ดังนั้น..ฉันจึงรักทะเล
ฉันบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
ว่าฉันชอบทะเล
.
หลายหลากฉากต่าง ๆ ในชีวิตของฉันก็มักจะเกี่ยวข้องกับทะเล และบ่อยนักหนอที่ฉันมัก
คิดถึงทะเลอย่างหมดจิตหมดใจ คิดถึงอย่างไม่อาจจะหักห้ามใจตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
ฉันจำวันที่ฉันเห็นทะเลครั้งแรกไม่ได้ หรืออาจจะได้แต่ฉันไม่อยากจำ
.หากแต่ทะเลครั้งแรกในใจของฉันคือทะเลตอนอายุ 17 ปี ทะเลที่มีคลื่นสูง 3-4 เมตร และการแกร่วรอให้คลื่นสงบกว่านั้นเล็กน้อยเพื่อที่เราจะได้นั่งเรือข้ามเกาะไปได้
“เราจะได้ข้ามไหมเนี่ย”
คนบ่นคือฉันเองแหละไม่แน่ใจว่าบ่นเพราะกลัวหรือบ่นเพราะเบื่อ คลื่นที่ม้วนตัวกระแทกฝั่งส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหว เหมือนมันจะขู่ฆ่าฉันซะอย่างนั้น
“อย่าได้หวังเลยว่าฉันจะกลัว”
ฉันหันหน้าไปบอกเจ้าพวกคลื่นยักษ์ ในขณะที่พวกมันก็พากันทยอยซาดซัดเข้ามาไม่หยุดยั้ง
.
มันชวนขนลุกดีเหมือนกันนะนี่
มีคนรอขึ้นเรือพร้อมเราหลายคน ต้องบอกหลายสิบคนสินะ ฉันไม่แน่ใจว่าแต่ละคนมีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคลื่นลูกโตถึงเพียงนี้ แม้แต่ตัวฉันเอง ก็ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย มองย้อนกลับไปในวันนั้น ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ก็คงไม่มีใครเสียใจมากไปกว่าตัวฉันเองหรอก
เสียใจที่หลอกทางบ้านเพื่อจะได้ไปเที่ยว
เหตุใดฉันในวันนั้นจึงได้ดูถูกความรักของคนรอบข้าง ดูถูกชีวิตตัวเองได้ถึงเพียงนั้นกันหนอ ดูถูกจนไม่ใส่ใจสนใจในชีวิตของตัวเองเท่าที่ควร
..
เรานั่งรอให้คลื่นสงบร่วมสามชั่วโมง ฉันไม่แน่ใจว่าที่เรามีเรือข้าม หรือที่คนเรือยอมเอาเรือออกเพราะมั่นใจว่าคลื่นสงบแล้ว หรือเพราะเบื่อที่จะรอ จะด้วยเหตุผลใดก็เถอะ ในที่สุดเราก็มีเรือข้ามไป
มันเป็นการได้สัมผัส “ท้องทะเล”เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉัน
.ท้องน้ำที่เวิ้งว้าง ไกลสุดลูกหูลูกตา ที่สุดสายตาเบื้องหน้าคือท้องฟ้า ที่บางทีในวันนั้นอาจไม่ได้เป็นสีครามสวยงามอย่างที่ใคร ๆ วาดภาพไว้ แต่หลังจากวันนั้นเมื่อฉันได้หลับตาคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฉันก็มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีครามเสมอ
คลื่นที่สูงร่วมสามเมตรโถมตัวกระแทกเรือที่เรานั่งอยู่ไม่รู้เบื่อ เสียงผู้หญิงหลายคนที่นั่งร่วมมากับเราต่างร้องตะโกนลั่น
“ถ้าเราไม่ตะโกนเราอาจจะคลื่นไส้ได้นะ”
คนข้าง ๆ ฉันบอก
แต่ฉันก็ไม่ได้ตะโกนหรอก ฉันยืนมองฟองคลื่นสีขาวที่เบียดตัวผ่านเรือลอยล่องไปด้านหลัง ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเรือที่เมื่อถึงเวลาโคลงไปซ้ายฉันก็ไปซ้ายด้วยโคลงไปทางขวาฉันก็โยนตัวไปทางขวาด้วย
สนุกจัง..
ท้องทะเลในวันนั้น น้ำไม่ใสนัก อาจเพราะคลื่นแรงหรือจะอย่างไรไม่ทราบ ฉันก็เฝ้ามองดูคลื่นแต่ละลูกอย่างมีความสุขจนกระทั่งเรือเทียบท่าเรือที่เกาะ
พวกผู้หญิงพวกนั้นเป็นลม
.สงสัยตะโกนมากจนกระทั่งหมดแรง
เราต้องเดินขึ้นเกาะโดยการข้ามเรือต่าง ๆ จนถึงสะพานไม้ที่ยื่นออกมา ปัญหาต่อไปของฉันก็เกิด
เรามาถึงแล้ว และเรากำลังไม่รู้ว่าจะไปตรงส่วนไหนของเกาะ
การศึกษาพื้นที่หรือก็ไม่มี คนรู้จักที่นี่หรือ..ไม่มี
เรามีแค่ใจที่อยากมาเท่านั้น โดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวในเรื่องใด ๆ เลย
คนมากหน้าหลายตาเข้ามาถามเรา จะไปไหน ? จองที่พักหรือยัง ? ฉันเองก็บอกไม่ถูก เพื่อนฉันเองก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ที่สำคัญ
ฉันเพิ่งตระหนักว่าเรายังเด็กกันจังเลย..แต่
มาแล้วนี่นะ ก็ต้องลองเดินหน้าต่อไป
อย่างนี้เข้าข่ายตกกระไดพลอยโจนไหมนะ เราตัดสินใจนั่งรถวนรอบเกาะก่อนแล้วค่อยเลือกว่าจะเข้าพักที่ไหน การนั่งรถบนเกาะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับฉันอีกเช่นกัน ถนนที่เอียงไปเอียงมาทำให้เหมือนกับกำลังล่องแก่งมากกว่านั่งอยู่บนรถ มือของเราต้องยึดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้แน่น และแม้ว่าเราจะไม่อยากนั่งเบียดคนข้าง ๆ มากเกินความจำเป็น เราก็ต้องเบียดจนแทบจะเป็นการนั่งตักกันเพราะเมื่อรถลงเนินหรือห้ามล้อ พวกเราก็จะพากันเทลงไปกองรวมกันอยู่ด้านหน้า
.ช่างสนุกอะไรอย่างนี้
เราเลือกได้อ่าวเล็ก ๆ อ่าวหนึ่งข้าง ๆ อ่าวใหญ่ ๆ ที่มีคนพลุกพล่าน มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับฉันในวันนั้น อ่าวหนึ่งเมื่อเดินเข้าไป คนเยอะนัก พลุกพล่านนัก เดินเลี่ยงมาอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร คนกลับน้อยมาก น้อยจนแทบไม่มีเลย เนื้อที่ของอ่าวน้อยมาก ประมาณแค่สามร้อยเมตรเท่านั้นที่เป็นความยาวของอ่าว
นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้คนมาพักน้อย และเป็นสาเหตุที่เราเลือกจะพักที่นี่
ฝนตกตอนที่เรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะลงไปสำรวจความเค็มของน้ำทะเล
ฉันคิดว่าทะเลคงเค็มไม่เท่ากันหรอกนะ
เพราะถ้าทะเลโดนน้ำฝน ความเค็มน่าจะจางลงไปบ้าง
แต่ฉันไม่มีโอกาสได้เปรียบเทียบซะที ก็เลยได้แค่ข้อสรุปที่ว่าน้ำทะเลเค็ม
ฝนไม่ใช้อุปสรรคเลยในการลงน้ำของเรา ฉันกับเพื่อนอีกสองคนต่างดำผุดดำว่าย ดั่งประหนึ่งว่าเราได้แปลงร่างเป็นปลาไปแล้วก็ปาน
ทั้งอ่าวไม่มีใครเลยนอกจากเราสามคน
โลกเป็นของเราแล้ว!
ฝนไม่ใช่อุปสรรคโดยตรงแต่สักพักฉันก็พบว่ามันนำความยุ่งยากอีกอย่างมาสู่ฉัน ( คนเดียว ) นั่นคือความหนาวเยือก
ฉันทนความหนาวเย็นที่เกิดจากน้ำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ฉันไม่สามารถเล่นน้ำ ว่ายน้ำได้นานเพราะความเย็นของน้ำเป็นอุปสรรคใหญ่
ใครจะเป็นอย่างฉันบ้างไหมนะ สุดท้ายฉันก็ต้องขึ้นมานั่งตัวสั่นเทาอยู่บนโขดหิน
ดีว่าฝนตกไม่ต่อเนื่อง เหมือนกับจะบอกว่าฉันจะตกก็ต่อเมื่อฉันอยากตก ตก ๆ หยุดอยู่อย่างนั้น ฉันนั่งตัวสั่นโดยไม่ยี่หระกับสายฝนหรอก ชอบที่จะได้มองทะเล มองเพื่อน ๆ
จนกระทั่งดวงอาทิตย์กำลังจะลับแล้ว
.อ่าวที่เราเลือกสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ลับน้ำได้ ฉันปีนขึ้นไปนั่งบนโขดหินใหญ่ โดยมีเพื่อน ๆ อีกสองคนปีนขึ้นมานั่งข้าง ๆ คนหนึ่งเอาหลังมาพิงฉัน อีกคนนั่งทำซึ้งอยู่คนเดียว ต่างคนต่างมีเรื่องราวในใจให้ต้องคบคิด หรือบางทีอาจเป็นการซึมซับความสุขที่มีทั้งหมดให้ตราตรึงในใจให้เนิ่นนานที่สุด
ต่างคนต่างมีวิถีอยู่ในใจ
ฉันไม่ถามไถ่อะไรในใจใครทั้งนั้น สิ่งที่ฉันถามคือใจตัวเอง
ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับลาขอบฟ้าขอบน้ำในยามนี้ ในที่นี้
คือตะเกียงดวงใหญ่ของฉัน
ตั้งแต่เป็นเด็ก..ที่ฉันมักจะนั่งมองดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ เลื่อนลับขอบฟ้าจากหน้าต่างในห้องนอนที่บ้าน พร่ำบอกกับตะวันกลมแดงว่ารีบ ๆ กลับมานะ มีคนทางนี้รออยู่ พรุ่งนี้เราจะกลับมาคุยกันใหม่
บ่อยครั้งที่ตะวันแดงยามกำลังจะลาลับคือคนที่ฉันไว้ใจที่สุด
.ฉันจะเล่าทุกเรื่องราวให้ฟัง ฝากความรู้สึกถึงใคร ๆ
.. ใคร ๆ ที่ฉันเชื่อว่าเค้ายังอยู่ จะที่ใดก็ตามฉันเชื่อว่าเค้ายังอยู่
“เห็นอาทิตย์ตกดินแล้วเศร้าว่ะ”
“เรอะ
”
“ทำไมต้องเศร้า”
“ไม่รู้
ฉันว่ามันหดหู่ยังไงไม่รู้ แกว่าไหมม่าน”
ทำไมต้องถามฉันด้วยนะ ฉันคิดในใจ มองแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ หายไปช้า ๆ
“แกจะเศร้าหรือไม่เศร้า ตอนนี้ก็ไม่มีแสงแล้วหล่ะ ไปหาอะไรกินดีกว่า แสบท้องแล้ว”
ฉันเดินนำเพื่อน ๆ เข้าที่พัก อาบน้ำและไปรับประทานอาหาร
.ข้าวไข่เจียวจานละ 80 บาท อร่อยที่สุดในโลก
..
ฝนไม่ตกแล้วในวันต่อมา เราทั้งสามคนต่างคนต่างก็มีกิจกรรมไม่เหมือนกัน ฉันชอบนั่งเฝ้าคลื่นอยู่บนโขดหิน อีกคนชอบเดินเก็บเปลือกหอยมาเรียงเป็นรูปร่างต่าง ๆ อีกคนก็ชอบที่จะก้มหน้าก้มตาดำน้ำตามปลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หันไปอีกทีก็อยู่ห่างจากฝั่งร่วมสามสิบ สี่สิบเมตร มันว่ายออกไปได้ไงกันนะ ไกลออกปานนั้น ฉันกลัวแทนจัง แต่ความสนใจทั้งหมดของฉันอยู่ที่คลื่นแต่ละระลอกที่ม้วนตัวมากระแทกโขดหินมากกว่า
ไม่เจ็บกันหรือไงนะ
.โถมตัวมากระแทกหินอยู่ได้
ฉันถามอย่างคนที่ว่างเปล่าจัดถามคำถามโง่ ๆ และก็ฉันเองนั่นแหละที่ตั้งตัวเป็นคนฉลาดตอบคำถาม
บางทีชีวิตก็เลือกไม่ได้
เพราะการดำรงอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เป็นการดำรงอยู่
.ชีวิตไม่ได้มีทางให้เลือกมากนัก เป็นแต่ว่าทำให้ดีที่สุดในขณะนั้น ๆ ก็คงเพียงพอ
..
อาทิตย์กลมโตโคจรมาที่ขอบน้ำอีกครั้ง
เพื่อนตัวโตของฉันมานั่งข้าง ๆกวาดหนังสือสองสามเล่มที่ฉันอ่านตั้งแต่วันมาถึงเกาะจนกระทั่งวันนี้ยังไม่จบออกห่างไป เอาสองแขนมากอดรอบตัวฉัน เอาคางแหลม ๆ กดลงบนหัวฉัน
“มาเที่ยวทะเลครั้งนี้ ปุนก็เห็นม่านอ่านหนังสือเหมือนเดิม..ต่อไปไม่ชวนไปไหนแล้ว ปล่อยให้อ่านหนังสืออยู่บ้านดีกว่า”
“จะบอกว่าครั้งต่อไป ปุนจะแอบมาคนเดียวใช่ไหม”
“ถ้าม่านสัญญาว่าจะเลิกหอบหนังสือไปไหนมาไหนด้วย ปุนก็จะให้ม่านไปกับปุนทุกครั้ง”
“ขี้โกง”
ปุนหัวเราะแล้วโยกหัวฉันเบา ๆ
“เออ..หวานกันนักนะพวกแก..นั่งกอดกันไม่ได้ห่วงความรู้สึกเพื่อนเลย”
อีกคนในกลุ่มตะโกนพร้อมกับเอามือมาขยี้หัวฉัน แล้วนั่งลงข้าง ๆ
“ม่านถ้าปุนขออะไรม่านอย่างม่านจะให้ไหม”
“ว่ามา”
“ช่วยเอาเชือกไปผูกดวงอาทิตย์ไว้ที
.”
“ทำไมเหรอ”
“ปุนอยากอยู่อย่างนี้ไปนาน ๆ”
“ประสาท
.”
ฉันหัวเราะกับความคิดของเพื่อนสนิท
.แล้วเราต่างคนต่างก็จ่อมจมตัวเองอยู่กับความคิดที่เคว้งคว้าง
.
ค่ำคืนนั้นเราต่างมานั่งเฝ้าฟองคลื่นด้วยกันจนดึกดื่น ฉันจำได้ว่าไม่ได้หดหู่อะไรมากนักหรอก แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ใจไม่อยากนอน แต่ก็ไม่อยากทำอะไร ฉันนอนเอาหัวเกยโขดหิน มองฟ้าที่หาดาวได้ยากเหลือเกิน หวายกับปุนนั่งอยู่ข้าง ๆ
“เราจะได้มาที่นี่ด้วยกันอีกไหมว่ะ”
หวายเอ่ยถามทำลายความเงียบ
ฉันไม่มีคำตอบให้เพื่อน รวมทั้งปุนเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ฉันรู้ว่าสำหรับวัยของเราทั้งสามคนแล้วยังเด็ก ควรจะเปี่ยมไปด้วยความหวังความฝันถึงสิ่งสวยงามในชีวิต และพยายามผลักดันความฝันต่าง ๆ ให้เป็นจริง
แต่เราก็โตพอที่จะเรียนรู้จักคำว่า ชีวิตไม่แน่
..
ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
เราต่างก็รู้ว่าชีวิตมีหนทางอีกยาวไกลให้เดินไป
..หนทางนั้นช่างยาวไกลนัก หากแต่บางที..เรามีเวลาที่จะเดินบนเส้นทางนั้น..สั้นยาวแค่วันนี้
วันนี้เท่านั้นเองที่เป็นจริงสำหรับเรา
ฉันกับปุนเราต่างทราบซึ้งถึงคำว่า “วันนี้” ได้ดีกว่าหวาย
เราต่างรับรู้ถึงรสชาดของการสูญเสียมาแล้ว ในขณะที่หวายมีชีวิตที่ค่อนข้างสมบูรณ์เสมอมา ดังนั้นฉันกับปุนไม่เคยหวังอะไรไปไกลกว่าวันนี้ที่เป็นอยู่เลย
เราพร้อมจะเจ็บเสมอ
พร้อมจะผิดหวังเสมอ ในขณะเดียวกันเราทำทุกวินาทีให้ดีที่สุดสำหรับเราเสมอเช่นกัน
“ฉันรู้แต่ว่า
ถ้าฉันได้มาที่นี่อีก..ฉันก็คงคิดถึงพวกแก”
ฉันพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเกือบกระซิบ หลับตาลงเห็นแววตาของปุน
เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของฉัน
ฉันจะเก็บแววตาแห่งความเอื้ออาทรอย่างนี้ไว้กับฉันตลอดไป
แววตาทะเล้นของหวาย เพื่อนที่ไม่เคยใช้ความรู้สึกอื่นใดในการคบกันนอกจากคำว่าเพื่อน เพื่อนที่เคารพและบูชาคำว่าเพื่อน โดยบางครั้งก็แทบจะลืมขอบเขตของมัน
เราต่างพาชีวิตรอดกลับมาจากเกาะครั้งนั้นอย่างทุลักทุเล
.เหลือเงินในกระเป๋าคนละไม่เกินสองร้อย สำหรับเป็นค่าขนมตลอดทั้งเดือน
ขากลับฉันยังได้เปลือกหอยที่ปุนยอมซื้อให้เป็นของที่ระลึกกลับมาด้วย
“เอามาแนบกับหูแล้วจะได้ยินเหมือนเสียงคลื่น”
ปุนบอกฉันอย่างนั้น
ฉันกลายมาเป็นพนักงานธรรมดา ๆ ในหน่วยงานเล็ก ๆ ใช้ชีวิตสงบสุขกับความเป็นจริงของทุกวัน หวายใช้ชีวิตอยู่กับจินตนาการโลดโผนและงานสร้างสรรทางด้านศิลป ปุน
กลายเป็นนักเดินทางที่ผ่านพ้นไปในทุกถิ่นที่ อย่างที่ปุนเคยฝันไว้
ที่สำคัญ
ปุน ไม่ได้พาฉันไปด้วยอย่างที่เคยพูดกันไว้ในวันเก่า ๆ แต่ปุนพาตัวแทนของฉันไปด้วย นั่นคือหนังสือที่ติดไม้ติดมือสองสามเล่มทุกครั้งที่มีการเดินทาง สิ่งที่ปุนส่งมาหาฉันเป็นเพียงไปรษณียบัตรปีละสองสามใบ บอกกล่าวถึงเรื่องราวแต่ละถิ่นที่ที่ผ่านไป
ข้อความที่ส่งมาแทบจะเหมือนกันทุกครั้งไป
คือลงท้ายด้วย “ปุนพาม่านมาด้วยไม่ได้
แต่ปุนพาตัวแทนของม่านมา ทุกครั้งที่ปุนหยิบหนังสือมาอ่าน ปุนรู้ว่าม่านอยู่ใกล้ปุนเสมอ”
เราสามคนไม่มีโอกาสไปทะเลที่นั่นด้วยกันอีกนับจากวันนั้น หวายเองก็เลิกที่ใส่ใจว่าควรจะไปด้วยกันอีกหรือเปล่า เพราะหวายมีเพื่อนใหม่ที่หวายจะไปด้วยในที่อื่น ๆ มากมาย
วันนี้ฉันได้รับข้อความจากเพื่อนสนิททั้งสองคน
.
“นานนักแล้วที่เพื่อนในวันเก่าหายหน้า ไม่คิดจะมาเจอะเจอกันบ้างเลยหรือ
”
ฉันนั่งอมยิ้มกับข้อความที่ได้รับ ฉันรู้ว่าปุนกับหวายมีโอกาสได้เจอกันแล้ว ขาดก็แต่ฉันเท่านั้นที่กำลังจะตามไปยังสถานที่เก่า ๆ ของเรา
ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันชอบทะเล
..และฉันมักจะบอกกับใคร ๆ ว่าทะเลคือบ้านของฉัน..บ้านที่สักวันเมื่อฉันล้ามาก ๆ ท้อมาก ๆ และหมดแรงที่จะเดินทางต่อไปแล้ว วันนั้นฉันจะเอาหน้าไปแนบกับผืนทราย ฟังเสียงกระซิบแผ่วเบาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบพานของยอดคลื่น ชิมรสเค็มของน้ำทะเล และปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับนางนวลปีกขาวที่โบยบินไปสู่ฟากฟ้า
.
ฉันหยิบเปลือกหอยขึ้นมาแนบกับหู ได้ยินเหมือนเสียงกระซิบแผ่ว ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเจอของเพื่อนทั้งสอง
.
เสียงคลื่นยังก้องอยู่ในหู
.แสงแดดยามกำลังลาลับยังฝังแน่น
.ทุกครั้งที่คิดถึงทะเลฉันจะได้เห็นเพื่อนทั้งสองคนของฉันเสมอ
.เพราะเหตุนี้ฉัน
จึงรักทะเล
.
ปัทมราช
29 กันยายน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น