Wend\'s road miracle - Wend\'s road miracle นิยาย Wend\'s road miracle : Dek-D.com - Writer

    Wend\'s road miracle

    โดย maychey

    เป็นเรื่องสั้นที่เขียนโดยวางอยู่บนความคิดว่าอยากให้อะไรสักอย่างกับคนอ่านจริงๆ ไม่ใช่แง่ศาสนศาสตร์นะ แต่อยากให้ใช้เรื่องนี้เป็นกระจกดู แต่ละคนอาจมีเมอร์ริสันอยู่ในตัวไม่มากก็น้อยก็เป็นได้

    ผู้เข้าชมรวม

    640

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    640

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.พ. 47 / 03:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ผมเกลียดคนๆนี้!
          ผมอาจจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ผมหยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้ ผมเกลียดและทนไม่ได้อย่างยิ่งกับคนที่ไม่ให้เกียรติผม ผมแน่ใจ ผมค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ(อย่างน้อยก็ภายนอก) ผมสมควรถูกให้เกียรติ
          เหงื่อเม็ดเป้งๆผุดขึ้นเต็มหน้าผากและฝ่ามือของผม คำว่า \'พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์\' จุกอยู่ที่ลำคอเหมือนท่อไอเสียอุดตัน ผมเอากำปั้นชุ่มเหงื่อทุบตัวเองเบาๆเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทที่ขาซ้าย ซึ่งดูเหมือนตอนนี้จะหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ แว่นตากรอบเงินบางๆไถลลงมาตามดั้งจมูกของผมเหมือนเล่นสไลเดอร์กับเหงื่อ ผมจ้องมองเพื่อนร่วมห้องราวยี่สิบกว่าคนที่กำลังมองผมเหมือนตัวตลกที่เล่นมุขฝืดสนิท ทำไม....ทำไม ต้องมีการรายงานหน้าห้อง มันไร้สาระ ไร้สาระ เป็นระบบที่ไร้ประโยชน์ เป็นการใช้เวลาในชั่วโมงเรียนโดยสิ้นเปลือง มันควรมีไว้ทำความเข้าใจกับเนื้อหาบทเรียนให้มากขึ้น ไม่ใช่มานั่งฟังเพื่อนร่วมชั้นพุดถึงทัศนคติโง่ๆของตัวเองกับเรื่องที่ดูเหมือนตัวเองยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ มันจะเกิดประโยชน์อะไรที่จะฟัง \"เด็ก\" พูดถึงทฤษฎีของซิกมันต์ ฟรอยด์ แบบขาดๆเกินๆ หรือในกรณีที่ผมเป็นคนรายงาน ผมต้องทนพูดในสิ่งที่ซับซ้อนให้พวกสมองเล็กๆพวกนี้เข้าใจ ซึ่งก็ดูเหมือนพวกนั้นก็ไม่ได้นึกจะสนใจสักนิด
          \"พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์\" ผมส่งเสียง มันดังกว่าที่ผมคิดไว้ คงเพราะทั้งห้องกำลังเงียบ เมื่อหลุดออกมาหนึ่งคำ คำต่อๆไปก็ตามออกมาเหมือนรถบรรทุกพ่วงคันยาว
          \"อย่างที่ผมยกตัวอย่างไปแล้ว มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงเป็นอันขาด การชุบชีวิตคนตายนั้นเป็นแค่เครื่องปรุงที่ทำให้ไบเบิ้ลน่านับถือ\"
          เสียงหัวเราะพรืดดังมาจากโต๊ะด้านหลัง เป็นครั้งที่สามแล้วในห้านาทีที่ผ่านมา ผมเหลือบตามองเจ้าของเสียงนั่นอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งที่จริงแล้วผมควรจะปราดเข้าไปต่อยเจ้าคนไร้มารยาทคนนั้นด้วยซ้ำ ผมกำลังพูด! ให้ตายสิ! ผมพูดแล้วหมอนั่นก็ฟัง มันเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายจะตาย ทำไมหมอนั่นถึงไม่เงียบแล้วฟังๆไปให้จบนะ!
          เจ้าของเสียงหัวเราะนั่นขยับตัว เขายกขาทั้งสองข้างมาไขว้กันบนโต๊ะ เอามือยัดไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งที่น่าจะใหญ่กว่าตัวเขาสักสองเท่า เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ หัวของเขาเป็นสีส้ม มันส้มมากจนดูออกว่าไม่ใช่สีธรรมชาติ สวมเสื้อยืดสีดำที่พิมพ์คำหยาบคาดไว้กลางอก(มันเขียนว่า \"ไปตายซะ\" ผมว่าเขาคงรู้ว่ามีคนอยากพูดแบบนี้ใส่หน้าเขามากแค่ไหน) หูซ้ายห้อยตุ้มหุไว้ หมอนั่นชื่อ เจสัน เลแกน(เลแกนสะกดด้วยจีเอ็นเอแทนที่จะเป็นจีเอเอ็น ผมหงุดหงิดทุกที่ที่ต้องอ่านมันว่าเลแกน มันผิดหลักไวยากรณ์ชัดๆ!!) อย่าประหลาดใจที่ผมจำชื่อหมอนั่นได้ ผมจำชื่อเพื่อนได้ทุกคน แม้จะไม่อยากก็ตาม
          เจ้าเจสันยิ้ม ยักหัวให้ผมในเชิงขอโทษ ผมกำหมัดแน่นเข้า เขาขอโทษหมายถึงการที่รู้ตัวว่าผิด รู้แล้วยังจะทำ ผมเกลียดหมอนี่ ผมเกลียดคนๆนี้
          \"เพราะฉะนั้น\" ผมพูดต่อ \"ไบเบิ้ลจึงเป็นบทประพันธ์ที่.....\"
          \"หึๆๆ....ฮะๆๆๆ\"
          คราวนี้หมอนั่นหัวเราะเหมือนกับกลั้นไม่อยู่ (\"บทประพันธ์ ฮะๆๆๆ เจ้านั่นพูดว่าบทประพันธ์...\" หมอนั่นพึมพำเบาๆกลั้วหัวเราะ) ผมเงียบไปอีกหน เหมือนน้ำในกระเพาะของผมมันเดือดปุดๆไม่ต้องส่องกระจกผมก็รู้ ตอนนี้หน้าของผมคงจะเขียวจนเหมือนสีกระดานข้างหลัง ผมกำลังสู้รบกับความโกรธ ผมควรจะเดินไปกระชากคอเสื้อหมอนั่นแล้วโยนออกนอกหน้าต่างห้องเรียน(ซึ่งตอนนี้อยู่ชั้นสี่) แต่ผมไม่ทำ ผมจะไม่ทำ ผมเป็นสุภาพบุรุษพอ!
          เสียงหัวเราะเบาๆของเจสันดังมากระทบโสตประสาท แต่ผมจะเฉย พูดเรื่องของผมต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และระบายความอัดอั้นกับจินตนาการที่ผมได้ฉีกหมอนั่นเป็นชิ้นๆพลางตะโกนก้องอยู่ในหัว ผมเกลียดหมอนั่น! เกลียดเจ้าคนไม่มีมารยาทนั่น! ทำไมผมต้องมาถูกหมอนั่นหัวเราะเยาะด้วย!
          ผมเดินปะปนกับเพื่อนร่วมชั้นออกจากห้องเลคเชอร์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เป้ที่สะพายอยู่หนักอึ้ง มันเต็มไปด้วยหนังสือประกอบการรายงานที่ผมเตรียมมาประกอบการบรรยาย แต่สุดท้ายมันก็เสียเปล่า จะมีสักกี่คนเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ผมเริ่มคิดว่าถ้าหากเมื่อสามเดือนก่อนผมตัดสินใจไม่ย้ายตามแม่มาที่เมืองชนบทเล็กๆแบบนี้ ถ้าผมยืนกรานจะเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมพริ้นส์ตันที่ผมเรียนอยู่(โรงเรียนพริ้นส์ตันมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศเชียวล่ะ) ผมคงไม่เจอเหตุการณ์อะไรแย่ๆแบบนี้ นักเรียนที่นั่นเป็นระเบียบและสุภาพ หรืออย่างน้อยที่นั่นไม่มีนักเรียนนอกคอกแบบเจสัน เลแกน  
          \"เฮ้! หวัดดี! โบนาปาร์ท\" เสียงล้อโรลเลอร์เบลดเสียดสีกับพื้นอาคารเรียนดังอยู่ข้างหลังผม ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นของใคร
          \"ผมชื่อ จอห์น เอ็ม เมอร์ริสัน ถ้าคุณจะสนใจจำสักนิดนะ เลแกน\" ผมบอกเสียงเย็นอย่างไม่เป็นมิตร จิตสำนึกของผมสบถเสียงดัง ให้ตายสิ! หมอนั่นกำลังเล่นโรลเลอร์เบลดบนอาคารเรียน!! ไม่ได้อ่านกฎรึไงนะ!!
          \"โอเค้!\" หมอนั่นไถลโรลเลอร์เบลดรอบตัวผมหนึ่งรอบพลางยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ด้วยสีหน้าทะเล้น \"แต่ชั้นว่านายเหมาะกับชื่อโบนาปาร์ท มากกว่านา\"
          \"คนอย่างคุณรู้จักเค้าแค่ไหนกันเชียว\"
          หมอนั่นยักไหล่ เหมือนกับจะบอกกลายๆว่า \'สำคัญตรงไหน\'
          \"นโปเลียน โบนาปาร์ท เป็นกษัตริย์นักรบที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุโรป คาดว่าถูกระบุในบันทึกของนอสตราดามุสว่าเป็นแอนตี้ไครส์ เขาเกิดในปีคริสตศักราชที่...\"
          \"พอๆ \" หมอนั่นยกมือขึ้นเกาหลังหูอย่างรำคาญ \"นายเห็นปากกากับสมุดอยู่ในมือชั้นรึไงวะ เอะอะก็จะแจกเลคเชอร์\"
          \"คราวหลัง.... อย่าได้พูดเรื่องที่ไม่รู้จริงอีก..... เด็ดขาด!\" ผมเน้นแต่ละคำชัดเจนโดยหวังว่าถ้อยคำของผมจะทำให้เจ้านั่นรู้สึกตัวบ้าง ก่อนจะยกเป้ขึ้นพาดบ่าเดินออกไป ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงเจสันตะโกนไล่หลังผม
          \"แล้วเจอกันนะ! โบนาปาร์ท!\"
          ............................................................................................................................................................
          บ้านของผมห่างจากโรงเรียนไม่มาก ผ่านถนนเกรแฮม ถนนเวนด์ เลี้ยวเข้าตรงถนนพิชเบิร์ก ถัดไปอีกสองสามบล็อกก็จะถึงตึกอพาร์ตเม้นเก่าๆหลังหนึ่ง อัดอยู่กับตึกสำนักงานที่ขนาบสองข้าง ถึงข้างนอกจะดูโทรม แต่ข้างในหรูหราเหลือเชื่อ สองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ห้องครัวห้องอาหารก็มี ผมกับแม่จึงถุกใจตั้งแต่แรกเห็น
          \"กลับมาแล้วฮะ\" ผมร้องบอกเสียงหั่นฉับๆที่อยู่ในครัวขณะที่ทิ้งเป้ลงบนโซฟาตัวโตก่อนจะทิ้งตัวเองลงตามอย่างเหนื่อยล้า
          แม่ผมเดินออกมาจากครัวทั้งผ้ากันเปื้อน(ซึ่งเป็นปกติที่เธอจะเดินไปเดินมาทั้งวันโดยไม่ถอดผ้ากันเปื้อน) เธอเดินผ่านผมไปที่ห้องนอนก่อนจะหยิบกุญแจห้องติดมือออกมาด้วย
          \"เอ้า! จอห์น! รับนะ!\" เธอโยนกุญแจมาให้ผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมรับไว้อย่างงงๆ \"แม่จะไม่อยู่สักหนึ่งอาทิตย์ ลูกต้องอยู่บ้านคนเดียว\"
          \"แม่จะไปไหนฮะ\"
          \"เรื่องงานน่ะ ลูกรัก ที่โอกลาโฮม่า\"
          \"ฮ้า!\" ผมอุทาน แม่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนไปกองไว้บนโต๊ะรับแขกอย่างรีบเร่ง อีกสี่สิบนาทีต่อมาผมกำลังโบกมือให้เครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นไปบนฟ้า มันกำลังพาแม่ผมไปทำธุระที่โอกลาโฮม่า ไม่ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งรู้ว่าแม่จะไปต่างรัฐก่อนเวลาออกเดินทางไม่ถึงชั่วโมง แม่ผมเป็นนักข่าว งานประจำของเธอคือการเร่งรีบทำทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว ไม่เว้นเรื่องการแต่งงานและการมีลุก แต่อย่าได้คิดว่าผมควรโตมาแบบมีปัญหา ทั้งเรื่องพ่อที่จากไป ทั้งเรื่องงานของแม่ ผมจัดการได้.....ผมจัดการเองได้...ผมโอเค
          วันนี้ผมต้องกลับบ้านคนเดียว วันนี้เป็นวันที่ผมกลับบ้านคนเดียววันแรกตั้งแต่ย้ายมา ผมนั่งรถเมล์ที่เบียดเสียดไปด้วยพวกผิวสีและคนจรจัด สภาพแวดล้อมแย่ๆที่ผมไม่เคยเจอ และไม่คิดอยากจะเจอเลยในชีวิตนี้ ตอนที่ผมกับแม่อยู่เมืองหลวง ผมพยายามหลีกเลี่ยงย่านคนดำ มันอันตรายเกินไปสำหรับผม ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจพวกผิวสีอะไรนัก แต่ผมเรียนสถิติ ตามสถิติแล้วพวกคนดำมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้นมีประวัติทางการทำผิดกฎหมาย ทั้งค้ายา วิ่งราว โขมยของ ขับรถผิดกฎจราจร(อันนี้ผมนับรวมด้วย ผมเกลียดพวกไร้วินัย)
          \"เฮ้! เมอร์ริสัน!\" เสียงที่คุ้นเคยร้องทักผมข้างหลัง ได้ยินครับ! ผมได้ยินเต็มสองหู แต่ผมไม่ทักตอบ จำได้ด้วยว่านั่นเป็นเสียง แม็กส์ เวนด์ (อย่างที่คุณคิดน่ะแหละ นามสกุลหมอนั่นเหมือนชื่อถนนที่ผมกำลังผ่าน)เพื่อนร่วมชั้นผิวสีที่แต่งตัวเหมือนมาจากย่านแออัด หมอนั่นชอบนั่งข้างหลังห้อง และแอบทำอะไรสักอย่างยุกยิกใต้โต๊ะในเวลาเรียน
          เจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆผมที่กำลังอธิษฐานให้รถคันนี้มันแล่นเร็วกว่านี้อีกนิด ผมจะได้ลงป้ายหน้าเร็วๆ
          \"บ้านนายอยุ่แถวนี้เหรอ? เมอร์ริสัน\"
          \"....\" ผมเงียบ ทำเหมือนแม็กซ์เป็นมนุษย์ล่องหน ทำไมผมต้องตอบ ผมไม่มีเหตุผลที่จะตอบ
          \"บ้านชั้นอยู่ตรงถนนพิชเบร์ก ถัดจากบาร์ของจิอานนี่ไปอีกสามบล็อก นายรู้จักจิอานนี่ใช่มั้ย? ตาแก่ที่ชอบควงปืนสั้นไล่พวกขี้เมากลางดึกบ่อยๆน่ะ....\"
          \"ผมไม่รู้จัก\"
          ดูเหมือนเค้าจะตกใจกับคำตอบของผมซะหนึ่งวิ ก่อนจะเริ่มแก้สถานการณ์ \"อ้อ......ชั้นนึกว่านายจะรู้จัก เค้าดังในแถบนี้ ลูกสาวก็เจ๋ง ยายซีซิลที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลนั่นไง อ้าว!...นั่น ถึงบ้านนายแล้วเหรอ เฮ้! เมอร์ริสัน อย่าลงแถวนี้เลยน่า มันอันตราย!\"
          ผมลุกขึ้นยืนตั้งแต่รถเมล์ยังไม่ชะลอ ผมจะลงป้ายหน้าถึงแม้ว่ายังไกลจากบ้านอยู่โขก็ตาม ผมไม่อยากรู้สักนิดว่าตาแก่จิอานนี่เป็นใคร หรือลูกสาวของแกจะแจ่มขนาดไหน มันไม่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้นหรือเลวลงสักนิด ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ทำไมหมอนี่หรือใครๆต้องสนเรื่องที่ไม่มีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของตัวเองขนาดนี้ด้วยนะ
          ผมทิ้งแม็กซ์ไว้บนรถเมล์ พาตัวเองลงมาเดินข้างทางคนเดียว ถนนที่นี่เงียบและไม่ค่อยมีรถผ่าน ไฟถนนก็ติดๆดับๆ ข้างทางเป็นบ้านคนที่เข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ บรรยากาศเหมือนหนังสยองขวัญทุนต่ำ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงทึบๆอะไรบางอย่างดังบึ้ก มันดังก้องทั่วบริเวณ(ที่ถูกคือก้องไปทั้งหัวของผมมากกว่า) ท้ายทอยของผมเสียววาบ ก่อนความเจ็บปวดจะแล่นจี๊ดจากตรงนั้นมารวมกันที่ขมับ น้ำอุ่นๆข้นๆไหลลงมาเปื้อนคอเสื้อ
          ผมหันหน้าไปเผชิญกับสาเหตุ แต่ที่ผมเห็นก็เพียง เงาร่างของผู้ชายตัวโตกำลังเงื้อพลั่ว ผมควรจะเห็นหน้าเค้าชัดขึ้น ถ้าตาผมไม่พร่าไปก่อน และพลั่วที่เขาเงื้ออยู่จะไม่เคลื่อนที่มาปะทะหน้าผากของผม
          \"บึ้ก!\"
          ผมหน้าหงาย ภาพเบื้องหน้าดับวูบเหมือนทีวีที่ถูกปิด
          ......................................................................................................................................
          ผมรู้สึกเหมือนก้อนไขมันในหัวของผมมันถูกเขย่า โลกทั้งโลกหมุนติ้วจนผมไม่กล้าลืมตา ผมสลบ สลบไปนานแค่ไหนกันนะ ตัวทั้งตัวของผมกำลังอยู่กับอะไรสักอย่างที่นิ่มๆ คงเป็นที่นอน
          \"เฮ้!...\"
          ผมได้ยินเสียงเหมือนใครเรียกอยู่ไกลๆ แล้วก็ค่อยๆใกล้เข้ามาจนได้ยินชัด
          \"เฮ้!.... โบนาปาร์ท นายรู้สึกยังไงบ้าง\"
          ผมปรือตาขึ้นมอง ภาพเพดานขาวๆค่อยๆชัดขึ้น ผมกวาดสายตาไปรอบๆ โต๊ะ เก้าอี้ทำงานที่ทำจากไม้เก่าๆ โปสเตอร์การ์ตูนฮีโร่เรื่องฮิตติดหราอยู่บนผนัง ผมมองกวาดไปทางขวา ใบหน้าใครคนหนึ่งพร่ามัว เขากำลังนั่งข้างเตียงที่ผมนอนอยู่
          \"น....นาย \" ผมส่งเสียงอย่างเหนื่อยล้า \"เลแกน\"
          ผมตกใจจนสะดุ้ง รู้สึกแข็งแรงขึ้นทันใด ผมพยายามยันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างยากลำบาก แม้ผมอยากจะวิ่งออกไปซะตอนนี้ แต่ดูเหมือนร่างกายของผมมันจะไม่เล่นด้วย
          \"ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่!\"
          \"ก็นี่มันรังของชั้นนี่หว่า\" หมอนั่นว่า \"ชั้นกำลังเดินกลับบ้าน ก็เห็นนายนอนกองอยู่ข้างทาง\"
          ผมยกมือขึ้นคลำหัวตรงที่จำได้ว่าถูกประทุษร้าย มันพันผ้าไว้เรียบร้อย
          \"ของของนายถูกฉกไปเกลี้ยงเลยล่ะ ไม่มีใครบอกนายรึไงว่าแถวนั้นมันย่านดาวน์ทาวน์ ตอนกลางคืนดึกๆไม่มีใครเค้าผ่านร้อก\"
          \"ผมจะกลับบ้าน!\"
          \" ถ้านายอยากโดนฟาดด้วยพลั่วอีกรอบนะ เสียใจนะเพื่อน แต่นายต้องค้างที่นี่แล้วล่ะ\"
          เสียงในหัวของผมตะโกนก้อง ผมไม่ค้าง! ผมไม่อยู่กับหมอนี่ ไม่อยากทนใช้ออกซิเจนร่วมกันกับหมอนี่ ผมคลื่นไส้!
          เจสันหันมามองผม ถ้าผมตาไม่ฝาดแววตาสีฟ้าจัดนั่นทอประกายขบขันแวบนึง \"ชั้นจะไปนอนข้างนอก\"
          \"อะไร! ผมหมายถึง ทำไมล่ะ?\"
          \"มีความเป็นไปได้สองทาง เตียงบ้านี่มันแคบกว่าปกติ ชั้นคงไม่พิศวาสนายพอที่จะนอนกอดนายได้ทั้งคืนหรอกนะ แล้วพื้นนี่ก็เย็นเป็นบ้า ชั้นยังไม่อยากเป็นหวัดตอนใกล้สอบเพื่อนายหรอก\"
          \"แล้ว...ข้างนอก\"
          \"ลืมบอกไป...ที่นี่เป็นโบสถ์น่ะ\"  
          ผมตกใจจนคิ้วขมวด หากเจสันหายสาบสูญ หรือไม่ไปเรียน โบสถ์ควรเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผมคิดว่าจะสามารถหาคนอย่างเขาได้ ที่สำคัญ ย่านดาวน์ทาวน์แบบนี้มันมีโบสถ์ได้ยังไง ไม่ควรมีใครอุตริตั้งโบสถ์ในที่แบบนี้  
          หมอนั่นยักไหล่ให้ท่าทางตกใจของผม \"ปกติแล้วอยู่กับหลวงพ่อเมอร์ด็อก แต่แกไปผ่าตัดข้อเท้าพักนึง ตอนนี้ชั้นก็เลยใหญ่ที่สุด ออกไปดูห้องนมัสการกันมั้ย เผื่อนายอาจอยากนอนที่นั่นแทนชั้น\"
          ผมเลิกไปโบสถ์วันอาทิตย์ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ.......
          ยาวนานจนจำกลิ่นเทียนไขไม่ไม่ได้ ตั้งแต่พ่อของผมทิ้งแม่กับผมไว้กับรถเก่าๆอีกหนึ่งคัน(อะไรนอกจากนั้นพ่อขนไปหมด) ห้องนมัสการเงียบและสลัว แสงสว่างมาจากไฟนีออนเก่าๆดำๆ แต่ผมกลับหูแว่วเสียงสวดด้วยท่วงทำนองเคล้าเสียงเปียโน เก้าอี้ยาวแต่ละตัวทำจากไม้ถูกๆ แถมบางตัวยังมีรอยกระสุน รูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนที่อยู่เหนือหัวขึ้นไปเป็นสนิมจนดูเหมือนเป็นปานทั้งตัว ผมเดินทะลุทางเดินตรงกลางไปตรงหน้าแท่นพิธี
          \"หมอนั่นมันบ้าเนาะ.....นายว่ามั้ย....\" เจสันเอนหลังพิงเก้สอี้ยาวตัวหลังสุด ยกเท้าทั้งคู่ไขว่ห้างพาดกับเก้าอี้ตัวข้างหน้า
          \"อะไร!..นายหมายถึงใคร?\"
          \"ก็ นั่นไง\" เจสันบุ้ยใบ้ไปทางรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนที่เหนือหัวของผมขึ้นไป \"ท่าจะเจ็บนะ โดนตอกตะปูขึงตากแดดไว้ตั้งหลายวัน นายว่าเค้าจะทนทำไมวะ\"
          \"ไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งหลายไงล่ะ นายไม่ได้ลงเรียนวิชาศาสนศาสตร์ตอนเด็กๆรึไงนะ\" ผมว่า
          \"ชั้นเคยอยากรู้ว่าตอนที่หมอนั่นอยู่บนนั้น หิวแทบบ้า เจ็บจนอยากตาย เค้าคิดอะไรของเค้าอยู่? เป็นชั้นคงโดดลงตั้งแต่วันแรกแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ\"
          \"โดนตรึงกับกางเขน จะโดดลงมาได้ไง\"
          \"อ้าว!....ขนาดแหกคุก ชุบชีวิตคน รักษาโรคร้ายยังทำได้ นับประสาอะไรกะอีแค่กางเขน พระเจ้านะเว้ย! ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว!\"
          ผมจนแต้ม ไม่รู้จะพูดต่อยังไงดี ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น \"อาจเป็นช่องว่างของบทประพันธ์ไบเบิ้ล........\" ผมตอบ อาจเป็นตอนจบที่คนแต่งอยากให้ผู้อ่านซาบซึ้งจนไม่เอะใจว่ารายละเอียดมันขัดกับตอนแรก เกิดขึ้นบ่อยกับวรรณกรรมที่เก่ามากๆ
          \"หึๆๆๆ....ฮ่าๆๆๆ\" หมอนั่นหัวเราะเสียงดังจนก้องโถง \"นายนี่จี้ว่ะ โบนาปาร์ท ชั้นบอกว่า......ชั้นพูดว่า \'เคย\' อยากรู้ แสดงว่าตอนนี้ชั้นหาคำตอบได้แล้วน่ะสิ\"
          ผมหายใจแรงอย่างหงุดหงิด \"แล้วคำตอบมันคืออะไรล่ะ\"
          \"ม่ายบอก.....อยากรู้ก็หาเอาเองสิวะ โบนาปาร์ท\"
          ผมหงุดหงิดมากขึ้น ผมเกลียดการเล่นเอาเถิดที่สุด ทำไมหมอนี่ถึงเป็นแบบนี้อยู่ตลอดนะ \"ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ทุกครั้งนะ แบบ...ไม่ใส่ใจกติกา กฎ ไม่มีแบบแผน ไม่มีการวิเคราะห์ถูกผิด ไร้มารยาทกับคนอื่นได้หน้าตาเฉย นายไม่เคยนึกบ้างเหรอว่านายน่ะเป็นคนประเภทไหน ไม่มีใครบอกนายรึไง ว่านายนะมันงี่เง่า! หลวงพ่อไม่บอกนายรึไง รึท่านรำคาญเกินกว่าจะพูดด้วย!!\"
          ขณะที่ผมหายใจแรงขึ้นอย่างหงุดหงิด และกำลังคิดว่าเจสันคงจะปราดมาชกผมด้วยความโมโหแน่ๆ หมอนั่นกลับเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะเหมือนผมเพิ่งพูดอะไรที่น่าขำมากๆออกไป
          \"นายนี่จี้กว่าทีชั้นคิดอีกว่ะ ฮะๆๆๆ\" หมอนั่นพุดกลั้วหัวเราะ \"บอกชั้นหน่อยสิ มิสเตอร์ \'อัจฉริยะ\' ทำไมชั้นถึงเรียกนายว่าโบนาปาร์ท\"
          \"ผมไม่รู้ ผมคิดไม่ออก\"
          \"คิดไม่ออก คำนี้สมเป็นนายดี คำถาม? กัปตันเรือลำหนึ่งกำลังเดินเรืออยู่กลางทะเล เขามีแผนที่ เข็มทิศ เนวิเกเตอร์ที่เจ๋งที่สุด แล้วทำไมเค้าถึงหลงทาง\"
          ผมนิ่ง นี่ปัญหาอะไรเอ่ยแบบไหนกันเนี่ย
          \"แอ๊!!!\" เจสันเลียนแบบเสียงออดหมดเวลาของรายการเกมส์โชว์ \"หมดเวลา! คำตอบคือ เพราะว่าเขามีอุปกรณ์เพียบพร้อมเกินไปจนไม่เชื่อว่าตัวเองกำลังหลงทางน่ะสิ! โบนาปาร์ท นายน่ะฉลาดชิบเป๋ง แต่คนบางคนฉลาดเกินไปจนไม่รู้ว่าตัวเองโง่ตรงไหน คนบางคนเพียบพร้อมเกินไปจนไม่รู้ว่าตัวเองขาดตรงไหน\"
           \"นายกำลังบอกว่าชั้นหลงทาง?\"
          \"เปล๊า! ชั้นกำลังบอกว่านายโง่ต๊ะหาก\"
          \"ผมไม่ได้โง่!!\" ผมตะโกน แต่เจสันหัวเราะร่วน
          \"ก็ตรงนี้ไงล่ะ ที่นายไม่ฉลาดเอาซะเลย ฮะๆๆๆๆ\" หมอนั่นหัวเราะ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวอย่างสบายอารมณ์ \"ราตรีสวัสดิ์ แล้วพยายามหาทางเทียบท่าให้ได้นะ คุณกัปตันคนเก่ง!\" แล้วเค้าก็หลับผล็อย ผมหมายถึงหลับจริงๆ ไม่ใช่แค่หลับตา(ผมได้ยินเสียงเขากรนด้วย)
          น่าแปลก เรื่องที่เค้าพูดมันแปลกๆ ผมได้ยินเสียงตัวเองบอกว่าอย่าสนใจ หมอนั่นมันเพี้ยน ก็เลยพูดอะไรแปลกๆไร้แก่นสาร แต่จิตใต้สำนึกของผมมันฟ้อง ผมกำลังรู้สึกเจ็บแปลบๆที่หน้าอก ตามหลักแล้ว นี่เป็นอาการของคนที่ถูกแทงใจดำ
          ผมโง่เหรอ(ถ้าหมอนั่นพูดถูก)..... ผมกำลังหลงทางเหรอ ?
          \"กร๊งงงงงง!!!\" เสียงโทรศัพท์ของโบสถ์ดังก้อง มันเป็นโทรศัพท์แบบเก่าที่ยังใช้แป้นหมุนหมายเลขปลายทาง และเสียงกริ่งของมันก็ดังเหมือนสัญญาณไฟไหม้ ผมเหลือบดูคนที่อ้างตัวว่า \'ใหญ่\' ที่สุดในโบสถ์ขณะนี้นอนแผ่หลาบนเก้าอี้ยาวจนมือเท้าระกับพื้น(แถมยังกรนดังกว่าเสียงโทรศัพท์ซะอีก) ผมก็เลยตัดสินใจได้ง่ายๆว่าผมคงต้องรับโทรศัพท์เอง
          \"ฮัลโหล โบสถ์...เอ่อ...\" ตายล่ะ! ผมลืมถามชื่อโบสถ์ \"โบสถ์แถวถนนเวนด์ฮะ...ต้องการพูดสายกับใครฮะ\"
          \"ไม่ทราบว่าคุณเมอร์ริสันอยู่ที่นั่นรึเปล่าคะ\" เสียงผู้หญิงตอบกลับมา เธอเกือบจะตะโกนด้วยซ้ำเพราะเสียงคนที่อยู่ข้างหลังอื้ออึงมาก
          \"ฮะ...ผมชื่อเมอร์ริสัน\" ผมแปลกใจนิดๆ ทำไมถึงโทรหาผมถูกที่ได้นะ
          \"เป็นญาติกับ ชาล็อต เมอร์ริสัน รึเปล่าค๊ะ\"
          \"ฮะ เธอเป็นแม่ผม\"
          \"คือ เครื่องบินเที่ยวที่เดินทางไปโอกลาโฮม่าประสบอุบัติเหตุ ระหว่างทางค่ะ! ตอนนี้คุณแม่ของคุณอยู่ในไอซียูที่โรงพยาบาลเชอร์ริงตัน กรีนฮิล แมสซาซูเสส คนไข้เก็บเบอร์นี่ไว้ในกระเป๋า เอ่อ....ฮัลโหล.....ฮัลโหล...คุณเมอร์ริสัน!...ยังอยู่มั้ยคะ!....คุณเมอร์ริสัน!!\"
          ................................................................................................................................................................
          ผมออกมาจากโบสถ์ได้ยังไง? ผมกลับบ้านไปเอาเงินจับเครื่องบินไปแมสซาซูเสสตอนไหน? หรือแม้แต่ตอนนั่งอยู่บนเครื่องผมยังจำไม่ค่อยได้ ผมว่าผมได้ยินเสียงพยาบาลบอกว่าเครื่องบินตก แม่ผมอยู่ไอซียู จากนั้นผมก็เผ่นแน่บออกมาจากโบสถ์นั่นเลย ผมตกใจ ตกใจที่สุดในชีวิต ผมคิดแค่ว่าต้องไป ต้องไป....แล้วผมก็มาอยู่ที่สนามบินแมสซาซูเสสในตอนสายวันต่อมา
          ผมจับรถจากที่นั่นไปที่กรีนฮิล เงินที่ผมเอามาเท่าไรก็ไม่รู้ แต่มันพอ ผมไม่หิว ไม่ง่วง ผมกินอะไรไม่ลง แค่คิดว่าแม่จะจากผมไปผมก็สติแตก แม่เป็นครอบครัวของผม เป็นครอบครัวคนเดียวของผม ถ้าผมไม่มีแม่....ไม่! ไม่!เธอจะไม่เป็นอะไร!! เธอจะไม่เป็นไร!!
          ผมถึงโรงพยาบาลในตอนเกือบค่ำ คนไข้หนาตากว่าปกติ อย่างน้อยก็มากกว่าโรงพยาบาลที่ผมเคยเห็น ผมวิ่งไปที่ชั้นไอซียูทันทu หัวใจผมเต้นรัวแต่แผ่วเบา ผมเย็นวาบที่กระดูกสันหลังและหน้าอก นี่เป็นอาการที่เรียกว่าความกลัวสินะ
          แล้วผมก็เห็นแม่ แม่นอนอยู่บนเตียง สายน้ำเกลือและสายอะไรเยอะแยะระโยงระยางเต็มรอบๆที่นั่นไปหมด ผิวขาวๆของแม่ซีดเผือด ปากที่อ้าค้างมีสายอะไรสอดเข้าไปด้วย นั่นไม่ใช่แม่ที่ผมเคยเห็น ผมไม่เคยเห็นเธอในสภาพแบบนี้!
          \"คุณเมอร์ริสัน ใช่มั้ยครับ\" หมอหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม \"ผมอยากให้คุณทำใจสักนิดกับเรื่องที่ผมจะพูด \"
          ผมควรจะเตรียมตัวฟังอย่างที่หมอพูด แต่ขาผมกำลังสั่น ตัวผมชาเหมือนโดนไฟช็อต ผมยังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง
          \"คุณแม่ของคุณ อาจอยู่ไม่ถึงคืนนี้.....ผมเสียใจครับ...\" แล้วเขาก็หันหลังเดินจากผมไป
          ผมทรุดตัวลงไถลไปกับผนัง โลกทั้งโลกของผมกำลังพังทลาย ผมไม่มีญาติ ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากแม่.......แล้วผมก็ร้องไห้ ผมสะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นเหมือนผู้หญิง ผมซุกหัวลงกับพื้นเหมือนหวังว่ามันจะดึงตัวของผมให้จมลงไป ผมได้ยินเสียงตัวเองในหัวร้องก้อง \'แม่ต้องไม่ตาย! เธอต้องไม่ตาย! เธอต้องไม่ตาย!\' แต่เสียงอีกเสียงกลับคัดค้าน \'เธอจะตาย! หมอบอกว่าเธอจะตาย!\' แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือผมได้แต่ร้องไห้ ผมทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้สักอย่าง!!
          \"เฮ้....โบนาปาร์ท\" เสียงทักทายเบาๆดังขึ้นข้างตัวผม ผมเงยหน้าที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมอง เจสันยืนอยู่ตรงนั้น หัวสีส้มของเขาตัดกับสีผนังโรงพยาบาลเด่นชัด เสื้อกางเกงยังเป็นชุดเดิม
          ผมไม่มีอารมณ์จะถามว่าเขาตามผมมาได้ยังไง สิ่งเดียวที่ผมนึกได้หลังจากที่เห็นหน้าเขาก็คือพระเจ้า...ใช่...พระเจ้า! พระเจ้าชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น รักษาโรค และแหกคุก(อย่างที่เจสันบอก)
          \"เจสัน เลแกน....\" ผมเรียกชื่อหมอนั่นอย่างมั่นคง แม้เสียงมันจะเครือก็ตาม \"ตอบผมตรงๆ....พระเจ้ามีจริงมั้ย?\"
          หมอนั่นยิ้ม \"จริงที่สุด....\"
          \"เค้าทำอย่างที่เขียนไว้ในไบเบิ้ลได้จริงๆใช่มั้ย?\"
          \"รับรองด้วยชีวิตของชั้นเลยล่ะ กัปตัน\"
          ผมเม้มปากแน่น ผมกำลังหักหลังความคิดตัวเอง แต่ผมไม่สน ถ้ามันทำให้แม่รอด ผมได้ยินเสียงวี้ดยาวๆของเครื่องวัดคลื่นหัวใจหรืออะไรก็สักอย่าง หมอและพยาบาลอีกโหลวิ่งเข้าไปในห้องของแม่ ทุกคนรีบเร่งและซีเรียส ผมไม่เคยใช้ความรู้สึกตัดสินปัญหา แต่ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่า อะไรก็ตามทีเถอะ ในวินาทีนั้นผมเลือกที่เชื่อสิ่งที่ผมเคยเรียกว่าบทประพันธ์
          \"ผม....หลงคิดว่ารู้ทุกอย่าง...จัดการได้ทุกอย่าง....แต่...มันไม่ใช่....ผมมันไอ้งี่เง่า!...จะมีประโยชน์อะไร!..ถ้าผมอยู่ข้างนอกนี่.. ผมช่วยใครไม่ได้.....ผมช่วยแม่ผมไม่ได้!!\"
          \"อย่าคิดมาก....\" หมอนั่นว่า \"อธิษฐานกันเถอะ\"
          ใจนึงผมคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรไร้ประโยชน์ แต่ผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้มั้ยล่ะ ผมไม่มีทางเลือกแล้ว...
          ผมหลับตา นึกถึงตอนเด็กๆ ตอนที่ผมอธิษฐานกับพระเจ้าครั้งแรกแบบนกแก้ว ผมไม่รู้ความหมาย เอาแต่ขออะไรไร้สาระอย่างจักรยาน คอมพิวเตอร์ รถบังคับ แต่คราวนี้ผมเอาจริง ผมยอมทุกอย่าง จะให้ผมทิ้งอะไรก็ยอม ถ้าแม่ผมจะไม่ตาย ผมเริ่มอธิษฐาน อธิษฐานและอธิษฐานอย่างเอาเป็นเอาตาย พระเจ้า!.....พระเจ้ามีจริงใช่มั้ย!....ช่วยแม่ผมด้วย!....ผม.....ผม.....
          ผมได้ยินเสียงตึบๆเหมือนของหนักๆหล่นในห้องนั้น หมอคงกำลังปั๊มหัวใจแม่ด้วยไฟฟ้า
          \"เร็วเข้า!...โบนาปาร์ท!...\"
          ผมหลับตาแน่น เสียงอธิษฐานของผมดังก้องในหัวเหมือนใส่เอคโค่ พระเจ้า! จะอะไรก็ตาม ผมยอมทุกอย่าง ผมรู้แล้วว่าผมโง่!..ใช่!...ผมโง่!...เพราะผมบอกว่าตัวเองไม่โง่ ...ผมถึงโง่ที่สุด!...ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหลงทาง...เพราะผมถือแผนที่อยู่! แต่ผมรู้แล้ว รู้แล้ว ผมเข้าใจแล้ว....ถ้าผมไม่มีแม่...มันจะมีความหมายอะไร....ผมจะเป็นผมได้ยังไง ถ้าไม่มีแม่.....ถ้าไม่มีพระเจ้า!
          \"เธอจะไม่ตายแน่นอน...\" เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของผมพร้อมๆกับความอุ่นวาบทั่วตัว
          เสียงตึบครั้งสุดท้ายหยุดลง เสียงตี๊ดๆของเครื่องวัดคลื่นหัวใจกลับมาดังเป็นจังหวะ
          ........................................................................................................................................................
          \"เฮ้...เมอร์ริสัน นายว่าแม่นายจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไร\"
          แมกซ์ เวนด์พูดขึ้นก่อนจะยืดตัวชู้ตลูกบาสลงในห่วงเหล็กแบบทำเอง มันลงอย่างสวยงาม สนามบาสเป็นที่ๆผมไม่ค่อยคุ้น บอกตรงๆว่าผมอ่อนเรื่องกีฬาอย่างร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากปฏิเสธคำชวนของแมกซ์ เขาเป็นคนดีผิดกับหน้าตา เพียงแต่พูดเก่งไปหน่อย คุณต้องทนพยักหน้าหงึกๆกับเรื่องที่เขาเล่าทั้งวัน แมกซ์มีความรู้เต็มหัว อาจจะรู้เยอะกว่าผมด้วยซ้ำ ที่เขาชอบเขียนหนังสือหรือไม่ก็บทความแล้วเก็บไว้เป็นเล่มๆ(น่าสนใจที่ฝีมือเขาดีมากๆ) แม้แต่ในเวลาเรียนก็ยังเขียน นั่นเป็นสาเหตุที่เขาชอบยุกยิกใต้โต๊ะในชั่วโมง
          \"มะรืนนี้\" ผมพูดพลางรับลูกที่ส่งมาจากแมกซ์ มันหนักหน่วงใช้ได้ทีเดียว \"นอร์แมนให้ชั้นยืมรถ ถ้าชั้นจะช่วยเขาทำรายงานประวัติศาสตร์\"
          \"อะฮ้า...\" เขาร้องพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ \"พ่วงเบอร์โทรของแม่น้องสาวเคช่าด้วยรึเปล่า ดาวโรงเรียนเลยนะนั่น\"
          \"เปล่าโว้ย\" ผมว่าพลางส่งลูกกลับไปให้เจ้าแมกซ์นั่นแรงๆ \"ว่าแต่เลแกนหยุดเรียนไปนานแล้วนะ หมอนั่นไปไหน\"
          \"เลแกนไหน\" แมกซ์ขมวดคิ้ว ทิ้งบอลแล้วเลี้ยงลุกไปพลาง
          \"เจสัน เลแกน นายไม่รู้จักได้ไง อยู่ชั้นเดียวกับพวกเรานะ?\"  
          \"ไม่นี่.....ในชั้นเราไม่มีใครชื่อเลแกนเลยนะ\"
          \"ได้ไง\" ผมร้อง \"คนที่ชื่อสะกดแปลกๆน่ะ จีเอ็นเอ แทนที่จะเป็น จีเอ.....\"
          ผมหยุดกึก ความคิดผมม้วนตัวรวมกันเหมือนเครื่องปั่น แล้วผมก็ต้องหัวเราะกับผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของมัน
          \"ตกลงเจ้าเลแกนนี่มันใครวะ\" แมกซ์พูดพลางยกลูกขึ้นตั้งท่าชู้ตอีกครั้ง
          ผมยิ้ม \"ไม่มีอะไรหรอก\" ผมพูด ก่อนที่จะวิ่งไปสกัดลูกของแมกซ์
          (สำหรับคนที่เล่นเกมอักษรไม่เก่ง เลแกน = LEGNA สับที่ตัวอักษรจะได้ว่า ANGEL = เทวดา)
          .....................................................................................................................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×