เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก - เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก นิยาย เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก : Dek-D.com - Writer

    เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก

    โดย hikkioil

    จากหนังสือ เนชั่นสุดสัปดาห์ คอลัมน์ (เรื่องสั้น) ของ \'แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า\' เราว่ามันให้ข้อคิดดี อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน ถ้าอยากให้เราแต่งต่อช่วยกันโพสต์นะ

    ผู้เข้าชมรวม

    724

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    724

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ก.พ. 47 / 16:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      1. เด็กชายนั่งซึมอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ด้านหลังมีต้นไม้ขนาดสิบคนโอบอยู่ต้นหนึ่ง มันสูงจนไม่เคยมีใครมองเห็นปลายยอดสุดของมันสักคน อีกทั้งกลางหุบเขาเช่นนี้ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว แม้ยามเที่ยงวันดวงอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้าเพียงใด ก็ไม่อาจจะสลายสายหมอกหนานี้ให้จางหายไปได้… ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเหงาและวังเวงเช่นนี้ จะมีก็แต่สายลมขยับใบไม้ไหวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนกับเด็กชาย
      ตั้งแต่เขาถูกนำตัวมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ก็ไม่เคยก้าวเท้าออกไปไหนเกินขอบเขตบ้านเลย คำสั่งห้ามของพ่อแม่ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์และเด็ดขาด เหมือนคาถามัดตรึงเขาให้อยู่แค่บริเวณเขตบ้านเท่านั้น บ่อยครั้งเขาเห็นเด็กวัยเดียวกันเดินผ่านหน้าบ้านเป็นกลุ่ม ใจอยากเข้าไปทักทายและวิ่งเล่นด้วย ทว่า เด็กเหล่านั้นกลับมีท่าทีตื่นกลัวทุกครั้งเมื่อเดินผ่านหน้าบ้านเขา แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นกับอาการหวาดกลัว เมื่อเด็กเหล่านั้นคล้อยหลังผ่านหน้าบ้านไปแล้ว เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงก็จะกลับมาดังแทนที่
      เด็กชายขยับตัวลุกขึ้น ปีกที่อยู่บนแผ่นหลังขยับไหวอย่างเชื่องช้า ยามเมื่อเขาหยุดเดินปีกจึงค่อยๆ หุบลง จะมีก็แต่ขนสีขาวบนปีกเท่านั้นที่พริ้วไหวตามแรงลม เด็กชายรู้สึกรำคาญกับส่วนเกินที่งอกออกมาจากแผ่นหลังนี้ หลายครั้งที่เคยเอื้อมมือกระชากมันอย่างแรงหวังให้มันหลุดออกมา แต่ผลที่ได้รับก็คือความเจ็บปวด เคยลองเกร็งตัวขยับมันแต่ก็ไม่ได้ผล มันจะขยับก็ต่อเมื่อเขาเดินเท่านั้น
      ทุกครั้งที่หลับไปเขามักจะฝันว่าตนเองบินล่องอยู่บนฟ้า แต่พอลืมตาตื่นกลับพบว่าตนเองนอนดิ้นอยู่บนฟากไม้ในบ้าน
      พ่อพูดกับเขาน้อยครั้ง แม่เสียอีกที่ดูจะสนใจเขามากกว่า แต่กระนั้นท่าทีของแม่ก็ยังดูเหินห่าง เขารู้ว่าแม่หวาดระแวงในสิ่งที่เขาเป็น ส่วนพ่อนั้นหวาดระแวงทั้งเขาและแม่…
      พ่อเที่ยวถามใครต่อใครที่เอาของมาแลกในหมู่บ้านว่า เคยพบเห็นเผ่าพันธ์มนุษย์ที่ไหนมีปีกบ้าง พ่อปักใจเชื่อว่าแม่แอบมีชู้กับพวกนั้น คนที่พ่อถามปฏิเสธและหัวเราะลั่นหาว่าพ่อเริ่มเพี้ยน
      “มนุษย์ที่ไหนจะมีปีก ถ้ามีจริงเขาก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆ หรอก” ชายที่พ่อคุยด้วยบอกกับพ่อก่อนจากไป
      และนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ถูกยกระดับให้อยู่เหนือคนในหมู่บ้าน แถมยังได้ย้ายมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวไกลจากชุมชนอีกต่างหาก
      ครั้งหนึ่งมีคนในหมู่บ้านมาแอบซุ่มดูเขา เมื่อเขาหันไปเห็น ชายคนนั้นก็ตื่นกลัววิ่งหนีไปทางแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล แม่น้ำสายนี้เชี่ยวและลึก ชายคนนั้นกลัวว่าเขาจะตามไปจึงกระโจนลงสู่แม่น้ำ สุดท้ายสายน้ำก็กลืนชีวิตชายคนนั้นไป ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปต่างๆ นานา บ้างว่าเขาบินไล่ให้ชายคนนั้นกระโดดลงไปในแม่น้ำ บ้างว่าเขาใช้พลังวิเศษบังคับ แต่ทั้งหมดก็สรุปตรงกันว่าเขาเป็นคนฆ่าชายคนนั้น… ผู้เฒ่าของหมู่บ้านจึงออกกฎห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในบริเวณบ้านของเขาอีกเด็ดขาด นอกจากพ่อและแม่ของเขาเท่านั้นที่เอาอาหารมาส่งให้
      2. และแล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ สายน้ำที่เคยไหลกลับหยุดนิ่ง และไม่ไหลเอาดื้อๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก ผู้เฒ่าจึงสั่งให้ทุกบ้านนำไก่มาบ้านละตัว ผู้เฒ่าจะฆ่าเพื่อทำพิธีขอขมาต่อดินฟ้าตามความเชื่อที่เคยปฏิบัติกันมานาน ชายหนุ่มที่ดำรงชีพด้วยการตัดไม้ไปแลกของต่างหมู่บ้านก็พากันมาช่วยสร้างแท่งบูชาไว้ตรงลานดินกลางหมู่บ้าน เมื่อสร้างแท่งบูชาเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มเชือดไก่ทุกๆ วัน วันละตัว จะหยุดฆ่าก็ต่อเมื่อสายน้ำกลับมาไหลอีกครั้ง ซึ่งผู้เฒ่าเชื่อว่าฟ้าดินให้อภัยแล้ว
      นับตั้งแต่วันที่เริ่มทำพิธีขอขมาจนถึงบัดนี้ก็กินเวลาหลายเดือน สายน้ำก็ไม่มีวี่แววจะกลับมาไหลอีก ผู้เฒ่าจึงเรียกประชุมทุกคนในหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
      “ข้าว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านเราแน่ๆ “ ผู้เฒ่ากล่าวเปิดประชุมด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
      “ฉันก็ว่า”
      “ใช่ๆ ฉันก็คิดเช่นนั้นแหละ”
      “ไก่ในหมู่บ้านเราเกือบจะหมดแล้วนะผู้เฒ่า ยังไม่เห็นว่าสายน้ำจะกลับมาไหลเลย” ชายหนุ่มที่สุดในกลุ่มพูด
      “แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ…นี่เรามิต้องย้ายกันไปหาที่ใหม่อยู่หรือ” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
      “ฉันว่าย้ายก็ดีนะ เดี๋ยวนี้พวกเราต้องเดินไกลกว่าจะหาไม้ตัดได้สักต้นหนึ่ง” ชายฉกรรจ์สามสี่คนสนับสนุน
      “แต่ข้าว่า…ถ้ามีใครสังเกต จะเห็นว่ายังมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป…มันเปลี่ยนไปก่อนสายน้ำนั้นอีก” ผู้เฒ่าหยุดครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนพูดต่อ “ข้าไม่เคยเห็นฝนตกมานานแล้วนะ” สิ้นเสียงของผู้เฒ่าก็มีเสียงขานรับ
      “ใช่ๆ “ ดังพร้อมกัน
      “หรือเป็นเพราะว่าเจ้าเด็กมีปีกนั่น” หญิงสาวที่ยืนอุ้มลูกน้อยพูดขึ้น พร้อมกับเสียงขานรับ
      “ใช่ๆ “ ดังอื้ออึงกว่าเดิม
      “เจ้าเด็กคนนั้นมันทำให้คนในหมู่บ้านเราตายน้ำแล้ว และฝนไม่ตก” ใครคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
      “แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ” ผู้เฒ่าถามขึ้น ทุกคนเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
      3. เมื่อวานแม่เข้ามานั่งคุยกับเขานานกว่าปกติ ท่าทีที่เคยมีก็ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยลูบหัวเขาก็มิได้เอื้อมมาลูบไล้อย่างเคย ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าพ่อที่ยืนอยู่นอกบ้านมองดูเขากับแม่อย่างระแวดระวัง ในมือของพ่อมีพร้าคมวาวถือมั่นอยู่ เขานั่งฟังแม่เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
      “คงเข้าใจนะว่าหมู่บ้านเราตอนนี้เดือดร้อนมากๆ “ แม่พูดกับเขาก่อนลุกจากไป
      “เป็นความผิดของผมหรือที่เกิดมาเป็นแบบนี้” เขาย้อนถามอย่างไม่สนใจเอาคำตอบ
      สายลมพัดวูบเข้ามาทางหน้าต่างลูบไล้ขนสีขาวอย่างนุ่มนวล แม่ไม่ตอบอะไร ก้าวออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ เขามองดูแผ่นหลังของคนทั้งสองเดินลับหายไปท่ามกลางหมอกสีขาว…
      ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เด็กชายเฝ้าฝันอยู่อย่างเดียวคือการได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเด็กกลุ่มนั้น กลุ่มที่เดินผ่านหน้าบ้านเขาทุกวัน เขาอยากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเสียงหัวเราะอยากวิ่งเล่นและได้รับการยอมรับจากเพื่อนวัยเดียวกัน แต่สิ่งที่เขาเป็นมันเสมือนกำแพงสูงใหญ่กีดกั้นแยกเขาออกจากสังคม
      ถึงตอนนี้เขาตัดสินใจจะฝ่าฝืนคำสั่งห้ามที่เคยมัดเขาไว้ เพียงสักครั้งเท่านั้นที่เขาปรารถนาจะได้พูดคุยวิ่งเล่นและหัวเราะร่วมกับเด็กเหล่านั้น จะมีอะไรต้องเสียอีกหละในเมื่อคำพูดของแม่เมื่อวานนี้มันดูคลุมเครือจนไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า – เขาคิดในใจ
      4. เด็กชายนั่งหลบหลังต้นไม้ใหญ่เฝ้ารอด้วยใจระทึก พยายามนิ่งให้ได้มากที่สุดเพื่อปีกของเขาจะได้ไม่ขยับจนมีใครสังเกตเห็น เสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินใกล้เข้ามา แล้วแผ่วเบาลงเหมือนย่องเดิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเด็กกลุ่มนั้นอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าใดนัก เด็กชายค่อยๆ กลั้นหายใจนับหนึ่ง สอง สาม…เพียงครู่เดียวเขาก็กระโจนออกไปยืนขวางหน้าเด็กกลุ่มนั้น เด็กทั้งหมดเมื่อเห็นเขาต่างก็พากันยืนนิ่งตะลึงจนตาค้าง แต่ไม่นานเด็กๆ ต่างก็ขยับเท้าเตรียมก้าวหนี วินาทีนั้นเองเด็กชายตัดสินใจพูดออกไป
      “ใครหนีฉัน…ฉันจะทำ…ทำให้ตายเหมือนคนที่ตายในสายน้ำนั้น”
      ได้ผล! เด็กทุกคนต่างพากันยืนนิ่งกับที่ ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยแววหวาดกลัว
      เขาเดินเข้าไปหาเด็กชายร่างอ้วนแล้วถาม
      “นายกลัวเราหรือ”
      “ฉัน…เออ…ฉันกลัว” เด็กชายร่างอ้วนตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางก้มหน้าลงต่ำมือสั่นเทา
      “ฉันด้วย…ฉันก็กลัว ฮือ…” เด็กหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นก่อนร้องสะอื้นออกมาเบาๆ
      เด็กชายรู้สึกเสียใจกับคำขู่ของเขาที่ทำให้ทุกคนกลัว เขาเดินวนไปมารอบกลุ่มเด็ก ปีกของเขาขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ สายตาของเด็กทุกคนค่อยๆ เหลือบมองไปยังปีกที่เคลื่อนไหวนั้น
      “ทำไมพวกเธอถึงกลัวฉัน” เด็กชายถามเสียงอ่อย
      “เพราะเธอฆ่าชายคนนั้นตาย”
      “เธอทำให้สายน้ำไม่ไหล”
      “และเธอก็ทำให้ฝนไม่ตกด้วย”
      “ใช่ๆ …แล้วเธอก็มีปีกด้วย เธอไม่เหมือนพวกเรา”
      เด็กทุกคนต่างชิงกันพูดถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาเกี่ยวกับเขา เด็กชายยืนนิ่งก้มหน้าลงต่ำ ปีกที่แผ่นหลังค่อยๆ หุบลง
      “ฉันไม่ต้องการเกิดมาเป็นแบบนี้”
      “แต่ก็เกิดมาแล้ว” เด็กหญิงพูดขึ้นเสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง
      “ฉันไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นเคย…เมื่อกี้ฉันกลัวพวกเธอหนี ฉันจึงพูดขู่ไปอย่างนั้นเอง” เด็กชายพยายามแก้ตัว
      “แต่แม่บอกว่าชายคนนั้นเห็นเธอก่อนตาย”
      “ใช่…ฝนไม่ตกหลังจากเธอเกิด”
      “สายน้ำนั้นด้วย มันเริ่มแห้งหลังจากเธอเกิด”
      “ฉันไม่รู้…พ่อห้ามไม่ให้ฉันออกไปไหน แล้วฉันจะทำมันได้อย่างไรล่ะ” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโห
      “ทำได้สิก็…ก็เธอเป็นผู้วิเศษ เธอก็สามารถทำได้” เด็กหญิงร่างเล็กสุดพูด
      “เธอเชื่ออย่างนั้นหรือ” เด็กชายถามพลางจ้องหน้าเด็กหญิงเขม็ง
      “ทุกคนในหมู่บ้านพูดอย่างนั้น” เด็กชายร่างอ้วนตอบแทน
      “ใช่ พ่อแม่และผู้เฒ่าต่างก็บอกอย่างนั้น”
      เด็กชายนิ่งไปอีกครั้ง เด็กทุกคนต่างคลายความหวาดกลัวลง แล้วจู่ๆ เขาก็เอ่ยถาม
      “พวกเธอว่าปีกของฉันสวยไหม”
      “สวย…ฉันว่าสวย” เด็กหญิงตอบตามที่ใจรู้สึก
      “เหมือนนก” อีกคนเสริม
      “ไม่เหมือน…นกบินได้ แต่เขาบินไม่ได้” เด็กชายร่างอ้วนเถียง “แต่…แต่ฉันก็ว่าสวย”
      “ทำไมเธอไม่ลองบินดูล่ะ” เด็กหญิงถาม ใจอยากเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาวบนปีกนั้น แต่ในใจก็หวาดกลัวเกิน
      “เคยสิ…ฉันเคยลองหลายครั้งแล้ว แต่ก็บินไม่ได้” เด็กชายตอบน้ำเสียงเศร้าๆ
      “แปลกนะมันน่าจะพาเธอบินได้ และมันจะทำให้เธอดูเหมือนนกมากกว่านี้ด้วย” เด็กร่างอ้วนออกความเห็น
      “พวกเธอว่าสวย ฉันยกให้เอาไหม” เด็กชายถามพลางคิดในใจว่าถ้าเกิดมีใครเอามันขึ้นมาจริงๆ เขาจะถอดมันออกได้อย่างไร
      “ไม่เอาฉันไม่ต้องการ” เด็กหญิงร่างเล็กพูดพร้อมกับสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
      “มันจะทำให้ฉันต้องอยู่คนเดียวอย่างเธอ” อีกคนเสริม
      “ใช่ๆ แล้วมันจะทำให้ฉันต้องถูกบูชาเหมือนไก่! “ เด็กชายร่างอ้วนพูด พลันนั้นเองสายตาของทุกคู่ก็หันมาจ้องที่ใบหน้าของเด็กร่างอ้วน
      “บูชา” เด็กชายพูดซ้ำๆ กับตนเอง คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร มันเกี่ยวอะไรกับพิธีที่แม่จะให้เขาเข้าร่วมในอีกไม่กี่วันนี้ด้วยไหม เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรแม่มาก
      “บูชาคืออะไร” เด็กชายตัดสินใจถามออกไป
      “ฉันไม่รู้” เด็กชายร่างอ้วนตอบไม่เต็มเสียงนัก “รู้แค่ว่าผู้เฒ่าจะเอาไก่มาเชือดคอ แล้วจับมันห้อยหัวเพื่อให้เลือดมันไหลลงขอนไม้และพื้นดิน ผู้เฒ่าทำอย่างนี้วันละตัวๆ แม่บอกว่านั้นคือการบูชา และพ่อก็บอกว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วสายน้ำจะกลับมาไหลเช่นเดิม”
      “อึ๊ย…น่ากลัว” เด็กหญิงว่าพลางชักสีหน้า
      “ใช่ น่ากลัว” เสียงเด็กเกือบทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
      “ปีกของเธอสีขาวสวย น่าเสียดายถ้ามันเปื้อนเลือด” เด็กหญิงร่างเล็กสุดพูด
      “พ่อฉันบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อจะถูกบูชามากกว่าเกิดมาเป็นคนตัดไม้อย่างพ่อ”
      “เธอน่าจะบินได้นะ เธอจะได้ไปอยู่ที่อื่นฝนจะได้ตก น้ำก็จะได้ไหล”
      “แล้วเธอก็จะได้ไม่ต้องถูกบูชาเหมือนไก่ด้วย” เด็กชายร่างอ้วนเสริม
      เด็กชายเซถอยหลังเหมือนจะล้ม ปีกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว สายลมที่เกิดจากการขยับปีกพัดหมอกสีขาวที่อยู่รอบตัวกระจายฟุ้งเป็นวงกว้าง
      พลันภาพของตนเองถูกเชือดคอแขวนบนแท่งบูชาก็วูบเข้ามาในหัวของเขา…
      5. เด็กชายกลับมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านอีกครั้ง เด็กกลุ่มนั้นจากไปนานแล้วทิ้งไว้ก็แต่ภาพน่าหวาดกลัวปรากฏอยู่ในใจเขา – ท้องฟ้ายามเย็นสาดแสงส่องเป็นสีแดง ประกายของแดดกระทบกับสายหมอกแลดูเป็นสีแดงอ่อน บัดนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยภาพของตนเองถูกแขวนห้อยอยู่บนแท่งบูชา มีดพร้าที่เขาเห็นอยู่ในมือของพ่อเมือวานค่อยๆ กรีดลงบนคอเบาๆ เลือดสีแดงสดไหลลงสู่คาง ผ่านจมูก คิ้ว หน้าผาก เส้นผม แล้วไหลสู่ขอนไม้ก่อนจะค่อยๆ ไหลลงสู่พื้นดิน เด็กชายสะบัดหัวสองสามครั้งหวังให้ภาพเหล่านั้นหลุดจากความนึกคิด แล้วรีบยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
      เด็กชายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ คิดลึกๆ ว่าอยากจะให้ต้นไม้นี้ช่วยให้ตนบินได้ ถ้าเป็นไปได้จริงเขาจะได้บินไปอยู่ที่อื่น ไปให้พ้นจากเมืองๆ นี้ พ้นจากการถูกบูชา และบางทีสายน้ำกับสายฝนอาจจะกลับมาไหลอย่างเดิมเหมือนที่ทุกคนเชื่อก็ได้ – เด็กชายคิด
      6. เป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้วที่เด็กชายปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้ใหญ่ เขาหวังว่าจะไปให้ถึงปลายยอดสุดของมันที่ไม่เคยมีใครเห็น แต่บัดนี้ร่างกายเขารู้สึกอ่อนล้าจนไม่อยากจะปีนต่อไปแล้ว เพียงแต่ความหวังว่าต้นไม้นี้จะช่วยให้เขาบินได้ก็ทำให้เขาอดทนแม้ว่าจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตาม
      …ยิ่งปีนสูงเท่าใดสายลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนสีขาวบนปีกถูกแรงลมปะทะปลิวร่างสู่เบื้องล่าง เด็กชายหยุดมองดูขนที่ร่วงลงไปอย่างเสียดาย แม้ว่ามันจะเป็นส่วนที่งอกออกมาอย่างไร้ค่าและไร้ความหมายจนทำให้เขาต้องประสบกับสิ่งเลวร้ายต่างๆ นานาก็ตาม ถึงตอนนี้เขาคิดว่ามันก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเขาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นส่วนเกินที่สวยงาม และบริสุทธิ์ที่สุด บางทีมันอาจจะบริสุทธิ์กว่าสิ่งใดในหมู่บ้านนี้ก็ได้ – เด็กชายคิด
      ขนสีขาวปลิวล่องลอยกระทบกับม่านหมอกสีแดงอ่อนดูเป็นมันวาวระยับ
      พลันนั้นเองร่างของเด็กชายก็หลุดลอยจากต้นไม้ ปีกบนหลังกระพือเร็วและแรง
      “ฉันบินได้แล้วหรือนี่” เด็กชายร้องบอกกับตนเองอย่างดีใจ พลางเอื้อมมือไปสัมผัสกับสายหมอกที่เย็นชื้นรอบตัว เด็กชายมองไปยังที่ๆ เคยเป็นสายน้ำที่บัดนี้มันกลับแห้งแล้งเป็นทางยาวดูเหมือนเหวลึก ไม่ไกลนักมีภูเขาเล็กใหญ่ขึ้นสลับกันไป
      ทว่าบนภูเขาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่นั้นกลับไม่มีต้นไม้สักต้นจะมีก็แต่ภาพของการหักโค่นปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป เด็กชายค่อยๆ หมุนตัวกลับไปเห็นหมู่บ้านกระจุกตัวอยู่เป็นกลุ่มไม่ไกลจากบ้านเขา ถัดไปเป็นลานดินกว้างตรงกลางมีแท่งบูชาสีดำทะมึนตั้งอยู่ เด็กชายเห็นเด็กกลุ่มที่ได้พูดคุยกันเมื่อกลางวันวิ่งเล่นอยู่แถวลานดินจึงโบกมือและส่งยิ้มให้ แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นสักคน
      -- เด็กชายก้มมองเบื้องหน้าเห็นบ้านของตนเองชัดเจนมันตั้งอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางอ้อมกอดของสายหมอกสีแดงอ่อน
            พลันนั้นเองเด็กชายเหมือนเห็นพื้นดินที่ตนเคยเหยียบย่ำเป็นประจำ เขาเห็นเด่นชัดจนแทบจะสัมผัสมันได้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า!…

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×