เบาะหลังที่ว่างเปล่า - Backseat Emptiness - เบาะหลังที่ว่างเปล่า - Backseat Emptiness นิยาย เบาะหลังที่ว่างเปล่า - Backseat Emptiness : Dek-D.com - Writer

    เบาะหลังที่ว่างเปล่า - Backseat Emptiness

    ชิวิจมหาวิทยาลัย เพื่อน จักรยาน และ เส้นทางที่ตัดใหม่ ... ใครๆ ก็เคยเจอมาแล้วทั้งนั้น

    ผู้เข้าชมรวม

    323

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    323

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 เม.ย. 47 / 16:25 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เสียงกริ่งจักรยานกริ๊งกรั๊งบอกเป็นสัญญาณถึงเวลาตื่นตัวในยามเช้า ผู้คนเดินกันขวักไขว่ใส่เสื่อขาวสวนกันไปมาตามทางเดินขนาบด้วยรางดินที่เต็มพรั่งไปด้วยต้นเข็มแตกใบเขียวแซมด้วยพุ่มดอกแดงเรียงเป็นแนวยาว บางคนเดินลัดสนามก้าวตามอิฐก้อนใหญ่คอยระวังสายน้ำจากหัวฉีดรอบๆ เสียงทักทายดังไม่ขาดสาย โต๊ะยาวที่ตั้งเรียงรายใต้ตึกเริ่มถูกเต็มให้เต็มด้วยผู้คน บ้างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ บ้างจับกีตาร์ร้องเพลง บางคนหลับฟุบต่อเวลาพักผ่อน แม่ค้าพ่อขาย เปิดร้านจัดจานชามถาดกับข้าว เครื่องถ่ายเอกสารเปิดอุ่นเครื่องอีกครั้ง….มหาวิทยาลัยตื่นแล้ว!!! จักรยามสีแดงคันเก่าวิ่งไปตามถนนปูนขนานไปกับทางเดินเท้าเกิดเสียงเคร้งคร้างตามมาตลอดทาง ล้อหน้ายางสึกหักเลี้ยววิ่งวนรอบสระขนาดย่อมที่ล้อมรอบด้วยหญ้าเขียว สูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนจะวกกลับเข้าทางวิ่งจักรยานอีกครั้ง \"กริ๊ง ๆ\" เสียงกริ่งจักรยานดังแทรกเสียง เคร้ง คร้างน่ารำคาญ เบรกหน้ากดห้ามล้อจักรยานจอดเทียบหญิงสาวผมสั้นหอบของพะรุงพะรัง \"ไปด้วยกันไหม?\" \"ว้าย นี่ขี่ดีๆ หน่อยสิแก\" เสียงคุ้นหูกับประโยคเดิมๆ เขาไม่ใช่คนที่ขี่จักรยานแย่สักเท่าไหร่ เขาเองจับจักรยานมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว กับแค่ผู้หญิงขาวอวบผมยาวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังไม่อาจทำให้ศักยภาพในการขับขี่ของเขาลดลงได้ แต่การที่จักรยานสีแดงคันใหม่เอี่ยมที่เศษพลาสติกที่หุ้มตัวรถยังคงติดอยู่ตามซอกมุมของน๊อตตัวเงาที่ขันแน่นทั้งที่ตะกร้าหน้ารถ เบาะหลังและส่วนอื่นๆ วิ่งไปเฉี่ยวเอาพุ่มเข็มข้างทางหรือหักเลี้ยวคดไปคดมาเป็นงูเลื่อย นั่นก็เพียงเพื่อกระเซ้าเพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังให้เคืองเล่นเท่านั้นเอง \"ไปทางไหน?\" เขาหยุดจักรยานข้างต้นแก้วต้นเตี้ย ที่แตกยอดอ่อนตรงทางสามแพร่ง ข้างหน้าเป็นทางตรงขีดแนวด้วยรางดินปลูกต้นเข็มเช่นเดียวกับตลอดทางที่ผ่านมา อีกทางหนึ่งเป็นทางแยกซ้ายดินลูกรังเชื่อมต่อกับถนนอีกสาย \"ตรงไปเถอะ…ร่มดี…\" คำตอบเหมือนเดิมทุกๆ วันที่ทางแยกสามแพร่ง เขาออกแรงถีบจักรยานให้เคลื่อนไปข้างหน้า ผ่านทางแยกซ้ายไป แม้ว่าเขานะคิดว่าทางนั้นมันจะทำให้ถึงอาคารเรียนได้เร็วกว่าเพียงแต่ว่าอาจจะโดนแสงแดดบ้างเท่านั้นเอง สองปีมาแล้วนานเท่ากับอายุจักรยานสีแดงคันนี้ คันที่มีเบาะหลังสีครีมสวย และไม่เคยว่าง เขาเจียดเงินถอยจักรยานคันใหม่สำหรับสถานที่เรียนใหม่ที่มีอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา…จักรยานสักคันคงช่วยเขาแบ่งเบาความเหนื่อยล้าและประหยัดเวลาได้มาก ในการเดินทางจากหอสู่ตึกเรียน หรือแม้แต่ตึกเรียนสู่ตึกเรียน และตั้งแต่วันที่จักรยานคันนี้ได้เปิดเส้นทางสู่โลกใหม่ชายเมืองแห่งนี้ทุกครั้งทีได้ยินเสียงกริ่งจักรยานของเขา จะต้องเห็นเธอนั่งซ้อนอยู่ที่เบาะหลังสีครีมสวย จนชินตาใครต่อใครที่พบเห็น จักรยานคันใหม่ของเขากลายเป็นของเธอไปเสียด้วย ความจริง ใครๆ ที่นี่ก็มีจักรยานกันทั้งนั้น เธอก็คงมีเช่นกัน … ถ้าเธอขี่มันเป็น ทุกเช้าเขาจะจอดจักรยาน โชว์แสงสะท้อนเงางามที่หน้าหอหญิง คอยรอเธอ หอบหนังสือพะรุงพะรังลงมาจากบันได แล้วทำหน้าที่สารถีพาเธอไปทานข้าวเช้าที่ โรงอาหารของมหาวิทยาลัย หรือบางครั้งที่มีเวลาไม่มากก็จะแวะซื้อแซนด์วิชหรือไส้กรอกที่ซุ้มอาหารชื่อดังข้างทาง ที่แผ่สาขาไปทั่วทุกมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็ขึ้นเรียนพร้อมกัน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้ง 2 คนนั้นมีตารางเรียนที่เหมือนกัน เกือบทุกวิชา หลังจากวันที่ได้พบกันวันแรกทักทายกันตามประสาเพื่อนใหม่ พบเห็นหน้ากันบ่อยๆ ตามชั้นเรียน เริ่มรับส่งจากคณะไปตึกเรียนตามประสาคนมีน้ำใจ ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เพราะเวลาว่างช่างตรงกันอย่างบังเอิญ จนรู้สึกว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เธอชอบหยุดแวะซื้อไอศกรีมรสรัมเรซิน ถ้วยใหญ่ที่ร้านระหว่างทาง และเขาจะจอดจักรยานรอเธออยู่ใกล้ๆ บางวันที่แดดร่มลมตกเขาจะพาเธอนั่งซ้อนท้ายเบาะสีครีม ขี่แล่นไปตามถนนที่ทอดยาวเลี้ยววนเป็นทางล้อมรอบกลุ่มตึกใหญ่รับลมเสียทั่วเก็บบรรยากาศของทุกแง่มุมหลืบเหลี่ยมที่ปรากฏอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย หากมีเวลาว่างมากกว่านั้นสักหน่อย ก็จะขี่เลยไปทางประตูหลังผ่านถนนลูกรังขรุขระไปสักระยะ แล้วจอดชื่นชมบรรยากาศของบึงธรรมชาติเล็กๆ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ได้ล่องลอยไปกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน ไหลเรื่อยไปตามความทรงจำ บันทึกวันเวลาเป็นเสมือนภาพวาดอยู่ ณ ริมบึงแห่งนั้น ขากลับก็จะแวะทานส้มตำที่ร้านเลื่องชื่อ หลังอาหารเย็นบางวัน ยังนั่งคุยกันจนดึกดื่น สนุกกับการตบยุงท่ามกลางแสงจันทร์ ด้วยต่างคนต่างรู้ดีว่า ช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตมันช่างผ่านไปรวดเร็วนัก 3 หรือ 4 ปี อาจไหลแล่นผ่านหน้าพวกเขาไปเหมือนเพียงแค่ไม่กี่วินาที \"เป็นแฟนกันหรือไง?\" เขาส่ายหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไร นอกจากหันหลังแล้วเดินจากไป เขาสงสัยกับคำถามที่ประดังเข้าเมาเป็นระรอกๆ เกี่ยวกับเขาและเธอ ทำไม…การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง สนิทสนมกัน จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่กับความสัมพันธ์แบบทีใครๆ เขาชอบคิดกันรึเปล่า เขาไม่เข้าใจสมองและปากของกระแสสังคม ที่จำกัดอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตลอดเวลา….ช่างเป็นกรอบที่ไร้ค่าฉาบฉวยเสียนี่กระไร เขาพยายามมองหาความละเอียดอ่อนและจริงใจของสังคม แต่ยิ่งใช้เวลาคิดกับมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียเวลาไปมากเท่านั้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ใช้ไปกับเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรไร้สาระเพียงไร ใช้เวลาไปมากแค่ไหน ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาที่เสียไปเหล่านั้นจะไร้ค่าเลยสักนิด… จนสุดท้ายเรื่องราวที่สังคมกล่าวขานเกี่ยวกับตัวเขากลับกลายเป็นเรื่องตลก คนอื่นจะรู้ไหมนะ ว่าเขาสองคนแม้จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะพูดคุยปรึกษาปัญหาส่วนตัวกันเลยสักครั้ง แล้วเธอเองก็มีคนรู้ใจของเธออยู่แล้ว ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งสอง ต่างแทบจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังภายในใจของกันและกันเลยสักนิดเดียว ไม่มีการเล่า ไม่มีการถาม มีเพียงการคาดเดาไปตามประสา คนที่อยู่ใกล้ชิดเท่านั้นเอง เมื่อใดที่เขาและเธอพบกัน เขาก็จะหันชีวิตอีกด้านหนึ่งมาเพื่อสนุกด้วยกัน พยายามสร้างความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาชีวิตอันสั้นแห่งนี้ด้วยกัน เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่า แบบนี้จะเรียกว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเธอ และเธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเขารึเปล่า ไม่มีคำตอบ เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรมาวัดเรื่องราวพวกนี้ได้อย่างจริงจัง เขาไม่อยากมี สมองและปากอย่างกระแสสังคม ที่มักจะตัดสินอะไรด้วย เปลือกนอกฉาบฉวย เรื่องบางอย่างก็ลึกซึ้งเกินกว่า คำอธิบาย หรือ ลึกซึ้งมากกว่า ที่มันแสดงออกมา… งานลอยกระทงประจำปี มหาวิทยาลัยจัดงานใหญ่ แสงไฟสีเสียงดังเอิกเริก ผู้คนมากมายหลายหน้าต่างพากันมาร่วมสนุกกันในงานรื่นเริงอย่างนี้ เสียงเพลงดังก้องกึก อื้ออึงด้วยเสียงป่าวประกาศเรียกเร่ขายของ เขาสนุกอยู่กับการจัดการค้าขายจ่ายเกมส์ในซุ้มที่ร่วมกันจัดกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ส่วนเธอเดินเที่ยวงานวัดกับคนที่รู้ใจตามประสาหนุ่มสาว พอสายดึกเขาหยุดพักวางมือจากงานสับสนและความวุ่นวายของคลื่นกระแสคนและความเอะอะมะเทิ้งของงานรื่นเริง จับจักรยานสีแดงคู่ใจตีวงเคลื่อนออกไปท่องตามเส้นทางหาความสงบสักพัก ในเงาของเสาตึกที่ฉายทอดด้วย แสงเต็มดวงของจันทร์ ข้างคูน้ำเล็กๆ ห่างออกไปจากเสียงบันเทิงรื่นเริง เขาชลอจักรยานจอดเทียบข้างเสา นั่งลงริมคูน้ำข้างสาวน้อยผมยาวที่นั่งแอบความวุ่นวาย ของราตรีอยู่ในเงาจันทร์ ทำไมมาอยู่นี่?\" เขานั่งลงลูบหัวสาวน้อยแก้มเนียน ที่นั่งมองเงาสะท้อนของจันทร์ในคูน้ำนิ่ง \"ไม่ได้ไปเดินในงานเหรอ ไม่เห็นเห็นเลย\" เขาขยับตัวนั่งบนพื้นหญ้าข้างๆ เธอ \"ไปมาแล้ว\" เธอตอบสั้นๆ ไม่…แม้แต่หันหน้ามามองเขา \"เขาล่ะ?\" เขารู้ดีว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เขาอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงรายละเอียด แต่เรื่องราวที่ปรากฏบนสีหน้าเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ย่อมบอกอะไรเขาได้ไม่มากก็น้อย เธอยิ้มถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้ามอง แสงจันทร์ที่ทรงกรดสว่าง เขาเงยหน้ามองตาม ท้องฟ้ารังสิตแห่งนี้ช่างเปิดโล่งอำนวยเสริมให้แสงจันทร์คืนนี้ เป็นจันทร์ที่มองเหมือนเป็นราชินีแห่งราตรีอย่างแท้จริง แต่กระนั้น หากลองมองไปไหนแววตาของหญิงสาวสักคน เบื้องลึกข้างในนั้นย่อมซ่อนแววเศร้า และหมองหม่นเสมอ แม้แต่ดวงตาของราชินีแห่งรัตติกาลที่ส่องแสงสว่างมากเพียงใดก็ตาม สายลมแห่งเดือนสิบสอง พัดไล้ผิวคนทั้งสอง เส้นผมพัดสะบัดเป็นระลอกตามจังหวะของสายลม….ที่พัดหมุนสร้างกรอบแห่งความเงียบรอบกาย เสียงดนตรีและเสียงพลุ ประทัด ตะไล ยังคงดังไม่ขาดสาย แต่ก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีเสียงไหน ทะลุทะลวงผ่าน กรอบกำแพงความเงียบของเขาและเธอเข้าไปได้… \"พระจันทร์สวย….\" เธอว่า \"ใช่ …. ภายใน 30 วันจะมีวันที่พระจันทร์สวยที่สุดแค่วันเดียวเท่านั้น… แต่นั่นก็พระจันทร์ดวงเดิม\" \"แกนี่มันชอบพูดอะไรเข้าใจยาก….อวดฉลาดประจำ\" เธอเริ่มยิ้ม หัวเราะหึๆ \"ก็ไม่ได้ฉลาด แต่ก็คงดีถ้าคนเราจะรู้และเข้าใจทุกเรื่อง ไม่เหมือนแกนี่\" \"ทำไมย่ะ?\" เธอตีต้นแขนเขาเบาๆ \"เปล่า….ชั้นกำลังคิดว่า ทำไมนะ ชั้นถึงไม่ใช่คนที่รู้เรื่องจากปากแกทุกเรื่อง\" เขาควานหากิ่งไม้โยนลงในคูน้ำ ภาพสะท้อนดวงจันทร์เลือนเป็นระลอก \"แปลกอะไรล่ะ ชั้นยังไม่เห็นจะได้ยินอะไรจากปากแกเลย\" เธอโยนกิ่งไม้บ้าง ไม่ปล่อยให้แสงจันทร์ส่องจากผิวน้ำได้เต็มวง เขานิ่งอึ้งกับความจริงที่ต่างรู้กันอยู่….มันเป็นความจริงที่เขาเองก็ไม่เคยจะเล่าอะไรๆ ที่สำคัญในชีวิตให้เธอฟังเลย หรือแม้แต่เวลาที่เขาต้องทำงานสำคัญ ข่าวของเขาก็มักจะกระจายผ่านปากของคนอื่นเสมอ ไม่มีครั้งใดเลยที่จะมีอะไรออกจากปากเขาเข้าหูเธอโดยตรง เช่นเดียวกันกับข่าวของเธอ \"แกนี่มัน……\" เขาพูดคำพูดติดปากของเขา และ เธอ โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่า จะสรรหาคำอะไรมาต่อท้ายให้เต็มประโยคได้อย่างที่ใจกำลังคิด \"แต่แกก็อยู่ข้างชั้นเสมอนี่….\" เธอยักไหล่เล็กน้อย สายตายังจับจ้องที่ระลอกน้ำสะท้อนภาพท้องฟ้าและแสงจันทร์ ผิวน้ำค่อยๆ หยุดนิ่งแล้ว ดวงจันทร์สองดวงกำลังปรากฎอยู่ตรงหน้าของพวกเขา แต่ละคนจับจ้องมองกันคนละดวง….เสียงพลุ ตะไล ปึงปัง ดังทะลวงกรอบแห่งความเงียบเข้ามาสำเร็จ \"ไอ้บ้า….\" เขาตบหัวเธอเบาๆ ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลที่ทำอย่างนั้น แต่เขาก็ทำเป็นประจำ \"ไอ้{^_^}….\" เธอตบแขนขวาฉาด ด่ากลับเป็นประจำเช่นกัน \"ยังไม่ได้ ลอยกระทงล่ะสิท่า …. แย่หน่อยนะที่ต้องมาลอยกับชั้น\" \"โชคดีที่ไม่มีกระทง…\" \"ใครบอก\" เขาลุกขึ้นหันหลัง เบื้องหลังเป็นกอง เศษใบตองที่เพื่อนๆ ตัดฉีกช่วยกันทำกระทงประกวด และ ขายกัน ในงาน เขาหยิบพลิกเศษรกอยู่สักพัก กลับมาพร้อมกับ กระทงใบเล็กบิดเบี้ยวที่ถูกคัดทิ้งเพราะไม่สามารถนำออกไปเร่ขายได้ ในขณะที่ชาวมหาวิทยาลัยทั้งหลายรวมกลุ่มกันนำกระทงใบสวยหลายร้อยใบค่อยๆ ทยอยกันลงลอยในสระน้ำใหญ่ประจำมหาวิทยาลัย หนุ่มสาวสองคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่ใครๆ คิด ก็ลงลอยกระทงใบเล็กบูดเบี้ยวในคูน้ำเล็กๆ ห่างออกมาด้วยใบหน้าแห่งความปิติ ไม่มีใครรู้ว่า ทั้งสองอธิษฐานอะไร พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายอธิษฐานอะไร และแน่นอน จะไม่มีใครบอกใครก่อนแน่นอน เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นเสมอมา \"ขอบใจ…แต่ไม่ดีกว่า\" เธอขยับสมุด เลิกคิ้วนิดๆ แล้วเดินจากไป เธอก้าวท้าวตรงไปที่รถจักรยานสีเขียวใหม่เอี่ยม ล้วงกุญแจจากกระเป๋าสะพายใบเล็กปลดโซ่ล็อคล้อ แล้วขึ้นขี่ไป สองปีผ่านไปนับจากวันนั้น ไม่นานเลยสำหรับเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่คนที่เตรียมใจไว้ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้กับความมหัศศจรรย์ของเวลา เขาแทบไม่เชื่อเลยว่า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปได้มากมาย จักรยานสีแดงเงาวับของเขา ตอนนี้กลายเป็นได้แก่ที่ได้แต่ส่งเสียงเคล้งคล้าง หลังจากที่ลุยถนนตั้งแต่มันเป็นดินลูกรังจนเดี๋ยวนี้เป็รคอนกรีตเรียบขี่สบาย ตระกร้าหน้าน๊อตหลุดหายไปจนต้องใช้เชือกผูกไว้ ส่วนเบาะหลังสีครีมไม่ได้สวยเหมือนเมื่อก่อน กลับเป็นรอยดำเก่าคร่ำ ฝุ่นจับเป็นสีมอ และ…มันว่างเปล่า เขาหยุดมองเธอหันรถจักรยานจากไปอย่างช้าๆ เธอขี่จักรยานเก่งแล้ว…เขาถอนหายใจ หลายอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่ผ่านมา เขาพยายามมองหาคนที่จะมารับผิดชอบในเรื่องนี้ คงจะรู้สึกดีถ้ามีใครสักคนลุกขึ้นมารับผลของมัน แต่ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เธอและไม่ใช่ใครทั้งนั้น ปล่อยให้คำถามที่ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าจะถามอะไร ตกค้างเป็นตะกอนอยู่ในใจเขา ทุกวันนี้ เธอไม่ได้นั่งอยู่บนเบาะหลังจักรยานเขาอีก ไม่ได้นั่งมานาน…เธอมีจักรยานของเธอเอง มีชั่วโมงเรียนของเธอเอง มีเวลาพักของเธอเอง เวลาทีจะเห็นกันสักครั้ง หาได้ยากกว่าการควานหาคำตอบในข้อสอบมิดเทอม จักรยานของเขาไม่มีใครซ้อนอีก เขาเองก็ไม่ได้ขี่ไปรอบๆ มหาวิทยาลัยมานานเพราะเขาเองก็มีอะไรต่อมิอะไรจะต้องจัดการอีกมากมาย ถนนทางออกสู่บึงด้านหลังถูกปิดลงพร้อมๆ กับร้านส้มตำที่ต้องย้ายไป.. ร้านไอศกรีมได้รับการขยับขยายออกไป มีขนม น้ำดื่มและของอื่นๆ มากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้หยุดรถใกล้ๆ ร้านนั้นอีกต่อไป ความจริงแล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุดรถตรงนั้นเลย กลางคืนเขายังคงชอบนั่งคุยกลางแสงจันทร์อย่างเคย เพียงแต่ว่า คนที่เขาคุยด้วยไม่ใช่เธอ เธอเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ เป็นเพียงภาพรางๆ ในหัวเขา เช่นเดียวกับที่เธอเองก็คงจำตารางเรียนของเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่า ความห่างเหินระหว่างเขาและเธอจะค่ อยๆ ขยายตัวดึงให้ฝั่งของแม่น้ำที่กั้นเขาทั้งสอง มันไกลกันจนมองเห็นกันลิบๆ ที่สำคัญคือ ถ้าเขามีสมองและ ปากอย่างกระแสสังคม คนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นคนที่รับการกล่าวโทษ คงจะต้องมีใครโกรธใครสักคน ที่เรื่องราวมันมีผลออกมาเช่นนี้ แต่นั่นมันเป็นเรื่องฉาบฉวย บางอย่างมันก็ลึกซึ้งเกินกว่า คำอธิบาย หรือ ลึกซึ้งมากกว่า ที่มันแสดงออกมา…ถ้ามีใครสักคนจะต้องได้รับการกล่าวโทษจริงๆ ก็คงต้องยกให้กับ …\"เวลา\" เขาขี่จักรยานไปตามทางมองเห็นเธออยู่ไกลๆ ข้างหน้าเป็นทางสี่แยก ความจริงแล้วมันเป็นทางที่เทปูนใหม่ เมื่อก่อนเป็นแค่ทางสามแพร่งเท่านั้น เธอไม่ได้ตรงไปตามถนนที่ขีดแนวด้วยรางดินปลูกต้นเข็ม หากแต่เลี้ยวไปตาทางปูนเรียบที่ทำขึ้นใหม่แล้วเลี้ยวลัดหายไปในเหลียมตึก เขาขี่จักยานตามมาหยุดล้อไว้ข้างต้นแก้วที่สูงระดับศรีษะออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็น… \"ไปทางไหน?\" เขาถามตัวเองในใจ …มันจะไปได้เร็วกว่าเพียงแต่อาจจะถูกแสงแดดบ้าง… เขาตัดสินใจหักเลี้ยวไปตามทางแยกซ้ายที่เชื่อมต่อกับถนนอีกสาย…มุ่งหน้าไปกับเบาะหลัง…ที่ว่างเปล่า

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×