เสียงกริ่งจักรยานกริ๊งกรั๊งบอกเป็นสัญญาณถึงเวลาตื่นตัวในยามเช้า ผู้คนเดินกันขวักไขว่ใส่เสื่อขาวสวนกันไปมาตามทางเดินขนาบด้วยรางดินที่เต็มพรั่งไปด้วยต้นเข็มแตกใบเขียวแซมด้วยพุ่มดอกแดงเรียงเป็นแนวยาว บางคนเดินลัดสนามก้าวตามอิฐก้อนใหญ่คอยระวังสายน้ำจากหัวฉีดรอบๆ เสียงทักทายดังไม่ขาดสาย โต๊ะยาวที่ตั้งเรียงรายใต้ตึกเริ่มถูกเต็มให้เต็มด้วยผู้คน บ้างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ บ้างจับกีตาร์ร้องเพลง บางคนหลับฟุบต่อเวลาพักผ่อน แม่ค้าพ่อขาย เปิดร้านจัดจานชามถาดกับข้าว เครื่องถ่ายเอกสารเปิดอุ่นเครื่องอีกครั้ง
.มหาวิทยาลัยตื่นแล้ว!!!
จักรยามสีแดงคันเก่าวิ่งไปตามถนนปูนขนานไปกับทางเดินเท้าเกิดเสียงเคร้งคร้างตามมาตลอดทาง ล้อหน้ายางสึกหักเลี้ยววิ่งวนรอบสระขนาดย่อมที่ล้อมรอบด้วยหญ้าเขียว สูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนจะวกกลับเข้าทางวิ่งจักรยานอีกครั้ง \"กริ๊ง ๆ\" เสียงกริ่งจักรยานดังแทรกเสียง เคร้ง คร้างน่ารำคาญ เบรกหน้ากดห้ามล้อจักรยานจอดเทียบหญิงสาวผมสั้นหอบของพะรุงพะรัง \"ไปด้วยกันไหม?\"
\"ว้าย นี่ขี่ดีๆ หน่อยสิแก\" เสียงคุ้นหูกับประโยคเดิมๆ เขาไม่ใช่คนที่ขี่จักรยานแย่สักเท่าไหร่ เขาเองจับจักรยานมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว กับแค่ผู้หญิงขาวอวบผมยาวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังไม่อาจทำให้ศักยภาพในการขับขี่ของเขาลดลงได้ แต่การที่จักรยานสีแดงคันใหม่เอี่ยมที่เศษพลาสติกที่หุ้มตัวรถยังคงติดอยู่ตามซอกมุมของน๊อตตัวเงาที่ขันแน่นทั้งที่ตะกร้าหน้ารถ เบาะหลังและส่วนอื่นๆ วิ่งไปเฉี่ยวเอาพุ่มเข็มข้างทางหรือหักเลี้ยวคดไปคดมาเป็นงูเลื่อย นั่นก็เพียงเพื่อกระเซ้าเพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังให้เคืองเล่นเท่านั้นเอง
\"ไปทางไหน?\" เขาหยุดจักรยานข้างต้นแก้วต้นเตี้ย ที่แตกยอดอ่อนตรงทางสามแพร่ง ข้างหน้าเป็นทางตรงขีดแนวด้วยรางดินปลูกต้นเข็มเช่นเดียวกับตลอดทางที่ผ่านมา อีกทางหนึ่งเป็นทางแยกซ้ายดินลูกรังเชื่อมต่อกับถนนอีกสาย
\"ตรงไปเถอะ
ร่มดี
\" คำตอบเหมือนเดิมทุกๆ วันที่ทางแยกสามแพร่ง เขาออกแรงถีบจักรยานให้เคลื่อนไปข้างหน้า ผ่านทางแยกซ้ายไป แม้ว่าเขานะคิดว่าทางนั้นมันจะทำให้ถึงอาคารเรียนได้เร็วกว่าเพียงแต่ว่าอาจจะโดนแสงแดดบ้างเท่านั้นเอง
สองปีมาแล้วนานเท่ากับอายุจักรยานสีแดงคันนี้ คันที่มีเบาะหลังสีครีมสวย และไม่เคยว่าง เขาเจียดเงินถอยจักรยานคันใหม่สำหรับสถานที่เรียนใหม่ที่มีอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
จักรยานสักคันคงช่วยเขาแบ่งเบาความเหนื่อยล้าและประหยัดเวลาได้มาก ในการเดินทางจากหอสู่ตึกเรียน หรือแม้แต่ตึกเรียนสู่ตึกเรียน และตั้งแต่วันที่จักรยานคันนี้ได้เปิดเส้นทางสู่โลกใหม่ชายเมืองแห่งนี้ทุกครั้งทีได้ยินเสียงกริ่งจักรยานของเขา จะต้องเห็นเธอนั่งซ้อนอยู่ที่เบาะหลังสีครีมสวย จนชินตาใครต่อใครที่พบเห็น จักรยานคันใหม่ของเขากลายเป็นของเธอไปเสียด้วย ความจริง ใครๆ ที่นี่ก็มีจักรยานกันทั้งนั้น เธอก็คงมีเช่นกัน
ถ้าเธอขี่มันเป็น
ทุกเช้าเขาจะจอดจักรยาน โชว์แสงสะท้อนเงางามที่หน้าหอหญิง คอยรอเธอ หอบหนังสือพะรุงพะรังลงมาจากบันได แล้วทำหน้าที่สารถีพาเธอไปทานข้าวเช้าที่ โรงอาหารของมหาวิทยาลัย หรือบางครั้งที่มีเวลาไม่มากก็จะแวะซื้อแซนด์วิชหรือไส้กรอกที่ซุ้มอาหารชื่อดังข้างทาง ที่แผ่สาขาไปทั่วทุกมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็ขึ้นเรียนพร้อมกัน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้ง 2 คนนั้นมีตารางเรียนที่เหมือนกัน เกือบทุกวิชา หลังจากวันที่ได้พบกันวันแรกทักทายกันตามประสาเพื่อนใหม่ พบเห็นหน้ากันบ่อยๆ ตามชั้นเรียน เริ่มรับส่งจากคณะไปตึกเรียนตามประสาคนมีน้ำใจ ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เพราะเวลาว่างช่างตรงกันอย่างบังเอิญ จนรู้สึกว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เธอชอบหยุดแวะซื้อไอศกรีมรสรัมเรซิน ถ้วยใหญ่ที่ร้านระหว่างทาง และเขาจะจอดจักรยานรอเธออยู่ใกล้ๆ บางวันที่แดดร่มลมตกเขาจะพาเธอนั่งซ้อนท้ายเบาะสีครีม ขี่แล่นไปตามถนนที่ทอดยาวเลี้ยววนเป็นทางล้อมรอบกลุ่มตึกใหญ่รับลมเสียทั่วเก็บบรรยากาศของทุกแง่มุมหลืบเหลี่ยมที่ปรากฏอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย หากมีเวลาว่างมากกว่านั้นสักหน่อย ก็จะขี่เลยไปทางประตูหลังผ่านถนนลูกรังขรุขระไปสักระยะ แล้วจอดชื่นชมบรรยากาศของบึงธรรมชาติเล็กๆ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ได้ล่องลอยไปกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน ไหลเรื่อยไปตามความทรงจำ บันทึกวันเวลาเป็นเสมือนภาพวาดอยู่ ณ ริมบึงแห่งนั้น ขากลับก็จะแวะทานส้มตำที่ร้านเลื่องชื่อ หลังอาหารเย็นบางวัน ยังนั่งคุยกันจนดึกดื่น สนุกกับการตบยุงท่ามกลางแสงจันทร์ ด้วยต่างคนต่างรู้ดีว่า ช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตมันช่างผ่านไปรวดเร็วนัก 3 หรือ 4 ปี อาจไหลแล่นผ่านหน้าพวกเขาไปเหมือนเพียงแค่ไม่กี่วินาที
\"เป็นแฟนกันหรือไง?\" เขาส่ายหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไร นอกจากหันหลังแล้วเดินจากไป เขาสงสัยกับคำถามที่ประดังเข้าเมาเป็นระรอกๆ เกี่ยวกับเขาและเธอ ทำไม
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง สนิทสนมกัน จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่กับความสัมพันธ์แบบทีใครๆ เขาชอบคิดกันรึเปล่า เขาไม่เข้าใจสมองและปากของกระแสสังคม ที่จำกัดอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตลอดเวลา
.ช่างเป็นกรอบที่ไร้ค่าฉาบฉวยเสียนี่กระไร เขาพยายามมองหาความละเอียดอ่อนและจริงใจของสังคม แต่ยิ่งใช้เวลาคิดกับมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียเวลาไปมากเท่านั้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ใช้ไปกับเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรไร้สาระเพียงไร ใช้เวลาไปมากแค่ไหน ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาที่เสียไปเหล่านั้นจะไร้ค่าเลยสักนิด
จนสุดท้ายเรื่องราวที่สังคมกล่าวขานเกี่ยวกับตัวเขากลับกลายเป็นเรื่องตลก คนอื่นจะรู้ไหมนะ ว่าเขาสองคนแม้จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะพูดคุยปรึกษาปัญหาส่วนตัวกันเลยสักครั้ง แล้วเธอเองก็มีคนรู้ใจของเธออยู่แล้ว ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งสอง ต่างแทบจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังภายในใจของกันและกันเลยสักนิดเดียว ไม่มีการเล่า ไม่มีการถาม มีเพียงการคาดเดาไปตามประสา คนที่อยู่ใกล้ชิดเท่านั้นเอง เมื่อใดที่เขาและเธอพบกัน เขาก็จะหันชีวิตอีกด้านหนึ่งมาเพื่อสนุกด้วยกัน พยายามสร้างความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาชีวิตอันสั้นแห่งนี้ด้วยกัน เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่า แบบนี้จะเรียกว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเธอ และเธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเขารึเปล่า ไม่มีคำตอบ เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรมาวัดเรื่องราวพวกนี้ได้อย่างจริงจัง เขาไม่อยากมี สมองและปากอย่างกระแสสังคม ที่มักจะตัดสินอะไรด้วย เปลือกนอกฉาบฉวย เรื่องบางอย่างก็ลึกซึ้งเกินกว่า คำอธิบาย หรือ ลึกซึ้งมากกว่า ที่มันแสดงออกมา
งานลอยกระทงประจำปี มหาวิทยาลัยจัดงานใหญ่ แสงไฟสีเสียงดังเอิกเริก ผู้คนมากมายหลายหน้าต่างพากันมาร่วมสนุกกันในงานรื่นเริงอย่างนี้ เสียงเพลงดังก้องกึก อื้ออึงด้วยเสียงป่าวประกาศเรียกเร่ขายของ เขาสนุกอยู่กับการจัดการค้าขายจ่ายเกมส์ในซุ้มที่ร่วมกันจัดกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ส่วนเธอเดินเที่ยวงานวัดกับคนที่รู้ใจตามประสาหนุ่มสาว พอสายดึกเขาหยุดพักวางมือจากงานสับสนและความวุ่นวายของคลื่นกระแสคนและความเอะอะมะเทิ้งของงานรื่นเริง จับจักรยานสีแดงคู่ใจตีวงเคลื่อนออกไปท่องตามเส้นทางหาความสงบสักพัก
ในเงาของเสาตึกที่ฉายทอดด้วย แสงเต็มดวงของจันทร์ ข้างคูน้ำเล็กๆ ห่างออกไปจากเสียงบันเทิงรื่นเริง เขาชลอจักรยานจอดเทียบข้างเสา นั่งลงริมคูน้ำข้างสาวน้อยผมยาวที่นั่งแอบความวุ่นวาย ของราตรีอยู่ในเงาจันทร์
ทำไมมาอยู่นี่?\" เขานั่งลงลูบหัวสาวน้อยแก้มเนียน ที่นั่งมองเงาสะท้อนของจันทร์ในคูน้ำนิ่ง \"ไม่ได้ไปเดินในงานเหรอ ไม่เห็นเห็นเลย\" เขาขยับตัวนั่งบนพื้นหญ้าข้างๆ เธอ
\"ไปมาแล้ว\" เธอตอบสั้นๆ ไม่
แม้แต่หันหน้ามามองเขา
\"เขาล่ะ?\" เขารู้ดีว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เขาอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงรายละเอียด แต่เรื่องราวที่ปรากฏบนสีหน้าเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ย่อมบอกอะไรเขาได้ไม่มากก็น้อย เธอยิ้มถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้ามอง แสงจันทร์ที่ทรงกรดสว่าง เขาเงยหน้ามองตาม ท้องฟ้ารังสิตแห่งนี้ช่างเปิดโล่งอำนวยเสริมให้แสงจันทร์คืนนี้ เป็นจันทร์ที่มองเหมือนเป็นราชินีแห่งราตรีอย่างแท้จริง
แต่กระนั้น หากลองมองไปไหนแววตาของหญิงสาวสักคน เบื้องลึกข้างในนั้นย่อมซ่อนแววเศร้า และหมองหม่นเสมอ แม้แต่ดวงตาของราชินีแห่งรัตติกาลที่ส่องแสงสว่างมากเพียงใดก็ตาม
สายลมแห่งเดือนสิบสอง พัดไล้ผิวคนทั้งสอง เส้นผมพัดสะบัดเป็นระลอกตามจังหวะของสายลม
.ที่พัดหมุนสร้างกรอบแห่งความเงียบรอบกาย เสียงดนตรีและเสียงพลุ ประทัด ตะไล ยังคงดังไม่ขาดสาย แต่ก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีเสียงไหน ทะลุทะลวงผ่าน กรอบกำแพงความเงียบของเขาและเธอเข้าไปได้
\"พระจันทร์สวย
.\" เธอว่า
\"ใช่
. ภายใน 30 วันจะมีวันที่พระจันทร์สวยที่สุดแค่วันเดียวเท่านั้น
แต่นั่นก็พระจันทร์ดวงเดิม\"
\"แกนี่มันชอบพูดอะไรเข้าใจยาก
.อวดฉลาดประจำ\" เธอเริ่มยิ้ม หัวเราะหึๆ
\"ก็ไม่ได้ฉลาด แต่ก็คงดีถ้าคนเราจะรู้และเข้าใจทุกเรื่อง ไม่เหมือนแกนี่\"
\"ทำไมย่ะ?\" เธอตีต้นแขนเขาเบาๆ
\"เปล่า
.ชั้นกำลังคิดว่า ทำไมนะ ชั้นถึงไม่ใช่คนที่รู้เรื่องจากปากแกทุกเรื่อง\" เขาควานหากิ่งไม้โยนลงในคูน้ำ ภาพสะท้อนดวงจันทร์เลือนเป็นระลอก
\"แปลกอะไรล่ะ ชั้นยังไม่เห็นจะได้ยินอะไรจากปากแกเลย\" เธอโยนกิ่งไม้บ้าง ไม่ปล่อยให้แสงจันทร์ส่องจากผิวน้ำได้เต็มวง เขานิ่งอึ้งกับความจริงที่ต่างรู้กันอยู่
.มันเป็นความจริงที่เขาเองก็ไม่เคยจะเล่าอะไรๆ ที่สำคัญในชีวิตให้เธอฟังเลย หรือแม้แต่เวลาที่เขาต้องทำงานสำคัญ ข่าวของเขาก็มักจะกระจายผ่านปากของคนอื่นเสมอ ไม่มีครั้งใดเลยที่จะมีอะไรออกจากปากเขาเข้าหูเธอโดยตรง เช่นเดียวกันกับข่าวของเธอ
\"แกนี่มัน
\" เขาพูดคำพูดติดปากของเขา และ เธอ โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่า จะสรรหาคำอะไรมาต่อท้ายให้เต็มประโยคได้อย่างที่ใจกำลังคิด
\"แต่แกก็อยู่ข้างชั้นเสมอนี่
.\" เธอยักไหล่เล็กน้อย สายตายังจับจ้องที่ระลอกน้ำสะท้อนภาพท้องฟ้าและแสงจันทร์ ผิวน้ำค่อยๆ หยุดนิ่งแล้ว ดวงจันทร์สองดวงกำลังปรากฎอยู่ตรงหน้าของพวกเขา แต่ละคนจับจ้องมองกันคนละดวง
.เสียงพลุ ตะไล ปึงปัง ดังทะลวงกรอบแห่งความเงียบเข้ามาสำเร็จ
\"ไอ้บ้า
.\" เขาตบหัวเธอเบาๆ ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลที่ทำอย่างนั้น แต่เขาก็ทำเป็นประจำ
\"ไอ้{^_^}
.\" เธอตบแขนขวาฉาด ด่ากลับเป็นประจำเช่นกัน
\"ยังไม่ได้ ลอยกระทงล่ะสิท่า
. แย่หน่อยนะที่ต้องมาลอยกับชั้น\"
\"โชคดีที่ไม่มีกระทง
\"
\"ใครบอก\" เขาลุกขึ้นหันหลัง เบื้องหลังเป็นกอง เศษใบตองที่เพื่อนๆ ตัดฉีกช่วยกันทำกระทงประกวด และ ขายกัน ในงาน เขาหยิบพลิกเศษรกอยู่สักพัก กลับมาพร้อมกับ กระทงใบเล็กบิดเบี้ยวที่ถูกคัดทิ้งเพราะไม่สามารถนำออกไปเร่ขายได้
ในขณะที่ชาวมหาวิทยาลัยทั้งหลายรวมกลุ่มกันนำกระทงใบสวยหลายร้อยใบค่อยๆ ทยอยกันลงลอยในสระน้ำใหญ่ประจำมหาวิทยาลัย หนุ่มสาวสองคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่ใครๆ คิด ก็ลงลอยกระทงใบเล็กบูดเบี้ยวในคูน้ำเล็กๆ ห่างออกมาด้วยใบหน้าแห่งความปิติ ไม่มีใครรู้ว่า ทั้งสองอธิษฐานอะไร พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายอธิษฐานอะไร และแน่นอน จะไม่มีใครบอกใครก่อนแน่นอน เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นเสมอมา
\"ขอบใจ
แต่ไม่ดีกว่า\" เธอขยับสมุด เลิกคิ้วนิดๆ แล้วเดินจากไป เธอก้าวท้าวตรงไปที่รถจักรยานสีเขียวใหม่เอี่ยม ล้วงกุญแจจากกระเป๋าสะพายใบเล็กปลดโซ่ล็อคล้อ แล้วขึ้นขี่ไป สองปีผ่านไปนับจากวันนั้น ไม่นานเลยสำหรับเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่คนที่เตรียมใจไว้ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้กับความมหัศศจรรย์ของเวลา เขาแทบไม่เชื่อเลยว่า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปได้มากมาย จักรยานสีแดงเงาวับของเขา ตอนนี้กลายเป็นได้แก่ที่ได้แต่ส่งเสียงเคล้งคล้าง หลังจากที่ลุยถนนตั้งแต่มันเป็นดินลูกรังจนเดี๋ยวนี้เป็รคอนกรีตเรียบขี่สบาย ตระกร้าหน้าน๊อตหลุดหายไปจนต้องใช้เชือกผูกไว้ ส่วนเบาะหลังสีครีมไม่ได้สวยเหมือนเมื่อก่อน กลับเป็นรอยดำเก่าคร่ำ ฝุ่นจับเป็นสีมอ และ
มันว่างเปล่า
เขาหยุดมองเธอหันรถจักรยานจากไปอย่างช้าๆ เธอขี่จักรยานเก่งแล้ว
เขาถอนหายใจ หลายอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่ผ่านมา เขาพยายามมองหาคนที่จะมารับผิดชอบในเรื่องนี้ คงจะรู้สึกดีถ้ามีใครสักคนลุกขึ้นมารับผลของมัน แต่ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เธอและไม่ใช่ใครทั้งนั้น ปล่อยให้คำถามที่ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าจะถามอะไร ตกค้างเป็นตะกอนอยู่ในใจเขา
ทุกวันนี้ เธอไม่ได้นั่งอยู่บนเบาะหลังจักรยานเขาอีก ไม่ได้นั่งมานาน
เธอมีจักรยานของเธอเอง มีชั่วโมงเรียนของเธอเอง มีเวลาพักของเธอเอง เวลาทีจะเห็นกันสักครั้ง หาได้ยากกว่าการควานหาคำตอบในข้อสอบมิดเทอม จักรยานของเขาไม่มีใครซ้อนอีก เขาเองก็ไม่ได้ขี่ไปรอบๆ มหาวิทยาลัยมานานเพราะเขาเองก็มีอะไรต่อมิอะไรจะต้องจัดการอีกมากมาย ถนนทางออกสู่บึงด้านหลังถูกปิดลงพร้อมๆ กับร้านส้มตำที่ต้องย้ายไป.. ร้านไอศกรีมได้รับการขยับขยายออกไป มีขนม น้ำดื่มและของอื่นๆ มากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้หยุดรถใกล้ๆ ร้านนั้นอีกต่อไป ความจริงแล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุดรถตรงนั้นเลย กลางคืนเขายังคงชอบนั่งคุยกลางแสงจันทร์อย่างเคย เพียงแต่ว่า คนที่เขาคุยด้วยไม่ใช่เธอ เธอเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ เป็นเพียงภาพรางๆ ในหัวเขา เช่นเดียวกับที่เธอเองก็คงจำตารางเรียนของเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่า ความห่างเหินระหว่างเขาและเธอจะค่ อยๆ ขยายตัวดึงให้ฝั่งของแม่น้ำที่กั้นเขาทั้งสอง มันไกลกันจนมองเห็นกันลิบๆ
ที่สำคัญคือ ถ้าเขามีสมองและ ปากอย่างกระแสสังคม คนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นคนที่รับการกล่าวโทษ คงจะต้องมีใครโกรธใครสักคน ที่เรื่องราวมันมีผลออกมาเช่นนี้ แต่นั่นมันเป็นเรื่องฉาบฉวย บางอย่างมันก็ลึกซึ้งเกินกว่า คำอธิบาย หรือ ลึกซึ้งมากกว่า ที่มันแสดงออกมา
ถ้ามีใครสักคนจะต้องได้รับการกล่าวโทษจริงๆ ก็คงต้องยกให้กับ
\"เวลา\"
เขาขี่จักรยานไปตามทางมองเห็นเธออยู่ไกลๆ ข้างหน้าเป็นทางสี่แยก ความจริงแล้วมันเป็นทางที่เทปูนใหม่ เมื่อก่อนเป็นแค่ทางสามแพร่งเท่านั้น เธอไม่ได้ตรงไปตามถนนที่ขีดแนวด้วยรางดินปลูกต้นเข็ม หากแต่เลี้ยวไปตาทางปูนเรียบที่ทำขึ้นใหม่แล้วเลี้ยวลัดหายไปในเหลียมตึก เขาขี่จักยานตามมาหยุดล้อไว้ข้างต้นแก้วที่สูงระดับศรีษะออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็น
\"ไปทางไหน?\" เขาถามตัวเองในใจ
มันจะไปได้เร็วกว่าเพียงแต่อาจจะถูกแสงแดดบ้าง
เขาตัดสินใจหักเลี้ยวไปตามทางแยกซ้ายที่เชื่อมต่อกับถนนอีกสาย
มุ่งหน้าไปกับเบาะหลัง
ที่ว่างเปล่า
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น