โลกสมัยใหม่ค่านิยมเรื่องสิทธิสตรีกำลังมาแรงเหลือเกิน ผู้หญิงพยายามเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ อันพึงมีให้เทียบเท่าผู้ชาย ผู้ชายทำอะไร มีอะไร ผู้หญิงต้องมีต้องทำได้เท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่งั้นไม่ยอม
โลกตะวันตกแต่เดิมนั้นผู้ชายกดขี่ผู้หญิงในทุกสถานภาพ ทุกสถานการณ์ รวมไปถึงเรื่องเพศ สังคมไทยผู้ชายมีเมียหลายคนเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่สังคมฝรั่งแต่ไหนแต่ไรมีเมียได้คนเดียว.. ดังนี้ก็จริงอยู่ แต่สังคมไทยเมียกี่คน ๆ ผัวต้องเลี้ยงดูออกหน้าออกตาหมด ในขณะที่ฝรั่งเมียเก็บเมียเล็กเมียน้อยมีออกมากมาย แต่ไม่ยอมเลี้ยงออกหน้าออกตากันอย่างของไทย
นี่แสดงว่าฝรั่งกดขี่ผู้หญิงมากกว่าคนไทย วาทะ “ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน” ก็ได้คนไทยใจฝรั่งนี่แหละที่พูดออกมา คนไทยแต่เดิมไม่มีใครเขาคิดอย่างนี้กัน
ผู้หญิงฝรั่งปัจจุบันเรียกร้องให้ผู้ชายมีเมียได้คนเดียว หรือหากผู้ชายมีเมียน้อยได้ ตนก็มี “ชู้” ได้เช่นเดียวกัน สิทธิสตรีอันนี้จึงเกือบจะกลายเป็นสิทธิในการมีชู้ไปในบางขณะ ทั้งที่ควรใช้สิทธิเพื่อเรียกร้องให้ “ผู้ชาย” ลดความเจ้าชู้ลง ไม่ใช่เรียกร้องให้ตัวเองมีชู้ได้
ผู้หญิงยุโรปเริ่มเรียกร้องสิทธิสตรีกันในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเริ่มต้นจากแรงงานภาคเกษตรแห่กันเข้าเมืองเพื่อทำงานภาคอุตสาหกรรม (ฝรั่งเขาเป็นมานานแล้ว แต่เมืองไทยเพิ่งเป็น) แรงงานเด็กและสตรีถูกกดขี่เป็นอย่างมาก จนในที่สุดก็มีการเรียกร้องสิทธิสตรีอย่างรุนแรงลุกลามไปทั่วยุโรป
ปัจจุบันทางยุโรปเขาปฏิบัติกันได้เป็นอย่างดี ผู้ชายไม่เอาเปรียบผู้หญิง ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องเอื้อเฟื้อต่อผู้หญิงเช่นเดียวกัน งานบ้านต้องแบ่งกันทำ ของใช้ ? คุณซื้ออะไรคุณก็จ่ายเองซิ
ถึงเป็นผัวเมียกันก็เหอะ และอะไรอีกมากมายที่สังคมไทยไม่มีทางยอมรับกันได้
ในทางตรงกันข้าม สังคมไทยดูเหมือนผู้หญิงได้สิทธิมากกว่าผู้ชายเสียอีก โหนรถเมล์ ผู้ชายไม่ลุกให้จะรู้สึกผิดอยู่ในใจ กระดากอยู่ในใจ ผู้หญิงก็จะมองแบบหมิ่น ๆ อยู่ในใจเช่นเดียวกัน “หนอย.. ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย” ถ้าลุกให้ก็จะถูกมองอย่างชื่นชม พร้อมป้าย “โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา” (ลองไปเมืองฝรั่งแล้วลุกให้คนแก่นั่ง ดีไม่ดีถูกด่าเอาด้วย หาว่าดูถูกว่าไร้ความสามารถ)
ส่วนสิทธิอื่นใดที่ผู้ชายได้มาแต่เดิม ปัจจุบันผู้หญิงก็หักหาญเอาด้วย “ฉันก็ทำได้ย่ะ” แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ผู้ชายก็ทำงานสวน ผู้หญิงทำงานบ้าน เอื้อเฟื้อต่อกันเป็นอย่างดี ผู้ชายเอาเปรียบผู้หญิงจะถูกหาว่าเป็นแมงดา เพราะสังคมถือยังถือว่า “ผู้ชายต้องดูแลผู้หญิง” แม้ผู้หญิงเองก็ภูมิใจใช่น้อยเวลาที่ได้บอกใครต่อใครว่า “ผัวฉันเลี้ยงดูฉันดีขนาดไหน” ไม่เห็นมีใครโกรธที่สามีเลี้ยงดูกันสักคน
ผู้ชายในสังคมไทยมีหน้าที่ทำงานนอกบ้าน หาเงินให้เมีย ส่วนเมียทุกคนมีหน้าที่ทำงานบ้าน ใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ควร และปรนนิบัติสามี สังคมไทยก็อยู่เป็นปกติสุขมาโดยตลอด ผู้หญิงไม่เคยรู้สึกว่าถูกกดขี่ ผู้ชายก็ยกฐานะ “แม่บ้าน” ให้เมีย นั่นคือ เมียหลวงมีหน้าที่ควบคุมดูแลไพร่ทาส รวมไปถึงเลี้ยงดูลูกที่เกิดจากเมียทุกคน (ซึ่งร่วมสามีกับเธอ) แล้วยังถือครองสิทธิดูแลบรรดาเมีย ๆ ทั้งหลายด้วย
สำนวน “ช้างเท้าหลัง” ของไทย ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายทำตามคำสั่งสามี หากแต่หมายถึง ช้างทั้งตัวจะมีแต่เท้าหน้าหรือเท้าหลังไม่ได้ แต่ต้องมีครบทั้งหน้าและหลัง ช้างยามเยื้องกรายไปนั้น เท้าหน้าจะต้องฝ่าขวากหนาม บุกป่าฝ่าดงไปก่อน แล้วเท้าหลังมีหน้าที่ดันเท้าหน้าให้เคลื่อนที่ต่อไปได้ เหมือนอย่างครอบครัวนี่แหละ ผู้ชายต้องออกไปเผชิญปัญหาอุปสรรคนอกบ้าน ต้องเป็นผู้นำครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอดไปได้ ส่วนผู้หญิงก็มีหน้าที่ปรนนิบัติดูแล และให้กำลังใจสามีเพื่อจักได้มีแรงใจฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย
ดังนี้แล้ว “ช้างเท้าหลัง” ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงด้อยค่า หากแต่หมายถึงผู้หญิงมีค่ามากมายในสายตาผู้ชายไทย ปัจจุบันนี้เราทั้งหลายล้วนรู้จักผู้หญิงเก่งมากมาย ทั้งคอยทำหน้าที่ส่งเสริมสามีอยู่เบื้องหลัง และทำหน้าที่ “เคียงบ่าเคียงไหล่” ให้กำลังใจอยู่ข้างกาย
ถ้าไม่เชื่อ ก็ให้ดูสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์เป็น “ช้างเท้าหลัง” ที่มีคุณต่อแผ่นดินมากมายเหลือเกิน และเป็น “นางแก้ว” คู่บารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างเยี่ยมยอด
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น