คืนฟ้าพรำ
ฝนหยดเม็ดเปาะแปะ ลมพัดลิ่วหอบละอองหนาวฉาบผิวกายเย็นยะเยือก คืนนี้ฟ้า หัวหินกางแผ่นเมฆบังประกายดาวระยับกับแสงนวลของจันทร์เต็มดวงเสียสิ้น ผมทิ้งกายลงบนเก้าอี้หวายเหยียดขาพาดสบายปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมละลิ่ว ให้ความหนาวได้สัมผัสเข้าลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง สายตาจับจ้องมองแก้มยุ้ยเนื้อเนียนใสเปล่งรัศมีสาวนวลผสมริษน้ำทิพย์ขับให้เป็นสีชมพูระเรื่อ เพื่อนคนอื่นๆ ต่างขึ้นนอนกันหมดแล้วหลังจากที่พระพิรุณโปรยหยาดน้ำ เหมือนไม่อนุญาตให้พวกเราได้ออกไปเดินส่งเสียงเจี้ยวจ้าวที่ชายหาดยามวิกาลยามนี้
ผมอัดบุหรี่เฮือกให้ควันมะเร็งไหลพรวดเข้าปอดผสมกับน้ำเมาที่ยังไหลวนเวียนอยู่ทั่วตัว ผมเพียงแต่อยากใช้เวลาอยู่คนเดียวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้บรรยากาศหัวหินนำความคิดลอยละล่องก่อนที่ต้องกลับไปเผชิญโลกอีกครั้ง แต่ ความตั้งใจต้องผิดพลาดเมื่อผมไม้ได้อยู่คนเดียวในคืนนี้
สายลมพัดเป่าไฟบุหรี่แดงวาบ ผมพยายามกดมือต่ำ ด้วยเกรงว่าควันพิษจะคลุ้งไปรบกวนเธอที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ที่เก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ข้างๆ ผมจับจ้องเส้นผมที่สะบัดตามแรงลม ดวงตาคู่นั้นที่ปิดเปลือกตาเบาปล่อยตัวไหลไปกับบรรยากาศ
“เด็กบ้า นอนตากลม เดี๋ยวก็เป็นหวัด”
ผมคิดในใจสูดบุหรี่เฮือกใหญ่ รอเวลา นั่งตรงนี้อีกสักพัก คงจะปลุกเธอขึ้นไปนอนบนห้องห่มผ้าให้สบาย บุหรี่มวนที่สองหมดมวนไหม้ ผมหันมองเธอให้แน่ใจว่าหลับดี ก่อนที่จะจุดบุหรี่มวนใหม่ ยิ้มกับตัวเอง คิดในใจว่าหากเป็นผมเมื่อก่อนนี้ ในเวลาแบบนี้ผมจะคิดอะไรหนอ
ตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมพยายามมาตลอดที่จะหาเวลา โอกาสที่เหมาะที่จะได้อยู่กับ เธอเพียงลำพัง หญิงสาวที่นอนเหยียดกายบนเก้าอี้ไม้ให้สายลมและละอองฝนได้ไล้เลียผิว เป็นคนเดียวกับหญิงที่ทำให้ผมต้องเหม่อลอย เคว้งคว้าง เหมือนถลำลึกลงห้วงน้ำวนอยู่หลายครา เป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะมัวแต่คำนึง นึกถึงในหลายคืนที่ผ่านมา เป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมต้องอึดอัด อึกอัก อมพนำ ทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่เหยียบความ รู้สึกให้ฝังอยู่ภายใน กดดันเหมือนภูเขาไฟคุกรุ่นพร้อมระเบิดเป็นเวลาแรมปี และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ผมมีเรื่องอะไรมาวิ่งวนเวียนอยู่ในใจได้เป็นวันๆ จนเสียศูนย์ ขาดสมดุลทางความคิด
ผมจำไม้ได้แล้วว่าหลงถลำลงสู่เหวห้วงของความทุกข์ครานั้นตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะความสนิทสนมและเวลาที่ใช้ไปร่วมกัน มันอาจสร้างความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาทีละเศษทีละเสี้ยว พอกว่าจะรู้ตัวมันก็ก่อตัวหนาสายเกินกว่าที่จะกำจัดมันออกไปได้ โดยง่าย หรือบางทีอาจเป็นเพราะเธอเองล้นเหลือไปด้วยไอเสน่ที่โปรยปรายหอมฟุ้งจนยากนักที่จะมีผู้ใดหักห้ามใจ ผมเองแม้รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็อาจจะเผลอไปติดกับกลิ่นหอมหวลที่เธอหว่านมาอย่างไม่ได้ตั้งใจโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกในอุดมคติของใครบางคนอาจสร้างให้โลกนี้สวยงามน่าอยู่ ชีวิตเปี่ยมด้วยกำลังใจให้ก้าวเดิน ท้องฟ้าฉาบด้วยสีชมพูระเรื่อ แต่สำหรับผมแล้ว ทันทีที่ผมรู้ตัวในวินาทีนั้น ความมืดได้ก่อไอวนคลุ้งกลืนจากขอบฟ้าหนึ่งไปยังอีกขอบฟ้าหนึ่งอย่างช้าๆ อุดมคติก็เป็นอุดมคติอยู่วันยังค่ำ มันช่างต่างกับความเป็นจริงนับเป็นอสงขัย
“รู้เรา รู้เขา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แต่บางครั้งการรู้ดีทั้งเขา และ เรา กลับกลายเป็นเครื่องช่วยตอกย้ำในความพ่ายแพ้ที่รออยู่ข้างหน้า ความสนิทสนมใกล้ชิดทำให้ผมรู้จักเธอดีมากพอกับที่รู้จักตัวเอง ผมพยายามทำทุกวิถีทาง แสร้งทำเป็นไม่รู้เขา บางครั้งก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรา
ความกลัวในความไม่แน่นอนในผลที่จะเกิดขึ้น ความอ่อนแอขลาดเขลาในการเผชิญความสูญเสีย และความเป็นจริง ขับให้จิตสำนึกต้องเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงไว้ตลอดเวลาไม่กล้าเฉลยแม้แต่กลับตัวเอง หลายคนรอบข้างอาจได้กลิ่นไม่ซื่อจากน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงออก หากแต่พวกเขาจะรู้ไหมว่า ผมไม่ได้พยายามจะหลอกใคร หากแต่ว่าการยอมรับอะไรบางอย่างกับคนอื่นก็เหมือนกับยอมรับสิ่งนั้นในใจตัวเอง ผมเพียงแต่ต้องการระงับความรู้สึกบางอย่างที่สิ้นหวังด้วยการพยายามไม่ยอมรับมันก็เท่านั้นเอง การต่อสู้ระหว่างความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองในจิตใจ กับความรู้รับประมาณ ช่างโหมกระหน่ำรุนแรง ซ้ำยังกินเวลาเนิ่นนานกว่าที่ใครจะคาดคิด ต่างฝ่ายก็ต่างผลัดรุกผลัดรับ โหมเร่งสลับกลับถอยฐานตั้งสู้ ผลที่ได้คือสมรภูมิแห่งการรบแห่งนั้นบอบช้ำและ สับสน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการปะทะกันได้ เพราะเมื่อหยุดยั้งคราใด ความรู้สึกตามสัญชาติญาณซึ่งย่อมมีกำลังเหนือกว่า ก็เร่งเดินทัพกลืนสมรภูมิเสียสิ้น
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป กลิ่นไอสงครามยังคงคุกรุ่น แม้ท้องฟ้าอาจดูสดใส แต่ใต้ดินยังคงเหลวร้อน เป็นไอกดดัน เงื่อนไขที่ตั้งให้กับตัวเอง คือ “จัดการตัวเองได้เสมอ” เป็นคำขวัญที่ใช้แหกตาชาวบ้าน นิยามของมันจะรวมถึงวิธีปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร ไม่อาจหาตัวบ่งชี้ตัวใดมาวัดได้ มีเพียงแต่อาการเสียศูนย์ที่ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งหากเพียงมีใครสักคนจะสังเกตุจริงๆ จังๆ หลายครั้งที่ปล่อยให้อารมณ์นำพาความคิดไปไกล คิดแทนเขา คิดแทนเรา คิดไปถึงผลที่อาจเกิดจากเงื่อนไขที่อาจเกิดขึ้นได้ร้อยแปด คิดจนกองสุมรุมไฟร้อนลุกอก ทั้งที่ความเป็นจริงอาจไม่มีเชื้อฟืนอยู่จริงเลยแม้เพียงกิ่งเดียว
ตลอดทั้งชีวิตไม่มีสิ่งใดเลยที่จะผ่านไปไม่ได้ด้วยศักยภาพแห่งแม่ทัพหนุ่มไฟแรงที่ถือสติปัญญาเป็นอาวุธและความสุขุมเป็นโล่ห์กำบัง แต่ตัณหาและราคะในชื่อของปีศาจ ความพิศวาทใคร่รักในชื่อของพระเจ้ากลับกัดกร่อนวิญญาณนักรบภายใต้เกราะกำบังได้อย่างไม่ยากเย็น
ในที่สุดด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ ผมทดลองหันหน้า เข้าหาพระเจ้าในภาคของปีศาจตนนั้น หยั่งศักยภาพของสัญชาติญาณ ในเมื่อไม่อาจสามารถชนะได้โดยง่าย จำต้องใช้กลวิธีอื่น ในคราที่ฝนฟ้าเป็นใจ บรรยากาศรอบข้างเปิดทางโล่ง เกลี่ยทางเรียบเชิญชวนพลพรรคแห่งจิตใต้สำนึกให้เข้ามาเก็บเกี่ยวชัยชนะไป การยืนหยั่งริมหน้าผาสายลมแห่งห่วงอารมณ์อาจพัดพาให้ร่างน้อยร่วงลงสิ้นลมหายใจ หากแต่จะเกิดอะไรขึ้นหากร่างนั้นยังคงหยัดยืน ไม้ได้ดับจิตผิดไปจากที่ตั้งใจ ผมเข้าเผชิญกับมันปล่อยให้มันทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ หน้าที่ผมคือยอมแพ้หลังจากที่พยายามต่อสู้มานาน แต่ภาระกิจต่อไปคือการพยายามทำให้เรา ผม และมันได้มองเห็นชัยชนะที่ไร้ค่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชัยชนะที่มันจะได้คือความว่างเปล่า ผมพิสูจน์ให้มันเห็นพร้อมๆ กับตอบคำถามตัวเองไปพร้อมๆ กัน ผมไม่อาจรู้เหมือนกันว่าถ้ามันชนะ “เรา” จะเป็นอย่างไร
และแล้ว ผมก็กุมธงแห่งชัยชนะไว้ในมือ ชัยชนะในการยอมแพ้ครั้งนั้น ผมพิสูจน์ได้จริงๆ ว่า ชัยชนะในสมรภูมิแห่งนี้คือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ได้อะไรมาครอบครอง เพราะบางอย่างก็อยู่นอกเหนืออำนาจของคนเรา เราอาจมีอำนาจเหลือล้นฟ้ามหาศาลภาคภายใน แต่กลับกลายเป็นเพียงจุดธุลีเล็กๆ ภาคภายนอก คนเดียวที่จะอยู่ภายใต้อำนาจของคนเราอย่างแท้จริง ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้นเอง
ผมใช้เวลา 3 ปีในการจัดการกับมัน เก็บงำต่อสู้เพียงลำพังภายในไม่แม้เอ่ยปากถามใคร แม้จะมีใครบางคนแอบรู้ก็ตาม หลังจากวันนั้นผมเป็นอิสระ อิสระจากพันธนาการที่สร้างขึ้นจากใจตัวเอง สมรภูมิแห่งนั้นถึงกาลที่จะสงบลงเสียที มันกลายเป็นท้องทุ่งโล่งให้สายลมพัดหยอกล้อยอดหญ้าพริ้วเป็นระรอก สายรุ้งที่ขอบฟ้าจางสีเรือง เมฆขาวปุย ตัดสีกับฟ้าฉาบสีใส จากนั้นผมกล้ายอมรับเต็มปากเต็มคำว่า ความรู้สึกในอดีตถูกรุมเร้าอย่างไร หากมีใครสักคนกล้าเอ่ยปากถาม แม้ครานั้นที่เธอเกิดกังขาเอ่ยวาจาถามด้วยตัวเอง ผมก็ตอบทันทีด้วยความมั่นใจ มั่นใจกับความจริงที่มันเคยเกิดขึ้น ท้องทุ่งก่อน้ำค้างเย็นชื่น เมื่อเธอรับรู้และเข้าใจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงระหว่างเรา มิตรภาพยังคงยิ่งใหญ่เสมอ ยิ่งในคราวที่มีกาลเวลามันบีบรัดให้เรามีโอกาสจะใช้ความว่ามิตรภาพน้อยเต็มที ความบริสุทธิของมิตรภาพย่อมดีกว่าความบริสุทธิจอมปลอมของความต้องการใคร่ของวัยหนุ่มสาวมากอักโข
ผมอัดบุหรี่เฮือกสุดท้ายสารพิษจากควันหอมและน้ำเมรัยเริ่มรุมเร้าจนมากเกินพอดี สายลมพัดพาความหนาวฉาบผิวเปลี่ยนความเย็นเป็นความหนาว ดาวคล้อยเคลื่อนเลื่อนองศาตามวัฏจักร ผมขยับตัวเทียบข้างเธอสะกิดเบาๆ เรียกเธอขึ้นนอนซุกผ้าห่มอุ่นดีกว่าตากฟ้าหนาว เธอค่อยๆ ลืมตางัวเงีย อิดออด ผมจูงมือพาขึ้นบันไดได้เกือบยิ่สิบขั้นพาเราเปิดประตูสู่ห้องรับรองที่เพื่อนพ้องนอนตายกันเกลื่อนห้อง เจ้ากรรม
ในห้องตอนนี้ไม่มีที่เผื่อสำหรับเราสองคน ผมเปิดประตูห้องที่สอง รองรับได้เหลือประมาณ แต่กลับมีคนจับจองเตียงเพียงสาม เหลือไว้อีกสองพอดิบพอดีสำหรับชาวรัตติกาลที่มักลาราตรีเป็นคนสุดท้าย ผมพาเธอไปพักลงที่เตียงคู่ทีแยกออกไปต่างหากอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วทิ้งกายคลายความอ่อนล้าพักร่างกายจากการบ่อนทำลายของยาเมาบนเตียงข้างๆ สายฝนยังโปรยปรายอยู่ภายนอก สายลมพัดสัมผัสใบไม้ไหวๆ คล้ายการขับเคลื่อนของราตรี ผมหลับตาลงพักผ่อน คิดถึงชีวิตในวันพรุ่งนี้กับการพักผ่อนให้คุ้มค่า กับการจากความศิวิลัยมา เสียงกุกกัก จับความรู้สึกของการเคลื่อนไหวข้างกาย ผมลืมตาหันมอง แสงจันทร์จากภายนอกเล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่างสะท้อนส่วนนูน เป็นแสงนวลบนแก้มสาวที่หันกระชับหมอนขยับตะแคงเข้าหา เสียงหายใจแผ่วๆ แว่วให้ได้ยินใกล้หู บรรยากาศในห้องเงียบสงัด แม้มีพวกพ้องนอนสนิทอยู่แล้ว สามสี่ คนแต่ความรู้สึกกลับเหมือนอยู่กันสองคนเพียงลำพัง ผมพยายามหลับตาลงพักผ่อน แต่คลื่นตัณหาซัดครืนๆ ลมราคะพัดวนหมุนอยู่ใต้เปลือกตาที่หลับไม่ค่อยสนิทดีนัก เตียงสองเตียงต่อใหญ่กว้างขวางแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่น่าพิสมัย ความปรารถนาภายในขับให้รู้สึกเหมือนเตียงนั้นมันแคบลงๆ ทุกที พลังงานถูกเผาผลาญจากเซลล์ความรู้ผิดชอบและพลังจากจิตใต้สำนึก ผสมริษน้ำเมาไหลหยอกล้อทุกแง่ของความคิด
”จัดการตัวเองได้เสมอ”
คำพูดนี้น่าจะยังใช้ได้ในตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากในการจัดการตัวเองอีกต่อไป หลังจากที่ผมได้ทำการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในกรณีเช่นนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่เจ้ากรรมเธอขยับตะแคงหันมาเบียดเสียดลบช่องว่างระหว่างเราให้แคบลง ขยับตัวขยุกขยิกผิดวิสัยขี้เซาเมาหลับอย่างเธอ ผมรู้ทันทีว่า เธอไม่ได้ง่วงหาวอย่างที่ควรจะเป็น
ผมเริ่มสร้างคำถามขึ้นในใจ เธอกำลังทำอะไร? เธอกำลังคิดอะไร? ผมกำลังคาดเดา
ผมขยับตัวเข้าชิด ให้เนื้อชนเนื้อในบางคราหยั่งเชิงชาติกุลสตรี แม้นเธอหลีกหนีเนื้อชายที่แตะต้องเธอเพียงผิวสัมผัส ผมคงสรุปอะไรได้และจะข่มความคิดที่บินเตลิดไปไกลให้กลับกรงลงกลอนอย่างดี แต่
เธอไม่ขยับ เธอไม่หนี จิตใต้สำนึกที่ถูกปิดกั้นไว้ในส่วนลึกของสมองกลับเริ่มคุลุกลาม เปิดเปลือกตามองผิวแก้มเนียนในความมืด จมูกเล็กน่ารัก ริมฝีปากอวบเต่งคู่เดิมที่เคยแอบมองพิศมัยมานานนับปี ขนตาเรียงชี้ลงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิมเช่นที่ผ่านมา มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยผ่านมาต่างกันเพียงแต่ว่าครั้งนี้ผมไม่ได้แอบมอง เธอลืมตามองตาคู่ที่มีภาพเธอสะท้อนอยู่ ต่างกันเพียงแต่ว่าครั้งนี้เราทั้งสองต่างก็มีสติทั้งคู่แม้จะถูกรบกวนด้วยแอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อยก็ตาม ไม่ใช่เพียงแต่ชายที่ฉวยโอกาสยามสาวสิ้นสติ จิตสำนึกยังคงมีอำนาจพอตัว ผมรู้สึกว่าสงครามย่อยๆ กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นในสมรภูมิเดิม
เราขยับไปมา ตะแคงหน้าเอียงเข้าหากัน ขยับซ้ายขยับขวาเหมือนเตียงนุ่มหนาคู่นั้นมันนอนไม่สบายตัวอีกต่อไป เนื้อสัมผัสเนื้อพยายามทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจ หากแต่เพียงรู้กันอยู่ว่าเป็นอุบายตื้นๆ ของคนมือไวคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร ผมยังดึงคำว่าเพื่อน และ ความบริสุทธิของมิตรภาพเข้ามาห้ามทัพเล็กๆ นั้นไว้ได้ ผมจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น หลับตาพยายามพักผ่อนให้สำเร็จ
ความคิดต่างๆ วิ่งวุ่นอยู่ในหัว อยู่ภายในความมืดใต้เปลือกตา พยายามทำความเข้าใจ แต่กลับยิ่งได้คำถาม เธอไม่รุก แต่ก็ไม่ต้าน แต่ก็ไม่ถอย ผิดวิสัยของสาวน้อยที่ผมรู้จักดี ผมไม่เข้าใจ ถึงตอนนี้ ผมควรจะรุกอย่างเชิงชาย หรือจะยังอย่างพันธมิตร
ผมไม่กล้าตัดสินใจ
ในวินาทีนั้นขณะที่ผมกำลังข่มความสับสนให้สงบลงทีละน้อย เธอกลับเปิดเกมด้วยการคว้าหมอนใบเล็กตบหน้าผมเบาๆเป็นการหยอกเอิน ผมโต้กลับด้วยปฏิกิริยา ผนวกกับแรงขับจากจิตใต้สำนึกที่แล่นปรี้ดขึ้นสมอง สองมือปัดกวัดแกว่ง คว้าหมอนคว้ามือพันลวัน สุดท้ายมันจบลงที่ผมกุมมือเธอข้างหนึ่ง หน้าประจันหน้า หมอนใบนั้นใช้ปิดบังสายตาใครที่บังเอิญมองมา มืออีกข้างโอบข้ามหมอนประคองศรีษะเธอเอาไว้ เราหยุดหลับตาลงจิตใจผมโลดแล่นไปด้วยความตื่นเต้นปนเปกับความกังขาอย่างแรง เธอคิดอะไร เธอทำอะไร ทำไม
ทำไมเธอไม่ดึงมือออกแล้วหันไปซะ หรือขยับตัวออกห่างเว้นช่องว่างของคนสามัญจะห่างกันในระยะที่สมควร
ภายใต้ดวงตาที่ปิดลง แต่ความคิดกลับเปิดวงจรไหลเวียนด้วยความสับสน ไล่แอลกอฮอล์ไปรวมกันอยู่จุดหนึ่งจนปวดหัวหนึบๆ
ผมข่มตาลงได้ไม่นาน เราขยับมองตา กระซิบกระซาบ หยอกล้อ สัมผัสเส้นผม กุมมือด้วยควานนุ่มนวล หันพลิกหมุนแต่ยังคงมีปฏิสัมพันธ์ทางร่างกาย ช่างดูเหมือนเป็นเวลาที่น่ามีความสุขแต่ตัวผมเองรู้ดีว่าความสุขเล็กๆ ในช่วงเวลานี้อาจสร้างความทุกข์เรื้อรังยากแก่การเยียวยาไปอีกนาน
ค่ำคืนดูเหมือนยาวนานแต่กลับรู้สึกว่าไม่อยากให้รัตติกาลจบลง ในขณะที่พระจันทร์ยัง ครองฟ้าหัวหินแห่งนี้ ผมยังดำรงสติด้วยความกังขา เบื้องหน้าล้วนเป็นความมืดมิด สิ่งที่ปรากฏล้วนเป็นเพียงผลหากแต่เหตุที่เร้นซ้อนอยู่ภายในเธอ ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ผมรู้จักและเข้าใจน้อยที่สุดไปเสียแล้ว กลับไม่เฉลยให้คลายความสับสน ยิ่งคิดยิ่งคลุมเครือกลัดกลุ้ม ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีสมองส่วนที่ไม้ได้รับรู้กับความสุขกลับพบคำถามมากมายวิ่งผ่านหน่วยประมวลมากกว่าขบวนรถด่วนเทียบชานชาลา เธอกำลังทำอะไร? นี่เป็นเกมแบบไหน? ผมกำลังทำอะไร? และต่อไปจะเป็นอย่างไร? ล้วนเป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ในคืนนี้
กาลเวลาเดินหน้าหาดวงตะวันเข้าไปทุกที เราลืมตาโพลงเข้าหากัน ผมนอนตะแคงยกมือท้าวศรีษะ มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่บนหมอนที่เธอกอดไว้ตรงหน้าอก ใช้ปลายนิ้วไล้ช้าๆ จากสันจมูก ริมฝีปาก และมนคาง
เธอมองหน้าผม มือที่กอดหมอนรูดซิปหมอนใบเล็กไปมาช้าๆ อีกมือหนึ่งวางอยู่ใต้คางผมสัมผัสเบาๆ เราพูดไร้สาระกันเบาๆ ผมไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าฉากในหนัง โรแมนติกมันจะยกมาจัดที่นี่ตอนนี้ ต่างกันที่ว่า ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจริงเพียงไร ละครคือชีวิต หรือชีวิตคือละครกันแน่ ผมกำลังทำอะไร ผมกำลังทำลายความบริสุทธิของคำว่ามิตรภาพหรือเปล่า ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลย
เราเงียบมองตากัน “ดวงตาเป็นหน้าต่างของความคิด” แต่ผมกลับไม่แน่ใจว่า ดวงตาคู่ที่ผมกำลังจับจ้องอยู่นั้น ต้องการการสิ้นสุดของฉากนี้ในทางเดียวกับผมหรือเปล่า ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เหตุผล อดีต และความเป็นจริง ต่างไม่มีสิ่งใดจะสามารถมาสนับสนุน บทบาทในฉากนี้ได้เลย มันอาจเป็นเพียงการผิดพลาดของการสื่อสารในกองถ่าย หรือความเข้าใจผิดของผู้กำกับหรือนักแสดง ผมพยายามอ่านบทของผมต่อไปจากสายตาคู่นั้น ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเล่นไปตามที่ถูกกำหนด แต่ผมก็หาอะไรแน่นอนไม่ได้ต้องปล่อยให้แรงกระตุ้นเร้าทางอารมณ์ มันสั่งการให้ร่างกายเกิดพฤติกรรมออกไป
เรื่องดำเนินมาถึงจุดสุดยอด เธอยังสร้างความประหลาดใจไม่ลดละ เธอยังเล่นบทเดิมของเธอต่อไป คือการรับอย่างเรียบเฉย ผมไม่รู้สึกว่าการประสานริมฝีปากครั้งนั้น เธอไม่ได้เผยอริมฝีปากรับแม้แต่น้อย กลับนิ่งเฉย ผมไม่เข้าใจ เธอน่าจะรู้ดีแต่แรกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทำไมเธอถึงไม่พยายามเลี่ยงหลีกไปเสียก่อนอย่างที่เธอคนที่ผมรู้จักมักจะทำและถนัดดี ทำไม?
ทำไม?
ตอนนี้ผมอ่านเธอไม่ออกเลยแม้แต่สักเศษเสี้ยวของความคิด
เธอจับมือผมที่โอบกอดเธอไว้ออก บีบมือผมแรงๆ สองสามที พลิกตัวหันไป แล้วบอกให้นอนซะ ฉากนั้นปิดลงง่ายๆ ผมต้องยอมรับโดยดุษณี ขณะนี้เธอหันหลังให้ผมแล้ว เกมของเธอจบลงตรงนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงตะวันจะค่อยๆ ส่องแสงทองฉาบฟ้าเปิดโลกแห่งความเป็นจริง ผมนอนลงหลับตาพร้อมกับคำถามที่วิ่งวนไปมาในหัว จนประมวลไม่ทันเป็นคำพูด พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมไม่กล้าทำเป็นว่ารู้หรือแน่ใจอะไรอีกต่อไป
ผมถามตัวเองว่า ความทุกข์เรื้อรังของผม มันกำลังจะกลับมา
ใช่ไหม? ----------
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น