แผน2 - แผน2 นิยาย แผน2 : Dek-D.com - Writer

    แผน2

    อยากรู้ว่าอะไรคือแผน2 ก็ลองอ่านดูนะจ๊ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    413

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    413

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 เม.ย. 47 / 13:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      นี่คือประสบการณ์การต่อสู้ของผม ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆ ที่ดำเนินชีวิตแต่ละวันซ้ำกันโดยมีจุดสิ้นสุดของชีวิตคือความตายเหมือนคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่เหมือนคนอื่นๆในตอนนี้คือสิ่งที่ผมรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยรู้! นั่นคือวันตายของตัวเอง! ผมจำได้วันนั้นเป็นช่วงเทศกาลคริสมาส ผู้คนดูค่อนข้างจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ที่บริษัทของผมพนักงานหลายคนจับกลุ่มรวมแก๊งนัดแนะกันไปฉลองคริสมาสล่วงหน้ากันตามกระแส ทั้งๆที่ไม่ใช่เทศกาลของคนไทยโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนอย่างเราเรา บ่ายวันนั้นระหว่างที่ผมเดินเท้าผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าที่ตกแต่งสวยงามตามเทศกาลนิยมเพื่อที่จะกลับไปยังบริษัท ถึงแม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่ผมก็ยังเดินทอดน่องไปอย่างไม่รีบร้อน เพลงคริสมาสดังผ่านมาแว่วๆจนกระทั้งสายลมลูกใหญ่พัดผ่านผม มันรวดเร็วและรุนแรง ผมกระชับเสื้อนอกให้แนบยิ่งขึ้น ขนทั้งร่างลุกวาบราวมัจจุราชวิ่งผ่าน ทันใดสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นวัตถุเล็กสีน้ำตาลกำลังร่อนต่ำลงมาเหนือศรีษะ มันมุ่งตรงลงมาราวกับเห็นผมเป็นเป้าหมาย ผมแบมือรับมันมา พลิกดูสองสามทีก็รู้ว่ามันคือหนังสัตว์สีน้ำตาลไหม้ ที่ถูกตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันมาพร้อมกับกลิ่นเน่าแปลกๆ กลิ่นของมันเกินบรรยายทำให้ผมขยะแขยง รู้สึกคลื่นเหียนอยากจะสำรอกเอาอาหารที่เพิ่งทานไปออกมา ผมพยายามกลืนความรู้สึกนั้นกลับไป ขณะที่ผมกำลังคิดจะทิ้งมัน ผมก็เหลือบไปอักษรบางอย่างบนแผ่นหนังผมพยายามอ่านลายมือขยุกขยุย ทันทีที่ผมได้อ่าน ข้อความบนแผ่นหนังก็วูบวนอยู่ในกะโหลก ผมชาวาบไปทั้งตัว ข้อความนั้นคือการระบุวันตายของผม ’ นาย ชาติ อารักษ์ มรณะ 1 มกราคม 2547 เวลา 12.01 อุบัติเหตุรถชน ‘ มือผมสั่นน้อยๆอย่าบังคับไม่ได้ ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ แต่นั่นคือชื่อนามสกุลของผมมันระบุอย่างชัดเจน แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครแกล้งผมแบบนี้ด้วย สัญชาติญาณบอกให้ผมทำอะไรบางอย่าง ผมจึงเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อนอก ผมใช้มือจับกระเป๋าเสื้อตลอดเวลากลัวมันจะปลิวหาย ผมพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อจะกลับบริษัทให้เร็วที่สุด จากนั้นผมก็บึ่งรถกลับบ้านทันที บ้านของผมคือคอนโดหรูกลางย่านสุขุมวิท เหมาะสมกับหน้าที่การงานของผมเลยทีเดียว เพราะวันนี้ผมกลับบ้านเร็วกว่าปกติ แพรวาภรรยาของผมจึงยังไม่กลับบ้าน ทันทีที่ผมถึงห้อง ผมก็รีบเอาแผ่นหนังออกมาอ่านอย่างละเอียด ซ้ำไปซ้ำมาทุกตัวอักษรจนผมแน่ใจ ผมตัดสินใจได้ว่าในเมื่อมัจจุราชซื่อบื้อทำชะตากรรมผมตก ผมก็จะโกงมัน ถึงมันจะดูไม่น่าเชื่อถือ 100% แต่บางอย่างในตัวมันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นของจริง ผมพับแผ่นหนังคั่นไว้ในบันทึกส่วนตัว ก่อนใส่ไว้ในลิ้นชักแล้วล็อกไว้ วันที่1มกราคม ของปฏิทินปีหน้าถูกวงจางๆด้วยดินสอ ถ้าผมผ่านวันนั้นไปได้อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ถ้าวันตายในแผ่นหนังเป็นของจริง ผมจะต้องตายอีกมั้ยหรือจะกลายเป็นอมตะ ผมไม่รู้ว่ามัจจุราชจะรู้ตัวรึยังว่าทำอะไรหาย แล้วจะกลับมาเอาคืนรึเปล่า ผมไม่รู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ จากวันนั้นวันคืนผ่านชีวิตผมไปอย่างใจเย็น ซึ่งคล้ายๆกับผมในตอนนี้ที่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษสุด นี่ก็ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้ว ใกล้วันนั้นเข้าไปทุกที วันขึ้นปีใหม่..วันที่ผมอาจจะได้ชีวิตใหม่..ชีวิตที่ไม่ตาย วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2546 วันนี้ผมดำเนินชีวิตตามปกติ หลังจากไปทำงานก็ไปดินเนอร์กับภรรยาที่ร้านประจำของเรา แพรวาเป็นคนอัธยาศัยดีชอบเข้าสังคม มีระเบียบ ทุกอย่างสำหรับเธอต้องดีที่สุดเสมอ จนบางครั้งออกจะยึดติดกับความหรูหรา แต่กระนั้นผมก็ยังรักเธอ และสรรหาให้ในสิ่งที่เธอต้องการเสมอ วันนี้เธออยู่ในชุดแซกมีสีดำ ผมที่ถูกรวบไว้ตกเคลียแก้มสีชมพู กระเป๋าสีดำใบจิ๋วเข้ากับสีชุด วันนี้เธอดูสวยกว่าวันไหนๆ บริกรพาเราไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างที่ผมจองไว้ หลังเราสั่งอาหารเสร็จ ผมก็สั่งไวน์แดงกับสเต็กเนื้อ ใบหน้าหวานๆของเธอ ผิวพรรณที่ได้รับการดูแลอย่างดี มันทำให้ผมอยากสัมผัสเธอ ผมมองมายังลำคอของเธอ ผมว่ามันยังขาดอะไรอยู่นะ ทันที ผมก็คิดถึงสร้อยคอฝังเพรชเม็ดงามที่ตั้งโชว์อยู่ในร้านไม่ไกลจากที่ทำงานของผม ถ้ามันมาอยู่บนคอของเธอคงจะดูสวยมาก ผมตัดสินใจจะซื้อมันให้เธอในวันครบรอบแต่งงานเดือนหน้าของเรา เธอคงจะชอบมัน คืนนี้ช่างเป็นมื้อค่ำที่วิเศษสุด เสียงเปียโนบรรเลงเพลงคลาสสิกที่ชอบ กับคนที่ผมรัก วันอังคารที่31ธันวาคม 2546 นี่จะเป็นวันสุดท้ายก่อนการเริ่มต้น ถ้าจารึกในแผ่นหนังนั่นเป็นความจริง ก่อนวันขึ้นปีใหม่ตามสองข้างฝั่งถนนได้ถูกตกแต่งประดับดาอย่างสวยงาม ป้ายสวัสดีปีใหม่ที่ประดับด้วยไฟหลากสี ทุกอย่างถูกเตรียมไว้ราวกับเพื่อต้อนรับผม ผมรู้สึกเริงร่าเสียเหลือเกิน เพราะว่าถ้าพ้นวันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีไอ้วันตายบ้าๆมากวนใจผมอีกต่อไป แต่วันนี้เองที่ผมฝันร้ายที่สุด ผมสะดุ้งตื่นมาตอนกลางคืน ผมฝันเห็นชายชุดดำที่ไม่มีร่างกายท่อนล่างตรงเข้ามาหาผม สมุดบันทึกของผมเปิดออกเอง แผ่นหนังที่ผมพับสอดไว้ถูกกางออกมาตัวอักษรบนแผ่นหนังดูชัดเจน ผมเห็นป้ายหลุมศพที่สลักชื่อผม ดอกไม้3ดอกถูกโปรยมาเหนือหลุมศพ ผมเห็นภาพตัวถูกรถชนกระเด็นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยากอ้วก มันเป็นฝันที่ชัดเจนมาก ชัดจนเหมือนกับเห็นมากับตา ชัดจนจำรายละเอียดได้แทบทั้งหมด ภาพอุบาทก์นั้นยังติดตาผมเหมือนฟิล์มหนังเก่าที่ถูกฉายซ้ำซ้ำ เหงื่อผมแตกพร่า เส้นประสาททั่วร่างผมเต้นตุบๆไม่มีจังหวะ …หรือนี่คือ สาสน์ท้า! วันที่ 1 มกราคม 2547 เช้าวันนี้ผมดูไม่สดชื่นเอาซะเลย เพราะตั้งแต่ตื่นมากลางดึกก็นอนไม่หลับอีกเลย ร่างกายผมล้าหมดเรี่ยวแรง วันนี้ผมระแวงไปหมด ผมกลัวจะหกล้มในห้องน้ำ กลัวไฟช็อต ไม่กล้าโกนหนวด ไม่กล้าจับไมโครเวฟ ไม่กล้าแตะต้องปลั๊กไฟ กลัวทุกๆอย่าง ทั้งๆที่จริง ผมต้องถูกรถชนตาย ด้วยความกังวลทั้งหลายทำให้หลังจากที่แพรวาออกจากบ้านเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนๆ ผมก็รีบวิ่งไปล็อคประตู ปิดหน้าต่างทุกบาน ตอนแรกผมตั้งใจว่าโกงความตายของตัวเองอย่างเยือกเย็น ไม่กระโตกกระตาก ผมวางแผนไว้เป็นขั้นตอน ผมจะอยู่แต่ในบ้านเตรียมสเบียงกับของจำเป็นไว้ล่วงหน้าเพื่อได้ไม่ต้องขยับไปไหน ซึ่งควรจะเตรียมขอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พอผ่านเส้นตายทุกอย่างก็จะเป็นอิสระ ผมจะโทรจองร้านอาหารในโรงแรมดีๆ แล้วก็ไปฉลองปีใหม่กับภรรยาผม ..แต่นี่มันอะไรกันผมลนลานจนลืมแผนการ กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ความเงียบรบกวนจนผมต้องเปิดทีวี ไล่มันไปให้หมด ผมมองตู้เย็นอย่างชั่งใจก่อนที่จะเปิดมันเพื่อเตรียมสเบียงผมรินน้ำใส่แก้วแค่ครึ่งแก้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำ ตอนนี้การกระทำและจิตใต้สำนึกของผมเหมือนคนบ้า ถ้าตอนนี้มัจจุราชเดาแผนการณ์โง่ๆของผมออกมันอาจจะหาวิธีตายใหม่ๆรอผมไว้ก็ได้ ตอนแรกผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องนี้แต่ฝันเมื่อคืนนี้มันเหมือนจริงมากจนตอนนี้ผมปักใจเชื่อว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นจริง ผมนั่งนิ่งมองดูภาพในกรอบจอสี่เหลี่ยมเคลื่อนไหวอย่างไร้ความหมาย จิตใจของผมเหม่อลอยว้าวุ่น ผมพยายามรวบรวมสมาธิอยู่ที่จอทีวีแต่ก็ไม่สำเร็จผมดูมันไม่รู้เรื่อง สมองของผมตอนนี้ไม่สามารถตีความหมายของสิ่งที่ปรากฏบนจอได้ ตอนนี้เสียงจากโทรทัศน์กลายเป็นเสียงที่น่ารำคาญผมจึงปิดมันเสีย ผมนั่งนิ่งเงี่ยหูฟังเสียงความเงียบหัวร่อต่อกระซิบดังกระหึ่มล้อเลียนผม เวลาผ่านไปราวชั่วกัปกัลป์ ผมทนไม่ไหวแล้ว! ยิ่งเงียบยิ่งว้าวุ่น ถ้าตอนนี้ได้คุยกับใครสักคนคงจะดีขึ้น ผมกดโทรศัพท์บ้านด้วยเบอร์ที่คุ้นเคย รอสายอยู่นานแต่ก็ไม่มีคนรับ จึงตัดสินใจตัดสายแล้วต่อใหม่ แต่คราวนี้ไม่ต้องให้คอยนานก็มีคนมารับสาย “สวัสดีครับ” เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย “เอ่อ…สวัสดีครับ นั่นมือถือคุณแพรวา ใช่ไหมครับ” ผมลองถามเพราะมั่นใจว่าตัวเองกดเบอร์ไม่ผิด “ใช่ครับ เอ่อ..นั่นจากใครครับ” “คุณนั่นแหล่ะคือใคร” ผมถามอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้านี่คือมือถือของแพรวาจริงแล้วทำไมคนรับสายจึงเป็นหมอนี่ นานเท่านานที่ผมและคนปลายสายอยู่ในความเงียบ ราวกำลังใช้ความคิด “ผมคือแฟนของแพร”ทันทีที่คำตอบนั้นผ่านการแปลความหมาย เลือดที่อยู่ภายในตัวผมแล่นข้นหน้า ตัวผมชาไปทั้งตัว ผมเงียบไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ผมรวบรวมสติ พูดลองใจเพื่อบางที่อาจจะเป็นแค่การล้อเล่น “คุณ…คบกันมานานแค่ไหน?” “ครึ่งปีแล้ว ทำไมหรอ นั่นคุณเป็นใคร?…ฮัลโหล” “ผม…..” ‘แกร็ก’ ผมพูดไม่ออกความรู้สึกชาจากปลายเท้าพุ่งจี๊ดขึ้นสมอง มึนงง สับสน ผมเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ‘คุณ…คบกันมานานแค่ไหน?’‘ครึ่งปีแล้ว’ คำสนทนาพวกนี้วนเวียนในหัว จริงสิช่วงหลังๆนี้แพรออกจากบ้านบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่ได้เอะใจ พอถามเธอก็จะบอกว่านัดเพื่อนไว้ ทำไมแพรถึงทำกับผมได้ขนาดนี้ น้ำตาผมไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วสมองมันตื้อๆ รู้แต่ว่าตัวเองกำลังเดินไปข้างหน้า ผมไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้ผมเดินมาถึงนี่ ผมมองขวดยานอนหลับที่อยู่ในมือ ผมมักพึ่งมันทุกครั้งที่นอนไม่หลับ ยาในขวดเหลือมากกว่าครึ่งถ้ากินทั้งหมดก็มากพอที่จะทำให้ผมหลับได้ตลอดกาล ผมรู้ว่านี่คือกลลวง รู้ว่านี่คืออันตรายแต่เสียงสนับสนุนที่ดังยู่ในหัวผมมันกลับบอกผมว่าผมทำทุกอย่างเพื่อแพร รักแพรมาตลอดแต่เธอกลับทำให้ผมกลายเป็นผู้ชายหน้าโง่โดยการแอบคบกับผู้ชายน่าโง่อีกคน มันบอกให้ผมไม่ต้องกลัว แค่ผมกินยาในมือนั่นผมจะได้หลับแบบสบายๆไม่เจ็บปวด ไม่ต้องทรมานกับการรับรู้ความจริง ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ ผมก็ไม่อยากจะพิสูจน์มัน เพราะยิ่งรับรู้ก็ยิ่งเจ็บปวด แล้วถ้าผมตายมันก็คือการลงโทษแพร ภาพของผมจะติดตามเธอไปตลอดชีวิต เธอจะรู้สึกผิด เธอจะทรมาน เธอจะเสียใจที่ทำกับผมแบบนี้ ผมหลับตาลงเห็นภาพของแพรในชุดดสวยสีขาวที่ผมเคยซื้อให้นั่งกอดแขนพูดคุยอย่างสนิมสนมกับผู้ชายอีกคน มันเหมือนจริงมากจนผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของเธอแว่วมา มือที่กำขวดยาอยู่นั้นเหมือนกับไม่ใช่มือของผม ผมรู้สึกเหมือนสมองไม่สั่งการ ผมได้ยินแต่เสียงหัวเราะของเธอ เสียงหัวเราะมีความสุขมันดังและดังขึ้นกว่าเดิม เสียงของเธอใกล้จนเหมือนกับเธอมานั่งข้างๆผมหัวเราะเยาะอยู่ข้างหู ผมทนไม่ได้อีกต่อไป ยาในมือถูกกรอกเข้าปากแบบไม่ยั้ง ผมหยุดมันไม่ได้ ได้แต่กลืนมันเข้าไป แต่มันแปลกอยู่อย่างนึงคุณรู้มั้ย คือยานอนหลับที่ผมกรอกเข้าไปแบบดิบๆไม่ได้กินน้ำตามมันกลับลื่นคอและไม่ขมแบบปติหรือนี่จะเป็นความช่วยเหลือของมัจจุราช ในที่สุดผมก็ไม่ชนะเกมส์นี่ แพ้หมดรูปผมโยนขวดยาทิ้ง ความง่วงงุนจู่โจมในทันที นี่หรือวาระสุดท้ายของผม เสียงนาฬิกาติดผนังดังบอกเวลาเที่ยงวัน ทุกอย่างดูพร่ามัวไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา นี่หรือคือแผนสองของมัจจุราช …ทรมาน ’ นาย ชาติ อารักษ์ มรณะ 1 มกราคม 2547 เวลา 12.01 ฆ่าตัวตาย’ นาฬิกายังคงเดินหน้าต่อไปไม่มีใครรับรู้สิ่งที่เพิ่งเกิดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเเมื่อไม่มีคนรับเครื่องตอบรับจึงทำงาน ’ สวัสดีครับ ขณะนี้ผมกับแพรไม่อยู่บ้าน กรุณาฝากข้อความไว้แล้วผมกับแพรจะโทรกลับครับ “ปิ๊บ” ‘ “ชาติ นี่แพรนะรับโทรศัพท์หน่อยสิคะ…คุณโกรธแพรอยู่หรอ อย่าเข้าใจผิดซิคะ วิทย์เล่าให้แพรฟังแล้ว คนเมื่อกี้เพื่อนแพรเอง…วิทย์ไงคะ จำได้คุณเคยเจอนี่คะ เค้าแค่อยากล้อคุณเล่นแต่คุณวางสายไปก่อน อย่าโกรธเลยนะคะ แพรไม่เคยมีใครอื่นเลย แพรรักคุณคนเดียวนะ เดี๋ยวแพรกำลังจะกลับบ้านแล้วเจอกันนะคะที่รัก คนดีของแพร ‘แกร๊ก’ ” จบภาค1

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×