ความทรงจำ1ปีเต็ม กับวงโยวงหนึ่ง - ความทรงจำ1ปีเต็ม กับวงโยวงหนึ่ง นิยาย ความทรงจำ1ปีเต็ม กับวงโยวงหนึ่ง : Dek-D.com - Writer

    ความทรงจำ1ปีเต็ม กับวงโยวงหนึ่ง

    โดย trumpet

    คนที่เคยอยู่วงโยจะรู้.. ทุกความรู้สึกดีๆที่ไม่มีในชีวิตประจำวัน หาได้ในโลกแห่งวงโย และดนตรี

    ผู้เข้าชมรวม

    621

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    621

    ความคิดเห็น


    18

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 มี.ค. 47 / 13:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฉัน      เป็นคนนึงที่เคยอยู่วงโยทวาทิต  เรียกสั้นๆว่า  วงโย


      วงอะไรนั้นฉันคงบอกไม่ได้  ฉันไม่รู้ว่ามีใครอยากให้บอกหรือเปล่า ทางที่ดีจึงควรสงวนชื่อไว้ก่อนเป็นการดี
      เมื่อพูดถึงวงโยนั้น  คนทั่วๆไป คือคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมเกี่ยวกับดนตรีนั้น  คงจะมองเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ไม่น่าสนใจเท่าไร ไม่มีอะไรสะดุดตา ยิ่งบางคนที่มีลูกหลานอยู่วงโยด้วยแล้ว อาจมองว่าไม่ดี  เพราะลูกทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก อยู่ห่างไกลตาพ่อแม่แล้วใจหายเหลือเกิน..
      ...แต่คนทั่วไป คงไม่รู้อะไรอย่างที่นักดนตรีทุกแขนงรู้สึก... พวกเขารักดนตรี  จิตวิญญานทั้งหมดใส่ให้กับดนตรี  แต่พ่อแม่บางท่านไม่...

      ฉันก็เป็นคนๆหนึ่งที่เคยอยู่วงโยทวาทิต เคยถูกแม่กีดกันไม่ให้เข้า  ถูกต่อว่าว่าวงโยมันทำร้ายลูก มันอย่างนู้นอย่างนี้  แต่ฉันไม่ใส่ใจ เพราะรสชาติแห่งความสุขในดนตรีมันก็อยู่ในวงโยทวาทิตนี้เอง  
      วันแรกที่ฉันได้เป็น \"เด็กวงโย\" เต็มตัว ไม่ใช่ \"เด็กใหม่\" แล้ว  ฉันมีความสุขมาก  เพราะก่อนหน้านี้  ฉันและเพื่อนที่มีความฝันเดียวกันฝึกอย่างหนัก พักไม่ถึงนาทีก็ให้วิ่งต่ออีกไม่ตํ่ากว่าสิบรอบ  บางคนก็เหนื่อยและท้อ จึงออกเสียดื้อๆ คนที่ทนได้ก็ทนไป  ก็เหมือน ทหารที่สู้ไม่ไหว ก็ต้องล้มลงตายจากไป  คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด    พวกเราฝึกกันหนักมาก แต่ฝึกซํ้าไปซํ้ามา  เช่น วิ่งรอบโรงเรียน กระโดดตบ วิดพื้น หัดจัดแถว ซึ่งถ้าจัดไม่ตรงเพียงนิดเดียว ก็จะถูดวิ่งหลายสิบรอบ...ขึ้นอยู่กับจำนวนความผิด
      และเมื่อฉันได้มีโอกาสจับเครื่องคนตรีด้วยแล้ว  ฉันยิ่งมีความฮึกเหิม ความเหนื่อยใดๆที่เคยประสบมาพลันหายไปหมด ฉันถูกเลือกให้เป่า ทรัมเป็ต(trumpet) เครื่องคนตรีชนิดhigh-brass หมายถึงเครื่องดนตรีที่ใช้กุญแจซอล เป็นพวกเสียงสูงนั่นเอง..แปลง่ายๆก็อย่างนี้
      อุปสรรคด่่านแรกที่ฉันเจอคือ การเป่าเมาท์ พีซ  เป็นชิ้นส่วนของทรัมเป็ตชิ้นหนึ่งที่ใช้เป่าให้เกิดเสียง  มันมีลักษณะกลม เล็ก..ฉันมองมันอย่างสงสัย..เล็กแค่นี้จะเป่าได้มั้ยเนี่ย...
      ฉันฝึกเป่ามาหลายอาทิตย์ก็เป่าไม่ได้สักที เพราะริมฝีปากปลิ้นออกมา ทำให้ไม่เกิดเสียง มีแต่ลมล้วนๆ ฉันฝึกจนปากเริ่มแดงบวม  จนคืนหนึ่ง ฉันนำเมาท์พีซกลับมาฝึกเป่าที่บ้าน  กะจะโชว์ให้แม่ดูเสียหน่อย แม่จะได้ประทับใจ... แต่เป่าให้ตายอย่างไรก็ทำไม่ได้  ....  จนแล้วจนรอด   นํ้าตาก็ไหลออกมา  
      เพราะความท้อกระมัง  แต่เพราะฉันอยากเป็น\"เด็กวงโย\"...ถึงพยายามเท่าไรก็ทำไม่ได้  ปากก็ยังไม่หายบวม  ฉันร้องไห้ในห้องนอนอยู่เงียบๆ ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ.. ฉันอยากให้ทุกคนเห็นความพยายามของฉันมากกว่านํ้าตา
      ฉันเริ่มทบทวนคำสอนของครูฝึก  เรียกอีกช่อว่าstaff  ฉันเริ่มเลียริมฝีปาก และพับปาก สมองก็นึกถึงคำพูดครูเอาไว้  ฉันเหยียดหลังตรงเหมือนที่ครูสอน , สูดลมหายใจเข้าท้องอย่างที่ครูสอน...   และ.....
                                               3เดือนต่อมา
      แดดจ้าทั่วฟ้า ฉันเอามือป้องตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า  มันไม่มีเมฆสักก้อน มีเพียงพระอาทิตย์ดวงโต ที่ยังคงสาดแสงมายังสนามฝึก
      ฉันนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ กับเพื่อนสนิทในวงอีกสามคน  แต่ละคนก็ต่างบ่นว่าเหนื่อย...ร้อนมากๆ  ทำได้มากที่สุดก็คือทาครีมกันแดดและสวมเสื้อแขนยาวทับ และสวมหมวก เพราะถ้าไม่กันอะไรเลย อาจเป็นมะเร็งได้  เพราะพวกเราต้องฝึกกลางแดดอย่างนี้อีกหลายเดือน  เวลาถอดถุงเท้าทีไรเท้าก็ดูน่าเกลียดเหลือเกิน เพราะส่วนที่ไม่โดนแดดก็ขาว ส่วนที่ตากแดดก็ดำ  กลายเป็นเด็กที่ใส่ถุงเท้าอยู่ตลอดเวลาไปเสียแล้ว

      หลายเดือนผ่านไปฉันและสมาชิกในวงก็เริ่มฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ และมีการเข้าค่ายค้างโรงเรียน  พ่อแม่เด็กบางคนมีนํ้าใจซื้อขนมมาเลี้ยงเด็กในวง  บางคนมาไม่ได้ อช่นแม่ขิงฉัน แม่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน เพราะไม่มีใครดูแลบ้าน เจ้าพี่ชายตัวดีของฉันก็ชอบไปเที่ยว ..แต่ก็ไม่ใช่เด็กไม่รักดี   ยิ่งนานๆไปวันเข้าค่ายก็เพิ่มขึ้น..เพิ่มขึ้น..  จนนานๆเข้า ก็เข้าค่ายเจ็ดวัน หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ  แลัไปต่างจังหวัดเสียด้วย

                                                                                  \"ไม่ให้ไป!!!\"
      เป็นคำแรกที่ฉันได้ยินหลังจากนำเรื่องการเข้าค่ายนอกสถานที่(นอกโรงเรียน)มาบอกแม่
      ฉันมองแม่แปลกๆ  คำว่าไม่ให้ไปเนี่ย แม่ก็พูดได้...แต่ทำไม่ได้หรอกนะ  เข้าวงมา7-8เดือนแล้วจะให้ออกไปกลางคันได้อย่างไร  ฉันเริ่มอธิบายให้แม่เข้าใจ พยายามปลอบว่าหนดูแลตัวเองได้นะคะแม่  ที่นั่นมีเสื่อสาด มีหมอน ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ลำบากหรอกค่ะ   จนในที่สุด เหมือนแม่เริ่มเข้าใจ  ... จนแม่ถามถึงเรื่องเรียน
      ฉันได้แต่ยักไหล่ จะได้กลับมาเรียนหนังสือเมื่อไหร่ฉันก็ยังไม่รู้  เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มถอยหลังจากเพื่อนๆในห้องเรียนมาทีละก้าว..


      สถานที่แรกที่ฉันได้ไปนอนค้างคืน(ต่างจังหวัด)นั้น  เป็นที่ๆดูดี เรียบร้อย มีปลูกต้นไม้ดอกไม้ดูร่มรื่น  แต่ยังมองไม่เห็นสนามซ้อมซักที  
      มารู้อีกทีหลังว่าที่ๆฉันเห็นนั้นมันเป็นที่พักของพวกเรา และเป็นบ้านพักคนอื่นเสียด้วยสิ...  
      เมื่อฉันขึ้นไปวางกระเป๋ากับเพื่อนๆแล้ว ครูก็เรียกซ้อมทันที     เสียงวิ่งของเด็กในวงเริ่มดังสนั่นบนพื้นไม้  ต่างรีบใส่รองเท้า วิ่งกันฉุกละหุก ...ถ้าจะให้ฉันเปรียบภาพในตอนนั้นก็เหมือนการ \"วิ่งหนีตาย\"กันเสียละมั้ง
      ระยะเวลาในการซ้อมตอนนั้น   พวกฉันต้องซ้อมกันตอนกลางคืน เพราะตอนกลางวันมีคนมาใช้    สนามก็ขรุขระมีหลุมมีบ่อ  บางคนเดินสะดุดเนินล้ม เครื่องบิดเบี้ยวไปเลยก็มี บางคนก็หงายหลังแอ้กจุกไปนานทีเดียว  ถ้าไม่ใช่ปัญหาการล้มก็เป็นยุงกัด และโดนทำโทษ ..
      วิดพื้นมั่งล่ะ,กระโดดตบมั่งล่ะ,วิ่งรอบสนามมั่งล่ะ  โดยคืนๆหนึ่งสมาชิกทุกคนในวงโนไม่ตํ่ากว่าสามร้อย

      ความเหนื่อยความท้อ ซัดถาโถมเข้าสู่เด็กทุกคน ทุกคนได้นอนตอนตีหนึ่ง ตีสอง เพราะต้องอาบนํ้า  บางคนรอห้องนํ้าไม่ไหวก็ซักแห้งไปเลย รออาบพรุ่งนี้เช้า    ...                พวกเราเป็นอย่างนี้อยู่สักเดือนนึง  ก่อนเริ่มเปลี่ยนสถานที่อีกครั้งหนึ่ง


      ..คงเพราะใกล้แข่งแล้ว การซ้อมจึงเบาขึ้น เพราะก่อนแข่งไม่ควรซ้อมหนักจนเกินไป ไม่เช่นนั้นในสนามแข่งอาจไม่มีแรง ยิ่งบวกกับความตื่นเต้นด้วยแล้ว..
      เหล่าstaffเริ่มให้พวกเรากินกล้วยกันบ่อยมากขึ้น คงเพราะไม่มีอะไรกิน และช่วยลดความตื่นเต้น เพราะกล้วยมีโพแทสเซียมช่วยลดอาการตกใจตื่นเต้น ทำให้สติอยู่กับตัวไม่วอกแวก  ดังนั้นหลังทานข้าวทุกมื้อ จึงมีกล้วยวางอยู่เกลื่อนโต๊ะทานอาหาร


      ถึงวงจะซ้อมน้อย แต่เวลาซ้อมแต่ละครั้งทั้งหนักและร้อน  ยิ่งช่วงนั้น เด็กในวงเริ่มมีปากเสียงกันเอง  เรื่องความไม่ตั้งใจซ้อมมาเป็นส่วนใหญ่ เพราะทุกคนในวงหวังชัยชนะ  แต่ละคนต่างก็เคยร้องไห้มาแล้วเพราะความเหนื่อย  ถึงขั้นตีกันก็มี แต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน เพียงเพราะเหตุผลเดียว ที่ฟังดูง่ายๆแต่มีความหมายมากๆ                 ...    \"เพราะเราคือวงเดียวกัน\"



      ยิ่งใกล้แข่งมากขึ้น เหมือนเวลาของระเบิดเริ่มถอยหลังเร็วขึ้น ฉันและสมาชิกต่างตื่นเต้น  ไม่เว้นซักวัน ทุกวันในการซ้อมฉันต้องได้ยอนประโยคสั้นจากเพื่อนร่วมวงเสมอ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง    \"อู้ยย จะแข่งแล้วนะ ตื่นเต้นจัง\"   เหมือนยิ่งไปยํ้าให้สติแตก ต่างคนก็ต่างวิตก ต่างตื่นเต้น คิดไปนู่นนน  ต่างต่างนานา..

      ....สิบสองเดือนที่วงโยฝึกซ้อมกันมา  ไม่มีครั้งไหนไม่มีผิดพลาด แทบทุกครั้งที่ซ้อมเราต้องเอาเหงื่อเข้าแลก  คามรู้สึกช่วงนั้นราวกับตายแล้ว  ฉันและทุกคนโดนทำโทษสารพัด เท่าที่staffคิดออก(แต่ก็ไม่โหดร้ายจนเกินไป..อืมม ก็ยังมีหัวใจอยู่นะ)  วิดพื้นทั้งนํ้าตาก็เคย   เป็นนํ้าตาที่ผสมเหงื่อ ความรู้สึกเหนื่อยจริงๆเป็นเช่นไรก็เพิ่งมารู้ตั้งแต่เข้าวงโยมานี่ล่ะ



                   และแล้ว                    เมื่อเวลาผ่านไป
                                                                                    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกฝึกมา1ปีเต็ม


                                   วงโยทวาทิตจะได้นำออกมาใช้ก็วันนี้นี่แหละ
              
                                                       29 - 1 - 47         ....

      เมื่อถึงคราวที่วงของฉันออกโชว์      แสงไฟดวงใหญ่ที่ สนามศุภ สาดแสงเข้ามา  ถึงแม้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว แต่สนามกลับสว่างจ้า   เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากถุงมือทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มแสดง  ฉันหลับตา  ภาพความทรงจำทุกอย่างที่เคยเห็นมาภายในวง มันฉายเข้ามาในดวงตาฉัน ..ทั้งนํ้าตา..ทั้งเหงื่อ..  ในวันนี้  ฉันและเพื่อนในวงต้องนำบทเรียนทั้งหมดออกมาใช้ ให้ทุกคนดู ให้ผู้ชมและกรรมการดู  ..ให้พวกเขาทึ่งในความตั้งใจจริงของพวกเรา    ฉันมองหน้าconductor ... คงไม่ฉันคนเดียวหรอกที่มอง  ทุกคนมองconductorที่มอบพลังให้พวกเรา  ความมั่นใจของครูเขาเต็มเปี่ยม ยิ่งผลักดันให้ฉันมีแรงสู้มากขึ้น   เสียงผู้ประกาศ ประกาศชื่อวง..ชื่อเพลงแข่ง ดังกึกก้องไปทั่วสนาม  ยิ่งมองขึ้นไปบนอัฒจันทน์  ผ้ชมกว่าแสนคนจับจ้องมาที่พวกเรา    



                      และเมื่อดนตรีเริ่มขึ้น....   ฉันมั่นใจว่า ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทุกคือคนๆเดียวกัน...






      ปัจจุบันนี้... ฉันยังคงนึกถึงวันวานเก่าๆอยู่ วันที่เคยสุขด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน ทุกคนมีความรักให้กันและกัน  เพลง-ภาพ-ความประทับใจ  มันยังคงอยู่ในใจฉันตลอดไป เหมือนสมาชิกวงทุกคน
      วงของฉันประสบความสำเร็จ  อาจไม่ใช่ที่หนึ่งในครั้งนี้  แต่พวกเราทำดีที่สุด   หลังจากการประกาศผล  แม่ของฉันให้ตุ๊กตาหมีมาตัวหนึ่ง ในมือของมันมีซองจดหมาย  แม่บอกฉันให้อ่านจดหมายในมือมีซองนั้น  ว่าแล้วแม่ก็กลับบ้านหลังจากถ่ายรูปฉันกับครอบครัวหลายต่อหลายรูป

      ..ฉันเปิดซองจดหมายในมือของตุ๊กตาหมี..พบกระดาษใบเล็กๆอยู่ในนั้น ฉันดึงมันออกมาอ่าน

          \"อาจไม่ใช่ที่หนึ่งในการแข่งขัน แต่ลูกเป็นที่หนึ่งในใจแม่เสมอ\"

                                  ฉันร้องไห้...  เพื่อนสนิททั้งสามมากอดฉัน   ทุกคนต่างก็มีนํ้าตามาก่อนแล้วทั้งนั้น
                             ทุกที่ๆฉันอยู่ มีความรักให้กันเสมอ กำลังใจจากแม่ ทำให้ฉันมีวันนี้ได้  ความรักและบทเรียนจากstaff สอนให้ฉันแกร่ง และอดทน   ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามความรักของทุกๆคนอยู่กับตัวเองเสมอมา

                                                    และฉันจะไม่มีวันลืมวงโยวงนี้อีกเลย  









                    ขอมอบบทความบทนี้ให้กับstaff ทุกคน ครูต้น ครูหยอง ครูหมู ครูปุ๋ย ครูแจ็ค ครูจูู ครูอั๋น และครูอื่นๆอีกทุกคนที่เรียนอยู่ มาอ่านบ้างนะคะ   มาเยี่ยมโรงเรียนบ้างล่ะ เด็กในวงทุกคนคิดถึงมากๆเลย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×