อนสนิท….แล้วเราต่างคนต่างก็จ่อมจมตัวเองอยู่กับความคิดที่เคว้งคว้าง…. ค่ำคืนนั้นเราต่างมานั่งเฝ้าฟองคลื่นด้วยกันจนดึกดื่น ฉันจำได้ว่าไม่ได้หดหู่อะไรมากนักหรอก แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ใจไม่อยากนอน แต่ก็ไม่อยากทำอะไร ฉันนอนเอาหัวเกยโขดหิน มองฟ้าที่หาดาวได้ยากเหลือเกิน หวายกับปุนนั่งอยู่ข้าง ๆ “เราจะได้มาที่นี่ด้วยกันอีกไหมว่ะ” หวายเอ่ยถามทำลายความเงียบ ฉันไม่มีคำตอบให้เพื่อน รวมทั้งปุนเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ฉันรู้ว่าสำหรับวัยของเราทั้งสามคนแล้วยังเด็ก ควรจะเปี่ยมไปด้วยความหวังความฝันถึงสิ่งสวยงามในชีวิต และพยายามผลักดันความฝันต่าง ๆ ให้เป็นจริง แต่เราก็โตพอที่จะเรียนรู้จักคำว่า ชีวิตไม่แน่….. ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต… เราต่างก็รู้ว่าชีวิตมีหนทางอีกยาวไกลให้เดินไป…..หนทางนั้นช่างยาวไกลนัก หากแต่บางที..เรามีเวลาที่จะเดินบนเส้นทางนั้น..สั้นยาวแค่วันนี้…วันนี้เท่านั้นเองที่เป็นจริงสำหรับเรา ฉันกับปุนเราต่างทราบซึ้งถึงคำว่า “วันนี้” ได้ดีกว่าหวาย…เราต่างรับรู้ถึงรสชาดของการสูญเสียมาแล้ว ในขณะที่หวายมีชีวิตที่ค่อนข้างสมบูรณ์เสมอมา ดังนั้นฉันกับปุนไม่เคยหวังอะไรไปไกลกว่าวันนี้ที่เป็นอยู่เลย เราพร้อมจะเจ็บเสมอ…พร้อมจะผิดหวังเสมอ ในขณะเดียวกันเราทำทุกวินาทีให้ดีที่สุดสำหรับเราเสมอเช่นกัน “ฉันรู้แต่ว่า…ถ้าฉันได้มาที่นี่อีก..ฉันก็คงคิดถึงพวกแก” ฉันพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเกือบกระซิบ หลับตาลงเห็นแววตาของปุน…เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของฉัน…ฉันจะเก็บแววตาแห่งความเอื้ออาทรอย่างนี้ไว้กับฉันตลอดไป…แววตาทะเล้นของหวาย เพื่อนที่ไม่เคยใช้ความรู้สึกอื่นใดในการคบกันนอกจากคำว่าเพื่อน เพื่อนที่เคารพและบูชาคำว่าเพื่อน โดยบางครั้งก็แทบจะลืมขอบเขตของมัน เราต่างพาชีวิตรอดกลับมาจากเกาะครั้งนั้นอย่างทุลักทุเล….เหลือเงินในกระเป๋าคนละไม่เกินสองร้อย สำหรับเป็นค่าขนมตลอดทั้งเดือน…ขากลับฉันยังได้เปลือกหอยที่ปุนยอมซื้อให้เป็นของที่ระลึกกลับมาด้วย “เอามาแนบกับหูแล้วจะได้ยินเหมือนเสียงคลื่น” ปุนบอกฉันอย่างนั้น …… ฉันกลายมาเป็นพนักงานธรรมดา ๆ ในหน่วยงานเล็ก ๆ ใช้ชีวิตสงบสุขกับความเป็นจริงของทุกวัน หวายใช้ชีวิตอยู่กับจินตนาการโลดโผนและงานสร้างสรรทางด้านศิลป ปุน กลายเป็นนักเดินทางที่ผ่านพ้นไปในทุกถิ่นที่ อย่างที่ปุนเคยฝันไว้ ที่สำคัญ…ปุน ไม่ได้พาฉันไปด้วยอย่างที่เคยพูดกันไว้ในวันเก่า ๆ แต่ปุนพาตัวแทนของฉันไปด้วย นั่นคือหนังสือที่ติดไม้ติดมือสองสามเล่มทุกครั้งที่มีการเดินทาง สิ่งที่ปุนส่งมาหาฉันเป็นเพียงไปรษณียบัตรปีละสองสามใบ บอกกล่าวถึงเรื่องราวแต่ละถิ่นที่ที่ผ่านไป ข้อความที่ส่งมาแทบจะเหมือนกันทุกครั้งไป… คือลงท้ายด้วย “ปุนพาม่านมาด้วยไม่ได้…แต่ปุนพาตัวแทนของม่านมา ทุกครั้งที่ปุนหยิบหนังสือมาอ่าน ปุนรู้ว่าม่านอยู่ใกล้ปุนเสมอ” เราสามคนไม่มีโอกาสไปทะเลที่นั่นด้วยกันอีกนับจากวันนั้น หวายเองก็เลิกที่ใส่ใจว่าควรจะไปด้วยกันอีกหรือเปล่า เพราะหวายมีเพื่อนใหม่ที่หวายจะไปด้วยในที่อื่น ๆ มากมาย วันนี้ฉันได้รับข้อความจากเพื่อนสนิททั้งสองคน…. “นานนักแล้วที่เพื่อนในวันเก่าหายหน้า ไม่คิดจะมาเจอะเจอกันบ้างเลยหรือ…” ฉันนั่งอมยิ้มกับข้อความที่ได้รับ ฉันรู้ว่าปุนกับหวายมีโอกาสได้เจอกันแล้ว ขาดก็แต่ฉันเท่านั้นที่กำลังจะตามไปยังสถานที่เก่า ๆ ของเรา ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันชอบทะเล…..และฉันมักจะบอกกับใคร ๆ ว่าทะเลคือบ้านของฉัน..บ้านที่สักวันเมื่อฉันล้ามาก ๆ ท้อมาก ๆ และหมดแรงที่จะเดินทางต่อไปแล้ว วันนั้นฉันจะเอาหน้าไปแนบกับผืนทราย ฟังเสียงกระซิบแผ่วเบาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบพานของยอดคลื่น ชิมรสเค็มของน้ำทะเล และปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับนางนวลปีกขาวที่โบยบินไปสู่ฟากฟ้า…. ฉันหยิบเปลือกหอยขึ้นมาแนบกับหู ได้ยินเหมือนเสียงกระซิบแผ่ว ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเจอของเพื่อนทั้งสอง……. เสียงคลื่นยังก้องอยู่ในหู….แสงแดดยามกำลังลาลับยังฝังแน่น….ทุกครั้งที่คิดถึงทะเลฉันจะได้เห็นเพื่อนทั้งสองคนของฉันเสมอ….เพราะเหตุนี้ฉัน…จึงรักทะเล…. ปัทมราช 29 กันยายน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×