วันนั้นที่ผมบอกรักเธอ - วันนั้นที่ผมบอกรักเธอ นิยาย วันนั้นที่ผมบอกรักเธอ : Dek-D.com - Writer

    วันนั้นที่ผมบอกรักเธอ

    ประสบการณ์จริงจากเด็กหนุ่มคนนึง ที่ไม่เคยมีความรัก จนกระทั้งพบและประทับใจในเธอ

    ผู้เข้าชมรวม

    467

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    467

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 เม.ย. 47 / 09:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คืนคืนหนึ่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ กระแสลมเย็นที่พัดพาเอาความสดชื่นมาจากที่ไกลลิบก็พัดมาเยี่ยมเยียนเมืองไทย บนท้องฟ้าปรากฏเพียงดวงดาวดวงน้อยๆสองสามดวงที่ประกายแสงสุกสว่างอย่างกระตือรือร้นเคียงข้างแสงสีนวลของจันทร์ยามราตรี ทิวไม้ที่โบยไสวตามกระแสลมนั้นเกิดเป็นเงาที่ลานกว้างหน้าหมู่บ้าน แสงไฟจากบ้านเรือนถูกดับลงทีละดวงสองดวง จนที่สุดเหลือเพียงแสงเล็กๆที่ลอดผ้าม่านหน้าต่างบ้านไม้ที่น่ารักของผมเพียงดวงเดียว ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างบรรจงสร้างรูปภาพขึ้นจากด้ายสีเล็กๆหลายร้อยเส้นที่ประสานกันจนเกิดความงดงามและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งภาพ ผมนั่งทำงานนี้มาตั้งแต่วันอังคารแล้ว และกำลังเร่งมือทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันวันเสาร์ที่จะถึงนี้ วันที่ผู้คนรอของขวัญจากคนที่เขารัก วันที่กุหลาบบานพร้อมกันทั้งโลก เธอของผมก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในหลายๆคนที่ต้องการสิ่งซึ่งเป็นตัวแทนของความรักจากคนพิเศษ หากคนอื่นๆได้แต่เธอไม่ได้เธอจะรู้สึกอย่างไร เธอจะเสียใจแค่ไหน นึกถึงเธอแล้วก็ทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด ความเมื่อยล้าเริ่มคุกคามอย่างหนักหน่วงขึ้น นาฬิกาสีส้มลายการ์ตูนบอกว่าเป็นเวลา 2 ยามแล้ว ผมละมือจากผืนผ้านั้น เปิดม่านแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้ใจโบยบินไปกับสายลมสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ผมหลับตาลงช้าๆปล่อยให้ลมเย็นปะทะใบหน้าและนึกกลับไปยังวันนั้น วันแห่งการเริ่มต้นค้นหารักแท้ของผม เปิดเทอมวันแรก ก้าวแรกสู่มัธยมปลาย ผมเดินเข้าสู่โรงเรียนอีกครั้งหลังจากที่จากมันไปถึง 2 เดือนเต็มด้วยความสดชื่น เด็กนักเรียนใหม่หน้าใสๆเดินขวักไขว่เต็มโรงเรียนไปหมด ท้องฟ้าเป็นสีฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝูงนกฝูงใหญ่บินรี่ผ่านไปทั้งกลุ่ม เหลือก็แต่เจ้านกน้อยที่ดูอ่อนแอตัวนั้นที่ถูกเพื่อนๆทั้งฝูงทิ้งให้บินตามอย่างไม่แยแส เสียงร้องเพลงเคารพธงชาติดังกระหึ่มมาจากกรมทหารที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียนกลบเสียงสวดมนต์จากโรงเรียนผมเสียหมด เพื่อนร่วมห้องปีนี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนใหม่ ผมเดินขึ้นห้องอย่างสบายอารมณ์ เมื่อถึงห้องอาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 2 ก็นั่งรออยู่ที่ระเบียงแล้ว ผมจึงเข้าไปทักทายท่านและนำไมโครโฟนกับข้าวของของท่านเข้าไปวางไว้บนโต๊ะหน้าห้อง ผมสังเกตเห็นว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของที่นั่งทั้งหมดถูกจับจองด้วยนักเรียนเข้าใหม่ 30 เปอร์เซ็นต์แรกเป็นนักเรียนชายที่หน้าตาไม่ได้สมาร์ทไปกว่าผมสักเท่าไร ยังพอทำใจ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์หลังเป็นนักเรียนหญิง นักเรียนหญิงด้วย น่ารักด้วย ขาว สวย หมวย อืม……… ทำใจไม่ได้เลย……… สายตามันมักจะลอยไปหาเธอๆเหล่านั้นบ่อยๆ เอาล่ะค่ะนักเรียน………..เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาดึงสติผมให้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ใจมันพาสายตาไปจับจ้องอยู่กับสาวๆ 2 คนที่เดินผ่านหน้าห้องผมไป อาจารย์แนะนำตัวและเริ่มให้เพื่อนที่นั่งติดริมประตูแนะนำตัว ทุกคนมองไปที่เธอและพยายามจำชื่อเพื่อนๆให้ได้เพื่อจดลงใบกิจกรรมที่อาจารย์ให้ทำ ตอนนั้นสายตาของผมก็ไม่ได้อยู่ที่เธอคนที่แนะนำตัวเลยแม้แต่น้อย หากแต่ไปจดจ้องอยู่กับเธออีกคนนึงที่นั่งข้างๆ สักพักเธอก็ลุกขึ้นยืนแนะนำตัวบ้าง ผมดำยาวของเธอถูกรวบไว้ข้างหลัง แววตาร่าเริงปนเขินอายกำลังมองไปรอบๆห้อง แก้มเธอสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเป็นสีชมพูอ่อนๆ มือไม้ทั้งสองปัดแกว่งไปมาด้วยความประหม่า ผมจับใจความได้เพียงว่าเธอชื่อ “ น้ำฝน ” นั่นแหละคือครั้งแรกที่ผมพบและประทับใจในตัวเธอ จากวันนั้นผมก็แอบให้ความสนใจกับเธออยู่บ่อยๆ แอบมองบ้าง แอบชื่นชมอยู่ห่างๆบ้าง แอบสืบข้อมูลเธอบ้าง แต่การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตัวและหันมามองผมบ้างเลย กลับกันผมกลับรู้เรื่องบางเรื่องที่ทำให้ผมต้องถอนตัวจากเธอ เธอมีแฟนแล้ว มีคนที่คอยเป็นห่วงเธออยู่แล้ว ผมหมดสิทธิ์แล้วหมดสิทธ์ตั้งแต่แรก ผมไม่มีโอกาสพูดคุยกับเธอเลยแม้สักคำเดียวเพราะเธอเองก็มักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับเธอและที่สำคัญผมก็คงไม่อาจทำตัวเป็นมือที่สามไปทำลายความรักอันงดงามของเธอกับใครคนนั้นได้ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งในภาคเรียนที่สอง ผมเห็นเธอของผมนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องเพียงคนเดียว น้ำตาเม็ดโตกำลังไหลลงมาตามแก้มที่เคยเป็นสีชมพู หยดน้ำตานั้นสะท้อนกับแสงแดดแรกของวันเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน ผมเข้าไปนั่งข้างๆเธอ “ฝนเป็นอะไรอ่ะ มีอะไรที่เราพอช่วยได้มั้ย” เธอเริ่มสะอื้น “เราขอโทษนะถ้าทำให้เธอลำบากใจ แต่เราอยากช่วงเธอ…..” ผมแสดงความจริงใจที่ออกมาจากใจของผม “ พานรินทร์ ” เธอเรียก “เรียกเราว่า รินทร์ เหอะ สั้นกว่าเยอะเลย” “ถ้าเธอรักใครคนนึง…………” เธอเริ่มพูดขึ้นมาบ้างแล้ว “แล้วเธอจะเลิกกับเค้า………อย่างไม่มีเหตุผลมั้ย” “ ไม่ ” ผมตอบน้ำเสียงหนักแน่นทั้งๆที่ผมเองก็ไม่รู้ความหมายของคำถามที่เธอถามมาเลยแม้แต่น้อย “เราเลิกกับเค้าแล้วแหละ” เธอพูดเสียงสั่น “นายคนที่อยู่เตรียมอุดมนั่นน่ะเหรอ” “เธอรู้” เธอมองผมด้วยความสงสัย ก็โธ่ผมจะไม่รู้ได้ยังไง หล่ะก็ผมแอบสืบเรื่องของเธอไว้หมดแล้วนี่ แต่ใครจะบอกให้เธอรู้หล่ะ “ก็ได้ยินพวกเพื่อนๆมันพูดกันอ่ะ” “ อืม คนนั้นแหละ เค้าขอเลิกกับเรา……เค้าบอกว่าไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลที่ขอเลิก ” ดวงตาที่เคยสวยใสคู่นั้นกลับแดงก่ำอีกครั้ง และมีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมก็ได้แต่นั่งปลอบโยนเธอ พูดโน้มน้าวใจเธอ ชักแม่น้ำทั้ง 5 หว่านล้อมเธอ เพื่อให้ลืมเขาเสีย จนในที่สุด น้ำฝนที่ร่าเริงคนเดิมก็กลับมาพร้อมทั้งทิ้งคนรักที่เป็นเหมือนประตูปิดกั้นไม่ให้ผมก้าวข้ามเข้าไปในใจเธอไว้กับอดีต แต่หลังจากนั้นผมก็ปล่อยเวลาให้มันเสียไปกับความอายของผมอย่างไร้ค่า จนกระทั่งเราทั้ง 2 ขึ้น ม.5 เราก็เริ่มสนิทกัน ผมเองก็เพิ่งสืบรู้มาว่าเธอเป็น \"นักแชท\" ตัวยง เธอได้เมลล์ผมจากไหนก็ไม่ทราบแล้วเธอก็ Add เอาไว้ ผมไม่ว่าเธอหรอกที่แอบ Add ผมไว้ หากแต่ดีใจเสียด้วยซ้ำไป เช้าวันหนึ่งผมออกจากบ้านสายมากจึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าคนอื่นๆจะมองไอ้บ้าคนนึงจ้ำเอาจ้ำเอาเพื่อไปให้ทันเรียน เมื่อถึงโรงเรียนอันเป็นที่รัก นักเรียนก็เริ่มทยอยเดินขึ้นชั้นเรียนกันแล้ว ผมเริ่มเดินช้าๆ หายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อไล่เอาความเร่งรีบเมื่อครู่ออกไป แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับบันไดทำให้บันไดเป็นสีเหลืองทั้งชั้น นกกระจาบพ่อแม่ลูกกำลังร้องเซ็งแซ่อย่างมีความสุขที่ริมหน้าต่าง “รินทร์” เสียงๆหนึ่งเรียกผมไว้ เสียงนี้เป็นเสียงที่ผมอยากได้ยินมากที่สุด ผมหันกลับไปอย่างช้าๆ ราวกับพระเอกมิวสิกวีดีโอ “รินทร์เล่นเอ็มด้วยหรอ” เธอเดินเข้ามาหาผม “อืม ฝนก็Addเราไว้แล้วไม่ใช่หรอ” ผมแหย่ “รู้ด้วย??” “ก็อืมน่ะสิ” ผมตอบ “แล้วเธอออนกี่โมงอ่ะ ไม่เคยเจอเลย” เราทั้งคู่เดินไปด้วยกัน “ก็ 2-3 ทุ่มอ่ะ ไม่เป็นเวลาหรอก บางทีก็ 6 โมงกว่าก็ออนแล้ว” “มิน่าไม่เจอ……เราออน2ทุ่ม” เธอบอก “งั้นคืนนี้ 2 ทุ่มเจอกันนะ” ผมเลยทำทีนัดเธอเสียดื้อๆเลย “อืม….” เธอยิ้มให้แล้วก็เดินแยกเข้าห้องเธอไป ดูเหมือนเย็นนั้น จะเป็นเย็นเดียวที่ผมถึงบ้านก่อน5โมง ผมรีบสะสางงานทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เมื่องานเสร็จก็ปรากฏว่ายังเหลือเวลาอีกตั้งเกือบชั่วโมง ผมออกจากบ้านเดินลงไปริมแม่น้ำที่อยู่ทางหลังบ้านผม สายลมเย็นที่พัดโบกโบยมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดผ่านตัวผมไป แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องแสงสีแดงฉานทั่วฟ้า เรือด่วนเจ้าพระยาแล่นผ่านไปอย่างสนุกอยู่ในที ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ผมนึกไป……สักวันหนึ่ง ผมจะพาเธอคนนั้นของผม มายืนรับลมดูพระอาทิตย์ตกกับผมที่นี่ สักวันหนึ่งผมจะมีคนคนนึงที่คอยให้ผมนึกถึง คอยให้ผมปกป้อง และคอยให้ผมเป็นห่วงเป็นใย ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาอย่างช้าๆ พร้อมพาเอาความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจมาให้ ผมจึงตัดสินใจเดินขึ้นบ้าน คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กถูกเปิดและต่อเข้าอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว ผมเชคล์เมลล์รอเธออยู่สักพัก แล้วเธอก็ออนไลน์ตามสัญญา ใจผมเต้นแรงเล็กน้อยด้วยความดีใจ ดีใจที่เธอมาตามนัด เราคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนที่เธอจะอ้อนให้ผมเล่นกีตาร์ให้เธอฟัง ผมต่อรองเธออยู่นาน แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมเล่นให้เธอฟังจนได้ เธอออกไปตอนราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง ผมรู้สึกปลื้มใจเล็กๆที่ได้มีโอกาสทำอะไรให้เธอบ้าง แม้ว่ามันจะเล็กน้อยมากก็ตาม ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้ผมเข้าเรียนช้าไปเกือบคาบ ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงมาหลายชั่วโมงแล้วแต่ฝนนั้นก็ยังคงโปรยปรายละอองน้ำที่เย็นชุ่มอยู่ น้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำ เหมือนกับน้ำฝน สาวน้อยคนนึงที่ทำให้ใจผมชุ่มชื่นเสมอ พักกลางวันผมนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ในห้องผม หางตาแอบมองที่ประตู เธอของผมเดินเข้ามาพร้อมเพื่อนของเธอ สักพักเธอก็เดินมาทางผม ผมหลบสายตาแทบไม่ทัน “ รินทร์ เรามีอะไรให้รินทร์ฟังแหละ ” เธอพูดแล้วเปิด Soundabout ให้ผมฟัง เสียงผม เพลงที่ผมร้องให้เธอฟังเมื่อคืน………เธออุตส่าห์อัดมันไว้ “เพราะมั้ยๆ” เธอถามผม เสียงซ่าๆอู้อี้ยังดังจากเทปอย่างต่อเนื่อง ผมหยิบ Soundabout มาจากมือเธอแล้วปิดมัน เธอหน้าเสียนิดๆ “ ก็เพราะนะ แต่มันไม่ชัด” ผมแกล้งทำหน้าเครียด ก่อนจะบอกเธอ “คืนนี้เราจะอัดมาให้ฝนใหม่ละกัน ” “ โธ่รินทร์อ่ะ เราก็นึกว่ารินทร์จะโกรธ ” “ จะให้เราโกรธเรื่องไรหล่ะ ” ผมยิ้มแล้วถามเธอ “ไม่รู้สิ ” เธอยิ้มอายๆให้ผมแล้วเดินไป…………….. เย็นนั้นก็เป็นอีกเย็นนึงที่ผมกลับบ้านเร็ว ผมเร่งทำเทปอยู่ 3 ชั่วโมง และแล้วมันก็เสร็จสมบูรณ์ 2 ทุ่ม ผมโทรไปหาเธอ เธอเริ่มสนิทกับผมขึ้นมาบ้างแล้ว เราคุยกันอยู่ครึ่งชั่วโมง แล้วเธอก็ขอตัวไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว คืนนั้นผมนอนฟังเทปที่ผมทำเพื่อเธอ นึกถึงความสนิทของเราแล้วก็หลับไปด้วยความสุข บ่ายวันต่อมาผมถือเทปเข้าไปให้เธอ เธอดีใจมาก และขอบคุณผมเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นเธอก็ฟังแต่เทป จนไม่มีโอกาสให้ผมเดินเข้าไปคุยด้วยเลย ครั้นจะเดินเข้าไปขัดจังหวะก็ยังไงๆอยู่ ผมจึงได้แต่นั่งแอบดูเธอ….. ผมยาวของเธอที่รวบอยู่ด้านหลังปลิวไสวตามแรงลมเล็กน้อย แก้มก็ยังเป็นสีชมพูเหมือนเดิม แสงแดงทอดลงมาใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของเธอ เพลงของผมทำให้เธอมีความสุขมากขนาดนี้เชียวหรือ ผมแอบมองเธออยู่นานจนกระทั่งออดหมดพักดัง เย็นวันนั้นผมไปสมัครแข่งฟุตซอลประจำปีของโรงเรียนกับเพื่อนร่วมทีมอีก 6-7 คน ฟุตซอลโรงเรียนนี้จัดเป็นประจำทุกๆปี และทีมที่ได้ที่ 1 มีรางวัลถึง 3,000 บาทเลยทีเดียว ที่ 2 และ 3 ก็ลดหลั่นกันลงมา ผมและเพื่อนๆก็หวังกันไว้ว่าในวันประกาศผล พวกเราก็คงจะเป็น 1 ใน 3 ทีมที่ได้รับรางวัลนั้น ช่วงนี้จึงมีการฝึกซ้อมกันอยู่บ่อยๆ เป็นผลให้ผมไม่ได้ไปแอบมอง แอบดูเธอของผมอีกเลย “ รินทร์ ” ฝนเรียกผมเบาๆในขณะที่ผมกำลังเดินไปเรียนวิชาดนตรีไทย ฝนออกมาจากห้องของเธอยื่นอะไรบางอย่างให้ผมดู “ สวยมั้ย เราทำไว้ใส่เทปของนะแหละ ” เธอพูดพลางยื่นกล่องใส่เทปให้ผม เมื่อผมเอามาพิจารณาใกล้ๆ ผมถึงกลับกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลยทีเดียว ปกเทปเป็นปกดัดแปลงมาจากวงนักร้องวัยรุ่นวงหนึ่งที่ผมเอาเพลงเขามาร้องให้เธอ แต่ที่ทำให้ผมหัวร่องอหายก็คือ เธอเอาหัวลิง มาใส่แทนที่หัวของนักร้องนำวงนั้น ลิง ชื่อของผม พานรินทร์ ชื่อของผมแปลว่าลิง เธอช่างเอาสิ่งสองสิ่งมาสัมพันธ์กันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “ ทำไมอ่ะ ไม่ดีหรอ ” เธอถาม “ ดีสิ ดีมากเลย ” ผมยังไม่หายขำ “ เราชอบ ” ผมบอกเธอ เพื่อนๆเริ่มมามุงดูปกเทปอย่างสนอกสนใจแล้วหัวเราะไปกับผม บ้างก็ชมเธอว่าหัวคิดดี “ นี่แหละโปรดิวเซอร์ส่วนตัวของเรา ” ผมบอกเพื่อนๆ โดยแอบเน้นคำว่าส่วนตัวไว้ไม่ให้เธอหรือใครๆสังเกตได้ วันต่อมาผมมีนัดแข่งบอลนัดแรกพวกผมก็เลยต้องฟิตซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้ทีมไปถึงฝัน ฝันที่เราทุกคนร่วมกันฝันไว้ ตอนเย็นดูเหมือนหลายๆคนจะรีบไปจับจองที่นั่งบนโรงยิมฯกันอย่างชุลมุน เพราะเป็นนัดแรกของการเปิดการแข่งขันฟุตซอลประจำปี สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจและดีใจมากก็คือ เธอ เธอของผมนั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆที่มาเป็นกำลังใจให้ ไม่ว่าเธอจะมาเชียร์ใคร เธอจะมาดูใครที่นี่ แต่ขอให้เธอรู้ไว้ว่าวันนี้ผมจะเล่นให้ดีที่สุดเพื่อเธอ การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว 10นาทีแรกยังไม่มีใครทำอะไรใครได้ต่างก็ดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มบุก พวกเราก็รับมือและบุกกลับอย่างดุเดือดเช่นกัน ท้ายสุดทีมผมก็ชนะ โดย 1 ประตูจากแบงค์ และอีกประตูจากผม ผมยกความดีให้เธอ ให้กับกำลังใจที่นั่งมองผมอยู่ตรงนั้น เราทั้ง 2 เริ่มคุยกันมากขึ้นเรื่อยๆทั้งทางโทรศัพท์ และที่โรงเรียน ครั้งนึงเธอบ่นอยากไปเที่ยวจตุจักร ผมเลยอาสาเป็นไกด์นำเที่ยวเสียเลย “ทั้งๆที่ผ่านจตุจักรทุกวันนะ เรายังไม่เคยเข้าไปเดินเลย ดูเดะ” เสียงเธอผ่านโทรศัพท์มาถึงผม “ฝนว่างมั้ย หล่ะ เราพาไปก็ได้ แต่พาไปหลงนะ ” “แอ้…..แอ้ๆๆๆ ไปหลงที่ไหนอ่ะ เราพาไปหลงนะ ไปด้วยกันมั้ย ” เสียงล้อเลียนกวนๆดังมาจากตู้โทรศัพท์ข้างๆผม ไอ้เพื่อนเวรของผมมันกำลังตั้งหน้าตั้งตาแซว ผมหันไปถลึงตาใส่พวกมัน พวกมันเลยหยุด ผมหน้าแดงด้วยความอาย แล้วนัดเธอไปจตุจักรวันอาทิตย์ที่ 6 นี้ ดีนะที่เธอเองก็ไม่ได้ขัดข้องประการใด วันอาทิตย์มาถึงเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ ผมออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่ 7 โมง ทั้งๆที่นัดเธอไว้ตั้ง 8 โมง ผมถึงสถานีรถไฟฟ้า BTS อันเป็นที่นัดพบของเราราวๆ 7 โมง 45 นาที เธอยังไม่มา ผมยืนรอเธออยู่ตรงราวกั้น ท้องฟ้าเริ่มไม่สดใส เมฆสีเทากลุ่มใหญ่กำลังลอยมาอย่างช้าๆ อากาศอึมครึม เหมือนฝนจะตก “ทำไมต้องมาตกเอาวันนี้ด้วยว่ะ” ผมคิด นกฝูงใหญ่บินผ่านไปอย่างเกียจคร้าน ผู้คนเริ่มเดินกันขวักไขว่ เสียงคุยกันจอแจเต็มสถานีไปหมด แต่เธอก็ยังไม่มา 8 โมง10 นาที ผมตัดสินใจโทรไปหาเธอ “ฝนอยู่ไหนอ่ะ เราถึงแล้วนะ” “รินทร์รอแป๊บนะ ฝนเพิ่งถึงเกษตรเอง” เสียงเธอเกรงใจผมมาก “อืมไม่ต้องรีบหรอกนะ เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ” ผมบอกเธอด้วยความเป็นห่วง 5 นาทีต่อมาเธอก็มาถึงพร้อมกับน้องของเธอ “นี่น้องเรา รินทร์เราไม่แก้ตัวนะ เรามาสายจริงๆ ยอมรับผิด” เธอพูดแล้วยิ้ม โธ่ เรื่องแค่นี้ย่อมให้อภัยกันได้ “เราก็ยังไม่ได้ว่าไรเลย” ผมพูด เธอหัวเราะ “เออเนอะ” เราเดินไปยังสวนจตุจักร ในขณะที่ฝนเริ่มลงเม็ด ขณะที่เราทั้ง 3 เดินเที่ยวกัน ผมเองก็อายไม่กล้ามองหน้าเธอสักเท่าไร เธอเองก็คงอายก็เลยมัวสนใจแต่น้องของเธอ ราวๆ 10 โมง เราก็ออกจากสวนจตุจักร เพื่อนของน้องเธอมาพอดี ก็เลยเหลือแค่เรา 2 คนที่จะไปสยาม ผมแอบดีใจเล็กที่มีโอกาสได้อยู่กับเธอ 2 คน แต่ผมก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกไป เมื่อถึงสยามแหล่งวัยรุ่น เราก็ไปเดินมาบุญครองกัน เดินไปคุยไป ไม่ได้จะซื้อของอะไร เราเดินจากชั้นบนสุดลงมาทีละชั้น จนกระทั่งถึงชั้นล่างสุด ผมให้เธอรออยู่หน้าร้าน McDonnell แล้วผมก็เข้าไปซื้อไอศกรีม ของผมอันนึง ของเธออีกอันนึง เราเดินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งใกล้เที่ยงผมชวนเธอไปนั่งพักแก้เมื่อยที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง เธอเอ่ยขึ้นก่อน“ รินทร์ ….เราไปชอบคนอยู่คนนึง แต่เราไม่กล้าบอกเค้าอ่ะ ” ผมหน้าเสียเล็กๆ “รินทร์คิดว่าเราจะบอกยังไงดีอ่ะ” “ก็บอกไปตามตรงแหละ” ผมให้คำแนะนำเธอ “ เราไม่กล้าอ่ะ ” “แล้วใครอ่ะ บอกเราได้ป่ะ ” “เหอะ บอกได้ไง เรื่องไรจะบอก ถ้าเราบอกเธอเมื่อไรนะ อีกไม่นานเค้าก็รู้ ” เธอบอกผม “งั้น ใบ้ก็ได้” ผมพยายามที่จะรู้ “ไม่เอาอ่ะ” เธอก็ยังคงไม่บอกผม ผมตื้อเธออยู่นาน จนเธอยอมเผยออกมาทีละนิด “เค้าอยู่ในทีมเธออ่ะ” “ทีมบอลหนะหรอ” ผมถาม “อืม” ผมพอจะนึกออกแล้วว่าเธอชอบใคร ใครกันหล่ะที่ถ้าผมรู้แล้วเค้าคนนั้นต้องรู้ด้วย ยิ่งเธอคุยเรื่องนี้กับผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าเค้าคนนั้นของเธอก็คือผม วันที่ 9 กรกฎาคม เฟมเพื่อนของเธอคนนึงเข้ามาถามผม “รินทร์วันที่ 10 หลังแข่งบอลแกว่างป่ะ” “มีไรหรอ” ผมถาม “ไอ้ฝนมันอยากดูพวกแกแข่งแต่มันกลัวกลับดึก ไม่มีคนไปส่งมัน แล้วพวกแกก็แข่งคู่ 2 ด้วยเดะ กว่าจะเลิกก็เย็น ไอ้เจมส์มันก็ไม่ยอมไปส่ง” “ว่างเดะ ว่าง” โอกาสของผมมาถึงแล้วมีหรอที่ผมจะปล่อยให้มันหลุดมือไป ผมตอบตกลงอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่งหน้าที่นี้ไป คืนนั้น 2 ทุ่ม ผมตัดสินใจโทรไปหาเธอ “ฝน พรุ่งนี้เราไปส่งฝนนะ” “อืม ขอบคุณนะ ไอ้เจมส์มันไม่ยอมไปส่งเราอ่ะ ทั้งๆที่ก็ต้องผ่านหน้า Central อยู่แล้ว แย่จริงๆเลย ” “ก็เราไปส่งให้ไง” ผมพูด “………………………..…………..” เราทั้ง 2 เงียบกันไปครู่นึง “รินทร์ พรุ่งนี้เรากะว่าเราจะบอกเค้าแล้วนะ ” “อืมก็บอกไปสิ” “แต่เรากลัว รินทร์รู้มั้ย 10 กรกฎา สองปีที่แล้วอ่ะ นายเด็กเตรียมคนนั้นเค้าเข้ามาสารภาพกับเรา ” “อืม” ผมตอบอย่างคนตั้งใจฟัง “แล้วเราก็ตอบตกลง…..แต่สุดท้าย มันก็พังอย่างไม่เป็นท่า เรากลัว กลัวว่าถ้าเราบอกเค้าไปวันที่10นี้ เรื่องของเรามันจะซ้ำรอยเดิมอีก ” เธอพูดเสียงเศร้าๆ “ไม่หรอกน่า เชื่อเราสิ” ผมให้ความมั่นใจเธอ ก็เพียงแต่เธอเอ่ยปากมาเท่านั้นแหละ ผมก็จะรีบตกลงทันทีเลย ดังนั้นผมจึงมั่นใจคำว่า “ผิดหวัง” จะไม่เกิดกับเธอในวันพรุ่งนี้ “เออ พรุ่งนี้เราใส่เสื้อเบอร์ 10 ลงแข่งด้วยเดะ” ผมนึกขึ้นมาได้ “ หรอ ” น้ำเสียงฝนสดใสขึ้นมาบ้างแล้ว “งั้นก็…..สู้เค้านะ เราจะคอยเชียร์” เย็นวันต่อมาพวกผมเพื่อนๆรวมทั้งน้ำฝนของผมไปนั่งรออยู่ที่โรงยิมฯ อากาศค่อนข้างร้อนแต่ก็ไม่ถึงกับอบอ้าวมากนัก พอคู่แรกแข่งจบผมก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อเพื่อลงแข่ง ทีมของผมได้ประตูตั้งแต่ 5 นาทีแรกของการแข่งขัน ทำให้คู่ต่อสู้ใจเสียไปไม่น้อยเลยทีเดียว จนนาทีสุดท้าย ไอ้เจมส์มันก็ยิงเข้าไปตุงตาข่ายเยาะเย้ยคู่ต่อสู้อีกลูก เวลาของผมใกล้เข้ามาแล้ว เพื่อนๆเริ่มทยอยกันกลับ ผมเดินเข้าไปหาฝน “รอเราเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึงนะ ” ผมบอกฝน เธอก็ยืนรออยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนเลยทีเดียว “รอนานมั้ย ” ผมถามฝน ก่อนจะทำทีเช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆของผม “ไม่อ่ะ ไปกันเหอะ เดี๋ยวมืดนะ บ้านเราอยู่ไกลด้วย รินทร์ส่งเราแค่ Central ก็พอมั้ง แล้วเราก็ต่อรถกลับบ้านเอง คงไม่อันตรายมากหรอก ” “อืม ” ผมตอบ เวลานั้นผมรอคำสารภาพที่จะหลุดออกมาจากปากเธออยู่ทุกวินาที แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย กระทั่งถึงหน้า Central แล้วเธอก็ยังไม่ยอมบอก ผมจึงตัดสินใจขึ้นรถไปกับเธอเพื่อจะเอาคำสารภาพจากเธอให้ได้ ระหว่างอยู่บนรถ เธอก็ถามผมถึงสถานที่ที่รถผ่านชี้ให้ดูตึกช้าง ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า จนรถแล่นมาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง “นี่ไง โรงเรียนสารวิทยา เคยได้ยินชื่อมั้ย ” “ไม่อ่ะ ก็บ้านเราอยู่แถวนี้ซะที่ไหนกัน” “ใกล้ถึงบ้านเราแล้วหล่ะ” ก็นั่นหนะสิใกล้ถึงบ้านเธอแล้ว แล้วทำไมเธอยังไม่สารภาพกับผมซะทีหล่ะผมคิด “ รินทร์ ” “ ครับ ” ใจผมเต้นแรง “รินทร์….เอ่อ…………………..รินทร์กลับถูกมั้ย” โธ่ฝนนะฝน บอกซักทีสิ ผมรอนานแล้วนะ “รินทร์กลับถูกมั้ยอ่ะ” “หึ…” ผมตอบ แล้วเธอก็บอกสายรถเมล์ที่จะพาผมกลับบ้านพูดถูกๆผิดๆจนผมหัวเราะ ในที่สุดก็ถึงป้ายรถเมล์ใกล้ๆบ้านเธอ เราต้องเดินย้อนกลับมาเพราะผมถ่วงเวลาไว้จนรถเลยป้าย ก็เธอยังไม่บอกผมเลยดูเดะ “เดี๋ยวรินทร์ข้ามสะพานลอยนั้นไปนะแล้วก็รอรถสายที่บอกไปอ่ะ” เธอพูดพลางชี้สะพานลอยที่อยู่ใกล้ๆ แล้วรีบเดินนำหน้าผมไป “เดี๋ยวก่อนเด้” ผมเรียกเธอเสียงดัง “มานี่ก่อน” ผมเดินเข้าไปดึงแขนเธอไว้ “อาไรหรอ” เธอหันกลับมาถามหน้าเหวอๆ “เฟมมันบอกว่าเธอชอบเรา จริงหรอ” ผมปล่อยมือจากแขนเธอ “เฮ้ย……มันเย็นมากแล้วอ่ะ รีบกับเหอะ เดี๋ยวรินทร์กลับดึกนะ ” เธอพูดแล้วดันตัวผมไปทางสะพานลอย “ไม่หรอก ยังไม่เย็นหรอก ตอบมาก่อน” ( ผมโคตรอายเลยคุณผู้อ่าน ) ผมเค้นเอาคำตอบจากเธอ “แล้วอยากให้จริงรึป่าวอ่ะ” เธอถามผม ผมพยักหน้าแล้วจ้องตาเธอ “จริงก็ได้” เธอหลบตา “กลับไปได้แล้ว…..เดี๋ยวมืดแล้วนะ” ในที่สุดเธอก็ตอบผม เธอบอกผมแล้ว “เราไปแล้วนะ” “เดี๋ยวดิ๊ ” ผมเรียกเธอไว้ แล้วหยิบสมุดที่เขียนอะไรบางอย่างไว้แล้วฉีกให้ให้เธอ “อ่ะ เอาไว้อ่านเล่น ” เธอรับไป “ไปแล้วนะ” เธอบอกผมอีก “รีบไปจังบ้านก็อยู่แค่นี้เอง พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย” ผมบอกเธอ “อืม” เธอหันมายิ้มแล้วรีบเดินจากไป ส่วนผมเองก็เดินทางกลับบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดทาง และทั้งหมดนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง “เหลืออีกแค่นิดเดียวเอง” ของขวัญที่จะให้เธอยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี จะขาดไปก็เพียงประโยคประโยคเดียว ประโยคที่ผมอยากบอกเธอมากที่สุด นาฬิกาสีส้มลายหมาน้อยที่เธอให้ผมไว้บอกว่าเป็นเวลาตี 2 15 นาที ดวงตาของผมอ่อนล้าเต็มที ผมเก็บผ้าครอสทิสไว้ใต้ลิ้นชัก ซ่อนมันให้พ้นจากสายตาใครๆ เดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×