คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6..................เส้นทางของผู้จงรักภักดี
ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า
เส้นทางของผู้จงรักภักดี
-6-
ประตูแกะสลักบานใหญ่ของหอคอยกลางดำทมึฬยังคงปิดสนิท ทุกคนต่างใจจดใจจ่อต่อการปรากฏตัวของใครบางคนที่อยู่หลังประตู โคมไฟถูกจุดขึ้นทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ชายในชุดสีดำคลุมตลอดทั้งตัวเช่นดียวกับเหล่าคนที่มายืนชุมนุมปรากฏขึ้น ชายผ้าริ้วโล้ไปตามสายลมที่จู่ๆก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ลมหายใจสูงๆต่ำๆของเขาทำให้ฝูงชนที่มายืนออกันอยู่ขนลุกกันไปตามๆกัน เขาเดินผ่านฝูงชนไปอย่างไม่ลังเล ผลักชายคนที่อยู่ตรงหน้าทรุดลงไปกองกับพื้น ชักดิ้นชกงอย่างไร้เหตุผล ฝูงชนแหวกเป็นช่องทางให้เขาเดินอย่างอัตโนมัติสักครู่ก็มาหยุดตรงหน้าชายคนหนึ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่ท้ายสุดของแถวเขาหอบม้วนกระดาษพะลุงพะลัง น้ำเสียงที่ไร้ความปราณีเล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมที่ซ่อนเร้นใบหน้าเอาไว้
“เตรียมมาครบแล้วใช่ไหมเมมฟิส” น้ำเสียงหนักและทุ้มแฝงด้วยโทสะ
“ครบถ้วนไม่มีอันไหนขาดหายแม้แต่ชิ้นเดียวเลยครับ ท่านลอร์ด”
“ดี เดี๋ยวข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม” มีน้ำเสียงแสดงความพอใจเจือออกมา
“ขอบคุณท่านลอร์ด” เมมฟิสก้าวถอยหลังอย่างนอบน้อม
ชายสองคนถือโคมไฟรออยู่ที่ประตูด้านตะวันออกของประตูทั้งสีทิศที่เชื่อมต่อกับหอสำคัญต่างๆของปราสาท ฝูงชนแต่เดิมยืนรวมกันเริ่มตั้งขบวนเดิมตามเขาไปอย่างกระชั้นชิด ชายสองคนที่ยืนเฝ้าประตูด้านตะวันออกโค้งคำนับเมื่อเขาเดินมาถึง ทั้งสองเดินนำขบวนผ่านประตูไม้และเพดานโค้งยอดหลังคาแหลมที่มีแสงดาวระยิบระยับละลานตาไปทั่ว ทางเดินที่ขนาบด้วยระเบียงที่มีเสาสองเสาที่ลู่เอียงมาบรรจบตรงกลางรองรับหลังคารูปสามเหลี่ยมที่เลื้อยเป็นทางยาวข้ามหุบเหวไปบรรจบกับหอคอยทรงสูงยอดแหลมที่อยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่ง ฝูงนกที่อยู่ๆก็ปรากฏตัว ต่างบินวนรอบหอคอยดำทมึฬส่งเสียงระงมไปทั่ว เมมฟิสหอบม้วนกระดาษตามหลังท่านลอร์อย่างหวาดๆด้วยความลุกลนเขาสะดุดขาใครบางคนในกลุ่มคนใส่ชุดดำในขบวนล้มไปกองกับพื้น ม้วนกระดาษกระจัดกระจาดไปทั่ว
“เก็บมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้แล้วตามข้ามา เร็ว!” ลอร์ดออกคำสั่ง
เมมฟิสโกยม้วนกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นและวิ่งตามขบวนไปติดๆ ประตูที่อยู่ด้านตรงข้ามของทางเชื่อมเปิดออกด้วยสัตว์ยักษ์หนึ่งตัวที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ มันส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ คนในชุดคลามิสโอบรอบไหล่ด้านซ้ายรวบชายให้ติดกันด้านขวา หวดแซ้หนามลงบนผิวที่หยาบกร้านของมันในขณะที่มันก้าวเดินไปข้างหน้า เชือกที่ยึดระหว่างมันและประตูหินขนาดใหญ่ขึงตึง ทำให้ประตูที่ถูกปิดอยู่เคลื่อนตัวเปิดอย่างช้าๆ มีลมวูบหนึ่งพัดมจากหลังประตูนั้น ฝูงชนที่มาออกันหน้าประตูหิน ต่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้น เสียงกระซิบอื้ออึงไปทั่ว แต่สำหรับลอร์ดเขาดูสงบนิ่ง มีแต่ท่วงท่าที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่สำคัญต่อเขามาก เขาก้าวขึ้นบันไดอย่างวางมาด จิตใจจดจ่อกับสิ่งด้านใน เสียงลมหายใจมองดูจะหายไปชั่วขณะ ฝูงคนเงียบเสียงลง สัตว์ยักษ์ก้มหน้าด้วยความเจ็บปวดและเรี่ยวแรงที่ลดลงหลังจากทุ่มเท่ให้กับการเปิดบานประตูหิน ความมืดเริ่มดูดกลืนแต่ละส่วนของลอร์ดในขณะที่ย่างเท้าผ่านธรณีประตู จนกระทั่งถูกกลืนหายไปกับความมืด ฝูงชนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งและทยอยเดินข้ามธรณีประตูตามลอร์ดเข้าไป เมมฟิสเกือบถูกประตูหนีบเพราะมัวแต่ให้ความสนใจอยู่กับเจ้าสัตว์ยักษ์ที่ตอนนี้พละกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง มันดึงโซ่อีกครั้งไม่นานทั้งลอร์ดและบรรดาฝูงชนก็ตกอยู่ใต้ความมืดของหอคอยทิศตะวันออกมีเพียงแต่แสงตะเกียงของคนนำขบวนสองคนเท่านั้น ข้างในโถงทางเดินทั้งอึดอัดเหมือนอากาศจะลดน้อยลงทุกทีเมื่อเดินลึกเข้าไปในหอคอยทิศตะวันออก กลิ่นอับชื้นและซากสัตว์ตายคละคลุ้งไปทั่วโถงทางเดิน แสงตะเกียงเผยให้เห็นภาพแกะสลักโบราณอายุนับพันปีรูปปั้นนูนสูงของคนที่ยื่นใบหน้าของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกมาจากภาพวาดที่มีให้เห็นตลอดโถงทางเดินที่คดเขี้ยวไปมา มีเพียงชายถือตะเกียงสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าคืออะไร แม้กระทั่งลอร์ดยังกังวลต่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดชีวิตด้วยเส้นทางที่วกวนจนหาความแน่นนอนไม่ได้ ขณะที่คณะติดตามเดินผ่านฝาผนังด้านข้างซึ่งแต่เดิมเป็นรูปปั้นนูนสูงแต่บัดนี้เปลี่ยนเป็นประตูเรียงต่อกันยาวตลอดทั้งสองฝาก ของกำแพงหิน มีเสียงเล็ดลอดจากประตูบานหนึ่งที่เปิดแย้มไว้
“ข้ายอมรับผิดแล้วนายท่าน ข้าสาบานด้วยสัตย์ ข้าจะไม่หวนคืนไปอยู่กับพวกมันอีกต่อไป ปล่อยข้าเถิด ข้าปวดร้าวจวนเจียนจะสิ้นลมแล้วได้โปรด...............”เมฟิสหยุดมองเข้าไปยังประตูบานนั้น สักพักร่างกายเขาเหมือนต้องมนตราพรางก้าวเท้าอย่างมั่นคงเพื่อผ่านเข้าไปยังประตูบานนั้น
“จับมันเร็ว อย่าให้มันผ่านประตูบานนั้นไปได้”เสียงของลอร์ดกึกก้องไปทั่ว ฝูงชนแปรปวนอีกครั้ง ต่างพร้อมกันมุ่งตรงไปยังเมมฟิสที่ก้าวเท้าเข้าไปได้ครึ่งตัวแล้วเขาถูกฉุดด้วยชายเสื้อคลุมที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด ลอร์ดมุ่งตรงมายังเมมฟิสที่มึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขากระชากเสื้อคลุมของเมมฟิสแล้วยกตัวเขาขึ้น
“ เจ้าโง่ เมมฟิส ! ถ้าแกยังไม่หยุดนิสัยสอดรู้สอดเห็นของเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปอยู่กับพวกนั้นในนี้” น้ำเสียงฟืดฟาดทำให้เมมฟิสตื่นจากมนต์สะกด ลอร์ดปล่อยเมมฟิสลง เขายังเดินสะแบะสะบะไปมาก่อนจะรวบม้วนกระดาษให้แนบกับอก ลอร์ดหมุนตัวไปทางขบวนที่ติดตามเขามา
“ข้าขอเตือนให้ทุกคนในที่นี้ทราบ ถ้าพวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีก อยากกลับไปกอดลูกเมียของเจ้าอีกก็ไม่ควรทำเยี่ยงเจ้าโง่เมมฟิส “ลอร์ดชี้ไปทางเมมฟิสที่กำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“เพราะในที่แห่งนี้คือสภาที่เก่าแก่ที่สุดของตระกุลออกุสต้า คำสาปที่ถูกสาปไว้ทุกหนทุกแห่งในที่นี้ มันจะล่อลวงพวกเจ้าให้พบจุดจบเยี่ยงคนที่อยู่ในห้องนี้” เกิดความเงียบชั่วขณะ ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วขบวน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พวกเจ้าสงบ และตั้งหน้าตั้งตา ทำภาระกิจที่พวกเราทำด้วยกันอย่างมุ่งมั่นและไม่วอกแวก อีกไม่นานเราก็จะถึงจุดหมาย และข้าหวังว่าเราทุกคนจะได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ข้ารอมาครึ่งอายุขัยของข้า” เสียงชัยโยโฮ่ร้องดังมาจากคณะติดตามอย่างอึ้ออึง
“และนับแต่นี้ไปพวกเราทุกคนจะมีสิทธิที่ทำอะไรก็ได้ที่ตนปรารถนาในดินแดนที่เป็นของเรา ที่ที่ทุกหนทุกแห่งที่เราเหยียบจะยอมศิโรราบอย่างไร้ทางสู้” เสียงแสดงความดีใจดังสนั่นอีกครั้งคราวนี้ดังกว่าเก่า”ลอร์ดหยุดหายใจและยังคงปิดบังใบหน้าใต้ผ้าคุมเขาสะบัดผ้าคลุมและแหวกกลุ่มคณะติดตามออกไปอยู่หน้าขบวน ขบวนเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสียงกระพือของเสื้อคลุมและฝีเท้าของคณะลอยอยู่ในอากาศไม่นานก็ถูกกลบด้วยเสียงคล้ายเครื่องจักรเก่าๆที่ทำงานมาจวนเจียนหมดอายุไขแล้ว เสียงติดๆขัดของฟันเฟือนที่คูดกันเพราะขาดสิ่งหล่อลื่น เสียงวัตถุหนักกระทบกัน
“หยุด.................... พวกแกมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงนุ่มและยานคางเหมือนดังมาจากที่แสนไกลดังขึ้น เหล่าคณะติดตามต่างหันหน้าหันหลังเพื่อหาเจ้าของเสียง
“เจ้าพวกโง่ สภาสูงไม่ต้อนรับพวกแก ออกไปซะ” ชายที่ไร้เนื้อ
หนังบางใส มีแสงสีเขียวเปล่งออกมาจากร่างเสื้อผ้าที่บ่งบอกสถานะที่สูงส่งในอดีตปรากฎกายขึ้นเหนือกลุ่มคณะติดตามเขายืนบนคานที่ไขว้กันของโถงทางเดิน
“ข้ารบกวนการพักผ่อนชั่วนิรันดร์ของท่านหรือเปล่า ท่านลอร์ดเฟนริสบุคคลในคาบหมาป่าผู้ล่วงรับ” ลอร์ดกล่าวทักด้วยน้ำเสียงให้เกียติ
“เจ้าคือ...........” ลอร์ดเฟนริสมองไปยังชายเสื้อคลุมแถวหน้า
“ข้า ลอร์ดอนูบิส ออกุสต้า สาวกของผู้ปกครองสูงสุด ผู้คุมกฎแห่งปราสาทออกุสต้า” วาวตาแสดงความพึงพอใจปรากฎใต้ผ้าคลุม
“ข้าไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้เลยในปราสาทออกุสต้าในสมัยที่ข้ามีชีวิตอยู่” ลอร์ดเฟนริสสงสัย
“อีกไม่นานหรอกท่านชื่อนี้จะคุ้นหูท่าน ท่านลอร์ดเฟอริส” เกิดเสียงหัวเราะสนั่นก้องทั่วโถงทางเดิน ลอร์ดเฟอริสเกลือกกลิ้งอยู่งกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้านั่นหรือที่จะเปลี่ยนเหล่าออกุสต้าของข้า นับเป็นเรื่องโจ๊กที่สุดของชีวิตหลังความตายของข้าจริงๆ เด็กน้อย” สิ้นเสียงลอร์ดเฟอริส เกิดโทสะขึ้นใต้ผ้าคลุมของลอร์ดอนูบิส
“คอยดูเถอะท่าน เฟอริส ท่าน เหล่าวิญญาณและสภาสูงของท่านจะไม่มีแม้ที่สิงสถิต” ลอร์ดอนูบิสออกคำท้า เกิดเสียงหัวเราะอีกครั้งแต่คราวนี้เสียงค่อยๆเบาลงและจางหายไปพร้อมกับร่างของลอร์ดเฟอริส
“ไม่มีใครล้มล้างสภาสูงได้ จำไว้ลอร์ดผู้อาพับ อนูบิส” เสียงลอร์ดเฟอริสดังลอยมาในอากาศและค่อยๆจางหายไปทิ้งไว้แต่ความชะงักงันที่มีของเหล่าคณะติดตาม
ในชีวิตที่แสนโหดร้ายของลอร์ดอนูบิส คำปามาศของลอร์ดเฟอริสไม่ระคายความรู้สึกเขาน้อยมากแต่ยิ่งทำให้ความพยายามที่สูงส่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาก้าวจากจุดที่ยืนกลับไปหน้าขบวนก่อนที่จะร้องกล่าวต่อหน้าคณะติดตาม
“เหล่าคณะติดตามของข้า ไม่มีอุปสรรคใดมาทำลายความพยายามเราได้ นอกจากสิ่งนั้นจะคร่าลมหายใจของพวกท่านไปเสียก่อน และข้าขอย้ำเตือนต่อพวกท่านในที่นี้ว่าจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงปณิธานนี้โดยเด็ดขาด” น้ำเสียงเด็ดขาดเพื่อหล่อหลอมคณะติดตามให้เป็นหนึ่งเดียวกัน “แม้ว่าในที่แห่งนี้ หอคอยทิศตะวันออก จะมีเล่ห์กลอันใดที่ล่อลวงใครคนหนึ่งในที่นี้ให้พบจุดจบ เราจะทิ้งเขาผู้นั้น และจดจำเขาผู้นั้นในฐานะผู้เสียสละที่สมควรถูกจารึกไว้ในความทรงจำ การเดินทางของเราใกล้สิ้นสุดแล้วขอให้พวกท่านเชื่อในตัวผู้นำของท่านแล้วท่านจะปลอดภัย” สิ้นเสียงลอร์ดคณะติดตามก็เคลื่อนตัวทันที เมมฟิสออกเดินเคียงข้างลอร์ดอนูบิสเขา คอยก้มหน้าตลอดไม่กล้าสบตา คณะกำลังเคลื่อนตัวผ่านรูปปั้นที่อยู่ทั้งสองฟากขนาดมหึมาของอดีตสภาสูงออกุสต้าในชุดเสื้อคลุมยาวจนละพื้นสวมหมวกทรงสูงนั่งบนแท่นหินแขนสองข้างแนบบนต้นขา ใบหน้าที่ไร้ชีวิตจ้องลงมายังกลุ่มคณะติดตามอย่างมุ่งร้าย ลอร์ดหยุดมองแผ่นศิลาที่มีข้อความจารึก
ไอซิส ออกุสต้า อดีตสภาสูงออกุสต้าที่ 12 สิ้นชีพในเหตุการณ์
สภาสูงล่มเมื่อร้อยปีที่แล้วโดย
เหล่าคูไค ลูกชายของตัวเอง
คูไค ออกุสต้า อดีตสภาสูงออกุสต้าที่13
ถูกรอบสังหารโดยลูกพี่ลูกน้อง
โอไรออน ออกุสต้า ก่อนที่จะมีการปฏิวัตรเป็นสภาแห่งผู้วายชน
“เจ้าพวกโซมม พวกมันไม่สมควรมีชื่อจารึกไว้ด้วยซ้ำ เลือดออกุสต้าของพวกเจ้ายังไม่เข้มข้นพอกับตำแหน่งที่เจ้าได้รับหรอก”น้ำเสียงดูแคลนของลอร์ดอนูบิสถ่ายทอดมาจากอารมณ์เบิ่งลึกของจิตใจ คณะติดตามลอร์ดอนูบิสเคลื่อนผ่านระหว่างรูปปั้นอดีตสภาสูงผู้วายชนเข้าสูงโถงกว้างของหอคอยตะวันออก เสียงเครื่องจักรกลดังสนั่นกึกก้องโถงกว้าง มีบันไดหลายสายปรากฎอยู่รายรอบเหล่าคณะติดตาม รูปปั้นเทวีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์นามว่าเทพีอาร์เทมิสยืนเด่นตระการตากลางโถงกว้างของหอคอยมีโคมไฟห้อยระย้าทั่วทั้งโถงกว้าง เหล่าคณะหยุดเพื่อรอการตัดสินใจของผู้นำอย่างใจจดใจจ่อ
“บันไดที่สาม นับจากซ้ายมือ”ลอร์ดออกคำสั่ง เหล่าคณะมุ่งตรงไปยังทิศที่บันไดทอดตัวสูงขึ้นไปบนยอดหอคอย เสียงเครื่องจักรสงบลงแล้วไม่มีใครในหมู่คณะรู้เลยว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร แม้กระทั้งลอร์ดก็หารู้ไม่ เขาคิดและพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ตลอด เพื่อคุ้มครองคณะติดตามให้ปลอดภัย บันไดที่ทอดตัวสู่เบื้องบนหอคอย เริ่มชันและแคบลงทุกทีจนเหล่าคณะติดตามต้องแบขบวนเป็นแถวตรงและทยอยเดินขึ้นบันไดที่ละคน นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงมากในความคิดของลอร์ดอนูบิส เพราะการซุ้มโจมตีอาจเกิดได้เสมอ ตั้งแต่การล้มล้างสภาเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว มีการวางกับดักไว้ทั่วหอคอยทิศตะวันออกทั้งในและนอกเพื่อป้องกันพวกที่มุ่งร้ายทำลายสภา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ถกเถียงถึงความปลอดภัยในการเข้าใช้สภา คนในตระกูลตกเป็นสมาชิกของสภาผู้วายชนโดยไม่รู้ตัวนับเป็นเรื่องอัปยศที่สุดเท่าที่เคยมีมา บันไดเริ่มวกวนและชันอย่างน่ากลัว เมมฟิสเซไปเซมาเพราะเมื่อยล้าจากการหอบหิ้วม้วนกระดาษ เหล่าคณะก็มาถึงยอดสุดหลังจากต้องทนเบียดเสียดอยู่ในปล่องบันไดไม่นานทั้งคณะก็มายืนรวมกลุ่มภายใต้โถงที่มีเสานับร้อยต้นตั้งตรงสูงขึ้นไปในความมืดของโถงด้านบนเสาทุกต้นต่างเรียงกันเป็นเส้นตรงมีคบเพลิงส่องแสงสว่างอยู่ฝั่งตรงข้าม แสงไฟจากตะเกียงริบรี่นัก ทั้งหมดเคลื่อนตัวผ่านห้องโถงไปอย่างไร้ซุ่มเสียง มีเพียงเสียงฝีเท้า ของแต่ละคนที่ปราณีตในการย่างก้าวอย่างไร้ซุ้มเสียง
ความมืดแห่งอีเรบัสเป็นชื่อที่เรียกกันเมื่อร้อยปีที่แล้วก่อนจะมีการสถาปนาสภาแห่งผู้วายชนขึ้นมาในยุคที่มีความระหองระแหงซึ่งกันและกันของชาวคัสตราโก ผู้ปกครองนามว่าโอไรออน แห่งสภาธอธ (นามก่อนล่มสลาย) ตัดสินใจยื่นเรื่องความแตกแยกเข้าสู่สภาและตัดสินใจโดยใช้อำนาจของตัวเอง ในการสังหารเหล่ากบฏที่มีต่อตระกูลออกุสต้าและต่อประชาชนของคัสตราโก สถานนี่ ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของสภาสูงถูกสั่นคอน หลังจากนั้นห้าปีสภาธอธก็ล่มสลายและสถาปนาเป็นสภาแห่งผู้วายชนโดยมีดวงวิญญาณที่ล่วงลับของตระกูลออกุสต้าขึ้นว่าการและครอบครองสภาอย่างเบ็ดเสร็จไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับการปฎิวัตรในครั้งนี้ สมาชิกทุกคนเห็นชอบที่จะให้เหล่าดวงวิญญาณเข้าครอบครองอย่างน้อยก็ไม่เกิดการแย่งชิงกันเกิดขึ้นอย่างที่แล้วๆมา(คงไม่ฆ่ากันตายอีกแน่นอน) นับแต่นั้นเรื่องร้ายก็สงบลงเหมือนเราโยนหินลงน้ำ ผิวน้ำจะกระเพื่อมสักพักแล้วก็สงบนิ่งลง หอคอยทิศตะวันออกก็ไร้ผู้คนเพราะต่างก็หวาดกลัวเหล่าดวงวิญญาณ ความทุกข์ร้อนของคัสตราโกไม่ได้ถูกร้องเรียนจากเจ้าของนำเรื่องไปร้องเรียนด้วยตัวเอง แต่ต้องผ่านคนนำสารยื่นเข้าไป เพราะต่างคนต่างก็หวาดกลัว ในไม่ช้าหน้าที่ที่คอยให้ความเป็นธรรมก็ถูกลืมไปโดยปริยายเหลือเพียงอำนาจในการกำกับดูแลปราสาทออกุสต้าและคัสตราโก สถานนี่เท่านั้น สภาเริ่มเข้ายุคทดถอยไร้ซึ่งอำนาจ เหล่ากบฏทวีจำนวนมากขึ้นจนสภาปราบไม่หมด คนในตระกูลเริ่มแตกแยก เอนดิเมียน ออกุสต้า ผู้มีอำนาจสูงสุดในสมัยนั้นต่างระดมสมัครพรรคพวก ร่ายคทาโบราณกำกับหอคอยเพื่อป้องกันเหล่ากบฎที่หมายจะล้มล้างสภาที่มีอำนาจสูงสุด และสร้างเวิ้งอากาศหรือที่เรียกว่า ความมืดอีเรบัสขึ้นมาป้องกันสภา มีแต่ผู้ที่สภาอนุญาตเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้แต่ก็รับรองไม่ได้ว่าจะปลอดภัยเพราะเวทมนตร์เริ่มแปรปรวนอยู่บ่อยๆ
ไม่มีใครในคณะติดตามรู้สึกปลอดภัยในขณะที่เดินเข้าสู่ความมืดอีเรบัส เหมือนปิดตาตัวเองและปล่อยให้เดินไปข้างหน้าอย่างไร้หนทาง มันทั้งมืดทั้งสับสนและกังวล แสงไปที่อยู่ตรงหน้ายิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่มันก็เริ่มถอยห่างเหล่าคณะติดตามไปเรื่อยๆ สร้างความหวาดกลัวแก่เหล่าคณะติดตามเป็นที่สุด ต่างคนต่างไม่มันใจต่อการเดินบนเส้นทางแห่งนี้ ไม่ช้าทุกคนก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น เมื่อเกิดแสงสว่างจ้าของอัญมณีเพื่อทดแทนแสงตะเกียงที่ดับลง ท่ามกลามความมืดอีเรบัสมันส่องสว่างอยู่บนมือที่เรียวและซีดยกอยู่เหนือศีรษะของลอร์ดอนูบิส
“พวกท่านอย่าหวัง กำจัดเรา เรามาอย่างไร้ข้อสงสัย ถ้าพวกท่านยังเล่นลูกไม้อย่างนี้ก็เท่ากับการทำลายฐานรากของสภาเอง อีกไม่นานพวกท่านจะกับไปยังที่ที่ท่านมา พันธะต่างๆของท่านจะหมดลง สภาจะถูกเปลี่ยนมือไปยังผู้ที่สมควรกว่า เพราะบัดนี้พวกท่านไร้คนปกป้อง กระบวนการของสภาจะเป็นเครื่องมือล่มล้างพวกท่านเอง” ลอร์ดอนูบิสตะโกนอย่างลองเชิง
“ข้ารู้ว่านี้ไม่ได้เป็นการแปรปรวนของเวทย์มนต์ที่ถูกสาปไว้อย่างช้านาน แต่เป็นฝีมือของพวกท่าน พวกข้ามาอย่างให้เกียติ แต่พวกท่านต้อนรับอย่างไร้เกียติ จึงสมควรแล้วที่จะกู้คืนเกียติของสภาที่สูงส่งให้มาอยู่บนน้ำมือที่ของคนที่ทรงพลังแข็งแกร่งกว่า” น้ำเสียงส่งพลังของลอร์ดอนูบิสดังกึกก้องไปทั้งโถงกว้างที่มืดมิด
“หุบปากแล้วเก็บลิ้นสองแฉกเจ้าไว้เถอะเจ้าอนูบิส” เสียงที่ดังและก้าวร้าวดังมาจากความมืดที่รายล้อมเหล่าคณะติดตาม
“ความทะเยอทะยานของเจ้ามันไร้ขีดจำกัดจริงๆ ข้ารู้มาตลอดเจ้าอนูบิส ความคิดของเจ้ามันสกปรกจนทำให้ข้ารู้สึกสกปรกไปตามเจ้าด้วย ข้าขอย้ำเตือนพวกเจ้าในฐานะ เอนดิเมียน ออกุสต้า ผู้มีอำนาจสูงสุดของสภาออกุสต้าอันสูงส่ง ข้าจะไม่มีวันทำให้สภาอันส่งเกียติของข้าต้องล่มสลายดังคำปรามาศของธุลีชนไร้สมองที่บังอาจเข้ายังดินแดนศักดิ์สิทธิแห่งนี้ ด้วยความประสงค์ร้ายหาใช่ทำเพื่อความเจริญไม่ ข้าในฐานะที่มีอำนาจสูงสุด ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป สภาจะตัดสินความตามกลไกลของสภา ข้าจะปล่อยให้เวทย์มนต์ที่แปรปวนได้ทำหน้าที่ของมันอย่าอย่างเต็มที่ หวังว่าเราคงได้พบกัน” สิ้นเสียงสมาชิกในคณะติดตามเหมือนถูกสิ่งมีชีวิตบางอย่างยกร่างให้ลอยขึ้นจากพื้น คณะติดตามวิ่งหนีกันให้อลม่าน บางคนลอยสูงขึ้นและหายไปกลับความมืดบนแพดานของโถงกว้าง เสียงหวีดร้องขอชีวิต และเสียงฝีเท้าอื้ออึงไปทั่ว เกิดลำแสงสว่างจ้าพลุ่งตรงไปยังเหล่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของการแปรปวนของเวทย์มนต์อย่างรุนแรง คนเหล่านั้นต่างร่วงลงกับพื้นอย่างนิ่มนวล เหล่าคณะที่เหลือต่างเดินตามแสงอัญมณีของลอร์ดอนูบิสไปยังร่างของแต่ละคนที่นอนสงบนิ่งดวงตาเบิกโพน
“พวกเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม ท่านลอร์ด” เสียงของชายคนหนึ่งลอดออกมาจากกลุ่มคณะที่มุงดูอย่างหวาดกลัว ไม่มีเสียงตอบกับมา ทุกคนยกเว้นลอร์ดอนูบิสตะลึงงันกับลิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างที่นอนเกลื่อนพื้นเริ่มสลายกลายเป็นฝุ่นผงลอยขึ้นด้านบนที่ละน้อยแล้วค่อยเจือจางไปกลับอากาศ
“ข้าช่วยพวกเขาไม่ทัน” มีถ้อยคำเล็ดลอดออกมาจากเสื้อคลุมของลอร์ดอนูบิส เขาเอามือกอบฝุ่นผงที่คอยๆจางหายของร่างคณะติดตามคนหนึ่ง พรางยืนขึ้นอย่างมั่นคงมีรอยยิ้มที่ประหลาดปรากฏที่ริมฝีปาก เขาปล่อยเสียงหัวเราะอย่างอึมครึมออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับคณะติดตาม
“นี้คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของสภาที่แสนโง่เขลาภายใต้อำนาจของ เอนดิเมียน ออกุสต้า สิ่งที่ท่านทำก็ยิ่งเป็นเครื่องบั่นทอนเกียรติและศักดิ์ศรีท่าน สิ่งเหล่านี้จะยิ่งส่งเสริมในข้อกล่าวหาที่ข้ามีต่อท่าน ท่านอย่าคิดแม้เพียงอำนาจของท่านที่จะทำให้ท่านบรรลุวัตถุประสงค์จนลืมเรื่องเล็กน้อย และอีกไม่นานสิ่งที่ท่านทำจะทำร้ายตัวท่าน สภาของท่านจะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป ท่านเอนดิเมียน” ลอร์ดกล่าวอย่างเลื่อนลอย ท่ามกลางกลุ่มคณะติดตามที่มีความหวังเพิ่มขึ้น ทุกคนจ้องมองผู้นำอย่างจดจ้อง เกิดคลื่นพลังอย่างประหลาดแผ่ซ่านรอบเหล่าคณะติดตาม ทุกคนต่างกลับมาตั้งขบวนอีกครั้งและเริ่มต้นเดินทางฝ่าความมืดอีเรบัสโดยทิ้งธุลีชนไว้เบื้องหลัง อัญมณีส่องสว่างกลายเป็นเส้นทางผาดตัดในความมืด คบไฟที่ปักอยู่ข้างหน้าปรากฏเด่นชัดขึ้น คบไฟเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอย่างหน้าประหลาดใจมันส่งเสียงร้องฟู่ฟู่ข่มขวัญผู้มาเยือน ลอร์ดอนูบิสลดแขนข้างที่ถืออัญมณีลง พลางสั่งให้ทั้งขบวนหยุดเดิน ผนังกำแพงตั้งตระหง่านอวดสายตาคณะติดตามมันสูงจนลับสายตาไปกลับความมืดที่บดบังอยู่ด้านบน แสงที่น้ำเงินที่อาบไล้ไปทั่วบริวณใกล้เคียงช่วยเผยยความลับที่ถูกความมืดบดบังไว้ ร่างคนบางใสของหญิงสาวผมยาวกระเซอะกระเซิงพิงหลับอย่างสบายใจ ภายใต้รูปปั้นทวารบานด้านซ้ายมือที่ศีรษะเป็นรูปสุนัขในท่าคุกเข่าโดยที่มือทั้งสองข้างประสานไว้ที่คบเพลิง ชูไว้เหนือศีรษะเช่นเดียวทางด้านขวามือ ตรงกลางมีประตูศิลาที่เหมือนถูกปิดตายมานานแสนนาน สลักนับร้อยต่างขึงพืดบานประตูให้ติดกับฝาผนังอย่าแข็งแรง หล่อนค่อยๆลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนสลัดผมที่ตกมาบิดหน้า ดวงตาที่กระพริบเป็นจังหวะจ้องมองเหล่าคณะอย่างคุ้นคิด หล่อนถอนตัวจากรูปปั้นที่ใช้พิงอยู่เดินตรงมายังเหล่าคณะ เสื้อผ้าที่ขาดลุ่ยของหล่อนปลิวไสวอย่างหน้าแปลก ไม่มีสายลมในที่นี้ หล่อนเคลื่อนผ่านหน้าขบวนก่อนที่จะหายลับผ่านฝาผนังที่อยู่อีกฟากของประตู
“หล่อนเป็นส่วนหนึ่งของสภาไปแล้ว ท่านลอร์ด” เมมฟิสเอ่ยปาก
“ถ้าคืนนั้น หล่อนและลูกของหล่อนยอมสวามิภักดิ์ต่อเรา หล่อนคงไม่อยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก” ลอร์ดอนูบิสกล่าวด้วยน้ำเสียงอาทร ระหว่างที่มองหญิงสาวหายรับเข้าไปในกำแพงงที่แน่นหนาทั้งคณะถึงกับตะลึงเมื่อรูปปั้นทวารบาล เริ่มมีชีวิตขึ้นมา เสียงคล้ายเครื่องจักรทำงานแซ่ซ้องไปทั่ว รูปปั้นทั้งสองเหมือนจะหลีกทางให้เหล่าคณะของลอร์ดอนูบิส มันเหยียดตัวขึ้นแล้วค่อยๆเคลื่อนร่างมหึมาของมันหลบไปทางด้านข้าง พื้นที่ยืนสั่นสะเทือนตามฝีเท้าของทวารบาลทั้งสองที่เหยียบย่ำลงกับพื้น เหล่าคณะต่างโซซัดโซเซไปตามๆกัน เมมฟิสกลัวจนหัวหดแอบหลบอยู่หลังเสื้อคลุมของลอร์ดอนูบิสตลอดเวลา สลักที่เรียงแถวกันเพื่อตรึงประตูศิลาไว้กับฝาผนังต่างถูกปลดออกที่ละตัว จนถึงตัวสุดท้ายที่อยู่ล่างสุดเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ไม่ช้าประตูศิลาก็ถูกเปิดออก พร้อมการปรากฏตัวของเหล่าบุคคลหลังประตูศิลา
------------จบตอน------------
ความคิดเห็น