ชีวิตของฉันเหมือนโดนสาปไว้  ไม่ว่าฉันจะรักใครก็ไปกันไม่ได้นานสักที  เดี๋ยวก็มีเหตุที่ทำให้เราต้องเลิกกัน  บางทีด้วยเหตุผลที่งี่เง่ามากเลยล่ะ  ทั้งที่บางครั้งคน ๆ นั้น ฉันคิดว่าถูกใจฉันทุกอย่าง  แต่สุดท้ายความแน่นอนคือความไม่แน่นอน  ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ชีวิตรักของฉันจะพ้นคำสาปสักทีก็ไม่รู้นะ  เฮ้อ
    ฉันชื่อโยธกา  ฤทธินานนท์  หรือที่เพื่อน ๆ สนิทชอบเรียกว่าหยก  อายุ  25  ปี  ฉันเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน  ตอนนี้ฉันเป็นครูสอนเต้นของโรงเรียนดนตรีแห่งหนึ่ง  จะว่าไปแล้วฉันก็ถือว่าเป็นบุคคลที่หน้าตาดีคนหนึ่งเชียวล่ะ  จึงไม่แปลกที่จะมีผู้ชายมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาเดินเคียงข้างในชีวิตของฉัน  ความรักครั้งแรกของฉันเกิดขึ้นเมื่ออายุ  15  ปี  คุณจะเชื่อไหมว่าฉันอายุแค่  25  ปี  ห่างกันแค่  10  ปี  แต่ฉันเคยอกหักมาแล้วเป็นสิบ ๆ ครั้ง  และหักอกเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  ชีวิตของฉันเหมือนถูกสาปยังไงยังงั้นเลยล่ะ  เพราะว่าไม่ว่าฉันจะรักใครไม่นานก็ต้องเลิกกัน  ส่วนคนที่เข้ามาจีบฉันนั้นก็ไม่ได้เรื่องเสียทุกคนเลย  ไม่รู้ว่าเมื่อไรคำสาปบ้า ๆ เนี่ย  จะถูกแก้สักทีนะ 
    เมื่อ  10  ปีที่ผ่านมา  ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  เป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันได้รู้จักคำว่ารัก  ฉันชอบรุ่นพี่ที่โรงเรียนหนึ่งคน  พี่เขาชื่อพี่ไม้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน  เป็นคนที่เรียนเก่ง  อัธยาศัยดี  เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบมาก  ฉันพยายามฝึกฝนความกล้าเพื่อที่จะเข้าไปคุยกับพี่เขา  แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่กล้าจนกระทั่งวันหนึ่ง  ขณะที่ฉันนั่งรอเพื่อนที่ม้าหินอ่อนข้างโรงอาหารคนเดียว
    “ขอโทษนะครับ  พี่ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย” ใช่แล้วพี่คนที่ฉันชอบนั่นแหละ  พี่เขาเดินมาคนเดียวพร้อมขนมและหนังสือในมือ
    “เอ่อ  ได้ค่ะ  ไม่มีคนนั่ง” ฉันตอบออกไปด้วยอาการสั่น ๆ
    จากเหตุการณ์วันนั้นฉันกับพี่ไม้ก็สนิทกันมากขึ้น  พักกลางวันพี่ไม้ก็จะมานั่งอยู่กับฉันและเพื่อน  บางครั้งก็มาทานข้าวกลางวันด้วย  มาคนเดียวบ้าง  มากับเพื่อนบ้าง  บางวันตอนเย็นพี่ไม้ก็เดินไปส่งฉันที่ป้ายรถเมล์  นับวันที่ยิ่งได้ใกล้ชิดกับพี่เขา  ฉันยิ่งชอบพี่ไม้มากขึ้นไปทุกวัน  จนวันหนึ่งฉันแทบไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นความจริง  พี่ไม้ก็มาหาฉันตามปกติเช่นทุกวัน
    “หยก  ว่างมั้ย  พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับหยกหน่อย”
    “อ๋อ  ว่างค่ะ  พี่ไม้มีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย”
    “คือ  พี่ว่าเราก็สนิทกันพอสมควรแล้วนะ  พี่ก็คิดว่ามันถึงเวลาเสียทีที่พี่จะบอกอะไรกับหยก  แต่หยกต้องสัญญากับพี่น่ะ  ว่าถ้าพี่ทำให้หยกไม่พอใจ  หยกก็จะยังเป็นแบบนี้กับพี่เหมือนเดิมนะครับ”
    “พี่ไม้พูดฟังแล้วดูน่ากลัวจังเลย  หยกชักไม่อยากให้พูดแล้วสิ  แต่ก็ได้ค่ะ  ไม่ว่าพี่ไม้จะทำให้หยกไม่พอใจแค่ไหน  หยกก็ยังจะเป็นแบบนี้  โอเคมั้ยค่ะ”
    “ครับ  คือเรื่องที่พี่จะพูดเนี่ย  มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจพี่ทั้งหมดเลยนะ  คือพี่..พี่..พี่รักหยกนะครับ  เราก็รู้จักกันมานานแล้ว  พี่อยากรู้ว่าหยกคิดยังไงกับพี่บ้าง  รักตอบพี่บ้างมั้ย  แล้วเอ่อ  เราสองคนจะคบกันได้รึเปล่า  เฮ้อ  กว่าจะพูดจบ  ตอบสิครับ”
    “เอ่อ  พี่ไม้ถามมาเยอะขนาดนี้หยกไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนนี่ค่ะ  ถ้าทุกคำพูดของพี่ไม้คือความจริงใจ  หยกก็ขอตอบด้วยความจริงใจเช่นกันว่า  หยกก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้พี่ไม้เหมือนกัน  ถ้าคิดว่ามันไม่เร็วเกินไปที่เราจะคบกัน  หยกก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
    “ขอบคุณครับ  งั้นก็แสดงว่าหยกเป็นแฟนพี่แล้วนะ  พี่สัญญาว่าพี่จะรักหยกคนเดียวครับผม”
    เหตุการณ์ดูท่าจะผ่านไปด้วยดี  ฉันและพี่ไม้คบกันมาได้  1  อาทิตย์แล้ว  แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน  จากวันที่เห็นว่าอากาศจะดี  อยู่ดี ๆ เมฆหมอกมาจากไหนก็ไม่รู้
    “เดี๋ยวน้อง  อย่าเพิ่งไป” ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาขวางทางฉันไว้
    “น้องเป็นแฟนพี่ไม้เหรอ” เขาถามต่อและจ้องหน้าฉันเขม็งเลยล่ะ
    “ใช่ค่ะ  หนูเป็นแฟนพี่ไม้ค่ะ” ฉันตอบไปและจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน
    “กล้าดีนี่  ถึงว่าพี่ไม้ถึงชอบ  แต่ขอเถอะน้อง  น้องดูแล้วท่าทางเป็นคนดี  พี่อยากขอร้องให้น้องอยู่ห่าง ๆ พี่ไม้ได้มั้ย  ถือว่าพี่ขอล่ะ  ถือว่าช่วยผู้หญิงด้วยกัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าตอนแรก
    “แล้วทำไมหนูต้องอยู่ห่างพี่ไม้ด้วยล่ะค่ะ  ขอหนูรู้เหตุผลไม่ได้เหรอ”
    “ก็ได้ถ้าหนูอยากรู้พี่จะเล่าให้ฟัง  คือเพื่อนของพี่เนี่ย  เคยเป็นแฟนเก่าของพี่ไม้  แล้วถูกพี่ไม้ทิ้งไป  เพราะเข้าใจผิดว่าเพื่อนพี่นอกใจ  เพื่อนพี่เสียใจมาก  มันคิดจะฆ่าตัวตายแต่โชคดีที่เราช่วยไว้ได้ทัน  มีทางเดียวที่มันจะหายได้คือให้พี่ไม้กลับไปคบกับมันตามเดิม  แต่พี่รู้มาว่าพี่ไม้มีแฟนใหม่แล้วคือน้อง  พี่เลยมาขอร้องเพราะน่าจะเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน  ถือว่าพี่ขอร้องนะช่วยพี่สักครั้ง แล้วพี่จะถือว่าเป็นบุญคุณอย่างมากเลย หรือถ้าน้องไม่เชื่อพี่จะพาไปดูตอนนี้เลย”
    “ค่ะ  งั้นเดี๋ยวตอนเย็นหนูจะไปดูเพื่อนพี่กับพี่เพื่อความแน่ใจ”
    “ได้  งั้นตอนเย็นเจอกันนะ  พี่จะรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน”
    และฉันก็ได้ไปเห็นถึงสภาพของผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนของพี่ไม้  เธอน่าสงสารมาก  แต่ฉันจะยังไม่ยอมเชื่อหรอกจนกว่าฉันจะแน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริง  ฉันจึงวางแผนชวนพี่ไม้มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้  ทันทีที่พี่ไม้ได้เห็นเธอก็มีท่าทีตกใจ  กังวลใจมาก 
    “พี่ไม้ค่ะ  เข้าไปคุยกับพี่เกดหน่อยสิค่ะ  เธอคงดีใจมากที่ได้เจอพี่ไม้”
    “แต่  คือหยกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
    “พี่ไม้ไปคุยกับพี่เกดก่อนนะค่ะ  แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที”
    หลังจากที่พี่ไม้คุยกับพี่เกดเสร็จฉันก็อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่ไม้ฟัง  ทำให้พี่ทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้  เพราะความจริงแล้วพี่ไม้ก็ยังรักพี่เกดอยู่  แต่ที่มาคบกับฉันก็เพื่อให้ลืมพี่เกด  สุดท้ายฉันก็เลยกลายเป็นคนอกหัก  แต่ก็อกหักแบบเป็นสุขนะ
    หลังจากที่ฉันเลิกกับพี่ไม้  ก็มีผู้ชายหลายคนเข้ามาขายขนมจีบให้ฉัน  แต่ดูแต่ละคนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น  แต่บางคนฉันก็คบด้วย  แต่ไม่ได้นานฉันก็เลิก  เพราะเขาไม่ใช่  มันไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ  บางคนก็เอาใจฉันเกินไป  จนน่ารำคาญ  บางคนก็งกจนน่าหมั่นไส้  ไม่ลงทุนอะไรเลย  บางคนก็ปากหวานซะจนฉันเลี่ยน  สรุปแล้ว  ผ่านไปหนึ่งปี  ฉันเปลี่ยนแฟนไปสามคนแล้วล่ะ  ถ้านับพี่ไม้ด้วยก็เป็นสี่  จนฉันได้พบกับคน ๆ หนึ่ง  เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน  แต่เข้ามาใหม่ตอน  ม.4  ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบมากมาย  แต่เขาเป็นคนคุยสนุก  มีเสน่ห์น่าประทับใจ  และเขาก็ประทับใจฉันแบบเต็ม  ฉันก็เข้าไปตีสนิท  จนเราสองคนได้เป็นแฟนกัน  แต่สุดท้ายคำสาปมันก็เล่นงานฉันเช่นเคย
    วันนี้ฉันและเพื่อน ๆ ไปฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  และฉันก็ได้เห็นอีตาบอส  แฟนของฉันกำลังนั่งจี๋จ๋ากับผู้หญิงคนหนึ่ง
    “นี่หยก  ดูผู้ชายคนนั้นสิ  ใช่ไอ้บอสมั้ย”
    “ไหน  เออ  แหมบอกแกว่าไม่ว่าง  แต่ที่จริงแอบมาจี๋จ๋ากับสาวนี่เอง  ปล่อยไว้ไม่ได้นะหยก”
    “ใช่  รู้จักคนอย่างหยกน้อยไปแล้ว  คอยดูฉันไว้ดี ๆ นะแก”
    “อ้าว  สวัสดีค่ะบอส  แหม  บังเอิญจังเลยนะที่มาเจอกันอยู่ที่นี่” ฉันเดินเข้าไปทักทาย  ดูหน้าตานี่สิจืดไปเลย
    “มากับแฟนเหรอจ๊ะ  คนนี้นะเหรอที่บอสบอกว่าขี้เหร่  ห่วย  ไม่ได้เรื่องที่อยากจะเลิกนะ  แล้วจะมาหาเรานะ  น้องคงต้องปรับตัวหน่อยนะค่ะ  ตานี่จะได้ไม่ต้องเลิกกับน้อง  เพราะพี่ก็ไม่ได้อยากได้นักหรอกผู้ชายห่วยอย่างนี้  ไปก่อนนะ  ขอบใจที่ช่วยให้ฉันได้เล่นอะไรสนุก ๆ  นี่คือบทลงโทษของผู้ชายเฮงซวย” แล้วฉันก็ถอดแหวนคืนเขาไป  และกลับไปที่โต๊ะ  ปล่อยให้เขาปรับความเข้าใจกันเอง  นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉันอกหัก  ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไรแต่ลึก ๆ ก็เสียใจอยู่นะ  แต่สะใจมากกว่า  เพราะได้ยินมาว่าสุดท้ายอีตานี่ก็ไม่เหลือใคร  สมน้ำหน้าจับปลาหลายมือดีนัก
    แล้วฉันก็เป็นคนโสดอีกครั้ง  แต่ฉันก็ไม่เข็ดที่จะรักหรอกนะ  เพราะก็ยังมีคนเข้ามาในชีวิตฉันอีกมากมาย  แต่ก็ไปไม่รอดอีกตามเคย  ผ่านมาเป็นสิบคนแล้ว  ฉันชักเบื่อแล้วล่ะ  เมื่อไหร่จะมีผู้ชายที่แสนดีมาโปรดคนอย่างโยธกาสักทีแต่แล้วสวรรค์ก็เป็นใจ  ฉันชอบรุ่นน้องที่โรงเรียนคนหนึ่ง  ทำไงได้ล่ะ  ก็ฉันอยู่  ม.5  แล้วนี่  ไอ้พี่  ม.6  ก็มีแต่ไม่ได้เรื่องสักคน  มันก็เลยจำเป็นต้องจีบรุ่นน้องค่ะ  หันมาบริโภคเด็กบ้างเผื่อว่ามันจะไปรอด  เผื่อว่าคนนี้จะไปได้นานกว่าคนอื่น 
    “อุ๊ย  ขอโทษค่ะ  เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษเมื่อชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง  ที่จริงฉันแกล้งเข้าไปชนกับน้องเขาเอง
    “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมช่วยเก็บให้ครับ” และแล้วก็เหมือนในทีวีเลยค่ะท่านผู้อ่าน  มือของน้องเขามาจับถูกมือของฉัน
    “ขอโทษครับ” คนขอโทษหน้าแดงมากเลยค่ะ
    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  เอ่อ  ไม่ทราบว่าน้องชื่ออะไรค่ะ”
    “ผมชื่ออ้ายครับ”
    “พี่ชื่อหยกนะค่ะ  ยินดีที่ได้รู้จัก  หวังว่าคงจะได้เจอกันอีกนะค่ะ  ขอบคุณค่ะที่ช่วยเก็บของ”
    และทุก ๆ วันฉันจะต้องแกล้งให้มีเหตุบังเอิญเป็นว่าเจอกับน้องเขาอยู่เรื่อย 
    “อ้าวน้องอ้ายนี่เอง  เจอกันอีกแล้วนะค่ะ”
    “สวัสดีครับพี่หยก  นั่นรถเป็นอะไรเหรอครับ”
    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ  พี่สตาร์ทหลายครั้งแล้วไม่ติดสักที  นี่ก็จะมืดแล้วด้วย”
    “งั้นเดี๋ยวผมดูให้ครับ  เอ่อ  สงสัยคงต้องให้ช่างมาดูแล้วล่ะครับ”
    “ขอบคุณค่ะที่ช่วยดูให้  งั้นเดี๋ยวพี่โทรตามช่างก่อนนะ”
    “แล้วพี่หยกจะกลับยังไงครับเนี่ย  ใกล้มืดแล้วด้วย  อันตรายนะครับ”
    “เป็นห่วงพี่เหรอค่ะ  เปล่าค่ะ  ก็คงขึ้นรถโดยสารกลับค่ะ  พี่ขึ้นบ่อยไม่เป็นไร”
    “เอางี้มั้ยครับเดี๋ยวอ้ายไปส่ง”
    “จะดีเหรอค่ะ  อ้ายมีธุระอะไรที่ไหนรึเปล่า”
    “ไม่ครับ  ไม่มี  เชิญพี่หยกขึ้นรถครับ”
    ระหว่างทางฉันก็ชวนน้องเขาคุยไปต่าง ๆ นานา  แบบว่าพยายามตีสนิททุกทางแหละ
    “น้องอ้ายอยู่กับใครเหรอค่ะ”
    “ผมอยู่คนเดียวครับ”
    “พี่ก็อยู่คนเดียวค่ะ  งั้นเดี๋ยวเราแวะทานข้าวเย็นก่อนดีมั้ยค่ะ  พี่ถือโอกาสเลี้ยงขอบคุณน้องอ้ายด้วยที่มาส่งพี่”
    “ครับ  งั้นไปร้านที่ปากซอยนี่ละกัน  อร่อยมากเลยนะครับ”
    เมื่อถึงที่ร้านน้องเขาก็จัดแจงสั่งอาหาร  ที่สำคัญน้องเขาทำเองด้วย
    “เอ่อ  ร้านนี้เขาให้ลูกค้าทำเองเหรอค่ะ”
    “คือผมเป็นญาติกับคนขายนะครับ  เคยมาช่วยขายบ่อย ๆ  พี่หยกลองชิมดูนะครับไม่รู้ว่าจะถูกปากรึเปล่า”
    “หือ  อร่อยค่ะ  ไปเปิดร้านได้เลยนะเนี่ย”
    “ขอบคุณครับที่ชม”
    หลังจากคืนนั้นมา  ฉันและน้องอ้ายเราก็สนิทกันมากขึ้น  และในที่สุดฉันก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันจะบอกความในใจกับน้องเขาเสียที  เพราะบางทีน้องเขาอาจเป็นคนที่เข้ามาถอนคำสาปของฉันก็ได้
    “สวัสดีครับพี่หยก  จะไปไหนครับเนี่ย”
    “หวัดดีจ๊ะ  พอดีพี่กำลังจะไปหาอ้ายนะแหละ”
    “หาผม  มีเรื่องอะไรหรือครับคุณพี่คนสวย”
    “เดี๋ยวนี้กะล่อนใหญ่นะเรา  พอจะมีเวลาว่างคุยกับพี่มั้ย”
    “สำหรับพี่หยกผมว่างเสมอแหละครับ”
    “ปากหวานนะ  งั้นไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างโรงอาหารล่ะกัน”
    “คือ  มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรหรอก  แต่ถ้าพี่ไม่บอกอ้ายออกไป  พี่คงบ้าตายแน่เลย  คือ  เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว  อ้ายจำได้มั้ย”
    “ประมาณเดือนกว่า ๆ แล้วครับ  พี่หยกถามทำไมอ่ะ”
    “คือ  อ้ายตั้งใจฟังนะ  คือพี่ชอบอ้าย  แล้วเราก็รู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว  พี่ก็คิดว่าการกระทำบางอย่างของพี่น่าจะทำให้อ้ายรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง  พี่ก็เลยอยากรู้ว่าอ้ายรักพี่บ้างมั้ย  แล้วเอ่อพอจะคบผู้หญิงคนนี้เป้นคนพิเศษได้รึเปล่า  แต่ถ้าไม่ก็ขอให้เราเป็นเหมือนเดิมนะ”
    “สำหรับผมก็ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่หยกทำให้ผม  และผมก็พอดูออก  สำหรับผมพี่หยกเป็นคนพิเศษเสมอ  ผมก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับพี่หยกเช่นกัน  แต่มันเป็นความรู้สึกแบบพี่สาวกับน้องชายมากกว่า  หวังว่าพี่หยกคงไม่โกรธผม  และเรายังคงจะเป็นพี่สาวและน้องชายที่ดีต่อกันแบบนี้  อีกอย่างที่ผมยังไม่ได้บอกพี่หยกก็คือ  ผมมีแฟนแล้วครับ  ตอนแรกเราก็ว่าจะเลิกกัน  และผมคิดว่าพี่หยกคือคนที่ใช่  แต่สุดท้ายผมก็ลืมเธอไม่ได้  ผมขอโทษพี่หยกด้วยนะครับ  แต่พี่หยกคือพี่สาวคนพิเศษที่ผมรักที่สุดนะครับ”
    “เอ่อ  ขอบใจนะ  ที่อ้ายยอมบอกพี่ตามความจริง  พี่อาจจะทำใจลำบากสักหน่อย  แต่มันก็ยังดี  เอาเป็นว่าพี่ดีใจนะค่ะที่ได้มีน้องชายที่น่ารักและแสนดีขนาดนี้  งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ” น้ำตาไม่รู้จากไหนมันไหลออกมา  ทั้งที่ฉันเตรียมใจไว้แล้ว  ทีอกหักจากคนอื่นทำไมฉันไม่มีน้ำตานะ  สงสัยครั้งนี้สาเหตุมาจากฉันถูกปฏิเสธแบบจริงจังก็ได้  เฮ้อสุดท้ายคำสาปของฉันก็ยังไม่ได้รับการถอน
    “หยกเป็นอะไรของแก  ตาแดงเชียว  อย่าบอกนะว่าแกร้องไห้”
    “หือ ๆๆ แก น้องอ้ายมีแฟนแล้ว  เค้าบอกกับฉันว่าเป็นได้แค่พี่สาวกับน้องชายนะ”
    “อย่าร้องไห้ไปเลยแก  หาใหม่ก็ได้นี่หว่า”
    “แต่ฉันเหนื่อยแล้วนะ  คนไหน ๆ ก็ไม่ใช่สักที  ทีแกคนเดียวใช่เลย  คบกันตั้งนานแล้วเนี่ย  เมื่อไหร่ฉันถึงจะพ้นคำสาปสักทีก็ไม่รู้”
    “แกอย่าโทษว่าเป็นคำสาปสิวะ  คิดซะว่าเนื้อคู่แกยังไม่เกิดละกันนะเพื่อนรัก  ตั้งใจเรียนได้แล้ว”
    เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินการไปตามปกติ  ฉันก็ยังพบรัก  สลัดรัก  วนเวียนอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ  ตอนนี้ฉันอยู่  ม.6  แล้วจะจบจากโรงเรียนนี้ไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว  ไม่เป็นไรยังไม่เจอตอนนี้ไปรอเอาในมหาวิทยาลัยก็ได้  แต่สวรรค์เป็นใจ  พอดีฉันไปลงฝึกงานพยาบาลกับเพื่อนที่โรงพยาบาลช่วงปิดเทอม  คราวนี้พบรักกับนายแพทย์สุดหล่อ  แสนดี  มีคุณธรรม  สมบูรณ์แบบสุด ๆ  แต่ฉันก็ได้แต่แอบมอง  ใครจะกล้าจีบล่ะ  แต่อย่างที่ฉันเคยบอกว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
    “สวัสดีครับ  เอ่อคุณชื่ออะไรเหรอคุณนักศึกษาฝึกประสบการณ์” นายแพทย์สุดหล่อคนนั้น  เขาถามฉันแล้วค่ะ  ตายล่ะ  ทำไงดี
    “ฉันชื่อโยธกา  ฤทธินานนท์ค่ะ”
    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ  ผมชื่อนายแพทย์วันชัย  จันทร์กระจ่าง  เรียกว่าหมอชัยก้ได้นะครับ”
    “ค่ะ  งั้นดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะค่ะ” อยู่นานกว่านี้ไม่ได้หรอกค่ะ  ไม่งั้นดิฉันคงหัวใจวายตายไปเสียก่อน
    “นี่แก  หมอชัยพูดอะไรกับแกเหรอ  หน้าแดงเชียว”
    “เปล่าหรอกก็แค่ถามชื่อฉันธรรมดาเท่านั้นแหละ  ไปทำงานเถอะไป”
    “ฉันว่านะหมอชัยต้องสนใจแกแน่เลย”
    “มั่วแล้ว  แกเอาอะไรมาพูด”
    “อ้าวแล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยว่ะ”
    “นี่พวกเธอเวลาทำงานนะไม่ใช่เวลาคุยกัน  ไปทำงานได้แล้ว” พยาบาลผู้คุมงานเดินมาว่าพวกเรา
    “แกดูเจ๊คนเมื่อกี้นะ  เวลาอยู่ต่อหน้าหมอชัยนะ  ทำท่าทำทางทำเสียงอ่อนเสียงหวาน  เห็นแล้วหมั่นไส้วะ  ฉันว่านะเจ๊แกต้องชอบหมอชัยแน่เลย  แกว่ามั้ย”
    “ไม่รู้สินะ  เผอิญว่าฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านเหมือนแก”
    “ไม่ยุ่งไม่ได้นะแก  ถ้าเกิดเจ๊แกชอบจริง ๆ เนี่ย  แกก็มีคู่แข่งนะ”
    “ไม่เห็นกลัวเลย  ของแบบนี้ใครดีใครได้จ๊ะ”
    “มั่นใจจังเลยนะแม่คุณ” ฉันไม่ตอบแต่หันไปยิ้มให้กับเพื่อนสาว
    แล้วความสัมพันธ์ของฉันกับคุณหมอก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยดี
    “คุณโยธกาครับ”
    “ว่าไงค่ะคุณหมอ”
    “เดี๋ยวเลิกงานแล้วคุณโยธกาจะไปไหนต่อมั้ยครับ”
    “ไม่ล่ะค่ะ  ว่าจะกลับบ้านเลย  เอ่อหมอเรียกดิฉันว่าหยกเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ  เรียกชื่อจริงมันฟังยาว ๆ”
    “นั่นสิครับเรียกคุณหยกสั้นกว่า  และดูสนิทกว่าตั้งเยอะ  เอ่อคุณหยกไม่ไปไหนใช่ไหมครับ  งั้นไปทานข้าวเป็นเกียรติกับผมสักมื้อนะครับ”
    “จะดีหรือค่ะ  คือหยกต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือเตรียมเอนทรานส์นะค่ะ”
    “แหม  ไปวันเดียวเองไม่เสียเวลาหรอกครับ  ส่วนเรื่องอ่านหนังสือเอนทรานส์นะ  เดี๋ยวผมช่วยด้วย  ว่าแต่ตกลงนะครับไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย”
    “ตกลงค่ะ”
    “งั้นเชิญเลยครับผม”
    จากเหตุการณ์วันนั้น  ทุกวันเวลามาฝึกงานคุณหมอวันชัยก็จะไปรับฉันที่บ้าน  พอเลิกงานคุณหมอก็พาไปทานข้าวแล้วก็พาไปส่งที่บ้าน  วันหยุดเสาร์ อาทิตย์  ถ้าหมอแกไม่มีเวรแกก็จะมารับฉันไปดูหนัง  ไปเที่ยวกัน  เป็นอะไรที่ฉันรู้สึกว่ามีความสุขมากเลย  และวันนี้เรามาเที่ยวกันที่หัวหิน  โดยมีเพื่อน ๆ ของฉันมาด้วย  แต่เขาอยู่อีกทางหนึ่ง  ตรงนี้จึงมีแต่ฉันกับหมอเพียงสองคน
    “หยกครับ  เป็นไงครับสบายมั้ยครับ”
    “ค่ะ  อากาศดีมากเลยค่ะ  หยกไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้นานแล้วล่ะ”
    “รู้มั้ยครับว่าวันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลย  แต่จะมีความสุขกว่านี้ถ้า”
    “ถ้าอะไรล่ะค่ะ  ทำไมไม่พูดต่อล่ะ”
    หมอหันมากุมมือฉันเอาไว้กับอก  แล้วบอกกับฉันว่า
    “ผมรักหยกครับ  แล้วหยกล่ะรักผมมั้ย  ผมยอมรับว่าผมอาจจะแก่ไปถ้าเทียบกับหยก  แต่ถ้าหยกใจตรงกับผมผมก็พร้อมที่ฟิตร่างกายให้พร้อมเสมอ”
    “หยกเองก็รักหมอค่ะ” แล้วหมอก็ดึงฉันเข้าไปกอด  นี่เป็นกอดครั้งแรกของฉัน  มันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย  รู้สึกเหมือนว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครมาทำร้ายฉันได้อีกแล้ว  แล้วเราสองคนก็ตกลงเป็นแฟนกัน  หมอดีกับฉันมาก  แต่ช่วงเวลาฝึกงานก็ผ่านไป  ฉันต้องมาเรียนในเทอมสุดท้ายที่หนักหนาสาหัส  แต่หมอก็คอยให้กำลังใจ  ดูแลฉันอย่างดี  นอกจากกอดแล้ว  หมอก็ไม่เคยล่วงเกินอย่างอื่นเลย  ตอนแรกฉันคิดไม่ออกว่าจะเอนทรานส์คณะอะไรดี  แต่หมอทำให้ฉันอยากเอนฯ เข้าคณะแพทย์  เพื่อที่เราจะได้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน  จะได้เจอกันบ่อยขึ้น  ช่วงนี้ฉันจึงต้องตั้งใจเรียน  ตั้งใจอ่านหนังสือเป็นพิเศษ  เพราะใกล้ช่วงสอบเอนฯ แล้ว
    “กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆ”
    เสียงโทรศัพท์ปลุกฉันให้ตื่น  ใครโทรมาป่านนี้เนี่ย  ตอนนี้เป็นเวลา สี่ทุ่ม  สงสัยฉันจะอ่านหนังสือจนหลับไป  แล้วใครกันนะที่โทรมาเนี่ย
    “ฮัลโหล  โยธกาพูดค่ะ”
    “คุณโยธกาเหรอค่ะ  มาหาคุณหมอที่ห้องหน่อยค่ะ  เพล้ง  ว้าย  คุณหมอ  เร็ว ๆ นะค่ะคุณโยธกา”
    อะไรกันยัยบ้าที่ไหนโทรมาบอกฉันให้ไปหาคุณหมอ  แต่เอ๊ะหรือว่าหมอจะเกิดเรื่อง  ว่าแล้วฉันก็รีบเดินทางไปยังบ้านพักหมอทันที
    “ก๊อกๆๆๆๆๆ”
    “เคาะตั้งหลายทีแล้วนะ  ทำไมไม่มีใครออกมาเปิดประตูสักทีนะ  เปิดเข้าไปล่ะกัน”
    แล้วฉันก็ตัดสินใจเข้าไป  เดินหาจนทั่วชั้นล่างแล้ว  ก็ยังไม่เจอหมอ  เหลือชั้นบน  ฉันจะขึ้นไปดีมั้ยนะ  ขึ้นก็ขึ้น  เพื่อหมอเป็นอะไร  ชั้นบนเป็นห้องโถงโล่งและมีชั้นหนังสือวางอยู่มากมาย  ฉันเคยมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นี่หลายครั้ง  มีห้องนอนเพียงห้องเดียว  เมื่อหมอไม่ได้อยู่ในห้องโถงก็น่าจะอยู่ในห้องนอน  ไปดูดีกว่า  ฉันกำลังจะเคาะประตูห้องนอนของหมอ  แต่เมื่อเห็นประตูแง้มอยู่จึงเปิดเข้าไป  และภาพที่ฉันได้เห็นคือภาพของหมอกำลังนอนคลอเคลียกับพี่พยาบาลคนนั้น  คนที่เพื่อนของฉันบอกว่าสงสัยจะชอบหมอ  และแล้วความฝันทั้งหมดของฉันก็พังทลายลง  ฉันจึงผลักประตูเพื่อให้คนทั้งสองรู้ตัว  และวิ่งหนีกลับไปที่บ้านของเพื่อนรัก
    “หยก  เป็นอะไรแกเล่าให้ฉันฟังหน่อยอย่าเอาแต่ร้องไห้สิเพื่อน”
    “ยาหมอหลอกฉัน  สุดท้ายฉันก็ถูกสาปเช่นเคย  ทำไมมันต้องกลายเป็นอย่างนี้ด้วยไม่เข้าใจเลย ฮือๆๆๆ”
    “เออ ๆ งั้นแกนอนที่บ้านฉันก่อนนะ  แล้วเราค่อยคิดกันอีกที”
    เช้าวันต่อมาหมอก็โทรมาหาฉันตามปกติ  เก่งมากนะยังทำตัวเหมือนเดิมได้ดีทีเดียว  แต่เสียใจฉันกดไม่รับสายและปิดเครื่องไปทันที  หมอก็ไม่ลดละ  โทรเข้าเครื่องเพื่อนฉันอีก
    “หยก  หมอโทรมาบอกว่าจะคุยกับแก”
    “ฉันไม่คุย  บอกว่าฉันไม่อยู่  ไม่ต้องมาสนใจฉัน” แต่เพื่อนตัวดีก็ยังเอาโทรศัพท์มาจ่อหูฉันไว้
    “หยก  คุยกันก่อนเรื่องเมื่อคืนคุณเข้าใจผิดนะ”
    “ผิดบ้าอะไร  ก็เห็นตำตาขนาดนั้น  ฉันไม่ได้โง่นะ”
    “เมื่อคืนผมเมามากเลย  ผมนึกว่าเป็นคุณ  หยกผมขอโทษ  ผมขอเวลารับรองว่าผมจะจัดการให้เรียบร้อย”
    “ไม่ต้องหรอกค่ะหมอ  หมอไปทำในสิ่งที่ถูกต้องดีกว่า  คิดซะว่าเราไม่เคยรู้จักกันเกินกว่าหมอกับนักศึกษาฝึกประสบการณ์นะค่ะ  ลาก่อนค่ะคุณหมอวันชัย” แล้วฉันก็กดวาง
    “เดี๋ยวก่อนซิหยก  หยก  โธ่เว๊ย”
    “หมอเป็นอะไรค่ะ  เสียงดังจัง  ปูตกใจหมดเลย”
    “คุณรู้มั้ยคุณทำอะไรลงไปคุณปูชนียา  ทำไมคุณต้องทำแบบนี้”
    “ก็ปูรักหมอ  ปูไม่อยากให้หมอเป้นของใคร  แม้แต่นังเด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้น” จบประโยคหมอตบหน้าหล่อนอย่างแรง
    “นี่หมอ  กล้าตบปูเหรอ  ปูเป็นเมียหมอนะ”
    “เมียเหรอ  เมียโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจนะสิ  คุณอย่าคิดนะว่าแผนนี้จะจับผมได้  ผมไม่เคยรักคุณปูชนียา  คนที่ผมรักคือหยก  ไม่ใช่คุณได้ยินมั้ย”
    “หมอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะยอมถอยเหรอ  ถ้าหมอไม่รับฉันเป็นเมียฉันจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าหมอข่มขืนฉัน  มอมเหล้าฉัน  ทำให้ฉันไม่มีทางสู้”
    “นี่คุณ”
    “แล้วอีกอย่างหมอคิดเหรอว่าถ้าหมอกลับไปหานังเด็กนั้นแล้ว  มันจะอภัยให้หมอนะ  เสียใจด้วยนะค่ะ  ยังไงซะคุณก็ต้องรับผิดชอบฉัน”
    เหตุการณ์เรื่องหมอทำให้ฉันตัดสินใจไม่เอนฯ คณะแพทย์เด็ดขาด  ฉันจึงเลือกในสาขาที่ฉันชอบ  จากเรื่องนี้ฉันคงเข็ดผู้ชายที่ทำงานแล้วไปอีกนาน 
    “เย้ดีใจจังเลย  ฉันเอนฯ ติดแล้ว  แกล่ะยาติดมั้ย”
    “ดีใจด้วยหยก  ฉันก็ติดเหมือนกัน”
    “งั้นวันนี้เราก็ไปฉลองกันดีกว่า”
    “โอเคงั้นที่เก่าเวลาเดิมนะจ๊ะ”
    ที่ร้านประจำของเรา  เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ  ริมแม่น้ำ  บรรยากาศตอนกลางคืนแบบนี้  ใครที่มากับแฟนคงจะโรแมนติกน่าดูเลยล่ะ  แต่สำหรับฉันแล้วมันเป็นสถานที่ที่สะเทือนใจมากเลย  แต่ทำไงได้ก็ฉันมันเป็นผู้หญิงที่ถูกพระเจ้าสาปไว้นี่นา  ว่าแต่ทำไมพวกเพื่อน ๆ ตัวดี  ถึงมากันช้านักนา
    “มาแล้วจ๊ะ”
    “ทำไมมาช้านักล่ะ” ฉันถามออกไปด้วยความไม่พอใจ
    “ก็มัวแต่ตระเวนรับสาว ๆ แต่ละคนอยู่นะสิ  กว่าจะครบทุกคน  และแต่ละคนก็แต่งตัวกันนานซะเหลือเกิน” ชายหนุ่มเพื่อนในกลุ่มบ่นให้ฟัง
    “หิวแล้ว  สั่งอาหารเลยดีกว่า  น้อง ๆ สั่งอาหารหน่อย”
    “วันนี้กินเต็มที่เลยนะพวกเรา  ไอ้หยกเลี้ยง”
    “ใครบอกแกว่าฉันเลี้ยง  หารกันก่อนเว้ย  เอาไว้ฉันมีงานทำเมื่อไหร่  เต็มที่เลย”
    “โห  อีกตั้งสี่ปีนะแก”
    “ใครรอได้ก็มา  ใครรอไม่ได้ก็ไม่ต้องมา  เอ้าอาหารมาแล้ว  กิน ๆ”
    หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนตามที่ที่ตนสอบติด  ใครที่อยู่ที่เดียวกันก็ได้เจอกันบ้าง  แต่ฉันไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเก่าเลย  วันนี้มหาวิทยาลัยของฉันเปิดเทอมเป็นวันแรก 
    “อุ๊ย  ขอโทษค่ะ” ฉันซุ่มซ่ามมากเลยเดินชนกับใครก็ไม่รู้
    “ไม่เป็นไรครับ  ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า” หน้าตาดีค่ะ  สูง  ขาว  พูดเพราะ  หุ่นดีสุดยอดเลยค่ะ  เทพบุตรมาโปรดเธอแล้วโยธกาเอ๋ย
    “ปะ..เปล่าค่ะ  ขอตัวนะค่ะ” ฉันรีบวิ่งไปอย่างที่ไม่เคยเร็วมาก่อน
    “อ้าว  ทำของหล่นนี่หว่า  คุณครับคุณลืมผ้าเช็ดหน้า  อ้าวไปซะแล้ว  โยธกา  ชื่อเพราะดีแฮะ”
    “ไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำดีกว่า  เอาอีกแล้วนะยัยโยธกาเป็นแบบนี้ทุกทีเจอคนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้” แล้วฉันก็ล้างหน้าเพื่อผ่อนคลายอารมณ์  ตายล่ะ  ผ้าเช็ดหน้าฉันหายไปไหน  ผืนที่ฉันรักที่สุดแน่เลย  ต้องเป็นตอนที่ชนกับสุดหล่อคนนั้นแน่เลย  ทำไงดีล่ะ  โอยทำไมซวยตั้งแต่วันแรกอย่างนี้นะ
    “ประกาศนะครับ  ขอให้นิสิตปีหนึ่งทุกคนไปรวมกันที่อาคารเฉลิมพระเกียรติในเวลานี้ด้วยนะครับ”
    ณ  อาคารเฉลิมพระเกียรติ
    “เอ่อคุณโยธกาครับ”
    “ค่ะ  เอ๊ะ  คุณรู้จักชื่อฉันได้ไง”
    “มันปักอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้าของคุณครับ  นี่ครับผมเอามาคืน”
    “ขอบคุณค่ะ  คุณ”
    “ผมภาชินัยครับ  เรียกผมว่านัยเฉย ๆ ก็ได้ครับ”
    “เฮ้  หยก” เสียงเพื่อนชายของฉันทัก
    “อ้าวเกม  แกมาอยู่นี่ได้ไงว่ะ”  มันคงไม่ได้ยินที่ฉันถามแต่มันกวักมือเรียกแล้ว  มารผจญจริง ๆ เลย
    “เอ่อ  ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ  เพื่อนเรียกแล้ว  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
    “ยินดีที่ได้รุ้จักเช่นกันครับคุณหยก”
    “ว่าไงไอ้เกมแกมาอยู่นี่ได้ไงว่ะ”
    “พอดีฉันเปลี่ยนย้ายมาเรียนที่นี่กะทันหันน่ะเลยไม่ได้บอกแก  ไงเซอร์ไพส์มั้ย”
    “มากเลยล่ะ  ดีเลยจะได้ไม่เหงามีแกมาอยู่ด้วย”
    “คงจะไม่ได้หรอกนะครับคุณโยธกาคนสวยเพราะกระผม  ต้องคอยดูแลเทคแคร์แฟน  ไม่ใช่มาคอยเป็นไม้กันหมาให้คุณนะครับ”
    “เออ  จำไว้เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนใช่มั้ย”
    “แน่นอนครับ  ฉันไปก่อนนะทิ้งฝนไว้คนเดียวนานแล้ว  คนนี้รักจริงหวังแต่งเว้ย”
    เพื่อนของฉันแต่ละคนต่างมีคนที่มันจริงจัง  จริงจังกับมันกันหมดแล้ว  เหลือแต่ฉันที่เตร่ไปวัน ๆ  ไหนว่ามีฉันหน้าตาดีที่สุดแล้วไงทำไมฉันไม่เจอคนที่ใช่สักทีนะ  เฮ้อ
    “ว่าไงครับนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว” โอ้  พ่อเทพบุตรสุดหล่อ
    “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแหละค่ะ”
    “ผมนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”
    เขาชวนฉันคุยต่าง ๆ นานาเลยล่ะ  ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนคุยเก่งและสนุกสนานขนาดนี้  เขาทำให้ฉันคลายเหงาไปได้เลยล่ะ 
    “ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณนะครับหยก” เขาบอกกับฉันก่อนที่จะไป
    “ได้สิค่ะ  แหมนัยน่ารักออกใครจะไม่อยากคบด้วยจริงมั้ย” เขายิ้มให้ฉันก่อนจากไป
    และแล้วฉันกับนัยก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันชนิดที่ว่ามีนัยที่ไหนต้องมีหยกที่นั่น  เราจะมาที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน  และกลับด้วยกัน  ใครที่มาว่าอะไรให้ฉันนัยจะคอยปกป้องเสมอมา  จนวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเดินทางกลับบ้านกับนัย  มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาคุยกับฉัน
    “น้องหยกครับ  พี่ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” หล่อค่ะ  ที่สำคัญเป็นดาวคณะฉันเองค่ะ”
    “แป็บนะนัย  เดี๋ยวหยกมา”
    “งั้นเรานั่งรอตรงนี้นะ  มีอะไรไม่ชอบมาพากลร้องดัง ๆ เลยนะ”
    “จ๊ะ”
    “น้องหยกครับคือพี่ชอบน้องหยก  คบกับพี่ได้มั้ยครับ”
    “มันไม่เร็วไปเหรอค่ะ  อีกอย่างหยกยังไม่รู้จักพี่มาร์ชดีพอเลย  ขอเวลาสักหน่อยนะค่ะ”
    “แสดงว่าน้องหยกจะให้เวลาเราสนิทกันใช่ไหมครับ”
    “ค่ะ  น่าจะได้เรียนรู้กันก่อน  ก่อนตัดสินใจนะค่ะ”
    “ครับ  ขอบคุณครับ  เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
    “อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะหยกมากับเพื่อนอีกคนนึง  เดี๋ยวเขาจะรอค่ะ”
    “งั้นวันหลังห้ามปฏิเสธนะค่ะ”
    “งั้นหยกขอตัวนะค่ะ”
    “แล้วเจอกันครับ  บาย”
    “มาแล้วจ๊ะ”
    “นานจังเลย  เกือบตามไปดุแล้วนะเนี่ย  มีอะไรเหรอยิ้มมาเชียว  อย่าบอกนะว่าพี่ดาวคณะมาสารภาพรัก”
    “ทำไมนัยเก่งอย่างนี้ล่ะ  ใช่แล้วพี่เขามาสารภาพรักกับเรา”
    “เหรอ  แล้วหยกตอบว่าไงล่ะ” ฉันรู้สึกว่าสีหน้านัยตอนนั้นสลดลงไปมาก  แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
    “เราก็เออนะ  ลองคบดูก้ไม่เสียหายอะไร  ว่ามั้ยน .. อ้าวไปซะแล้ว” นัยเดินหนีเราเฉยเลย
    “นี่ทำไมรีบเดินนักล่ะ  ไม่รอเราเลยนะ”
    “หลังจากนี้ต่อไปเราคงไม่ต้องไปรับไปส่งหยกแล้วล่ะเนอะ  เพราะคงจะมีพี่คนนั้นคอยดูแลอยู่แล้ว”
    “ไม่เห็นเป็นไรเลย  ไปด้วยกันก็ได้นี่”
    “ไม่ล่ะเราไม่อยากเป็น  กอขอคอ  ของใคร  งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ”
    “เป็นอะไรของเค้านะ”
    ความรักของฉันกับพี่มาร์ชดำเนินไปด้วยดี  พี่เขาคอยไปรับไปส่ง  เอาอกเอาใจทุกอย่าง  ฉันกลายเป็นหญิงสาวที่หลายคนอิจฉา  แต่เหมือนว่าฉันใกล้กับพี่มาร์ชเท่าไร  ยิ่งไม่ได้เจอกับนัยเท่านั้น  พอไม่เจอนัยเหมือนมันขาดอะไรไปหลายอย่างในชีวิตเลยล่ะ  ฉันคบกับพี่มาร์ชมาสามเดือนได้มั้ง  สงสัยคำสาปจะเริ่มสำแดงฤทธิ์อีกแล้ว
    “พี่มาร์ชค่ะวันนี้ไม่ต้องไปส่งหยกก็ได้นะ”
    “อ้าว  ทำไมล่ะ”
    “พอดีวันนี้เป็นวันเกิดนัยนะค่ะ  หยกจะไปฉลองกับเค้าสักหน่อย”
    “เดี๋ยวนี้หยกเห็นไอ้จืดนั้นสำคัญกว่าพี่เหรอ”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นนะค่ะ”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหน  ถ้าเห็นมันสำคัญนัก  ก็ไปคบกับมันเลยสิ”
    “นี่พี่มาร์ชไม่มีเหตุผลเลยนะ”
    “ว่าพี่ไม่มีเหตุผลใช่มั้ย” พูดจบพี่มาร์ชก็ก้มลงมาจูบฉันด้วยความป่าเถื่อน
    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” นัย พอได้สติฉันรีบออกไปยืนหลบหลังนัยทันที
    “มึงมาเสือกทำไมไอ้จืด  แฟนเขากำลังเคลียร์ปัญหากันอยู่”
    “แต่ที่พี่ทำอยู่มันไม่ให้เกียรติหยกเลยนะ”
    “ทำไมก็นี่มันแฟนกู”
    “พอเถอะค่ะ  พี่มาร์ชขอบคุณนะค่ะ  สำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่ผ่านมา  แต่หยกคงทนคบกับพี่มาร์ชต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ  เราเลิกกันเถอะ”
    “เออ  กูรอคำนี้มานานแล้ว  นึกว่ากูพิศวาสมึงนักเหรอ” พูดจบแล้วพี่มาร์ชก็จากไป
    “ไม่เสียใจเหรอที่บอกเลิกพี่มาร์ชไปอย่างนั้น”
    “ไม่หรอก  จะเสียใจมากกว่าถ้าเลือกพี่มาร์ชแล้วไม่ได้ไปงานวันเกิดใครบางคน”
    “ใช่สิ  ลืมสนิทเลย  งั้นเราไปฉลองกัน”
    มิตรภาพของฉันและนัยกลับมาอีกครั้ง  นัยเป็นผู้ชายที่วิเศษมากสำหรับฉันตอนนี้  เวลาที่ฉันอยู่กับนัยฉันมีความสุขมาก  มากจนไม่อยากให้เวลามันผ่านเลยไปเร็ว  แต่เวลาที่ฉันเป็นทุกข์นัยก็ช่วยปลอบใจจนฉันไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์หลงเหลืออยู่เลยล่ะ  เรื่องที่ฉันเอามาปรึกษานัยบ่อยที่สุดคงจะเป็นเรื่องอกหัก  เรื่องที่ดีใจที่ฉันเอามาเล่าให้นัยฟังก็คือ  ฉันชอบคนนั้นมากเลยนัยช่วยติดต่อให้หน่อยสิ  ไม่งั้นก็  พี่คนนั้นมาบอกรักเราด้วย  เราจะคบกับเขาดีมั้ย  แต่แปลกมีเรื่องที่เราไม่เข้าใจนัยเลยคือเวลาเรามีเรื่องดีใจแบบนี้  นัยไม่ค่อยยิ้มเลย  แต่พอเวลาเราอกหักมานัยจะยิ้มหน้าบานเลยล่ะ  ฉันจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษายาเพื่อนรัก  มันเลยบอกฉันว่านัยชอบฉัน  แต่ฉันไม่เชื่อเพราะฉันสนิทกับนัยมากจนไม่มีความรู้สึกแบบนั้นมั้ง 
    “ถ้าแกไม่เชื่อฉันนะ  งั้นต้องพิสูจน์”
    “พิสูจน์ยังไง”
    ไอ้ยามันบอกให้ฉันคบกับรุ่นพี่ที่มาชอบดูว่านัยจะมีปฏิกิริยาอย่างไร  และผลมันก็สรุปออกมาว่านัยชอบฉัน  มันเลยวางแผนให้นัยยอมบอกรักฉัน  ไม่รู้จะเป็นยังไงเนี่ย
    วันนี้เป็นวันที่จะลงมือตามแผน  นัยนัดฉันมาที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยตามที่ยัยยาบอก  ฉันมาแล้วและนัยกำลังนั่งรออยู่  ฉันกำลังจะเข้าไปแล้วนะนัยแต่
    “สวัสดีค่ะพี่นัย”
    “น้องรู้จักพี่ได้ไงครับ”
    “ทำไมจะไม่รู้ละค่ะก็พี่นัยที่อยู่ปีสาม  คือหนูมีเรื่องอยากจะสารภาพค่ะ”
    “เรื่องอะไรล่ะครับ”
    “คือหนูชอบพี่นัยค่ะคบกับหนูได้มั้ยค่ะ”
    “คือ..พี่”
    “พี่นัยยังไม่มีแฟนใช่ไหมค่ะ”
    “ก็ทำนองนั้นครับ”   
    “งั้นตกลงคบกับหนูนะค่ะ”
    “ลองดูก็ได้ครับ” อ้าวเฮ้ย  ไงเป็นงี้แผนที่จะให้นัยบอกรักฉัน  กลับกลายเป็นยัยหนูปีหนึ่งนี่เป็นแฟนกับนัยเฉยเลย  ทำไมฉันถึงลุ้นให้นัยปฏิเสธเด็กคนนั้นไปนะ  แต่พอนัยตอบรับทำไมฉันรู้สึกแปลก ๆ ล่ะ  ช่างมันเถอะลืม ๆ ไปซะ
    จากเหตุการณ์วันนั้น  จากที่เคยเจอกันทุกวัน  ก็ไม่ได้เจอ  เวลาไม่มีนัยอยู่ทำไมมันถึงได้เหงาอย่างนี้นะ  เมื่อไรจะเลิกกันสักทีนะ  เฮ้ย  นัยกับน้องคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นนี่  ตายล่ะ  ทำไงดีหนีสิ
    “โอ๊ย  ขอโทษค่ะ” เอาอีกแล้วเดินไม่ดูตาม้าตาเรืออีกแล้ว
    “ว่าไงจ๊ะน้องหยกคนสวย”
    “พี่มาร์ช”
    “รีบไปไหนเหรอจ๊ะ  รีบมาหาพี่รึเปล่า  อ้าวไอ้จืดนั่นไม่มาด้วยเหรอ  งั้นไปกับพี่นะ”
    “ไม่  ไม่ไปนะ  อย่ามายุ่งกับฉัน  ไม่งั้นฉันร้องจริง ๆ นะ”
    “ร้องเหรอ  นี่” เขาต่อยเข้าที่ท้องน้อยของฉัน  แล้วฉันก็ไม่ได้สติ
    “หยุดนะ  ปล่อยหยกเดี๋ยวนี้”
    “กูไม่ปล่อย  มึงจะทำไมไอ้หน้าจืด”
    “ไม่ปล่อยใช่มั้ยงั้นเจอดี”
    “โอย  ที่นี่ที่ไหนเนี่ย  เฮ้ยนัย”
    “นอนลงไปเลย  ไม่ต้องลุกขึ้นมา”
    “มาได้ไงเนี่ย  แล้วแฟนนายล่ะ”
    “ไหนคนไหน  เราไม่มีแฟน  แต่ถ้าจะมีก็คงเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนี้แหละ”
    “มั่วแล้ว  ก็เราได้ยินนัยตกลงคบกับน้องคนนั้นนี่”
    “อ๋อ  ฟังก็ฟังไม่จบ  เราบอกว่า  ลองดูก็ได้ครับ  แต่ต้องรอให้พี่สารภาพรักกับผู้หญิงคนหนึ่งก่อนนะ  แล้วน้องเขาเลยถามว่าใคร  แล้วเราก็นั่งคุยกันรอผู้หญิงคนนั้นไง”
    “อ้าว  เป็นงั้นไป  ก็เห็นช่วงนี้นัยกับน้องเขาสนิทกันนี่ก็นึกว่า”
    “ก็เรากับน้องเขาเป็นพี่น้องกันก็คุยกันเป็นธรรมดา  แล้วเราก็นึกว่าหยกไม่อยากเจอเราเราเลยไม่ไปเจอ”
    “ยังงี้หรอกเหรอ”
    “หยกใจร้ายจังเลยไม่ไปหาเราตามนัดเลย  เรารอตั้งนาน”
    “ขอโทษนะ”
    “หยก  เรามีเรื่องอยากจะบอก  เรารักหยกนะ  รักมานานแล้วด้วย  เป็นแฟนกับเรานะ”
    “แน่ใจเหรอ”
    “แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีก”
    “งั้นก็ตกลงค่ะคุณภาชินัย  คุณต้องสัญญาว่าจะรักคุณโยธกาไปจนวันตาย”
    “สัญญาครับว่านายภาชินัยคนนี้จะรักคุณโยธกาไปจนวันตายแน่นอน” สงสัยนัยจะต้องเป็นคนที่มาถอนคำสาปของฉันแน่เลย  หวังว่าเธอคงไม่จากไปเหมือนคนอื่นนะ
    ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่ฉันจะต้องทนเรียนอย่างหนักหนาสาหัส  แต่ปีนี้ก็เป็นปีที่แปลกเช่นกัน  นัยคือคนที่เปลี่ยนไป  ช่วงนี้นัยไม่ให้ฉันไปที่บ้าน  ไม่ค่อยคุยกับฉัน  เหมือนนัยพยายามทำตัวห่างฉันตลอดเวลาเลย  ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องเป็นแบบนี้ด้วย  แบบนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง
    “นัย  คุยกับหยกก่อน  นัยเป็นอะไร  ทำไมต้องหลบหน้าหยกด้วย”
    “เปล่านี่  หยกคิดมากไปรึเปล่า  นัยก็เหมือนเดิม”
    “ถ้าเหมือนเดิม  งั้นวันนี้ไปฉลองกันนะ  ไปทานข้าวกับหยกหน่อย  หยกไม่ได้ทานข้าวกับนัยมาหลายวันแล้วนะ  ไปทานอาหารที่นัยชอบก็ได้”
    “เอ่อ  คือเรามีโปรเจ็คที่ต้องเร่งทำ  เอาไว้วันหลังนะหยกนะ”
    “นัยเปลี่ยนไปจริง ๆ ด้วย  ก็ได้  ถ้าไม่อยากไปกับหยกก็ไม่ต้องไป  งั้นไม่ต้องมาหา  ไม่ต้องมาพูดกันอีกเลยนะ  หยกจะลืมว่าเคยรู้จักกับนัย”
    “หยก  เดี๋ยว” จะเปลี่ยนใจไปกับเราแล้วใช่มั้ยล่ะ 
    “นัยขอโทษ” แล้วนัยก็เดินจากไป
    ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย  สุดท้ายนัยก็เป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นเหรอ  มันไม่ใช่ความจริงใช่ไหม
    1  เดือนผ่านไป  1  เดือนเต็ม ๆ ที่ฉันไม่ได้เจอกับนัยเลย  จนกระทั่ง
    “หยกดูนี่สิ” เสียงยาเพื่อนรักส่งสิ่งหนึ่งให้ฉันดู  มันเป็นพัสดุที่จ่าหน้ามาถึงฉัน  จากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้  แต่นามสกุลเหมือนนัยเลยล่ะ
    “เปิดดูสิแก”
    ในพัสดุกล่องนั้นมีจดหมาย  1  ฉบับ  มี  Diary 1 เล่ม  มีเทปม้วนนึง  ฉันเลือกหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านก่อน
    “ถึงคุณโยธกา  ฤทธินานนท์  ดิฉันชื่อภรินี  เป็นแม่ของนัย  ที่ดิฉันเขียนจดหมายมาหาคุณ  เพราะทราบมาว่าคุณคือแฟนของตานัย  งั้นดิฉันขอแทนตัวเองว่าแม่  และเรียกหนูว่าหนูหยกล่ะกันนะ  หนูคงแปลกใจที่แม่เขียนจดหมายมาหาหนูทำไม  แม่อยากให้หนูเดินทางมาที่นี่หน่อย  (มันเป็นที่อยู่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง)  แม่เขียนที่อยู่มาให้หนูแล้ว  ที่จริงตานัยไม่ให้แม่บอกกับหนู  แต่แม่ทนเห็นตานัยทนทรมานไม่ได้อีกแล้ว  ตานัยคิดถึงหนูทุกวัน  เพ้อถึงหนูทุกคืนเชียวนะ  แม่ลืมบอกไปตานัยป่วยหนัก  ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้ายแล้ว  ไม่มีทางที่จะรักษาหาย  แม่อยากให้หนูมาเยี่ยมตานัยหน่อย  อย่างน้อยสักวันก็ยังดี  ถือว่าแม่ขอร้องนะค่ะ  มาดูใจตานัยเป็นครั้งสุดท้ายหน่อย  ถ้าหนูยังโกรธตานัยอยู่แม่ก็ขอโทษแทนด้วยล่ะกัน  แม่จะรอหนูอยู่ที่นี่กับตานัยจนกว่าหนูจะมานะค่ะ
                                ภรินี”
    และฉันก็หยิบ  Diary  เล่มนั้นมาอ่าน  ข้างในเป็นลายมือของนัยทุกหน้า  ทุกบรรทัด  แต่ละหน้าเขาจะมีคำว่าองค์หญิงกับองครักษ์เสมอ
    “วันนี้เป็นวันที่เปิดเรียนวันแรกที่มหา’ลัย  ผมชนกับองค์หญิงพระองค์หนึ่ง  พระองค์ทำผ้าเช็ดหน้าหล่น  และกระผมก็ได้เจอเธออีกครั้งเพื่อเอาผ้าเช็ดหน้าคืนเธอ  ผมได้แต่หวังไว้ในใจว่าวันนึงผมจะได้เป็นองครักษ์คุ้มครองเธอไปจนชั่วนิจนิรันดร์  นัย”
    “วันนี้มีเจ้าชายจากเมืองหนึ่งมาสารภาพรักกับองค์หญิง  และองค์หญิงก็ตอบรับ  เธอคิดถูกแล้วที่เลือกคนที่เหมาะสมกับเธอ  ไม่ใช่องครักษ์ต้อยต่ำอย่างผม  ขอให้องค์หญิงมีความสุขมาก ๆ  ส่วนผมจะคอยมององค์หญิงห่าง ๆ  แต่จะไม่ไปไหนไกลจากองค์หญิงเด็ดขาด  นัย”
    “วันนี้เจ้าชายรังแกองค์หญิง  องครักษ์อย่างผมก็เข้าไปปกป้องอยู่แล้ว  ผมดีใจที่องค์หญิงออกมาจากเจ้าชายนิสัยแย่คนนั้นเสียที  และผมก็จะได้ปกป้องพระองค์ต่อไป  นัย”
    “วันนี้เป็นวันที่องครักษ์อย่างผมจะได้บอกรักกับองค์หญิงเสียที  แต่องค์หญิงไม่มา  องค์หญิงคงไม่ได้มีใจให้กระผม  ตามที่กระผมหวังไว้  ต่อจากนี้ไปองครักษ์คนนี้คงจะต้องได้เพียงแต่ดูแลองค์หญิงห่าง ๆ เท่านั้น  นัย”
    “วันนี้องค์หญิงถูกคนรังแกอีกแล้ว  องครักษ์อย่างผมจึงต้องเข้าไปปกป้องเธอ  และมันทำให้ผมได้มีโอกาสบอกองค์หญิงว่ากระผมนั้นรักองค์หญิงมากเพียงใด  และที่สำคัญองค์หญิงก็รักกระผมเช่นกัน  ผมสัญญาว่าองครักษ์ต่ำต้อยคนนี้จะดูแล  ปกป้องคุ้มครอง  และรักองค์หญิงตราบสิ้นลมหายใจขององครักษ์คนนี้เลยก็ว่าได้  ให้สมกับที่องค์หญิงทรงรักกระผม  นัย”
    “วันนี้เป็นวันที่ผมไม่อยากไปพบองค์หญิงมากที่สุด  ไม่ใช่เพราะผมโกรธเธอ  แต่ผมโกรธตัวเอง  ที่อีกไม่นานกระผมก็จะต้องตาย  และไม่สามารถที่จะดูแลเธอตามที่ให้สัญญาเอาไว้ได้  ผมป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว  อีกไม่นานก็คงจะต้องตาย  ผมไม่อยากให้เธอรู้  ผมไม่อยากเห็นเธอเสียใจ  แต่การที่ผมต้องทำเป็นไม่สนใจเธอ  ผมรู้ว่าเธอก็คงเสียใจ  แต่ผมก็เสียใจไม่แพ้เธอเช่นกัน  ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงผมขอสักครั้งก่อนตายให้ผมได้พูดกับเธอ  ผมอยากให้เธอรู้ว่าผมรักเธอมากเพียงใด  นัย”
    บันทึกถึงเพียงเท่านี้  มันทำให้ฉันน้ำตาร่วงเลยทีเดียว  ฉันไม่นึกเลยว่าจะมีผู้ชายที่รักฉันมากขนาดนี้  ทำไมฟ้าต้องเล่นตลกกับฉันด้วย  ทำให้ฉันได้มาเจอรักแท้  เจอกับคนที่รักฉันจริง  แล้วทำไมจะต้องเอาเขาไปจากฉันด้วย  สวรรค์ใจร้าย  ฉันยังไม่ได้บอกกับนัยเลยว่าฉันรักนัยเช่นกัน
    เหลือเทปอีกม้วนนึง  ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาฟัง
    ในเทปม้วนนั้นมีเพลงคนสุดท้ายของอัสนี วสันต์
    “สวัสดีจ๊ะหยก  นี่นัยเองนะ  นัยมีเพลงนึงอยากให้หยกฟังมากเลยล่ะ  ตั้งใจฟังนะ”
    “ไม่เคยมีใจให้ใครมาก่อน 
ไม่เคยอ่อนให้ความรักเลย 
จะมีใคร ๆ มากมายคุ้นเคย 
แต่ไม่เคยมีใครอย่างเธอ 
ฉันเคยบอกกับเธอรึยัง 
ว่าเธอมีความหมายเพียงใด 
กับคนที่ใจมันด้านชา 
ฉันเคยบอกกับเธอรึยัง 
จากวันนี้และทุกเวลา 
จะมีแต่คำว่ารักเธอ 
จากฉันคนเดิม  จากรักไม่เป็น 
จะขอเป็นคนที่รักเธอยิ่งกว่าคนไหน ๆ 
จากนี้คือเธอ  จากนี้จนวันตาย 
เธอคือสุดท้ายของทั้งชีวิตและหัวใจ”
    “ฟังจากเพลงแล้วหยกน่าจะรู้นะว่านัยคิดยังไงกับหยก  บางทีนัยอาจจะไม่มีโอกาสบอกหยกด้วยตัวของนัยเอง  แต่ไม่ว่าจะบอกหยกด้วยอะไรแต่มันก็ออกมาจากใจนัยเช่นกันนะ  นัยอยากบอกหยกว่า  นัยรักหยก  และจะรักตลอดไป  นัยขอโทษที่ไม่อาจทำตามสัญญา  แต่นัยอยากให้หยกรู้ว่าหยกจะเป็นคนสุดท้ายของชีวิตและหัวใจของนัยเลย”
    ณ  โรงพยาบาล
    “สวัสดีค่ะคุณแม่  เดี๋ยวคุณแม่ไปพักผ่อนนะค่ะ  ทางนี้เดี๋ยวหยกจะดูแลเองค่ะ”
    “ขอบใจมากนะลูก”
    “ขอโทษนะครับ  เราขอตัวคนไข้ไปเข้าห้องผ่าตัดนะครับ  ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว  ต้องรอดูครับ”
    5  ชั่วโมงผ่านไป
    “หยก” เสียงนัยเรียกฉัน  การผ่าตัดสำเร็จแล้ว  ไม่รอช้าฉันวิ่งเข้าไปกอดนัยทันที
    “ดีใจจัง  หยกนึกว่าจะไม่ได้คุยกับนัยอีกซะแล้ว”
    “ได้คุยสิ  เนี่ยเห็นมั้ยนัยแข็งแรง  ไม่เป็นอะไรเลย” เรานั่งคุยกันอยู่นานมาก  คุยให้สมกับที่เราไม่ได้เจอกันเป็นเดือน 
    “แสงอะไรนะ  แสบตาจัง”
    “ถึงเวลาที่นัยจะต้องไปแล้วล่ะ”
    “หมายความว่าไงที่ว่านัยจะต้องไปแล้ว  นัยไม่อยู่กับหยกเหรอ  นัยไม่รักหยกแล้วใช่มั้ย”
    “ไม่ใช่  นัยยังรักหยกเสมอ  แต่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้  สัญญานะว่าหยกจะไม่ร้องไห้  จะไม่เสียใจ  นัยขอมอบแหวนวงนี้ให้กับหยก  เมื่อไรที่คิดถึงนัยให้มองแหวนวงนี้นะ  ใส่มันติดตัวแล้วหยกจะรู้ว่านัยอยู่กับหยกตลอดเวลา  ขอบคุณสวรรค์ที่ได้ยินคำขอร้องของนัยทำให้นัยได้มาพบหยกอีกครั้ง  แค่ให้นัยได้มาบอกรักหยกแค่นี้นัยก็มีความสุขแล้วล่ะ  นัยอยากให้หยกรู้จากปากของนัยเอง  ว่านัยรักหยกนะ  ผมนายภาชินัยจะรักนางสาวโยธกาตลอดไป”
    “นัย นัย  เดี๋ยว  อย่าเพิ่งไป  ฟังหยกก่อน  หยกจะไม่ยอมให้นัยไป  แลกด้วยอะไรก็ยอม”
    “ไม่ได้นะ  หยกจะต้องอยู่อย่างมีความหวังนะ  สักวันหยกจะต้องเจอกับรักที่สดใสกับใครที่จะดูแลหยกได้ทั้งชีวิต  สักวันหยกจะได้เจอ”
    “ไม่หยกไม่อยากเจอใครทั้งนั้น  หยกอยากเจอนัยคนเดียว  ขอร้องเถอะค่ะ  พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดอย่าเอาชีวิตนัยคนรักหนูไปเลย  นัยอย่าไปนะ”
    “หยก  นัยคงต้องไปแล้วดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
    “นัย  หยกไม่เคยบอกนัยเลย  หยกก็รักนัยเหมือนกัน  รักมากด้วย  นัยใจร้าย”
    “ขอบคุณครับที่รักผม  แต่ผมคงต้องไป  อย่าลืมนะผมจะอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ ลาก่อน” แล้วภาพนัยก็จางไปจากฉันช้า ๆ
    “ได้โปรดเถอะค่ะท่านพระผู้เป็นเจ้า  เกิดมาชาตินี้หนูไม่เคยอ้อนวอนพระองค์สักครั้ง  ถึงแม้พระองค์จะกลั่นแกล้งหนูสารพัด  หนูขอร้องเถอะนะค่ะ  ได้โปรดส่งคืนภาชินัยคนรักของหนูกลับคืนมาเถิด  พระผู้เป็นเจ้า  ไหนว่าท่านจะคอยช่วยมนุษย์โลกไงละ  ทำไมหนูขอร้องแค่นี้ให้หนูไม่ได้หรือ”
    “เจ้าแน่ใจแล้วเหรอสาวน้อย  ว่าเจ้าอยากให้ผู้ชายคนนี้ฟื้นขึ้นมา  เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าเขาคือคนรักของเจ้า”
    “แน่ใจค่ะ  หนูแน่ใจว่าเขาเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิตของคนที่ไม่มีอะไรอย่างหนูค่ะ  ถ้าขาดนัยไปหนูคงเหมือนคนที่ขาดแขน  ขาดขา  เหมือนคนตาบอด  อยู่ไปก็ไม่มีความสุขเหมือนเดิม”
    “ถ้าเจ้าแน่ใจข้าก็จะให้  แต่เจ้าจะไม่มีสิทธิ์มาอ้อนวอนอะไรจากข้าอีกแล้วนะ”
    “ค่ะ  ขอบคุณท่านพระเป็นเจ้าค่ะ”
    “โอย  เจ็บไปหมดเลย” เสียงใครคนหนึ่งปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์
    “นัย  นัยฟื้นแล้ว  คุณฟื้นแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย  คุณจริง ๆ ด้วย”
    “ครับ  ผมฟื้นแล้ว  หยกหายโกรธนัยแล้วเหรอ”
    “อะไร  หยกไม่เคยโกรธนัยสักหน่อย  แต่ถ้านัยไม่ฟื้นขึ้นมาหยกจะโกรธนัยจริง ๆ ด้วย”
    “เข้ามาใกล้ ๆ นัยหน่อย  อยากกอดหยกให้หายคิดถึง”
    นัยกอดฉันไว้เหมือนกลัวจะหายไป  ฉันก็กอดนัยไว้เช่นกัน  เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเช้า
    1  ปีผ่านไป
    วันนี้จะเป็นวันที่ฉันจะพ้นคำสาปแล้ว  เพราะอะไรนะเหรอ  วันนี้ฉันจะแต่งงาน  ฉันนางสาวโยธกา  ฤทธินานนท์  อายุ  25  ปี  จะเข้าพิธีมงคลสมรสกับนายภาชินัย  สุทธิเกษม  อายุ  25  ปี  แล้วล่ะ  สิ้นสุดกันทีความรักหลอกลวงที่ผ่านมา  เพราะฉันเจอแล้วผู้ชายที่ฉันจะรักเป็นคนสุดท้าย  และเขาก็รักฉันเป็นคนสุดท้ายเช่นกัน
    “ผมสัญญาว่าผมจะรักและดูแลคุณโยธกาตราบชั่วชีวิตของผม”
    “ดิฉันก็จะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณภาชินัยตราบชั่วชีวิตเช่นกันค่ะ”
    “ให้เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาว”
    หลังคุณพ่อกล่าวนัยก็หอมแก้มของฉัน  นี่คงเป็นการถอนคำสาปของฉันแล้วล่ะนะ
*******จบบริบูรณ์*******
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น