มีตำนานทางพระคริสต์ศาสนาระบุไว้ว่า...
     
      แรกเริ่มเมื่อพระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลกนั้นกุหลาบยังปราศจากหนาม เช่นเดียวกะพืชทุกชนิดที่ไร้หนามเช่นกัน แต่เมื่อมานุด0.o คู่แรกของโลก \" ไม่เชื่อฟังพระเจ้า \" ด้วยการฝ่าฝืนคำตรัสห้ามกินผลไม้ต้นที่อยุ่กลางสวน ทำให้เกิดบาปขึนในโลก พระเจ้าจึงทรงสาปแช่งว่า \" แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า \" นับตั้งแต่นั้นมากุหลาบและพืชพรรณอีกหลายร้อยหลายพันชนิดจึงมีหนามแหลมคม
     
      ตำนานเก่าแก่ของชาวเปอร์เซียก็เขียนไว้ว่า ศาสดาพยากรณ์นามว่า \" โซโรอัสเตอร์ \" แห่งเปอร์เซีย เมื่อครั้งยังเป็นทารกอยุ่นั้น ถุกกษัตริย์นิมรัดแห่งกรุงบาบิโลเนียจับโยนใส่กองไฟ แต่น่าอัศจรรย์ที่กองไฟดับมอดลงและเถ้าถ่านก็กลายเป็นดอกกุหลาบแทน ทารกน้อยจึงนอนหลับสบายท่ามกลางกลิ่นหอมจรุงใจของดอกกุหลาบนานาพันธุ์ ซึ่งชาวเปอร์เซียโบราณได้วาดภาพให้ดอกกุหลาบที่รองรับทารกร้อยเป็นเหมือนพรมอันอ่อนนุ่ม ด้วยเหตุดังกล่าว พรมของเปอร์เซียจึงมักมีรูปดอกกุหลาบปักเป็นลวดลายอยู่ด้วย
      ชาวเปอร์เซียอีกนั่นแหละได้ให้ข้อคิดว่า ถ้านำเอาเครื่องเทศสมุนไพรหายากนานาชนิดมาวางปะปนกับดอกกุหลาบ แล้วให้นกไนติงเกลบินเข้าหา มันจะบินเข้าหาดอกกุหลาบเท่านั้น นกไนติงเกลจึงมีปรากฏปักบนพรมเปอร์เซียด้วย
      ทางด้านศาสนาฮินดูมีตำนานเกี่ยวกะดอกกุหลาบว่า เมื่อครั้งพระพรหมทรงสร้างโลก พระองค์มีพระประสงค์จะมอบสิ่งที่สวยงามประเสริฐสุดแก่แม่ลักษมี ปรากฏว่าในสิ่งสวยงามประเสริฐนั้น พระพรหมทรงเลือกดอกกุหลาบมอบให้แด่พระมเหสีของพระองค์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดอกกุหลาบเป็นของสูง
      ชนเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกามีความเชื่อเกียวกะกุหลาบว่า มีนักรบคนหนึ่งชื่อ \" ทะสูเวนาฮี \" ได้กลับจาการล่าสัตว์มายังที่พักของตน แล้วพบว่าสาวน้อยคนรักที่ชื่อ \" โดวันซา \" ได้เสียชีวิตแล้วเพราะถูกนักรบจากเผ่าอื่นบุกโจมตี และสังหารเธอ ปรากฏว่าสาวน้อยคนรักได้กลายเป็นดอกกุหลาบ ทะสูเวนาฮีเสียอกเสียอกใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานขอให้ตัวเองกลายเป็นต้นกุหลาบที่มีหนามแหลมคม เพื่อมิให้ใครผู้ใดเข้าแตะต้องดอกกุหลาบได้สะดวก
     
      สมัยจักรพรรดิเนโรครองอาณาจักรโรมัน (ทศวรรษที่ 37-68 ก่อน คริสต์กาล ) พระองค์ทรงใช้เงินจำนวนมหาศาลสั่งซื้อดอกกุหลาบมาประดับประดางานเลี้ยงที่อ่าวบาอิแอ เล่ากันว่าเนโรทรงโปรดปรานดอกกุหลาบยิ่งกว่าดอกไม้ชนิดอื่นๆ ขนาดใช้พระเขนยที่ยัดไส้ด้วยกลีบกุหลาบไว้ในห้องบรรทม แม้แต่งานเลี้ยงที่อ่าวบาอิแอก็ทรงโปรดให้โปรยดอกกุหลาบจากเพดานสู่พื้นไม่ขาดสาย
      ครั้นถึงสมัยจักรพรรดิเอลิกาบาลุส ก็ทรงโปรดดอกกุหลาบเช่นกัน ทรงใช้วิธีโปรยกลีบดอกกุหลาบจากเพดานสู่พื้นงานเลี้ยงสำคัญๆ ทั้งนี้เพราะชาวโรมันโบราณเชื่อวกันว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความลึกลับอาถรรพ์ ถ้าชาวโรมันต้องการประชุมลับเขาจะวางกุหลาบไว้หน้าอาคารสถานที่ประชุมนั้นๆ ซึ่งเป็นที่มาของคำละตินที่ว่า Sub rosa ก็คือ Under the rosa อันหมายถึง \" ลับสุดยอด \" นั่นเอง
      ในอดีตอันไกลโพ้น มีเรื่องเล่าว่า \" นครโรดส์ \"( RHODES ) ที่ยิ่งใหญ่สวยงามของกรีก ได้ชื่อมาจากคำว่า RHODEN แปลว่าดอกกุหลาบ สัญลักาณ์ของนครโรดส์คือดอกกุหลาบซึ่งตั้งอยุ่ริมฝั่งทะเลแห่งนี้ปลุกดอกกุหลาบไว้มากมายจนกลิ่นฟุ้งหอมกระจายฟุ้งไปไกลนับพันๆเมตร กระทั่งชาวเรือที่อยุ่ห่างออกไปเป็นกิโมตรเศษๆยังได้กลิ่น นอกจากนั้น เมื่อนักโบราณคดีขุดซากนครแห่งนี้ ก็พบเหรียญที่มีรุปดอกกุหลาบอยู่แทบทุกเหรียญ
    กุหลาบนั้นถือกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่าเป็น \" ราชินีแห่งดอกไม้ \" ในภาษาอังกฤษคำว่า ROSE ดอกกุหลาบมาจากการสลับอักษรพระนามของเทพเอรอส EROS โอรสของเทพวีนัส หรือ คิวปิด หรือ กามเทพนั่นเอง เมื่อเทพเอรอสแย้มสรวลก็เกิดเป็ยดอกกุหลาบขึ้น
      กุหลาบเป็นไม้ดิกดึกดำบรรพ์มที่มนุษย์รุ้จัก และมีนิทาน , นิยาย ,ตำนาน,ความเชื่อถือเกี่ยวกะกุหลาบมากมาย แม้ว่าจะเป็นไม้หนามแหลมคมรอบลำต้น แต่ก็เป็นไม้ปลุกประดับอาคารบ้านเรือนที่นิยมกันทั่วโลก โดยเฉพาะดอกของมันนอกจากสวยงามแล้วยังมีกลิ่นหอมจรุงใจ คงไม่มีใครปฏิเสธที่จะรับดอกกุหลาบไว้ในมือหรอกจริงมะ ^o^
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น