เรารักกันจริงหรือ ?!?! In My Dream เพียงสองเรา - เรารักกันจริงหรือ ?!?! In My Dream เพียงสองเรา นิยาย เรารักกันจริงหรือ ?!?! In My Dream เพียงสองเรา : Dek-D.com - Writer

    เรารักกันจริงหรือ ?!?! In My Dream เพียงสองเรา

    โดย shinshino_ryu

    การพนันระหว่างคุณพ่อกับเพื่อนของคุณพ่อ ว่าต้องทำให้ลูกของตนรักกับน้องชายของเพื่อน ไม่งั้น....

    ผู้เข้าชมรวม

    411

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    411

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 เม.ย. 47 / 18:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรารักกัน…จริงหรือ?!?In My Dreamเพียงสองเรา
      เฮ้อ…หลงจนได้ ตูหนอตู! ไม่น่าอวดเก่ง!! เมื่อกี้นี้น่าจะถามว่าห้องผู้อำนวยการไปทางไหน พ่อนะพ่อ! พนันอะไรไม่พนัน หนอย~~~! พนันมาได้‘ ถ้าลูกชายนายทำให้น้องชายเราหลงรักได้ภายใน 3 เดือน เราเลิกแล้วต่อกัน ’‘ แล้วถ้าไม่ล่ะ ’‘ นายกะลูกนายเก๊าะ …ต้องเป็นของเราสองพ่อลูกไง! ’เอาตัวไปพนันไม่พอดั้น~~~เอาลูกไปพนันด้วย คอยดูเหอะกลับมาเมื่อไหร่ พ่อจะเจี๋ยนให้ไม่เหลือพันธ์เลยคอยดู โอย…เจอสักที เอาล่ะ สูดลมหายใจลึก ๆ ต่อไปนี้ถึงเวลาเปิดม่านแล้ว“อุ๊ย! ประทานโทษ” เสียงหวานใสดังอย่างเรียบเฉย ร่างเพรียวระหงเดินเลยไปทางอื่นทิ้งให้กลุ่มชายหนุ่มยืนตะลึงอยู่ฝูงใหญ่ เสียงทักทายเรียกภวังค์ขึ้นมาพร้อมกับเสียงซักถาม สาวสวยปริศนาที่เดินเลยไปด้านหลัง ‘ ไม่มีใครรู้จัก ’ นั่นคือคำตอบต่อทุกคำถาม แต่อีกไม่นานก็ต้องรู้จนได้นั่นแหละน่า…“ขออนุญาติ” เสียงหวานใสลากยาวเล็กน้อยไม่มีคำลงท้าย หนุ่มรูปงามที่นั่งกอดจูบลูบคลำกับเลขาส่วนตัวบนโต๊ะผงกหัวขึ้นมองมาอย่างพิจารณา ดวงตาคมปลาบมองราวกับจะทะลุให้เห็นก้นบึ้งหัวใจ หากแต่ดูเหมือนร่างเพรียวระหงยังคงดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วราวกับตากวางไว้ได้อย่างดี“ขอประทานโทษด้วยถ้ามาขัดจังหวะ” เสียงหวานดังอย่างขัน ๆ ก่อนจะค้อมตัวอย่างขออภัยแล้วเดินถอยหลังออกไป“ไม่ต้อง มีธุระอะไร” เสียงห้าวดังอย่างไม่ใส่ใจนัก ผลักร่างหญิงสาวตรงหน้าให้ออกห่างตัว“มารายงานตัวเข้าทำงาน” ดวงตาใสแจ๋วยังคงมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ยังผลให้หญิงสาวที่มองมาอย่างพยายยามจะหาเรื่องนั้นแหยไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินถอยออกจากห้องไปเมื่อถูกไล่“หน้าที่อะไรล่ะ” เสียงห้าวถามอย่างไม่ใส่ใจ ลุกไปผสมเหล้าบริการให้ตนเองเช่นเคย“เลขาส่วนตัวของคุณ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา 3 เดือน”“หือ” เสียงเริ่มมีความใส่ใจมาทีละน้อย “นายเนี่ยนะเลขาส่วนตัวของฉัน”“ใช่ ตั้งแต่ตอนนี้เลย …ขอฝากตัวด้วยนะ” เสียงหวานลากยาวก่อนจะคำนับอย่างถูกมารยาท แต่ตะหงิดต่อมการทำงานความหมั่นไส้ได้อย่างดี“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ชาย” คนปฏิเสธไม่แยแสรอดูปฏิกิริยา แต่ต้องหน้าหงายเอาเสียเองไม่เจอตอกกลับเข้าจัง ๆ“ก็…ตามใจ ไม่ชอบเหมือนกันนั่นแหละ พวกทำงานไม่เป็นเอาเวลางานมามั่วผู้หญิง” เสียงหวานพูดตรงเป๊ะย้ำหนักทุกถ้อยคำ เห็นอีกฝ่ายชักร้อนกลับรู้สึกสะใจลึก ๆ ขึ้นมาบกไม่ถูก ‘ ทีใครทีมัน! ’“นาย!!” ร่างหนาหัวขวับมาแต่พบกับดวงตาใสแจ๋วแหววเหมือนเดิม มือที่กำคาไว้นั้นต้องคลายออก ดวงตาสีน้ำตาใสแจ๋วนั้นช่างคลับคล้ายกับ ‘ น้องน้อย ’ ของตนในอดีตนักหนา “ตามใจ!!” เสียงห้าวกระแทกนิด ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง“ขอบอกไว้อีกอย่างนะ” เสียงหวานลากยาวช้าชัดในขณะที่ดวงตาพราวระยับ “ผู้หญิงงอนมันน่าง้อ แต่ผู้ชายงอนมันน่าทุเรศ เชิญ” ร่างเพรียวผายมือ เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายืนเข่นเขี้ยวแต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างร่างเพรียวระหงรายงานแจ้ว ๆ ถึงผลงานที่ได้รับจากการประชุม ผลที่ได้รับคือ ‘ เป็นที่น่าพอใจ ’ สรุปมาแล้วได้ความว่า ‘ การตัดสินใจในขั้นต้นสามารถรู้ผลได้ภายในอาทิตย์หน้า ’ร่างเล็กหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขัน ๆ “สรุปว่านั่งเป็นครึ่งวันได้มาอย่างเดียว” ผู้รับฟังรายงานคงจะมีอารมณ์ดีไม่น้อยพอที่จะเอ่ยล้อ“สองอย่างต่างหาก” คงเป็นเพราะดวงตาใสแจ๋วที่มองมาเหมือนจะถามนั่นแหละ ผู้ถูกมองเลยเอ่ยเสียงเรียบเฉยพอ ๆ กับใบหน้าและดวงตา“เรารู้ว่าเรามาพูดอะไรบ้างอีกอย่างคือเรายังได้รู้อีกว่าถ้าอยากจะรู้อะไรละก็อย่าถามคณะที่ปรึกษา” เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะดังกังวานใส มือเรียวบางเก็บเอกสารเข้าตู้เรียบร้อย“แล้วจะมีคณะที่ปรึกษาไว้ทำไมล่ะ”“ก็เอาไว้ให้ปรึกษางานที่ไม่มีทางจบได้อย่างไรล่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่านี่เจอคุณพ่อหรือยัง?” ร่างระหงสะดุดเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินไปตามแรงฝ่ามือที่รั้งอย่างสุภาพให้เดินเคียงกัน เจ้าของคำถามเองก็ชักไม่แน่ใจเสียเองว่ากิริยาสะดุดเป็นเพราะมารยาทหรือความรู้สึก“เจอแล้ว แต่ว่า…” เสียงหวานใสลากยาวก่อนจะเงียบหายลงเสียดื้อ ๆ ปล่อยให้คนรอฟังคำตอบต้องถามอย่างใคร่รู้“อะไร!” “ไอ้ลูกไม่รักดีมันจะหายกะโหลกกะลาไปไหนก็ช่างมัน! ร้อยวันพันปีไม่โผล่หัวมาสักที มัวแต่หาผู้หญิงทำนองว่าคลำไม่มีหางเป็นฟาดดะ”“อะไร้! เจอหน้าก็บ่นเลยเรอะ ทำยังกะตัวเองไม่เป็นงั้นแหละ” เสียงบ่นงึมงำดังออกมาจากปาก เรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขันแกมสะใจอย่างไม่ปิดบังจนคนได้ฟังฉงนเป็นนักหนา“ทำไม?”“มันต้องบ่นว่าฉันก็เป็นเหมือนมันแน่ แต่ถ้าต้นแบบไม่ดีแบบที่หล่อออกมาจะเยี่ยมได้ขนาดนี้หรือวะ คิก! ไม่เลวเลยสำหรับพวกคุณสองพ่อลูก ฝากด่า ฝากระบายผ่านทางคนอื่น ไม่สู้เจอกันเองเล่า” เสียงหัว เราะเจือความเศร้าน้อย ๆ เมื่อประโยคต่อไปดังมา “แต่อย่างน้อยก็ยังติดต่อกันบ้างนี่นะ ไม่เหมือน…”“เอาที่นี่ละกัน ลองอาหารไทยเสียบ้างลองแต่อาหารต่างชาติมาเสียนัก”“เอาสิ คนไทยแต่ใจไม่ไทยก็กระไรอยู่ ลองรักชาติมาสักวันก็ได้” เสียงใส ๆ ดังอย่างเริงร่าจนคนพูดเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าสามารถเอ่ยมาได้อย่างไร“จะถามคุณพ่อให้เรื่องคุณอา เกือบเดือนแล้วใช่ไหมที่ไม่ติดต่อมาเลย”“หนึ่งเดือนกับอีกสี่วันต่างหาก ไม่ยอมติดต่อมาเลยนับแต่วันที่เริ่มทำงานกับคุณ แต่คงจะติดต่อมาเมื่อถึงกำหนดนั่นแหละ” เสียงหวานใสกังวานลึกในคออย่างหยันเยาะก่อนจะเรียบสงบดังเดิม “อย่างน้อย เขา…ไม่เคยผิดสัญญามาตลอดเลย”“สัญญาอะไร?”“สัญญาที่คุณเองก็ต้องเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่…”“ทำไมอีกหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”“ทำไม”“คุณนี่มีอยู่สองอย่างเองนะ อะไรกับ…ทำไม ไม่คิดจะเปลี่ยนบ้างหรือ?”“ทำไม? ขอโทษมันชินปาก อยู่กับนายแล้วไม่ต้องพูดมากเหมือนกับคนอื่น คนอื่นมันต้องเปิดบรรยายถึงจะรู้เรื่องแต่นายแค่ อะไรกับทำไมก็เรียบร้อย”“ขอบคุณที่ชม” พร้อมกับเสียงหัวเราะหวานใสที่ดังอย่างเริงร่า คำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบทั้งหลายแหล่และการพูดถึงบรรดาเพื่อนเก่า ๆ ในสมัยเด็ก ๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันนั้นถูกนำขึ้นมาพูด ทำให้ชายหนุ่มเองก็ลืมถามไปเสีย สนิทว่า ‘ สัญญา ’ นั้นคืออะไรชายหนุ่มนั่งหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้รับรู้ถึงสัญญาดังกล่าวจากปากของผู้เป็นบิดา นับแต่วันที่พูดกันชายหนุ่มเองก็เก็บความสงสัยไว้ไม่คลาย หาก…ความฉลาดมีมากพอที่จะไม่ซักไซร้ต่อร่างที่บางจนแทบปลิวลมนั่นจนต้องไปซักไซร้กับผู้เป็นบิดาเสียเอง ความคิดล่องลอยไปไกลนับแต่วันวานที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันเมื่ออายุยังไม่กี่ปี จวบจนห่างหายหน้าจากกันไปนานด้วยความจำเป็นของทั้งสองฝ่าย ตอนนั้นเองได้มีข่าวที่ชักจะลืม ๆ ไปเช่นกันว่าเพราะสิ่งใดจนกระทั่ง ร่างเพรียวบางระหงที่ปรากฏต่อสาย ตา ดูแล้วไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นชายที่เคยวิ่งเล่นโลดโผนโจนทะยานด้วยกันในท้องร่อง อีกทั้งกลิ่นหอมจากที่ชวนให้สงสัยนักหนาว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้อะไรยังเวียนวนแตะจมูกจนอยากจะกระชากมาพิสูจน์ให้รู้แน่จะสามเดือนแล้ว อีกไม่นานสัญญาจะหมด จะทำอย่างไรกันเล่ารัก …คน ๆ นั้นก็จะจากไปโดยที่ไม่ต้องการให้เป็นไม่รัก …คน ๆ นั้นก็จะกลับกลายเป็นของ ๆ ตนแต่จะคงไว้ด้วยความหมางเมินสถานภาพที่ไม่ควรอย่างยิ่งในการจะดำรงไว้ ทำอย่างไรดี‘ ช่างปะไร ถึงเวลาก็รู้เองนั่นแหละยังไง ๆ ก็รู้คำตอบที่จะตอบออกมาแล้วอยู่ดี ที่เหลือก็แค่…หมอนั่น! ’ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้า ๆ เพื่อลดทอนความหนักใจที่สุมอยู่เต็มอกให้คลายลบ้าง ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับจะอาศัยกิริยาช่วยในการระงับสติ มือเรียวกดอินเตอร์คอมก่อนจะกรอกเสียงเรียกเจ้าของปัญหาที่สุมอยู่ในอกเข้ามาพบ“ไปเที่ยวทะเลกัน เตรียมจัดกระเป๋าได้เลย” ร่างเล็กกระพริบตาปริบ ๆ เอียงคอมองหน้าอย่างไม่แน่ใจในคำสั่งน“เที่ยว?”“ทำไม” คิ้วเข้มเลิกฉงน อีกฝ่ายต้องอธิบายกลับ“ก็มีงานประชุมวันมะรืนที่หัวหิน จองที่พักไว้แล้วสามวัน” ทวนหมายกำหนดการ กันไว้เผื่อจะลืมทั้ง ๆ ที่เป็นไปไม่ได้“ก็ใช่ไง ไปจัดกระเป๋าสิ” ย้ำหน้าตาเฉย อีกฝ่ายชักไม่แน่ใจเอาเสียเองว่าไปเที่ยวหรือไปทำงานกันแน่ “ก็ไม่ต้องจัดก็ได้นี่นา เอาไปแค่ไม่กี่ชุดก็พอ อย่างไรเสียก็ใช้เวลาจริง ๆ แค่วันแรกวันเดียวเอง พอเสร็จก็กลับเลย”“ได้ตามสบายเลย” ร่างตรงหน้าพูดเสียงเรียบอย่างไม่แยแส หากทันทีที่ร่างเพรียวที่เดินออกไปดวงตาเรียบเฉยก็แวววับอย่างคนที่ตัดสินใจแน่ในบางสิ่ง “จะยังไงก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว!!”“เพราะฉะนั้นการส่งออกเที่ยวนี้อาจมีปัญหาได้ เพราะคู่แข่งจากมาเลเซียเร่งการผลิตมากขึ้นกว่าเดิม แต่เราสามารถดึงลูกค้ากลับมาได้จากการที่เราได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจมานาน อีกทั้งทางเราเองยังสามารถผลิตได้ราคาถูกกว่าอีกด้วย”“แต่ว่าทางนั้นจะไม่เรียกร้องมากไปงั้นหรือ ในเมื่อเราเสียค่าใช้จ่ายในการประกันสินค้าแล้ว”“เราไม่จำเป็นต้องเสียอีก หากเราเสียลูกค้าทางนี้ไปจะมีปัญหาในช่วงสองปีแรกเท่านั้น ทางประเทศอื่น ๆ ยังต้องการสินค้าของเรามาก”“งั้นทางเราจะไม่ยอมในเงื่อนไขที่ทางนั้นต่อรองมา จบการประชุมแค่นี้”“เหนื่อยหรือเปล่า” ศรีษะทุยได้รูปส่ายเบา ๆ เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะมองมางง ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย“ไปกันได้” ฝ่ามือใหญ่จูงมือเล็กกำได้รอบ ออกแรงลากจนคนเดินตามเซหลุน ๆ เหมืนเมื่อดังอดีตที่ ‘ ลูกพี่ ’ จัดการลาก ’ น้องน้อย ’ ไปวิ่งเล่นซึ่งคนถูกลากเองบางครั้งมีอาการฮึดฮัดขัดใจที่ต้องเป็นฝ่ายไปเล่นตามบัญชาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ต้องการเสียเท่าไร แล้วเมื่อนั้นเองที่ ‘ลูกพี่’ จะสรรหาของแปลก ๆ มาให้เล่นจนลืมไปเองว่าในตอนแรกตนเองได้แสดงอาการเช่นไรไว้บ้างบ้านพักขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาที่ปลูกไว้ด้วยต้นก้ามปูและหูกวางจนร่มรื่น ด้านหลังเป็นน้ำตกและแอ่งขนาดเล็กพอที่จะลงเล่นได้ ร่างบางเหม่อมองอย่างตะลึงในภาพตรงหน้าเพราะลักษณะตัวบ้านมิใช่หรือที่ ‘ น้องน้อย ’ คนนี้ได้เคยพร่ำเพ้อพูดถึงเพียงไรเมื่อครั้งยังเล็กอยู่ด้วยความน้อยใจ‘ บ้านหลังเล็ก ๆ สองชั้นสีขาวมีต้นไม้ดอกไม้เยอะ ๆ ยิ่งมีน้ำตกหรือทะเลอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งดี ’ดวงตาใสแจ๋วพราวระยับอย่างถูกใจ โดยไม่รู้สึกตัววงแขนแกร่งก็โอบกระชับเข้ามาเบื้องหลัง ดวงตาดำลึกมองมาอย่างภูมิใจเมื่อเห็นว่าร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดยินดีเพียงไรที่ ‘ ลูกพี่ ’ ในอดีต ยังจำสัญญาที่ว่าจะหาบ้านที่ ‘ น้องน้อย ’ ของตนปราถนาได้ก่อนที่จะคาดคิดริมฝีปากอิ่มสีแดงจัดจูบปลายคางที่รกเรื้อไปด้วยไรเคราเขียวด้วยความอ่อนโยนดั่งแต่ก่อนที่เวลาคนใหญ่กว่านำของสิ่งไรที่ชอบใจมาให้ ปากอิ่มจะบรรจงแตะแผ่วเบาลงบนแก้มอย่างที่เคยเห็นมา“ชอบมากใช่ไหม” ร่างสูงกว่ากอบกระชับแน่นเข้าพร้อมกับซบซุกลงยังซอกคอหอมกรุ่นเสียงหวานครางในคออย่างจั๊กกะจี้พร้อมพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะดึงค่อยตัวโตกว่าเข้าบ้านไปภายในแบ่งเป็นสามส่วนคือห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องรับแขกในขณะที่ห้องนอนและห้องน้ำอยู่ชั้นบนแต่ดูเหมือนอาการถูกใจจะน้อยลง เมื่อใบหน้าหวานมุ่ยลงอย่างเห็นได้ชัดอาการฮึดฮัดเริ่มปรากฏมากขึ้นเมื่อคนตัวโตกว่ายังคงทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้กับเตียงนอนขนาดกลางภายในห้องซึ่งมีอยู่เพียงเตียงเดียวเท่านั้น“ทำไมมีเตียงเดียวล่ะ” เสียงหวานใสดังอย่างงอน ๆ ก่อนจะแหวลั่นเมื่อคนร่างสูงตรงหน้าหัวเราะเยาะลั่น“ผมไม่สนุกด้วยนะ อ๊ะ!” เสียงหวานอุทานลั่นเมื่อถูกกระชากมานั่งลงบนตัก ริมฝีปากอิ่มที่อ้าเตรียมจะว่าหุบฉับลงเมื่อเห็นดวงตาพราวระยับมองราวกับจะกลืนกิน“กี่ปีแล้วนะ หืม…ที่ไม่ได้อยู่กันแบบนี้” เสียงห้าวแผ่วทุ้มดังเรื่อย ๆ พร้อมกับซุกลงบนซอกคอหอมกรุ่น ยิ้มน้อย ๆ เมื่อรับรู้ถึงแรงสะดุ้งของร่างเล็ก“เอ่อ…ก็…เมื่อวา…”“อย่าบอกว่าเมื่อวานหรือเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนะ มันเพราะว่านายมาทำงานพร้อมกับเรา ที่พูดหน่ะหมายถึงนับแต่เด็กที่เรายังวิ่งเล่นกันสองคนไงล่ะ”“หือ”“14 ปี”“เก่ง! แต่ผิด” เสียงห้าวหัวเราะก้องเมื่อเห็นดวงตาคมตวัดวูบ“14 ปี 7 เดือนต่างหาก”“ไม่นับชั่วโมง นาที วินาทีด้วยละ” เสียงหวานกระแนะกระแหน ก่อนจะโอบกอดรอบคอของชายตรงหน้า “ดีใจนะที่อย่างน้อยก็ยังจำได้ คิดว่า…จะลืมซะอีก”“ทำไม”“ก็มันนานมากแล้วก็ยังเด็กแถม…ไม่เคยติดต่อมาสักครั้ง”“อะไร” เสียงห้าวอุทานสูง“จริง ๆ ไม่ว่าจะจดหมายหรือว่าโทรศัพท์ ไม่มีสักอย่าง” เสียงหวานตัดพ้อ ทำเอาคนตัวโตใจหายวูบรู้สึกผิดประหลาดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ“นายต่างหากที่ไม่ติดต่อมาเลย เราส่งไปเดือนละสองฉบับโทรไปเดือนละครั้ง แต่เงียบหาย” คราวนี้ดวงตาใสแจ๋วกระพริบปริบก่อนจะลุกวาบ“ฝีมือพวกคุณป้าคุณน้าทั้งหลายนั่นแน่ ๆ “ รอยยิ้มหวานปรากฏบนริมฝีปากอิ่ม ในขณะที่ร่างตรงหน้าออกจะหนักใจเล็ก ๆ เพราะรู้ฤทธิ์ของคนตัวเล็กตรงหน้านี้ดี เวลาแก้เผ็ดใครถูกเรียกได้ว่าเป็นที่เข็ดขยาดเป็นหนักหนาหาก…ฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงแรงสั่นสะท้านน้อย ๆ จากร่างตรงหน้า ไร้ซึ่งเสียงคัดค้านใด ๆ นอกจากดวงตาใสที่มองมาเหมือนจะถามว่า ‘ จะทำอะไร ’ ริมฝีปากเรียวได้รูปแย้มพรายก่อนจะบรรจงแตะแผ่วเบาแต่เด็กแล้วมิใช่หรือ ที่มิว่าปราถนาสิ่งใดก็ต้องพยายามคว้ามาครอบครองให้ได้ และจะไม่ยอมให้ผู้ใดแย่งชิงไป นอกเสียจากร่างเล็กตรงหน้าที่ปราถนาแต่มิเคยได้ครอบครอง …อีกทั้งเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับสิทธิ์เหนือคนอื่นสิทธิ์ ที่มากกว่าผู้ใดที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ทุกอย่างเริ่มต้นและสิ้นสุดเพียงแค่ชั่วข้ามคืน หาก…คนที่นอนกอดคนร่างเล็กบางรู้แน่แก่ใจดีว่า…สิ่งที่จะตามมายังหนักหนากว่ามากมายนักความทรงจำล่องลอยไปยังวัยเด็กคนร่างเล็กหากพิษสงมากมายรอบตัวนัก ขนาดว่าเคยปีนต้นไม้ตกจนขาหักหากพอหายยังล่อเอาขวานจามเสียคุณป้าเล็กร้องไห้ไปหลายวันด้วยความเสียดาย ครั้นจับมัดไว้กับกะไดเพื่อ ‘ ยัน ’ ความซุกซนนั้นผลสุดท้ายที่ได้รับก็คือ…เจ้าตัวเล็กนี่ดิ้นพราด ๆ เพื่อจะตามไปเล่นกับเขาเสียราวกะไดหัก! ความซนและความทะโมนมากมายเสียจนบางครั้งคนตัวโตกว่ายังเข็ดขยาด หากชอบใจไม่น้อยด้วยความที่ว่าเด็กในรุ่นเดียวกันนั้นหาไม่ได้เอาเสียเลยด้วยความที่อายุมากกว่าอีกทั้งยังเป็นหลายเจ้าของบ้าน ‘ สิทธิ์ ’ ในการจะจับลากพาตะลอนไปไหนต่อไหนและยึดครองตำแหน่ง ‘ ลูกพี่ ’ จึงไม่ยากนัก คราครั้งนั้นยังจำได้ถึงใบหน้ากลมป้อมและดวงตาใสแจ๋วราวตากวางที่แสดงความพิศวงจนเห็นได้ชัดระหว่างความขัดแย้งของผู้เป็นบิดาของทั้งสองฝ่ายหากแต่…ความเป็นเด็กมีมากเกินกว่าจะใส่ใจ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ร่างเล็ก ๆ ที่คอยวิ่งตามหลังก็หายไปจากคลองจักษุหากยังคงประทับไว้ซึ่งความทรงจำจนยากจะไถ่ถอนร่างเล็กบางจนแทบปลิวลมบัดนี้เป็นของเขาแล้ว พร้อมกับความทรงจำที่ผ่านวาบเข้ามาว่ากลิ่นหอมจาง ๆ ที่ยังติดจมูกอยู่ไม่รู้วาย มันคือกลิ่นน้ำอบดอกไม้ชนิดพิเศษที่ผู้เป็นบิดาของคนตรงหน้ากลั่นมาจากดอกไม้หลายชนิด กลิ่นในสมัยเด็กที่เขาเคยร่ำร้องหนักหนาว่าให้ผู้เป็นมารดาของตนทำให้บ้าง หากแต่ที่ได้รับกลับมาคือความเย็นชาและดวงตากราดเกรี้ยว แต่เด็กซนอย่างเขามีหรือจะยอมโน่น…หนีไปซ่อนเสียจนคนในบ้านตามหาเสียจ้าละหวั่น ผู้เป็นมารดาต้องเอาขวดน้ำอบมาล่อให้คนของตัวเอาไปให้จึงได้ยอมออกมาจากวันนั้นจนถึงวันนี้เขาก็ได้ครอบครองทุกสิ่งที่เขาเคยปราถนาตั้งแต่สมัยเด็กมา ร่างสูงยิ้มน้อย ๆ ซุกซบซอกคอของร่างเล็กหลับไปโดยทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรับปัญหาจากทุก ๆ ด้านรวมถึงคนในอ้อมกอดของตน อากัปกิริยานิ่งเงียบมิได้ก่อให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจประการใดกับคนที่จัดการต่ออาหารเช้ามากนัก อีกทั้งยังคงพยักเพยิดให้เข้ามาร่วมวงทานด้วยกันเสียอีก สุดท้ายคนนั่งนิ่งก็ทนไม่ไหวสะบัดหน้าพรืดก่อนจะลุกอย่างยักแย่ยักยันเข้าห้องน้ำไปทันทีที่ปิดประตูห้องน้ำ คนนั่งไม่รู้ไม่ชี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างมีชัยก่อนจะหลบวูบเมื่อมีขันน้ำลอยมาตามมาด้วยสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู ครีมนวด เครื่องโกนหนวด และก่อนที่จะมีอะไรมากกว่านั้นข้อมือบางที่ขว้าเอาแจกันแก้วก็ถูกรวบเข้ามาใกล้ ร่างเล็กถูกประกบจูบบางเบาพร้อมน้ำเสียงที่ถามอย่างละห้อยทำให้ความแข็งขืนค่อยคลายลง“ทำไมล่ะ อย่าโกรธเลยนะ เราไม่ได้เล่น ๆ นะ” ดวงตาใสแจ๋ววาววับด้วยหยาดน้ำตาก่อนจะเริ่มสะอื้นจนทำให้ร่างหนาต้องหันรีหันขวางเพราะไม่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา คนร่างเล็กจนแทบปลิวนี้ไม่เคยเลยที่จะร้องไห้ให้ใครได้เห็นแม้เพียงครั้งจนได้ชื่อว่าใจแข็งเสียนักสุดท้าย…ที่ทำได้คือการรั้งร่างเล็กเขามาแนบอกก่อนจะลูบหลังลูบไหล่อย่างปลอบโยน“โตตั้งเท่านี้แล้วยังร้องไห้อีกเหรอ เงียบซะนะ ถ้าไม่อย่างนั้นละก็…” เสียงห้าวลากยาวนิด ๆ ทำให้คนที่ร้องไห้สงสัยจนพอจะทำเป็น ‘ ลืม ’ เรื่องนี้เกิดขึ้นไปได้ชั่วคราว“ฮะ” เสียงหวานยังเจือสะอื้นเล็กน้อย แต่ความสงสัยมีมากกว่าก่อนจะอุทานลั่นเมื่อถูกอุ้มเดินมาวางไว้บนที่นอน ใบหน้าคมเข้มแสดงอาการมีชัยเมื่อเห็นดวงตาใสแจ๋ววาววับราวกับบ่อมรกตรัสเซีย“จะทำอย่างนี้ไง ตอนแรกถึงได้ตามใจไงล่ะว่าจะเอาเสื้อผ้ามาเท่าไหร่ก็ได้ เพราะจะอย่างไรเสียก็ไม่ยอมให้ใส่เสื้อผ้าครบหรอก” เสียงหัวเราะดังแผ่วทุ้มก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างรักใคร่ ดวงตาที่แสดงความรู้สึกออกมาสร้างความยอกแสยงลึก ๆ ในอกของคนร่างเล็กนัก มิใช่หรือที่สัญญาบอกเอาไว้แต่จะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อหัวใจของตนเองก็ได้ปรารถนาสิ่งนี้เช่นกัน!ร่างเล็กบางค่อย ๆ ยันกายนั่งบนที่นอน บนร่างกายไร้ซึ่งผ้าพันกายใด ๆ นอกจากผ้าห่มที่คลุมไว้กันหนาวหลายครั้งคราที่หาชุดมาใส่ได้ ยามใดที่ถูกถอดออกไปยามนั้นเสื้อผ้าชุดนั้นจะอัตธานหายไปเสียทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา จวบจนกระทั่งบัดนี้ไม่มีเสื้อผ้าเหลือสักตัวให้ใส่จนต้องนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ แต่ว่า…มันก็ไม่ได้นอนเฉยเสียเท่าไหร่หรอกนะ ดวงตาใสแจ๋วมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ แน่วแน่ความไม่แน่ใจ ความหวาดกลัว และความใคร่รู้เกาะกินแน่นในหัวใจ ยังไม่เคยสักครั้งที่จะได้ยินคำว่ารักออกจากปากมา อยากจะได้ยินนัก แต่อีกใจก็คัดค้านเป็นนักหนาว่าไม่ต้องการจะได้ยิน หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลรินลงช้า ๆ หากไม่มีเสียงสะอื้น ถ้าเพียงแต่… ถ้าเพียงไม่เพราะเป็นผู้ชายคนนี้ถ้าเพียงไม่ใช่ ชาย…ผู้ที่ฝังแน่นอยู่ในใจมาเนิ่นนานเพียงเท่านั้นทุกอย่างจะง่ายดายกว่านี้มากนัก“อะไรหรือ” เสียงห้าวดังทุ้มหากดวงตายังไม่ลืมขึ้นมา และเพราะได้พบกับความเงียบและนิ่งเฉยอ้อมแขนแกร่งก็ตวัดคนร่างเล็กบางมาไว้ในอ้อมกอดแน่น“โกรธทำไมกัน บอกพี่สิเด็กน้อย” เสียงห้าวดังอย่างอ่อนโยนดั่งแต่ก่อนที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ เคยงอแงไม่ยอมไปเล่นด้วยกัน จนผู้ที่อายุมากกว่าต้องสรรหาของประหลาด ๆ มาให้เล่นจนผู้เป็นพี่ชายมิได้รู้เลยว่า สุดท้าย…เด็กชายตัวเล็กก็เป็นฝ่ายฉุดรั้งให้คนโตกว่าอยู่เล่นด้วยกันโดยไม่ต้องไปวิ่งเล่นเสียที่อื่น“รู้แล้วใช่ไหม” เสียงใส ๆ ถามอู้อี้เพราะยังซุกบนไหล่กว้าง ฝ่ามือเล็กที่โอบรอบคอไว้แน่นเย็นเฉียบจนเจ้าตัวเองก็รู้สึกได้
      “รู้นานแล้ว” เสียงห้าวดังอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะของที่น่าสนใจกว่าอยู่เบื้องหน้า ร่างนวลเนียนเปลือยเปล่าล่อสายตาจนอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่าเสียนักถ้าไม่ติดน้ำเสียงของคนในอ้อมกอด“แล้วจะเอายังไง” เป็นครั้งแรกกระมังที่คนตัวใหญ่กว่าได้รับรู้ถึงความหวาดหวั่นไม่แน่ใจของคนตรงหน้า ฝ่ามือหนาลูบไล้คนตรงหน้าบางเบาอย่างสงสารเสียยิ่งนัก“ไม่ต้องห่วงนะ อยู่เฉย ๆ ทุกอย่างจะเรียบร้อยเองพี่สัญญา” เสียงห้าวดังอย่างอ่อนโยนทำให้ร่างเล็กยิ่งซุกซบเข้าใกล้ราวกับหนาวจัด เสียงสะอื้นเงียบหายนอกจากเสียงครางเครือผะแผ่วหวานตลอดคืน“กรี๊ดดดดดด!!!!” เสียงกรีดร้องดังก้อง ยังผลให้ร่างบางที่นั่งอยู่ริมชานโดยมีศรีษะของชายหนุ่มหนุนอยู่สะดุ้งขึ้นสุดตัว ในขณะที่คนนอนตักกลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ“เสียงดังฟังชัดไปแปดบ้านสิบบ้านและแฮะ ดูท่าว่าจะคุยกันเสร็จแล้วแหละ จะไปกันไหมหละ” ดวงตาใสแจ๋วทอแววครุ่นคิด พร้อมกับที่อุ้งมือใหญ่จะโน้มมาจุมพิตบางบางก่อนจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ จนเสียงหวานต้องครางประท้วงขึ้นบางเบา“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง เราจะไม่ตอบในสิ่งที่นายรู้ …แต่คนที่ต้องตอบก็คือนาย! พ่อนายเขากลัวกับคำว่าแย่งของรักของคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองมาก่อนและก็กลัวคำที่ว่าวิปริตผิดเพศ!”ฝ่ามือเล็กจิกกำแน่นเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่หยุดคำพูดง่าย ๆ“การที่พ่อแต่งงานเป็นเพราะคุณท่านขอเอาไว้ว่าต้องการบุตรสืบสกุล เพราะอย่างนั้นคุณอาเลยเป็นฝ่ายถอยออกมา แล้วก็หนีไปก่อนที่จะแม่เราจะรู้ และก็ไม่รู้ตลอดมาเพราะไม่ว่าใครต่อใครก็ไม่ต้องการที่จะบอกถึงความรักที่ผิดปกติ แล้วพอคุณอากลับมาอีกทีก็อุ้มนายมาด้วยแล้วบอกว่าเป็นลูก!” คราวนี้ร่างเล็กยิ้มอย่างขบขันในขณะที่อีกฝ่ายยังเล่าเรื่อย ๆ โดยไม่ทันเห็น“ตอนนั้นคุณพ่อเจ็บจนพูดอะไรไม่ออกเพราะทั้งโกรธทั้งเสียใจ โกรธที่ตัวเองไม่เข้มแข็งพอที่จะยึดยื้อคุณอาไว้ เสียใจที่แม้แต่คนที่รักที่สุดก็เข้าใจตัวเองผิด! คุณพ่อพยายามจะช่วยหลือคุณอาทุกวิถีทางเพื่อชดใช้ความรู้สึกผิดในอดีตเลยให้พวกนายมาอยู่ที่บ้านนี้ แล้วอีกไม่กี่ปีต่อมาคุณอาก็พาผู้หญิงมาคนหนึ่ง ผู้หญิงที่สวยมาก ๆ แล้วบอกว่าเป็นแม่ของลูก ตอนนั้นแหละที่คุณแม่คิดว่าเริ่มจะรู้แล้วว่าทำไมคุณพ่อถึงยอมให้พวกนายอยู่โดยที่มีฐานะเทียบเท่ากับตนเองทั้ง ๆ ที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ฐานะในอดีตก็เป็นเพียงเพื่อนสนิท”“เพื่อนสนิทหรือคนรักกันแน่” เสียงใส ๆ ตอกกลับทันควันพร้อมกับหน้าหวานที่บึ้งตึงมือเล็กยกศรีษะคนที่นอนหนุนพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ในเมื่อไม่ยอมรับว่าเป็นอะไรกันก็อย่ารั้งไว้จะดีกว่า ในเมื่อตัวเองก็มีพันธะอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังเล่นอะไรพิเรน ๆ เสียอีก อ๊ะ! ทำอะไรนี่มันนอกชานนะ” เสียงใสแหวขึ้นมาเมื่อถูกกระชากจนล้มมาอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม“อย่าออกฤทธิ์สิหนูน้อย เริ่มเป็นเด็กอีกแล้วนะ” เสียงห้าวเอ่ยยั่วขัน ๆ“ใครเป็นเด็ก อย่ามาว่านะ”“ก็แล้วใครเที่ยวพาลพาโลโฉเกเหมือนเด็ก ๆ อยู่แง้ว ๆ นี่หละคนเค้านอนหนุนอยู่ดี ๆ ก็ลุกหนีเสียได้อย่างนี้ต้องทำโทษ”“ก็ลองดู!” เสียงหวานพอกับใบหน้าทำให้คนที่พยายามจะลงโทษหยุดลงทันที“ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวรอทบต้นทบดอกเลย จะเอาให้ไม่ต้องนอนแน่ ไปกันได้แล้ว” สิ้นเสียงร่างสูงก็ลุกขึ้นทันควันพร้อมกับลากร่างเล็กที่พยายามจะอ้าปากเถียงแต่ไม่ทันเพราะถูกลากจนต้องวิ่งตามไปต้อย ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก“แล้วจะเอายังไงกันล่ะ ลองกรี๊ดได้ขนาดนั้นคงไม่ยอมหรอก”“แล้วยัยนั่นมายุ่งอะไรกันด้วยหละ คนที่จะยอมไม่ยอมมันอยู่ที่เรากะพ่อเราต่างหาก”“แล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย” ร่างเล็กถามอย่างงง ๆ เมื่อได้ยิน“ก็ยัยแร้งจิกซากนั่นมันจะยัดยัยเหยี่ยวทึ้งศพมาให้นะสิ ยัยนั่นนะถ้ามองก็พอจะได้หรอกนะ แต่อย่าให้อ้าปากเชียวแม่จ้อได้ไม่หยุดสามวันสามคืน” เสียงห้าวดังอย่างอารมณ์เสียนิด ๆ ทำให้รู้ว่าคงจะเคยพบมากับตัวเองแล้วเป็นแน่ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าฟาดผลั๊วะเข้าให้“นิสัยไม่ดี ไปเรียกผู้หญิงอย่างนั้นได้ยังไงกัน อย่าไปพูดอีกนะ”“คร้าบ ผมจะไม่พูดอีกแล้วคร้าบคุณแม่”“คุ…อุ๊บ!! อื้อ!” ปากที่อ้าเตรียมจะว่าถูกประกบแนบสนิท พร้อมกับเรียวลิ้นที่ไซร้หาความหอมหวานจากโพรงปาก วงแขนแกร่งรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้จนแนบสนิทฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียนก่อนจะหยุดลงเสียดื้อ ๆ“มีอะไร” เสียงห้าวที่ดังอย่างเย็นชาทำให้ร่างที่เคลิ้มอยู่ในอ้อมกอดผวาออกห่างโดยอัติโนมัติด้วยความหวาดกลัว เพราะมิว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้ยินน้ำเสียงแบบนี้จากคนตรงหน้า แต่ก็ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้เพราะอ้อมแขนรัดแน่นราวกับจะปกป้องจากบางอย่าง “ถามทำไมไม่ตอบ”สิ้นเสียงถามร่างเพรียวระหงในชุดรัดรูปสีส้มก็ก้าวเดินออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับหัวเราะเสียงแหลมอย่างเยาะ ๆ “ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรนะสิ ก็เห็นแสดงหนังสดกันอยู่เลยอยากจะรู้ว่าผู้ชายด้วยกันมันจะทำอัปรีย์จัญไรได้ขนาดไหน”“จะยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฉัน” น้ำเสียงที่แสดงความเย็นชาและไม่ใยดีออกจะทำความหวาดกลัวให้ร่างในอ้อมกอดไม่น้อย ชายหนุ่มลูบศีษะอย่างปลอบประโลมก่อนจะกระซิบริมหูเบา ๆ ร่างเล็กค่อย ๆ เงยหน้ามองมายังหญิงสาวอย่างหวาดหวั่นไม่แน่ใจ ฝ่ามือเล็กที่กำชายเสื้อคนตรงหน้าแน่นทำให้ชายหนุ่มก้มมองด้วยสายตาที่แสดงความรักความห่วงหาอาทรอย่างสุดซึ้ง…และนั่นก็ไม่ได้พ้นสายตาของหญิงสาวตรงหน้าเลยสักนิด สายตาที่มองมายังร่างเล็กจึงแสดงถึงความชิงชังรังเกียจแจ่มแจ้งอย่างไม่คิดจะปิดบัง ร่างเล็กจึงผวากอดร่างตรงหน้าด้วยความตกใจกลัวเพราะไม่เคยเห็นใครทำสายตาน่ากลัวได้ขนาดนั้น“ช่างออเซาะฉอเลาะดีนะคะ หน้าตาก็ดีเสียด้วย เสียอย่างเดียวที่ไม่ช่างสรรหา มาเอาผู้ชายด้วยกันเสียได้”“อย่าแส่นะ คนที่มาอาศัยคนอื่นอยู่ทั้งโคตรอย่างเธอควรเจียมตัวเสียบ้างว่าใครเป็นใคร ไม่ใช่เที่ยวแส่ส่ายยุ่งเรื่องของเจ้านายแบบนี้ จำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้างว่าที่อยู่อย่างคุณหนูมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะคุณท่านที่สิ้นไปท่านสังเวชพี่สาวแม่เธอ สังเวชนะไม่ใช่สงสาร! อย่าสู่รู้ให้มากนัก ไม่ใช่ว่าอยู่อย่างสบายแบบเจ้านายมาเสียนานแล้วจะเป็นเจ้านายเสียเอง แม่เธอก็เหมือนกันไปบอกด้วยนะว่าต่อไปอย่าได้มาเที่ยวกรี๊ด ๆ แบบพวกไพร่ไม่มีสกุล ฉันไม่ชอบ ไอ้ที่ไปเรียนมารยาทมานะไม่ได้จดจำไว้ในสมองเลยหรือไง หรือว่ามีแต่ขี้เลื่อยหาสมองไว้เก็บกักความรู้ไม่เจอถึงได้โง่ดักดานแบบนั้น อย่านะ!”เสียงห้าวที่ดังอย่างเฉียบขาดทำให้ร่างเล็กนั้นสะดุ้งโหยงทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดชนิดด่ากราดจากชายตรงหน้า“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ชอบไอ้กิริยาแบบไพร่ไม่มีสกุล เป็นผู้หญิงนะให้มันรู้กิริยามารยาทสมบัติของผู้หญิงเสียบ้างรู้จักไหมเบญจกัลยาณีน่ะ เบญจกัลยาณีนะไม่ใช่เบญจกาลีถึงได้เที่ยวแร่ร่านไปหาผู้ชายแบบนี้ ไปให้พ้นได้แล้ว! ไม่อยากเห็นหน้า แล้วถ้ามีปัญหาอีกก็ย้ายออกจากเรือนใหญ่ได้เลย”สิ้นเสียงร่างเล็กถูกลากกึ่งอุ้มไปยังตัวเรือนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ขณะที่ร่างเล็กกำลังจับต้นชนปลายด้วยความงงเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดพร้อมเสียงด่าทอก็ดังก้องมาจากด้านหลัง ก่อนจะจางหายไปเมื่อเข้าใกล้เขตของเรือนใหญ่ ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมไม่มีรอยเย้าหยอกอีกต่อไปทำให้ร่างเล็กหุบปากเงียบกริบด้วยความหวาดกลัวแต่ก็เงียบได้ไม่นานเพราะความสงสัยมีมากกว่า อีกทั้งยังไม่ค่อยรับรู้ถึงความเย็นชาและเฉยเมยที่ได้เห็นมากนัก“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” คราวนี้ชายหนุ่มหยุดกึกก่อนจะหันขวับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาจัดจ้าด้วยความรู้สึกบางอย่าง เอ่ยถามเสียงเรียบแต่ยังคงความอาทรไว้ในน้ำเสียง “ทำไมหรือ”“…ไม่ชอบ ผู้หญิงคนนั้นน่ากลัว เหมือนกับ…คนที่พร้อมจะทำร้ายคนอื่นให้เจ็บถ้าตัวเองเจ็บ” ร่างเล็กกำชายเสื้อชายหนุ่มแน่นเมื่อนึกถึงดวงตาที่จ้องมายังตน ดวงตาของคนที่พร้อมจะทำร้ายอีกฝ่ายทุกเมื่อ“คิดว่าจะหึงเสียอีก” เสียงห้าวแสดงอาการน้อยอกน้อยใจแต่ก็แฝงความโล่งใจไว้ไม่น้อยเมื่อร่างเล็กไม่มีปฏิกิริยาต่อภาพที่ตนเองแสดงเมื่อสักครู่นี้“หึงสิ เรารักนายนี่นา รักมากด้วย แต่!” เสียงหวานใสนั้นดังเรียบเรื่อยก่อนจะหยุดเฉย ๆ ทำให้ชายหนุ่มที่ยิ้มจนแก้มปรินั้นหุบเสียเฉย ๆ“เราจะไม่เป็นคนที่หนึ่งหรือคนที่เท่าไหร่ แล้วเราก็ไม่สนด้วยว่าเราจะเป็นคนแรกหรือคนสุดท้ายของนาย แต่เราจะเป็นคนเดียว! ถ้าไม่ใช่เราก็ไม่ต้องการ ถ้าได้เราต้องได้ทั้งหมดหากไม่ได้ทั้งหมดเราก็ไม่ต้องการแม้เพียงเสี้ยว!”“ได้สิ เราจะให้นายทั้งหมด เพื่อนายคนเดียว สัญญาตราบจนหัวใจจะหยุดเต้นเลย!” ร่างสูงใหญ่เอ่ยหนักแน่น คำสัญญาที่น้อยครั้งจะออกจากปาก หาก…แน่ใจได้เสมอว่าต้องเป็นดั่งที่สัญญาเสมอ“ทำอะไรกันสองคนน่ะเด็ก ๆ กลางแจ้งเชียวนะหนูเอย” เสียงห้าวทุ้มดังมากจากด้านหลังพร้อมกับชายหนุ่มวัยกลางที่มีเค้าโครงหน้าแบบเดียวกัน แถม…ยังตัวโตพอกันเสียอีกแหน่ะ!!“ว่าไงเรา ไปหาพ่อตัวเองซิไป” พยักเพยิดไปด้านในพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณ…พ่อ” เสียงใสเอ่ยอย่างไม่แน่ใจต่อสรรพนามของบุรุษตรงหน้ามากนักก่อนจะวิ่งไปยังด้านในเพื่อหาพ่อของตน
      ชายสี่คนที่นั่งประจันหน้ากันในห้องหนังสือขนาดเล็กของบ้านได้แต่มองตากันไปมองตากันมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรกันก่อนดี สุดท้ายฝ่ายที่ทำลายความเงียบก่อนก็คือชายผู้มีอาวุโสสูงสุด“ตกลงว่าแกจะเอายังไงกันไอ้ลูกชาย จะนั่งมองหน้าจ้องตากันอีกนานเท่าไหร่ก็บอก”“คนที่ต้องตอบคือคุณต่างหาก เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเด็ก ๆ เลยนะ มันเริ่มมาจากเราสองคนและมันก็ต้องจบด้วยน้ำมือของเราเอง”“ขอบอกอย่างได้มั้ยฮะ” ดวงตาใสแจ็วนั้นระยิบระยับอย่างนึกสนุกพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ผู้ที่มีฐานะเป็นพ่อออกจะหายใจขัด ๆ เพราะค่อนข้างจะเข้าใจสัญญาณจากรอยยิ้มมากพอดู“มีอะไรหรือ” เสียงห้าวดังขึ้นก่อนที่มือเล็กจะกระตุกพร้อมกับชายตามองที่สามารถรู้ได้ว่าให้เตรียมตัวเผ่นหนีลูกระเบิดที่สามารถจะลงได้ทุกเมื่อ“ผมเป็นลูกแม่หญิงกะคุณพ่อเล็กเรื่องนี้ทุกคนรู้ใช่ไหมฮะ แต่ฐานะผมจริง ๆ ก็คือผมเป็นลูกคุณน้องแต่เป็นหลานพ่อเล็กฮะ!” สิ้นเสียงผู้เป็นลูกและหลานทั้งสองคนก็แผ่นแผล๋ว ทิ้งความงงงวยและความตกใจไว้ให้สองคนเบื้องหลัง ก่อนที่จะได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจตามมา“คุณพ่ออย่าลืมล็อคประตูห้องนะครับ” เสียงใส ๆ ตะโกนก้องพร้อมเสียงหัวเราะเริงร่า คราวนี้จะได้มีความสุขกันเสียทีทั้งสองวิ่งมาจนกระทั่งถึงเรือนไทยที่ห่างจากบานใหญ่ไกลพอดู ร่างเล็กก้าวฉับ ๆ ไปนั่งแปะลงบนระเบียงพร้อมกับกอดเข่ามองชายตรงหน้าตาแป๋ว “จำเ ลยพร้อมรับคำพิพากษาแล้วครับผ้ม”“อธิบายมาสิว่ามันหมายความว่ายังไง” คนตัวใหญ่พยามยามระงับอารมณ์ ชักเข้าใจบางอย่างเลา ๆ ขึ้นมาบ้าง อยากจับมาตีก้นเสียให้เข็ด!!“งั้นเริ่มกันแต่ต้นเลยเอามั้ย” คนตัวเล็กเล่นลิ้น ใบหน้าสวยยิ้มแป้น“ทั้งหมดนั่นแหละ” อีกฝ่ายชักหงุดหงิดหากยั้งอารมณ์ทัน รอเย็นก่อนเถอะ จะเอาให้ไม่กล้าหือเลย ฮึ่ม!!“จำได้หรือเปล่าว่าเมื่อตอนที่คุณ…พ่อแต่งงานครั้งแรกนั่นเป็นการแต่งงานกับคุณแม่ของเรา แต่แล้วคุณแม่ก็หายไปก่อนที่คุณป้าที่เป็นแม่ของนายจะเข้ามาเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง”“จำได้”“นั่นไม่ใช่คุณแม่! คุณแม่หนีการแต่งงานไปทำให้คุณอาต้องเสียบแทนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วก็อยู่มานานพอดูจนคุณแม่บอกคุณอาว่าท้อง ท้องโดยที่คนพ่อไม่ยอมรับแล้วหนีไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอื่น ในตอนนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าที่แต่งงานด้วยเป็นผู้ชาย แล้วพอแม่นายก้าวเข้ามาด้วยศักดิ์ฐานะที่เท่าเทียมกว่า คุณอาที่มีเรื่องหนักใจประดังเข้ามาก็หนีไปโดยไม่เอาอะไรติดตัวไปสักชิ้นกระทั่งทะเบียนสมรสที่สมควรเป็นชื่อคุณแม่! พอคุณพ่อแต่งงานใหม่จนมีนายคุณอาก็เสียใจมากแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาเลย ตราบจนกระทั่งคุณอาพาเราไปเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่านายป่วยหนัก คุณพ่อเลยยื้อเราสองอาหลานไว้ที่นั่น”“แล้วทำไมถึงบอกว่าเป็นลูก”“ก็เป็นลูกจริง ๆ นี่นา คุณแม่ก็เป็นแม่ แยกให้ดีนะว่าตอนที่คุณอาแนะนำบอกคุณแม่นะพูดว่ายังไง? ‘ ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเด็กและเป็นคนสำคัญมากของผม ’ ตอนนั้นคุณอาบอกว่าอย่างนี้แต่ไม่ได้บอกนะว่าเป็นภรรยา แล้วอีกอย่าง เวลามันก็เปลี่ยนให้พี่น้องฝาแฝดหน้าตาแตกต่างกันได้นะ คุณแม่เจอเรื่องร้าย ๆ มาเยอะ เลยเปลี่ยนจากเด็กสาวไม่รู้ความเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์และกร้านโลก” ดวงตากลมโตใสแจ๋วหม่นลงเล็กน้อย เสียงใสกล่าวหงอยเหงา “ถ้าไม่ได้คุณพ่อเล็กอะไร ๆ ก็อาจจะร้ายกว่านี้ก็ได้!”“แต่ก็ร้ายพอกัน!” ชายหนุ่มครางเอื่อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจดังเฮือกเมื่อได้รับรู้ความเกี่ยวโยงที่สับสนวุ่นวายตั้งแต่รุ่นพ่อคุณป้าเพราะว่ามีคนรักอยู่แล้วเลยไม่ยอมมาแต่งงาน แถมเจ้าหมอนั่นยังตีจากไปมีหญิงใหม่อีก เลวดีชะมัด ที่คุณพ่อเกลียดคุณป้ามากก็เพราะว่าผู้ชายที่เป็นคนรักเป็นคู่หมั้นของญาติห่าง ๆ กันเลยต้องแย่งมาเพื่อให้ญาติคนนั้นสมหวังแต่ที่ได้มากลับเป็นพี่ชาย หลังจากนั้นก็อยู่กินกันแบบสามีภรรยาในนามโดยที่คนภายนอกไม่เอะใจ จนกระทั่งคุณอาถูกชักนำเข้ามาด้วยฝีมือของญาติ ๆ ที่ต้องการผู้หญิงที่สมฐานะ คุณอาที่ไม่อยากให้มีปัญหาก็เลยหนีไปเสียเอง พอกลับมาอีกทีก็เอาหลานชายมาโดยบอกว่าเป็นลูกจนกระทั่งผู้หญิงที่สมควรจะเป็นภรรยาที่แท้จริงก้าวเข้ามาและตายจากไปความลับทุกอย่างก็ปิดเงียบจนกระทั่งคุณแม่ตายไปสองอาหลานก็ออกจากบ้านไปเงียบ ๆ เพราะไม่ต้องการจะอยู่ให้ถูกครหาอีก ในสมัยก่อนแม้ว่าคุณพ่อจะเอาใจใส่มากเพียงไร คำแดกดันว่ามาอาศัยใบบุญคนอื่นนั้นก็กรอกหูอยู่ทุกวัน ก็มิใช่หรือที่คนตรงหน้านี้ถึงได้ร่ำร้องว่าอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง ปัญหาของพวกผู้ใหญ่ก็คืออย่างนี้นี่เอง…แต่ว่าคุณพ่อหาคุณอาเจอได้ไงหว่า?สาวใช้สองคนยืนหน้าแดงอยู่หน้าห้องสมุด จะไปหรือก็ติดถาดของว่างในมือ จะไม่ไปหรือก็อาย ๆ บทสนทนาในห้อง มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ปล่อยไปดีกว่ากระมัง? ก็ไอ้เสียงหัวเราะแผ่วทุ้มเบา ๆ นั่นน่ะ…เข้ามาทำงานเพิ่งจะเคยได้ยิน ขืนเข้าไปคงได้ระเห็จออกจากงานเสียงเพี๊ยะลั่นเมื่อลับร่างของสาวใช้ คนตัวใหญ่ร้องโอดโอยอย่างเห็นได้ชัดว่าแกล้ง คนตีเลยหยิกหมับเข้าให้แถมเสียทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งประจันเพื่อรับฟังคำอธิบาย“ตามหาพวกผมเจอกันได้ยังไง?” สิ้นเสียงถามคนตรงหน้าหัวเราะลึกในลำคอดั่งที่เคยเป็นเมื่อวันวาน ทุกคราที่โดนจับได้ยามกระทำผิด“ก็เพราะว่าคุณต้องหนีไปอีกแน่นอนเลยสั่งให้ลูกน้องคอยจับตาดูคุณตลอดจนกระทั่งเด็กนั่นโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ แต่คุณก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที” เสียงทุ้มเข้มเล็กน้อยเพราะความหึง ทำเอาอีกฝ่ายตวาดแว้ด“เลยมาหาผมแล้วก็เล่นไอ้เกมบ้า ๆ นั่นงั้นสิ!”“ชนะ!” เสียงเอ่ยมั่นใจเต็มที่ทำเอาคนฟังชักหมั่นไส้ตะหงิด ๆ“ไม่! ลูกชายคุณไม่ได้บอกรักลูกผมสักคำ” เถียงกลับทันควันหากเบาลงในตอนท้าย เพราะจะอย่างไรก็รับรู้ได้อยู่ดีว่า…บอกหรือไม่ ค่าเท่ากัน! แต่ที่ทำเอาหัวใจกระตุกดั่งวันวานกลับเป็นคำพูดช้า ชัด ที่คอยย้ำแน่นในใจมิลืม“ผมรักคุณ”“เมื่อกี้…ว่าไงนะ” ถามเสียงแผ่ว ไม่แน่ใจว่าจะฟังผิดหรือไม่ เวลา…มันผ่านมาเนิ่นนานจนสามารถทำให้บางสิ่งกลับกลายได้“ผม รัก คุณ กลับมาอยู่กับผมเถอะนะได้โปรด” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบริมหู ชัดเจนราวกับจะสลักไว้ให้แน่นตรึงตรา หวานอ้อยศร้อยจนคนฟังใจอ่อนยวบ“แล้วเด็กสองคนนั่นหละ” มิวายห่วงเจ้าตัวเล็ก หากได้ยินเพียงเสียงหัวเราะในลำคอ“ไม่ต้องห่วงหรอก ป่านนี้คงอยู่ในห้องแล้ว ส่วนพวกผู้หญิงที่เข้ามายุ่มย่ามก็ไม่ต้องห่วง คุณสำคัญที่สุด รับรองว่าภายในวันพรุ่งนี้คุณจะไม่ได้เห็นหน้าอีกแน่นอน” คนบอกเสียงหนักแน่น คนได้ฟังเพียงส่ายหน้า พูดเบาแต่กลับดังก้องอยู่ในใจ“ที่ผมต้องการก็เพียงแค่ คุณบอกว่ารักผม…เท่านั้นเอง” อ้อมกอดกระชับแน่นโดยที่คนถูดกอดไม่เข้าใจเช่นกันว่ามาอยู่สภาพนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เสียงหัวใจเต้นดังอยู่ข้างหู ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ“เรารักกันใช่ไหม?” หวั่นเกรงในช่วงเวลาที่ยาวนานเช่นกัน แม้จะมั่นใจว่าตนเองจะไม่สูญเสียร่างตรงหน้าไป หากต้องการฟังคำหวานหูสักครั้งดวงตาคมตวัดมองก่อนจะยิ้มกว้าง ตอบรับหนักแน่น “ใช่! เรารักกัน”-The End-

      จบแล้วนะค่ะ  ช่วยวิจารณ์กันด้วยนะ จะได้เอาไปปรับปรุงนะค่ะ >_<

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×