ความอ้างว้าง
ทุกอย่างรายรอบตัวมืดมิด มองไม่เห็นปลายขอบของสถานที่รอบข้าง มองไปทางซ้ายก็เวิ้งว้างว่างเปล่า หาที่สิ้นสุดมิได้ มองไปทางขวา ด้านหน้า ด้านหลัง ก็มืดดำไปหมด เขาสงสัยว่าเขาเป็นใคร เรียกว่าอะไร และที่ๆ เขาอยู่คือที่ไหน อะไรมันเป็นอะไร แต่เขาก็หาคำตอบให้แก่ตัวเองไม่ได้ เขาคิดว่าถ้าเริ่มออกเดินไปสักทิศทางหนึ่ง อาจจะเจอใครหรืออะไรที่ทำให้รู้อะไรๆ มากขึ้น พอคิด ตัวเขาก็มาปรากฏอยู่ห่างจากที่เดิมอีกไกล แต่เขาก็ยังไม่เจอเส้นขอบของความเวิ้งว้าง เขาไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามใดอีกดี เพราะมันไม่มีอะไรเลย มันไม่มีอะไรจริงๆ ณ ที่นั้นที่จะเป็นสมมุติฐานให้กับคำถามของเขาได้
เขาทรุดตัวนั่งลงบนพื้นสีดำ เขาสังเกตตัวเอง เขาพบว่าเขามีสิ่งที่ทำให้เขามองเห็นอยู่ส่วนบนของร่างกาย เขามีสิ่งที่อยู่ข้างลำตัวของเขา มันมีอยู่ 2 ข้างแล้วต่อจากส่วนกลาง เขาพบว่ามีอีก 2 ข้างที่เขาใช้มันเพื่อการทรงตัวและยืน ลักษณะอย่างเขานี่เรียกว่าอะไร เขาเป็นใคร เขาคืออะไร เขาอยู่ที่ไหน มีเขา และมีที่เวิ้งว้างมืดดำนี่ได้อย่างไร เขาต้องทำอะไร มีใครอื่นอีกไหมที่มีลักษณะเดียวกับเขา อย่างไรก็ตามไม่ว่าคำถามใดก็ไม่มีคำตอบผุดขึ้นมาให้หายข้องใจ
เวลาผ่านไปหรือเปล่า เขาไม่รู้ มันมีอยู่หรือไม่เขาก็ไม่รู้ เขาเกิดความรู้สึกอ้างว้าง รู้สึกไม่สบายตัว มันมีบางอย่างภายในตัวเขาที่ปั่นป่วนพำให้เขาหนาวสั่น ตัวของเขาสั่นเทาขึ้นมาทีละนิด มันสั่นไม่มาก แต่ไม่หาย เขาอยากกำจัดอาการหนาวสั่นนี้เสีย เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทานทนได้ยาก เขาสั่นอยู่นานจนต้องลงไปนอนกอดตัวเองอยู่บนพื้นสีดำในที่โล่งว่างเปล่าอันแสนมืดมิดนั้นแต่เพียงผู้เดียว เขานอนนิ่ง เนื้อตัวยังสั่นระริกอยู่อย่างแผ่วเบา สายตาเขาทอดมองไปที่ปลายเท้าตัวเอง เขาเหลียวมองไปรอบตัว เขาพบแต่ตัวเองและความมืดที่ไม่มีวันหาขอบเจอ
ฉับพลันความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัวของเขา เขาคิดว่าถ้าเขามีอำนาจสร้างใครสักคนเหมือนบางคนที่สร้างเขาขึ้นมา เขาจะสร้างหลายๆ คนเพื่อให้แต่ละคนไม่ต้องมีอาการปั่นป่วนภายในกายจนหนาวสั่นเหมือนที่เขาเป็นอยู่ เมื่อความคิดนี้สิ้นสุดลง ก็ปรากฏมีบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนเขาทุกอย่าง แต่ตัวเล็กเท่านิ้วเท้าของเขาเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นมองไม่เห็นเขา เพราะเขามีขนาดที่สูงใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ว่าคืออะไร ฉับพลันในหัวของเขาก็เกิดความคิดสร้างสรรค์มากมายที่จะจัดการหรือจะเรียกว่าทำให้ต่อบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนเขา อย่างแรก เขาได้คำเรียกพวกตัวเล็กๆ นี้ว่า มนุษย์
มนุษย์ที่เขาสร้างในตอนแรกก็มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีการคเลื่อนไหวโดยอิสระด้วยตัวเอง พวกมันขยับทำสิ่งใดๆ ด้วยการออกคำสั่งของเขาผู้สร้าง แรกๆ เขาก็พึงพอใจที่มีตุ๊กตามนุษย์เป็นเพื่อน ความอ้างว้างของเขาแอบไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เขาคิดว่ามันหายไปแล้ว ตุ๊กตามนุษย์มีข้อบกพร่องบ้างเหมือนกัน มันจะมีจุดเชื่อมต่อเล็กๆ น้อยๆ ในตัวตุ๊กตาที่ทำให้พวกมันเคลื่อนไปข้างหน้าเองโดยที่เขาไม่ทันจะได้ควบคุมแก้ไขหรือวางแผนจัดการให้ ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มแตกแถวไปมีลักษณะที่เพี้ยนไปจากที่เขาคาดคิดไว้ทีละเล็กละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์เริ่มแสดงอารมณ์มากขึ้น  เวลาพวกมันต้องการสิ่งใดแล้วไม่ได้ มันจะต่อสู้กันเอง เวลาพวกมันพึงพอใจในสิ่งใด พวกมันจะสูญเสียเหตุผลในการตัดสินใจ และใช้ใจนำทางอยู่จนกว่าจะเริ่มเบื่อของสิ่งนั้น เวลาพวกมันต้องจากของที่มันหวง มันก็จะคร่ำครวญปานว่าร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เขามองเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในด้านนี้ดี แต่เขาเห็นว่ามนุษย์พวกนี้ก็แค่ตุ๊กตา เนื้อตัวฉีกขาดไปเพราะการทำศึกสงคราม หรืออุบัติเหตุ หรือตายเพราะโรคระบาด ก็เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ขึ้นกับเขา เดี๋ยวตุ๊กตาก็กลับมาเกิดใหม่ ก็ในเมื่อพวกนี้เป็นแค่ตุ๊กตา  เขาจึงพึงพอใจที่จะเฝ้าดูการดำเนินไปของเหล่าตุ๊กตามนุษย์เหล่านี้ เขาดูพวกมันสร้างสรรค์เครื่องไม้เครื่องมือ เขาเฝ้าดูพวกมันสร้างสรรค์ศิลปะต่างๆ ที่เขาเองรู้สึกแปลกใจในความสามารถที่เขาเองก็ไม่ได้มอบหมายไว้ให้ มนุษย์พวกนี้เริ่มเล่นกันเอง โดยที่ตัวเขาเพียงมองดูด้วยความตื่นตา
บางทีเขาก็ยื่นมือมาหยิบเอาตุ๊กตาบางตัวที่ไม่น่าเจออุบัติเหตุพาให้ร่างขาด หรือจับเอาใครมาเจอกับใครที่น่าจะทำให้เรื่องราวมันน่าสนุกขึ้น แต่ส่วนใหญ่มนุษย์ดำเนินชีวิตไปรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะยื่นมือเข้าไปเล่นด้วยได้ทัน  มันก็เหมือนกับที่มนุษย์บางคนพยายามจะช่วยเหลือมดที่มาและเล็มคราบโอวัลตินในถ้วยให้รอดตายจากการถูกน้ำชะล้างไปจากการล้างถ้วย แต่ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามเบามือที่สุดแล้วในการปัดไล่มดน้อยเหล่านั้นเท่าไร ก็ยังพบว่ามีมดที่ร่างหักแตกจากเพียงแรงแผ่วเบาที่ปลายนิ้ว มนุษย์เคลื่อนที่กันเร็วเหมือนมดที่เดินกันขวักไขว่และพวกมนุษย์พัวพันกันล้ำลึกซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่ทันสังเกตความหายนะที่กำลังจะตามมา
แล้วความพัวพันที่เกี่ยวไขว้กันไปมาบนความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อมนุษย์ก็ลงลึก ลึกมาก ไขว้กันไปมาหลายชั้นมาก มากจนเขาไล่ไม่ทัน มนุษย์เริ่มเล่นละครที่เขาไม่อยากดู พวกมันสร้างความน่าสะอิดสะเอียนแก่เขามากขึ้นจนเขามองไม่เห็นด้านสดใสสักเท่าไร เขาหาความสงบในชีวิตมนุษย์ที่ใช้ชีวิตสบายๆ นิ่งแต่มีอิสระและศักดิ์ศรีไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมด มนุษย์เริ่มก่นด่ากันเอง และพวกมันก่นด่าขึ้นมาบนฟ้า เขาไม่คิดว่ามนุษย์จะเห็นเขา แต่เขาเห็นว่ามนุษย์แหงนหน้าด่าเขาในใจ
ความอ้างว้างที่หลบหน้าไปนานกลับมาเยี่ยมเยือนเขาอีกรอบ เขาเริ่มตัวสั่นด้วยความหนาวสะท้าน ความปั่นป่วนในท้องกลับมาอีก มันสุดจะทนทาน เขาสุดจะทนทานกับความหนาวสั่นชนิดนี้ และความป่วนปั่นในท้องชนิดนี้ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง เขาพยายามจะยื่นมือเข้าไปจัดการสับเปลี่ยนตำแหน่งตุ๊กตาเพื่อให้อะไรๆ มันดีขึ้น แต่ตุ๊กตาพวกนี้ก็เคลื่อนไหวกันเร็วเหลือเกิน พวกมันเคลื่อนที่กันอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยมีตัวไหนอยู่เฉยๆ นิ่งๆ นานพอที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบจับเพื่อวางในที่ๆ จะทำให้ความบิดเบี้ยวมันหายเบี้ยวลงบ้างเลย ส่วนคนที่มีการเคลื่อนไหวช้าก็ไม่มีความบิดเบี้ยวในชีวิตมากเกินไปจนเขาต้องเข้าไปจับวางเปลี่ยนตำแหน่งอะไร เขามองเห็นความทุเรศทุรังมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ตุ๊กตามนุษย์แหลกเละหมดแล้ว พวกมันเคลื่อนไหวไม่ได้อีกแล้วสักตัวหนึ่ง เพราะเขาเอาเท้าที่ใหญ่โตลงกวาดบี้มนุษย์ให้หมดพลังงานจนไม่เหลือ เขาเสียใจที่ต้องทำอย่างนั้น เนื่องเพราะเขาเกิดความสะเทือนใจในการกระทำของตุ๊กตามนุษย์ แถมความหนาวสั่นก็ไม่จางหายไปจากตัวเขา เขาจึงคิดว่าเขาเลือกกำจัดออกไปเสียอย่างหนึ่งดีกว่ามีความปั่นป่วนอยู่ถึงสองอย่าง เขาจึงเลือกกำจัดความสะเทือนใจ เหลือไว้เพียงความอ้างว้าง อารมณ์ดั้งเดิมที่เขาต้องรับมือต่อไป เอาไว้เขาหายเหนื่อยเมื่อไร เขาค่อยคิดสร้างตุ๊กตามนุษย์ขึ้นมาใหม่ คราวนี้เขาจะตั้งใจจับตาดูพวกมันดำเนินชีวิตไปไม่ให้คลาดสายตาเชียว
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น