คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5..................ที่พักพิงใหม่
ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า
ที่พักพิงใหม่
-5-
ดูจะสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้วที่จะกับไปยังคฤหาสน์ที่นายและนางฮอลลี่อยู่ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน
เด็กชายได้แต่เดินทางตามหลังมาเวลเพื่อนใหม่ที่รู้จักอย่างลังเลและคาดคะเนไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง มันแสนมืดมนไปหมด แต่อย่างน้อยความหวังว่าจะได้นอนบนเตียงนุ่มๆก็ยังมีอยู่ แต่ดูท่าแล้วความสบายอย่างที่คิดมองดูจะเลือนรางนัก เมื่อการเดินทางเริ่มยืดเยื้อขึ้น ความอึมครึมของป่าทำให้เขาทั้งสองไม่อาจจะคาดเดาเส้นทางที่อยู่ข้างหน้าได้ ความรู้สึกฉงนในป่าแห่งนี้เริ่มเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่แค่เพียงความมืดจากป่าเพียงแค่นั้นแต่เป็นความมืดจากพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร่นอยู่คอยบดบังแสงสว่าง ดุจดั่งมฤตยูแห่งความมืดครอบงำในตัวของเด็กชายทำให้เขารู้สึกพะวงในเส้นทางแห่งนี้ และจนมุมกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่านี้ไปในที่สุดเขาทั้งสองพยายามอยู่ใกล้กันให้ที่สุดเพื่อไม่ให้พรากจากกัน
"เจ้าอย่าเบียดข้าสิ ข้าจะล้มแล้ว"
"โอ้ย มีอะไรไม่รู้ตำขาผม"
"เจ้าเดินให้ระวังหน่อยสิ แถวนี้มีหนามเฮวีนขึ้นอยู่ไปทั่วป่า"
แม็คเดินตามมาเวลอย่างกระชั้นชิดเพราะเกรงกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ในโลกที่แสนจะแปลกพิลึกแห่งนี้ เมื่อเดินมาสักครู่มีเสียงเหมือนเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันก้องดังไปทั่วป่ามันดังคนเขาทั้งสองต้อง เอามือปิดหูทั้งสองข้าง
"นั่นเสียงอะไรน่ะ ดังจนผมแทบจะทนไม่ไหวแล้ว"
"มันคือเสียงของต้นไม้"
"อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน"
"มันคือเสียงของต้นไม้ แห่งไคออส เจ้าแห่งต้นไม้ "
"ต้นไม้ทุกต้น สัตว์ทุกตัว ที่อยู่ในป่าแห่งนี้ต้องพึ่งพาต้นไม้แห่งไคออสหมด
เปรียบเสมือนถังเบียร์ใหญ่เลยก็ได้"
"อ้าว ต้นไม้มันสังเคราะห์แสงเองได้นี่ ทำไมต้องพึ่งต้นไม้ต้นอื่นด้วยล่ะ"
"เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย"
ดูเหมือนเสียงเริ่มสงบลงแล้ว กว่าจะสงบลงได้ทำเอาเขาทั้งสองหูอื้นไปตามๆกัน
"ผมไม่เข้าใจคุณเลยว่าทำไมมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ทั่งที่แสนจะมืด อีกอย่างก็มีเสียงอะไรก็รู้เล่นเอาแทบหูจะระเบิดเลย"
"มันไม่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกแม็ค ถ้าเจ้าเปิดใจและเรียนรู้ในตัวของมันเจ้าก็จะรู้เอง" แม็คหันมามองแม็คที่เดินตามอย่างกระชั้น ก่อนจะพูดทิ้งท้าย และหันกับไปเพื่อเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ
" เส้นทางแห่งนี้มีมนต์ที่เหล่าคนผู้รักษาเนรมิตขึ้นมาอย่างจงใจ"
สิ่งที่มาเวลพูดมาไม่ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าระดับความปลอดภัยยิ่งลดลงทุกที ทิวทัศน์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฎเนินเขาด้านหน้า ความครึ้มของป่าเริ่มลดลง มีแสงแดดสุดท้ายของวันส่งลงมากระทบพื้น ข้างหน้าเป็นเนินเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยนแน่ แต่ที่เห็นอย่างแน่ชัดคือ บ้านไม้ที่แสนโกโรโกโสและเอียงไปอีกด้านหนึ่ง มีเถาวัลย์ เลื้อยไปตามหลังคาบ้านและเลื้อยลงมาปะพื้น ประตูถูใส่กุลแจดอกใหญ่ไว้ ไม่มีสวนหน้าบ้านมีแต่กองฟืนที่วางกองไว้ระเกะระกะอยู่หน้าบ้าน กลิ่นผักเน่าเหม็นตลบอบอวลไปหมด มันทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
"นี่คุณมาเวล คุณอยู่ได้อย่างไรนี่ มันดู ออกจะ เอ่อ..........."
"ดูแล้วมันน่ารังเกลียดมากใช่ไหม" เสียงของเด็กผู้หญิงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางอากาศ แม็คหันไปตามทิศทางของเสียง เขาเห็นเด็กผู้หญิงแต่งตัวมอมแมม มีคราบโคนติดอยู่ตามเสื้อผ้า และแก้มทั้งสองข้างจนไม่สามารถคลาดเดาลักษณะของเด็กหญิงได้
"นายทำไมถึงมากับพี่ข้าได้" เด็กสาวย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวเด็กชาย
รู้สึกว่าพื้นดินที่เปียกแฉะจะทำให้เธอเสียหลัก เด็กหญิงโงนเงนและล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะเดินมาถึงตัวเขา แม็คอดขำไม่ได้ที่เห็นเด็กผู้หญิงที่ตอนแรกทำอวดเก่งกับเขาเปื้อนเศษไปไม้ที่กองอยู่บนพื้น
"นายขำอะไรของนาย ไม่เคยเห็นคนลื่นหกล้มหรือไง"เด็กสาวพูดด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ เธอพยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้งทำให้ยิ่งกระตุ้นต่อมอารมณ์ขันของแม็คเพิ่มขึ้น ในตอนนี้ใบหน้าของเด็กสาวที่เป็นสีแดงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธและอับอายยิ่งนัก
"หลบไปแม็ค" มาเวลผลักตัวเขาออกไป เขามุ่งตรงไปที่เด็กหญิงคนนั้น พรางเอื้อมมือไปพยุงเธอขึ้นมาอยู่ในท่ายืนอีกครั้ง
"ทำไมไม่อยู่ในบ้าน มาเที่ยวเตร่อยู่แถวนี้ทำไม พี่เตือนแล้วเตือนอีกน้องก็ไม่เชื่อ"
"ก็มันน่าเบื่อนะสิ ให้น้องอยู่ในนั้นทั้งวันมีหวังคงสติแตกแน่" เด็กหญิงตอบอย่างคนคุ้นเคย
"น้องน่าจะรอให้พี่กลับมาก่อนก็ได้นี่"
“พี่เลิกพูดซักที ประโยคนี้ น้องไม่อยากฟัง กว่าพี่จะกลับมาน้องเห็นพลบค่ำทุกที แล้วที่พี่สัญญาว่าจะพาน้องไปเที่ยวข้างนอกโน้น พี่ก็ไม่เคยพาไป ปล่อยให้น้องอยู่แต่ในป่าเนี่ยตลอด น้องเบื่อจะตายแล้วรู้มั้ย”
ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามแม็คก็ได้คำตอบทันที เด็กหญิงนั่นเป็นน้องของมาเวล ขณะนี้เขาทั้งสองกำลังเดินมายังจุดที่เขายืนอยู่ แม็ครู้สึกผิดทีไปหัวเราะน้องสาวของคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“ซีน่า นี้แม็ค เพื่อนพี่เอง” แม็คยืนมืออกไปทักทาย แต่กับได้สีหน้าที่บูดบึ้งกับมา
“พี่ไปคบกับคนอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่มีมารยาท แถมยังแล้งน้ำใจอีกต่างหาก” คำพูดนี้ยิ่งตรอกย้ำให้แม็คยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
“เลิกเถอะ ฟีน่า เลิกว่าแม็คได้แล้ว”
เราสามคนรีบเดินทางไปยังบ้านของพี่น้องลาสิโออย่างรีบเร่งโดยมีแม็ควิ่งรั้งท้ายอยู่ ทั้งสามมาหยุดอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านซึ่งทำมาจากไม้ที่ตอนนี้ผุพังจนมองเหมือนกองไม้เก่าๆวางล้อมบ้านเอาไว้ แม็คแทบจะล้มตัวลงไปนอนกับพื้นเพราะเหนื่อยแทบขาดใจ เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามองไปพี่น้องทั้งสองที่ตอนนี้ พวกเขาเดินผ่านประตูหน้าเข้าไปโดยไม่คิดฉงนใจว่ายังมีอีกคนที่มาด้วย
แม็คลากร่างกายที่อ่อนล้าเดินตามเขาก่อนจะหยุดลงอีกครั้ง
“เอ้.......พี่ว่าพี่เก็บกุญแจไว้แถวน่ะ ไม่รู้มันไปไหน” มาเวลล้วงกระเป๋าทุกใบและซอกเล็กซอกน้อยบนเสื้อคลุม
“พี่เลิก เถอะ” ซีน่ามือล้วงกระเป๋าพรางยืนลูกกุญแจส่งให้มาเวล
“น้องเจอมันตกไว้ที่หน้าบ้าน น้องก็เลยเก็บไว้” มาเวลรับกุญแจจากน้องสาวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกลิ่นเหม็นอับที่ฟุ้งกระจายออกมา ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านทันที แม็ครีบเดินตามทั้งสองคนนั้นเข้าไปในบ้านก่อนที่ประตูจะถูกปิดลง ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกว่านี่เป็นบ้านเลย สิ่งของแต่ละชิ้นเหมือนถูกใช้งานมานานหรือไม่ก็ถูกวางทิ้งไว้จนเก่าใช้การไม่ได้ หน้าต่างเเต่ละบานมีรูโหว่หรือไม่ก็รอยแตกร้าว แทบทุกที่ในบ้านปกคลุมฝุ่นหนา มีโต๊ะกินข้าวตั้งไว้ที่กลางบ้าน โดยมีเก้าอี้ทั้งสี่ ตัววางล้อมอยู่ เศษอาหารหกเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ ข้างหลังโต๊ะมีประตูอยู่สามบานดูไม่ต่างกับประตูหน้าบ้านนัก มีตู้กระจกเก่าๆอยู่ทางซ้ายมือ เท่าที่แม็คสังเกตได้ มีสิ่งของที่มองดูเหมือนรากไม้วางอยู่ ขณะนี้พี่น้องลาสิโอนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว มาเวลอาสาแทนน้องไปจัดเตรียมชาร้อน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมแก้วใบโตสามใบมีไอโพยพุ่งออกมา
“เลิกเป็นนักสำรวจได้แล้วเจ้าตัวน้อย เรามีชาร้อนให้เจ้าดื่ม รีบมาดื่ม เเดี๋ยวจะเย็นหมด บ้านข้าไม่ใหญ่โตมากแต่ข้ากับน้องก็อยู่อย่างมีความสุข และหวังว่าเจ้าคงจะมีความสุขเช่นเดียวกับเรา” แม็คก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจของพี่น้องมาเวล เขาเดินมานั่งยังโต๊ะที่พี่น้องลาสิโอนั่งอยู่โดยมีชาแก้วใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เขายกแก้วขึ้นมาแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง ทำให้ความร้อนแผ่ซ่านไปทุกรูขุมขน เขารู้สึกอบอุ่นและมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
“ที่นี่ดูวิเศษจริงเลยว่ามั้ย มีของแปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นเต็มเลย อย่างเช่น” แม็คชี้ไปยังตู้กระจกที่ภายในบรรจุสิ่งของที่มองดูเหมือนรากไม้
“นั่นมันคืออะไร เจ้าสิ่งที่มันดูเหมือนรากไม้”
“ข้าก็ไม่รู้หลอกมันคืออะไร ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าก็เห็นมันมาตลอด ตู้นั้นนะมันไม่มีกุญแจไข เราก็เลยไม่ได้สนใจมันนัก แต่ว่ากันว่าเป็นสมบัติของแม่ข้าแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร แต่ข้ายังจำคำพูดได้รางๆจากปากของ เฮเลน พี่เลี้ยงข้า แต่ข้าพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกทุกที มันติดอยู่ที่มุมปาก” มาเวลเอามือกุมศีรษะก่อนจะพูดตัดบท
“เจ้าทั้งสองคนไปอาบน้ำให้เรียบร้อย เดี๋ยวพี่จะไปก่อกองไฟที่หน้าบ้านคืนนี้เรามาฉลองกันต้อนรับแขกของเรา”
ซีน่าเป็นคนพาแม็คไปทำความคุ้นเคยกับบ้านแต่ท่าทางเธอไม่คอยเติมใจนัก แม็คได้มีโอกาสเข้าไปทั้งสามห้องที่อยู่หลังโต๊ะที่ทั้งสามนั่งคุยกัน ห้องแรกซึ่งภายไม่ได้แตกต่างกับภายนอกนัก ฝุ่นยังจับหนาตามพื้น ลังใส่ของ ตู้ใส่ของใช้ กระจก เสื้อผ้าที่ใส่แล้วกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนห้อง มีฟูกสำหรับไว้นอนปูอยู่บนพื้น ซีน่าไม่ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องพี่ชายนานนัก เธอกระชากปกเสื้อเขาออกจากทันทีก่อนจะพูดว่า
“อย่าคิดแม้จะแตะต้องสมบัติของพี่ข้าสักชิ้นเดียว ถ้าข้ารู้มีหวังเจ้าได้เข้าไปอยู่ในถังไม้โอ๊คหมักเหล้าแน่” ซีน่าขบฟันพูดก่อนที่จะกระชากเขาเข้าไปยังห้องที่สอง ห้องนี้ดูแตกต่างจากห้องของมาเวลโดยสิ้นเชิง ข้าวของดูเป็นระเบียบโต๊ะ เครื่องแป้งที่ถูกเช็ดจนแทบไม่เหลือคราบของฝุ่นละออง ของทุกชิ้นถูกเก็บเข้าที่ มีเตียงอยู่ติดกับหน้าต่าง เทียนที่กำลังมอดดับลงทำให้เห็นห้องได้ชัดเจน มีหีบใส่ของแปลกกว่าหีบธรรมดาคือมีกุญแจห้าถึงหกลูกครองอยู่ที่เดียวกัน ข้างในคงจะมีของสำคัญ
“คืนนี้ เจ้านอนกับข้าที่นี่ และคืนต่อไป ข้าก็หวังว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสได้นอนกับข้าในห้องนี้อีก ถ้าเจ้าจะอาบน้ำก็ไปด้านหลังบ้านมีสระอยู่ เวลาพอหัวค่ำก็ออกไปพบเราที่หน้าบ้าน”
ซีน่าเดินกระทืบเท้าออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดพร้อมผลักประตูปิดอย่างแรง ลมกระทบหน้าเขาอย่างจัง แม็คไม่เข้าใจในตัวของซีน่าเลยแต่เขาก็รู้สึกผิดที่ทำต่อซีน่าอย่างนี้ เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเขาและซีน่า มิฉะนั้นเขาจะลำบากในเมื่อต้องมานอนในห้องเดียวกัน กว่าแม็คจะจัดแจงอาบน้ำและสู้กับปิงดูดเลือดที่อยู่ในสระออกจากแขนและขาหมด เขาใส่เสื้อผ้าที่ฟีน่าจัดเตรียมไว้อย่างรีบร้อนก่อนจะวิ่งออกไปหน้าบ้าน บรรยากาศในค่ำคืนยังเงียบสงบอย่างเช่นเมื่อกี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่มีเสียงสัตว์ หรือแมลงจากส่วนลึกของป่า มีแต่เสียงกองไฟกำลังปะทุส่องแสงวาวอยู่ตรงหน้าพี่น้องลาสิโอ ฟีน่านั่งกอดค่ำและพยายามจ้องมองกองไฟอย่างครุ่นคิด มาเวลกำลังนำเศษไม้แห้งๆโยนเข้าไปในกองไฟ
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ คือผมว่างอยู่ก็อยากจ่า อ่อ..........” เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นฟีน่ามองมาทางเขา
“ทำไมเธอมาช้า” ซีน่าขึ้นเสียง
“คือว่าผมมีปัญหานิดหน่อยแบบว่าในสระนั้นมันมีปิงอยู่แล้วมันก็กัดผมคือ....ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเอามันออก” มองดูฟีน่าจะเข้าใจอะไรยากไปเสียทั้งหมดเธอไม่ย่อมฟังเหตุผลของเขาเลยเอาแต่โทษว่าแม็คผิดไปหมดทุกเรื่อง
“เจ้ามันไม่เอาไหนเลย แถมยังเป็นภาระให้เราสองคนอีก” ซีน่าส่งสายตาอย่างเชียบคมมาทางแม็ค
“ไม่เอาน่า..ฟีน่า มันก็จริงใช่ไหมที่ในสระหลังบ้านเรามีปิงอยู่เยอะ” ซีน่ารู้สึกเสียหน้าที่พี่ชายพูดเข้าข้างแม็ค
“มันก็จริงแต่ไม่ควรนานขนาดนี้นี่นา” ฟีน่าพูดเบาลงเมื่อเหตุผลเธอฟังไม่ขึ้น
ฟีน่ามีท่าทีสงบลง เธอยอมให้แม็คนั่งข้างๆและไม่ให้แตะต้องอะไร สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งเฉยๆ ควันไฟลอยตัวสูงขึ้นจากจุดที่มันปะทุไฟ หมุนวน ม้วนตัวคล้ายเกียวคลื่น ลอยสูงขึ้นเลยๆเหนือศีรษะเขา จนจางหายไปในที่สุด เนื้อปลาโปบาบัสที่กำลังสุกได้ที่ลอยมาแตะจมูกเขาทำให้เขาหันมาให้ความสำคัญกับเนื้อปลาที่อยู่ตรงหน้า สองพี่น้องลาสิโอซึ่งตอนนี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่ากำลังม่วนอยู่กับการเร่งให้ไฟปะทุยิ่งขึ้นโดยมาเวลเป็นคนพัดส่วนซีน่าเป็นคนใส่เชื้อเพลิง ไม่นานปลาโปบาบัสก็สุกได้ที่ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว
หลังจากมื้อค่ำที่สุดวิเศษ ในความคิดของแม็คจบลง มาเวลไปส่งเขาและซีน่าถึงห้องนอนและเดินออกไปอย่างเงียบกริบ แม็ครีบเดินตรงไปยังที่นอนของเขาที่อยู่ตรงมุมห้องด้านใน เขาล้มตัวนอนลงด้วยความเหนื่อยล้าและหนังท้องที่ตรึงอย่างเต็มที่ไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกับซีน่าที่หลับสนิทหลังหัวถึงหมอนเพียงไม่ก็นาที เด็กชายรู้สึกตัวอีกที่เมื่อเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกที่หมุนวนรอบตัวเขาเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุที่เกรี้ยวกราด บดบังสิ่งที่รายล้อมเขาอยู่รอบข้าง มีแสงตะเกียงเคลื่อนตัวช้าๆจากที่หนึ่งที่ห่างออกไปจากใจกลางหมอก แสงนั้นกำลังเข้ามาใกล้เลยๆอย่างรวดเร็วและนิ่มนวลแหวกม่านหมอกที่ปกคลุมตัวเด็กชาย แสงสีเขียวจากตะเกียงที่ถือทำให้เห็นรูปร่างของบุคคลในคราบของเสื้อคุมตลอดทั้งตัวปิดบังใบหน้าที่ดำมืดใต้เสื้อผืนผ้าที่ขาดลุ่ย มือที่เรียวและเล็กจนแทบไม่มีเนื้อหุ้ม มือที่ไม่ได้ถือตะเกียงกุมสิ่งของที่เหมือนคฑา ยิ่งเข้ามาใกล้เด็กชายรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะที่รุนแรงทำให้รู้สึกหนาว จับขั้วหัวใจ แขนและขาอ่อนแรงเหมือนมีมนตราสาปแช่แข็งไว้ เด็กชายรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเขารับรู้ได้อย่างไรมันแปลกและไม่คุ้นเคย ไม่นานนักชายที่ถือตะเกียงก็มาหยุดตรงหน้าเขาพรางลดระดับตะเกียงลง ทำให้ใบหน้าตกอยู่ภายใต้ความมืดของเสื้อคลุม หมอกยังคงฟุ้งกระจายขดและม้วนตัวอย่างคุ้มคลั่งอยู่ตลอดเวลา มีเสียงแผ่วเบาและเรียบเย็นดังออกมาจากตัวเขา มันเบาจนแทบกลมกลืนไปกับความเงียบที่ล้อมกลายเขาอยู่ แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือหมอกเริ่มจางลงพร้อมคำพูดที่ดังขึ้นของชายเสื้อคลุม
“ข้า....อ่อน...ล้าเหลือเกิน ไม่มีใครจะช่วยข้าได้” เขาสู้หายใจลึก ท่าทางอ่อนล้าเต็มทน
“เจ้าใช่มั้ย ที่ข้าตามหาอยู่ ข้าร่ำร้องอย่างทรมาน ข้าอ่อนล้าสุดเยียวยา ข้าไร้สิ้นมนตราที่เข้มแข็ง ข้าถูกพันธนาการด้วยวาจา” ชายถือตะเกียงเดินอย่างสงบนิ่งโดยไม่หวั่นไหวต่อม่านหมอกที่เริ่มก่อตัวและปั่นป่วนอีกครั้ง
“ จิตใจข้าปั่นป่วนดั่งเช่นม่านหมอก มองไม่เห็นแม้กระทั่งวิญญาณของตัวเอง ข้ากำลังดับสูญและที่แห่งนี้ก็กำลังดับสูญ ผู้ครองอำนาจใหม่กำลังมา เค้าถือครองเฟียร์ หัวใจแห่งป่าแต่ข้าหามีไม่ ข้าไม่อาจต่อกรกับเค้า มนตราข้าไม่พอ หลังจากที่พวกออกุสต้าล่มสลาย ข้าถูกทิ้งให้ปกป้องดินแดนนี้โดยลำพัง ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เดิมเคยเป็นเพื่อนข้า พวกมันทุกตัวถูกฆ่าเพื่ออุทิศให้งานที่สำคัญของพวกชั่วช้าจิตใจทรยศ ในยามที่ข้าเหงา ข้าไร้คนปลอบโยน ข้ากำลังตายยยยยยย” น้ำเสียงที่ลากยาวมันทำให้เขาแทบหยุดหายใจตามมัน ดั่งความเหงาความเดียวดายเข้าครอบงำตัวเขา ดูเหมือนทุกอณูของอากาศกำลังจับตัวแข็งจนเขาไม่อาจสูดมันเข้าไปได้
“เวลาทำให้ข้าเลอะเลือนหมดหวังและอ่อนแอ ข้ารู้สึกถึงพลังด้านมืดที่ครอบงำดินแดนนี้ แต่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากรักษาพลังเพียงน้อยนิดเพื่อประคับประคองร่างที่อ่อนแอให้มีชีวิตอยู่ได้และใช้พลังส่วนหนึ่งเฝ้ามองและรอคอยความหวัง ป่าเริ่มมืดลงทุกทีพร้อมความหวังที่ดับมืด จนกระทั่งเจ้าปรากฏกายเหยียบบนอาณาเขตแห่งข้า กายข้าร้อนผ่าวหลังจากจมดิ่งอยู่ได้ความหนาวเย็นและสิ้นหวัง เจ้ามีสิ่งวิเศษ พลังมนตราที่ข้าไม่รู้จักและเจ้า” ชายถือตะเกียง ชี้มาทางแม็ค
“ก็คือความหวังที่ข้ารอคอย” เเม็คแทบลำลักคำพูดสุดท้ายของชายถือตะเกียง แต่ก่อนที่เขาจะตั้งคำถามกลับไป มีเสียงหนึ่งเรียกมาจากที่แสนไกล เขารู้สึกโงนเงนเหมือนพื้นที่ยืนอยู่เริ่มสั่นไหว มีแรงมหาศาลดันตัวเขาขึ้น ลอยสูงขึ้นจากพื้น มีเสียงของชายถือตะเกียงดังมาจากข้างล่าง
“จำไว้ เด็กน้อย เจ้าคือความหวังของเรา ค้นหาตัวเองให้พบและเจ้าจะเข้าใจในคำพูดของข้า ไปที่คัสตราโก ที่นั้นเจ้าจะพบความจริง” สิ้นเสียงชายถือตะเกียง เกิดแสงระยิบระยับทำให้ตาเขาพร่ามัว
โครม ถังน้ำใหญ่สาดลงบนใบหน้าของเด็กชาย เขาลืมตาขึ้นร่างกายเปียกปอน ปิง 2-3 ตัว ดิ้นอยู่บนพื้น โดยมีฟีน่ายืนหอบ มือข้างหนึ่งถือถังไม้อยู่ข้างลำตัว
“หวังว่าครั้งต่อไปเจ้าคงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ตื่นสาย ข้าบอกเจ้าแล้วนะ” ฟีน่าหันหลังแล้วเดินออกไป ระหว่างที่เขาจัดแจงกับเสื้อผ้าที่เปียก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มาเวลในชุดนักล่าสัตว์ มือข้างหนึ่งถือหน้าไม้เดินผ่านประตูเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ แม็ค จากที่เห็นเช้านี้คงไม่สดใสนัก” มาเวลยืนมองแม็คที่พยายามบิดเสื้อผ้าให้แห้ง
“ข้าขอโทษแทนน้องข้าด้วย ปกติฟีน่าไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฟีน่าเป็นเด็กร่าเริง และนิสัยดี” มาเวลนั่งลงบนเตียงของฟีน่าพรางมองหมอนลูกเก่าที่ฟีน่าใช้นอน เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมากอดเอาไว้
“เราสนิทกันมาก เราอยู่กันตามลำพังหลังจากเฮเลนพี่เลี้ยงของเราตาย หล่อนดูแลเราตั้งแต่เล็กหลังจากที่แม่เราตาย เราพี่น้องแทบจำหน้าท่านจำไม่ได้ เฮเลนไม่เคยเล่าว่าท่านจากไปอย่างไร เราทำได้เพียงคิดถึงท่านและภาวนาให้ท่านคุ้มครองเราทั้งสอง” มาเวลวางหมอนของน้องสาวลงพรางเอื้อมมือไปหยิบหน้าไม้ และผูกเชือกรองเท้าให้กระชับ
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วสินะ นี่เสื้อผ้าของเจ้าเปลี่ยนซะ ข้าให้ฟีน่าทำซุปกระต่ายไว้แล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้” มาเวลเดินผ่านหน้าเขาไป แม็คแอบเห็นคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าของเขา
เช้านี้ ฟีน่าซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว รองเท้าหนังหุ้มทั้งเท้า มีเปียเล็กๆห้อยปะบ่า ม้วนผ้าขนาดเท่านกเพริเเคนขดม้วนอยู่ที่เท้า มือข้างหนึ่งม่วนอยู่กับเส้นด้ายที่บรรจงปักลงบนผืนผ้า แม็คไม่อยากจะกวนฟีน่าเพราะผลลัพธ์คงไม่ดีแน่ เขาเดินผ่านฟีน่าอย่างเงียบฉี่ จนผ่านพ้นสายตาอันเฉียบคมของฟีน่าไปได้ เขาผลักประตูเพื่อหวังว่าจะได้เห็นแสงของวันใหม่ แต่ผิดหวัง เมฆฝนก่อตัวแน่น บดบังแสงของวันใหม่จนหมดสิ้น
“จะออกไปไหนหรือ เด็กเจ้าปัญหา” เสียงฟีน่าดังมาจากข้างหลัง
“คือผมตั้งใจว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย”
“วันนี้ไม่ได้หรอก มีประกาศจาก ออลชามิส ว่าจะมีฝนตกตลอดทั้งวัน อีกอย่างพวกวูฟฮาวกำลังออกล่าเหยื่อด้วยคงไม่ดีหรอกถ้าเจ้าจะกลายเป็นอาหารมื้อเช้าของพวกมัน” ฟีน่ายังคงก้มหน้าก้มตากับงานฝีมือของเธอ
“แล้วมาเวล เขาจะปลอดภัยมั้ยครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ข้า ไม่มีศัตรูหน้าไหนกล้าเข้าใกล้พี่ข้าหรอก มิฉะนั้นพวกมันจะกลายเป็นอาหารเย็นนี้”
แม็คกลับมานั่งที่โต๊ะ ข้างๆฟีน่า เขานั่งมองฟีน่าสอดเข็มขนาดจิ๋วปักลงไปในเนื้อผ้า ฝนห่าใหญ่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้างนอก เขารู้สึกเป็นห่วงมาเวลมากขึ้นทุกทีและเมื่อหันมามองฟีน่าเขาไม่เห็นแม้แต่สีหน้าที่เป็นกังวลของเธอเลย
“นี่ ฟีน่า เธอไม่เป็นห่วงพี่เธอเลยหรือ” แม็คสะกิดเธอให้ฟังสิ่งที่เขาพูด
“โอ้ย ! เลือดออก”
“เป็นอะไรหรือฟีน่า” แม็คถามด้วยความเป็นห่วง
“อย่ามายุ่งกับข้า เพราะเจ้าคนเดียว ถ้าเจ้าไม่เอามือมาสะกิดเข็มคงไม่ทิ่มข้าหรอก” ฟีน่าปัดมือแม็คออกจากรัศมีของเธอ เด็กชายนั่งกุมมือด้วยความเจ็บปวดจากแรงเหนี่ยวของฟีน่า
“เจ้าเป็นอะไรหรือ เด็กเจ้าปัญหา”ฟีน่าเบนความสนใจมาที่แม็ค เธอผุดลุกมาประคองแม็คซึ่งตอนนี้ลื่นไถลลงไปกองบนพื้นแล้ว
“เจ้าไม่หน้ายั่วโมโหข้าเลย เด็กจ้าวปัญหา เจ็บมากมั้ยเนี่ย ขอข้าดูหน่อย” ฟีน่าประคองแม็คขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
“โอ้ย เจ็บครับ”
“ก็แค่ข้อเคร็ด” มีสีหน้าเป็นห่วงเจืออยู่บนหน้าของเธอ
“แค่ใบของต้นฮาเซล ก็คงหายแล้วล่ะ”ฟีน่าเดินหายเข้าไปในครัว และเดินกับมาในมือมีใบของต้นฮาเซลติดมือมา เธอบรรจงประคบลงบริเวณแขนอย่างละมุมละม่อม
“เอาล่ะ แค่นี้ก็คงหายแล้วซิน่ะ”
“แล้วแผลของคุณล่ะ ไม่เจ็บแล้วเหรอ” แม็คถามแต่ฟีน่าไม่ตอบเธอยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องของเธอ
บรรยากาศภายนอกยังอึมครึม ฝนยังโถมกระนั่ม ต้นไม้ใหญ่น้อยลู่เอียงตามสายลมที่โหมแรงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีวี่แววของมาเวล เขานั่งภาวนาว่ามาเวลคงปลอดภัยกลับมาก่อนอาหารเย็น ไอน้ำจับตัวกันเป็นฝ้าบนกระจกทุกบาน ยิ่งทำให้ของเขาวิสัยทัศน์แย่ลง เด็กชายลุกจากเก้าอี้เดินไปยังหน้าต่างพรางใช้มือลูบเพื่อกำจัดฝ้าที่จับตัวกันแน่นบนกระจกออกไป เด็กชายแนบแก้มลงบนกระจก เสียงลม และหยาดสายฝนแซ่ซ้องไปทั่ว เขามองผ่านม่านฝนออกไปยังลานโล่งที่เห็นภูเขาลูกย่อมอยู่ไกลๆ มีพุ่มของหนามเฮวีนขึ้นเป็นกลุ่มปะปลาย มีพุ่มหนึ่งเล็กกว่าพุ่มอื่น แม็คจับจ้องที่มันเขารู้สึกว่าเจ้าพุ่มนั้นกำลังเคลื่อนมาหาเขาช้าๆ ไม่นานเขาก็เห็นมันชัดขึ้น เจ้าพุ่มนั้นไม่ใช่อื่นไกล คือ มาเวลเอง เขากระโดดข้ามรั้วอย่างกระหืดกระหอบ เสียงเคาะประตูดังอย่างนักหน่วง แม็ครีบวิ่งไปยังประตู ทันทีที่เขาเปิดประตู มาเวลก็พุ่งพรวด ผลักตัวเขาไปนอนกองอยู่กับพื้น
“ ฟีน่าอยู่ไหน” มาเวลถามในขณะที่เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดูรีบร้อนยิ่งนัก
“อยู่ในห้องของเธอ” แม็คบอกในขณะที่พยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้น เขาวิ่งไปยังห้องของฟีน่าทันที และกลับออกมาโดยมีโดยมีฟีน่าที่มีท่าทางตื่นกลัววิ่งตามมา
“ต้องรีบไปที่หลบภัย พวกมันกำลังมา”
“ใครกันที่กำลังมา” แม็คถาม
“ ไม่ใช้เวลามาตอบคำถาม เร็วเข้า เจ้าด้วยแม็คตามข้ามา” แม็ควิ่งตามพี่น้องลาสิโอโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราทั้งสามวิ่งออกห่างตัวบ้านไม่ไกลนักมาหยุดใต้ต้นใม้ให้ที่แผ่กิ่งก้านไปทุกิศทุกทาง มาเวลลดตัวลงไปนอนกับพื้นดิน พรางใช้มือเคาะโดยที่หูแนบลงกับพื้น สักครู่ก็ลุกขึ้น ฟีน่าใช้เท้าเขี่ยเศษใบให้ที่ปกคลุมอยู่เผยเห็นตราสัญลักษณ์คล้ายรูปดวงอาทิตย์ สักครู่มันก็เริ่มหมุนเละเคลื่อนตัวลงไปเกิดเป็นช่องที่พอดีให้เขาทั้งสามคนลอดลงไปได้ ทั้งสามหย่อนตัวเองลงไปยังปล่องบันไดโดยมีมาเวลรั้งท้าย ทางลงบันไดทั้งสูงและชัน มืดมีกลิ่นอับคละคลุ้งไปทั่ว แม็คซึ่งตามหลังพยายามหย่อนตัวเองและพยุงตัวเองลงบันไดเพื่อตามสองพี่น้องให้ทัน ความมืดบดบังพี่น้องลาสิโอที่อยู่ด้านล่าง บันไดที่ทอดตัวลงโดยไม่รู้จุดสิ้นสุดเด็กชายทำได้เพียงคาดคะเนเส้นทางและก้าวลงอย่างระมัดระวัง แม็คหวังว่าอีกไม่นานคงจะสิ้นสุดโดยการได้ยืนบนพื้นที่ราบเรียบ ชั่วครู่เกิดเสียงเท้าแตะกระทบพื้นดังก้องไปทั่วปล่องบันได พี่น้องลาสิโอคงถึงพื้นแล้ว เกิดแสงสว่างสาดส่องไปทั่วปล่อง แม็คมองเห็นมาเวลและฟีน่าอยู่ด้านล่าง เด็กชายเร่งฝีเท้าเพื่อตามไปสมทบกับทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่าง
ข้างล่างเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีผนังที่ก่อด้วยก้อนอิฐวางเรียงต่อกันสูงขึ้นเป็นฝาผนังล้อมทั้งสี่ด้านของห้อง ด้านบนเป็นก้อนหินหลายก้อนถูกอัดแน่นดูขรุขระไม่เป็นระเบียบ รากไม้ทั้งเล็กและใหญ่เกยก่ายและพันกันคล้ายใยแมงมุมขนาดยักษ์ มีตะเกียงที่ติดไฟวูบวาบวางที่แท่นหินที่ยืนออกมาจากฝาผนังด้านซ้ายมือ ทั้งสามคนนั่งล้อมรอบแท่นหินเพื่อขจัดความหนาวที่นับว่าเลวร้ายลงทุกทีเมื่อมาอยู่ในห้องแห่งนี้ ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นแม็คไม่รู้ แต่สีหน้าของพี่น้องลาสิโอเต็มไปด้วยวิตกกังวล ฟีน่าโผเข้าซบมาเวลด้วยความหวาดกลัวในขณะที่มาเวลลูบศีรษะน้องสาว แม็คก็พยายามอยู่ให้ใกล้ตะเกียงให้มากที่สุดเพื่อรับแสงอบอุ่นที่แผ่ไปทุกทิศทุกทาง
“พี่ว่าพวกมันไปกันหรือยังค่ะ” ฟีน่าถามพี่ชายด้วยเสียงสั่นเครือ
“ ยังหรอกฟีน่า” มาเวลรับแรงกอดที่แรงขึ้นของฟีน่า
“ใครครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าพวกมัน” แม็คถามในสภาพที่ขากรรไกรติดค้างเพราะความหนาว
“พวกเราไม่รู้เหมือนกัน สองสามวันก่อนข้าเห็นว่าพวกมันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวละแวกนี้ ไม่มีใครมาแถวนี้หรอก เพราะอันตรายเกินไป กลิ่นอายของมนตราเก่าแก่ที่ถูกผนึกไว้คอยป้องกันข้ากับฟีน่า คอยซ่อนเร้นและอำพรางคนนอกที่ล่วงล้ำมายังที่แห่งนี้ มีแต่พวกที่มีสัมผัสแห่งมนต์ตราเท่านั้นที่จะผ่านเข้ามาได้หนึ่งในนั้นก็คือเจ้า แม็ค ฮอลลี่ ข้าไม่อยากจะถามเจ้าหรอกว่าเจ้ามีได้อย่างไร แต่ข้าสัมผัสถึงพลังด้านดีที่มีเต็มเปี่ยมในตัวเจ้า ข้าจึงไว้วางใจในตัวเจ้า จึงพาเจ้ามายังบ้านของเราไง” แม็คถึงกับหน้าชาเลยทันทีที่ฟังมาเวลพูด เขาไม่คิดเลยว่าตนจะมีพลังวิเศษนี้ได้อยู่จริง
“แต่ผมไม่รู้สึกว่ามีมันอยู่เลยนี่” แม็คถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้ายังเด็ก อีกอย่างเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้และควบคุมมัน” มาเวลหยุดหายใจแล้วว่าความต่อ
“เจ้าพวกที่อยู่ข้างนอกนั่น เป็นผลผลิตจากพลังด้านมืด พลังพวกนี้หาง่ายและกระจายไปทั่วเพียงจิตใจเจ้าอ่อนไหว มันจะแทรกซึม เจ้าจะหลงใหลมันในตอนแรก จนเจ้าตายใจมันจะทำลายเจ้า ผลสุดท้าย เจ้าจะไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ตกอยู่ในความมืด ความหนาวเหน็บ เรียนรู้ความรู้สึกจากลมหายใจและสันชาตญานของเจ้าและหลังจากนั้นจะไม่มีใครได้ใช่มันอีก นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีเจ้าและมัน”
“หายสาบสูญไปตลอดกาลใช่ไหมครับ” แม็คตอบอย่างอัตโนมัติ
“ถูกต้องแล้ว ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกมันมาจากไหน แต่มีเสียงล่ำลือกันหนาหูในโรงเตี้ยมพูนี่ว่าออกจากปราสาทตระกูลกุสต้า ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากไฟไหม้คฤหาสน์”
“พี่ค่ะแล้วข่าวพวกนี่ได้มาจากไหน” ฟีน่าเริ่มกล้าพูดขึ้นมาหลังตกอยู่ในความกลัว
“ พวกคนส่งเสบียงไง ช่วงนี้แปลกชอบกลทางปราสาทต้องการเสบียงมากเป็นพิเศษ คนส่งเสบียงจึงมีโอกาสเข้าไปยังปราสาทบ่อยครั้ง แต่เจ้าพวกนี้มักพูดจาเลอะเลือนจับประเด็นไม่ได้ โชคดีที่ออลชามิสมีคาถาอ่านใจเราจึงรู้เรื่องต่างๆและรู้ว่าพวกมัน ข้าหมายความว่าคนในปราสาทกำลังตามหาสิ่งสำคัญนั่นก็คือ เด็ก นี่เป็นข้อมูลเชื่อมโยงไปยังการหายตัวของเด็กที่อาศัยแถวละแวกคัสตราโก สถานนี่แต่เราก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีการจับตัวไปจริง” สิ้นสียงของแม็คเกิดความเงียบชั่วขณะทั้งสามนั่งมองหน้ากันและพยายามไตร่ตรองเรื่องต่างๆที่ได้ฟัง ฟีน่าปล่อยโหออกมา เธอหน้าแดง น้ำมูกไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าที่อ่อนวัย เกิดสียงหึ่งๆคล้ายฝูงแมลงที่ออกหากินหลังฝนตกดังอยู่ด้านบน
“นั่นเสียงพวกมันใช่ไหมครับ” แม็คมองขึ้นไปตามปล่องบันได
มาเวลส่ายหน้าเเต่ก็ไม่พูดอะไร
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณสองถึงสามนาทีก็เกิดเสียงที่สองตามมาเป็นเสียงคล้ายคนกำลังใช้เลื้อยตัดต้นไม้ขนาดใหญ่
“พวกมันกำลังพังบ้านของเราใช่ไหมค่ะ”
“ไม่มีใครจะทำลายบ้านของเราได้”มาเวลปลอบน้องสาวให้คลายกังวล
นานเท่าไรแล้วที่เขาติดแหงกอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีวี่แววว่าการหลบซ้อนจะสิ้นสุดลง เวลาเดินอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับอากาศที่อยู่ในห้องนี้กำลังลดลงทุกที
ตอนนี้พี่น้องลาสิโอนอนกอดกันกลมอยู่ตรงมุมห้อง แม็คกำลังตามไปสมทบไม่นานทั้งสามก็หลับสนิทโดยลืมเรื่องต่างที่รบกวนจิตใจ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้านบน
เหมือนเวลาจะหยุดเดินชั่วขณะไม่มีเสียงดังจากข้างบน ตะเกียงที่วางอยู่ที่แท่นหินดับลงเนื่องจากเชื้อเพลิงที่บรรจุหมด แม็คลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมากระแทกหน้าอย่างจัง เท้าของฟีน่านั่นเอง แม็คผลักเท้าเธอให้ห่างจากเขา พรางผุดลุกขึ้น สองพี่น้องยังหลับสนิท อุณหภูมิในห้องเริ่มสูงขึ้น มีแสงพระอาทิตย์ลอดผ่านปล่องเข้ามาตามรอยแตกตามแฉกของรูปสลักพระอาทิตย์
แม็คตัดสินใจว่จะปลุกสองพี่น้อง เขาเดินไปยังพวกเขาพรางเขย่าตัวมาเวล มาเวล
กระพริบตาเล็กน้อยก่อนได้สติคืนมา มาเวลยืนขึ้นอย่างมั่นคงพรางเขย่าตัวน้องสาว
“พวกนั้นไปหรือยังพี่” ฟีน่าถามทันทีที่ลืมตาขึ้น
“คงไปแล้วล่ะ ป่านนี้ข้างบนคงเช้าแล้ว เดียวพี่จะต้มชาอุ่นๆให้พวกเราดื่มกัน” มาเวลยืดแข่งยืนขา ทำท่าคึกคัก ทั้งสามพากันเดินขึ้นไปตามปล่องบันได ตามเส้นทางเดินที่ลงมายังห้องสี่เหลี่ยมนี้ ไม่มีเสงสว่างจากตะเกียงดังเช่นตอนที่ลงมา มีพียงแสงแห่งรุ่งอรุณที่เล็ดลอดลงมาเท่านั้น ทั้งสามดูอิดโรยยิ่งนักหลังจากที่ต้องหนีลงมาหลบยังที่นี้โดยทิ้งอาหารที่โอชะไว้ ดูจากสภาพของทั้งสาม ฟีน่ามองดูแย่ที่สุด เธอเริ่มมีอาการหน้าแดงและตัวร้อน พูดเผลอไม่เป็นเรื่องเป็นราวตลอด ที่ทั้งสามเดินขึ้นไปตามปล่องบันได ไม่นานก็มาถึงปากปล่องที่มี่แสงแดดเล็ดลอดลงมา ปากปล่องเลื่อนเปิดเหมือนได้รับคำสั่ง แสงแดดของรุ่งอรุณทำให้ตาพร่ามัวต้องรอสักพักหนึ่งจึงจะเห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน แม็คและมาเวลช่วยกันพยุงร่างของฟีน่าที่ดูจะหนักขึ้นทุกที ฟีน่าทิ้งร่างที่ไร้เรี่ยวแรงลงบนบ่าทั้งสองของพวกเขา แม็คแทบทรุดฮวบโชคดีที่ มาเวลออกแรงช่วยเขาไว้ได้ทัน ข้างนอกยังสงบเงียบอย่างเช่นเคยไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวเพื่อรับแสงของเช้าวันใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเเละแม็คต้องเข่าอ่อนคือ บ้านที่ถูกทำลายเหลือแต่เพียงหลังคาที่โอนเอียง ซีกหนึ่งของบ้านพังยับเยิน ประตูบ้านถูกเหวี่ยงไปค้างอยู่บนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้เคียง เหลือเพียงบานประตูที่ยังตั้งอยู่ได้เพราะเสาหลักของบ้านที่ไม้ล้ม และฝาผนังที่ล้อมรอบห้องที่เคยเป็นของฟีน่าและซีกหนึ่งของห้องมาเวล โต๊ะที่ใช้เป็นที่ดื่มน้ำชายังวางอยู่ที่เดิมมี เก้าอี้ที่แตกหักกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ แม็ค ฟีน่า และมาเวลเยียบย่ำบนซากกองปรักหักพังของบ้านที่เคยใช้อาศัยอยู่ ใบหน้าที่เจือสีเศร้าสร้อยของมาเวลบ่งบอกถึงความอาลัยที่เกิดขึ้นในใจของเขา เขาและมาเวลพยุงฟีน่านั่งลงตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่หลงเหลือจากการถูกทำลายท่ามกลางแสงอ่อนๆในตอนเช้า มาเวลเดินไปรอบๆตัวบ้านพยายามมองหาเศษไม้ที่สภาพดีอยู่มาวางรวมกองไว้โดยมีแม็คเป็นลูกมือช่วย ไม่นานกองไม้กองโตก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“แค่นี้คงจะพอสำหรับที่จะซ่อมแซมบ้านของเราแล้วล่ะ” มาเวลปาดเหงื่อที่ไหลโชกเต็มหน้า
“คุณคิดจะซ่อมบ้านใหม่หมดทั้งหลังหรือนี่”แม็คซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างจากมาเวลนัก
แสงแดดแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้จำเป็นต้องพาฟีน่าไปอยู่ใต้ต้นชาวเวียที่ขึ้นแผ่กิ่งก้านปกคลุมเป็นร่มเหงาให้พวกเขาทั้งสาม มาเวลหยิบเศษขนมปังที่เหลืออยู่ในกระเป๋าระหว่างออกไปล่าสัตว์ป้อนให้ฟีน่าที่นอนอย่างไร้เรียวแรงด้วยพิษของไข้ อีกสองส่วนที่เหลือเป็นของเขาและมาเวล มาเวลฉีกเสื้อที่เขาใส่แช่น้ำบิดหมาดมาวางไว้ที่หน้าผากเพื่อลดไข้
“ท่าทางเธอยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ” แม็คถามหลังจากเฝ้ามองอาการฟีน่ามานานแล้วดีไม่ขึ้น
“เราต้องการใช้รากของต้นแบรนโก้ เป็นยาลดไข้ขนานดี มีขึ้นชุกอยู่แถวนี้ เจ้าช่วยข้าหาหน่อย” มาเวลสาธยาย เขาและมาเวลแยกย้ายกันไปหาต้นแบรนโก้ มาเวลได้มาสามต้นส่วนแม็คได้ต้นอ่อนของหนามเลวีนมา
“คุณเรียนการปรุงยามาจากไหนครับ”แม็คถามในขณะจ้องมองมาเวลก่อกองไฟ
“ข้าเคยเป็นลูกมือเฮเลน หล่อนชำนาญเรื่องปรุงยาเป็นพิเศษ ยามข้าและฟีน่าป่วยหล่อนมักจะใช้รากของต้นแบรนโก้นี่แหละ ต้มเอาแต่น้ำแล้วให้ดื่ม” กองไฟถูกจุดพรึบขึ้นมา หม้อเก่าๆถูกวางลง ชั่วพริบตาเดียวน้ำในหม้อก็ส่งเสียงร้องเดือดปุดปุด มาเวลจัดการหย่อนรากของต้นแบรนโก้ลงไป มันลอยอยู่ในหม้อขึ้นๆลงๆตามฟองอากาศที่ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงคล้ายคนฮัมเพลงลอยออกมาจากหม้อพร้อมเสียงปุดปุดของน้ำที่เดือดอย่างเต็มที่
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“เป็นเสียงของตัวยาที่ผสมกันของแต่ละส่วนของรากแบรนโก้” เกิดแสงวูบวาบสาดไปทั่วใบหน้าของทั้งสองที่กำลังสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของตัวยาภายในหม้อ
“ได้ที่แล้วล่ะ”ตัวยาหมุนวนแล้วกับมาสงบอีกครั้ง น้ำยาใสแจ๋วลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในหม้อ มาเวลตักน้ำยาใสแจ๋วสะท้อนแสงวาวๆลงเยือกที่เตรียมไว้ ทั้งสองคะยั้นคะยอให้ฟีน่าดื่มแต่เธอเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว กว่าเธอจะยอมก็เหลือน้ำยาฮึกสุดท้ายที่เหลือเธอปัดหกหมด หลังจากที่ดื่มยาฟีน่ามีอาการดีขึ้น เธอหลับอย่างสบายใต้ร่มของต้นชาวเวีย
ตะวันเริ่มคล้อยลงแล้วในขณะที่เขาและมาเวลเร่งมือกันซ่อมแซมบ้าน เศษไม้ใหญ่น้อยถูกเอามาประกบและเชื่อมกันจนกลายเป็นเค้าโครงบ้านอีกครั้งแต่ดูแย่กว่าหลังเดิมบานประตูและหน้าต่างถูกนำขึ้นไปติดด้วยฝีมือตอกตะปูอย่างชำนาญของมาเวล อุณหภูมิเริ่มลดลงบ่งบอกถึงการมาถึงของราตรีของวัน
“เสร็จซะที”มาเวลปัดฝุ่นออกมากมือและเสื้อผ้าสวนแม็คลงไปนอนกองกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
แม้บ้านหลังใหม่จะไม่ค่อยเป็นทรงนักแต่ก็พอที่จะบรรเทาอาการหนาวของค่ำคืนที่รู้สึกจะยาวนานในความรู้สึกของแม็คผู้พลิกผันชะตาชีวิตมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มาเวลชงน้ำชาจากซากของใบชาที่เหลือและกาต้มน้ำที่พอจะใช้งานได้ ตอนนี้ฟีน่าพอมีสติกลับคืนมาบ้างแล้วแต่ยังบ่นพึมพำไม่เป็นภาษา มาเวลทำได้เพียงอ่านจากปากว่าเธอต้องการอะไร เราตรงลงกันว่าจะพลัดเปลี่ยนกันอยู่ยามตอนกลางคืนโดยครึ่งคืนแรกจะเป็นของแม็คส่วนครึ่งคืนหลังจะเป็นของมาเวล
ดวงดาวยามค่ำคืนแยกกันอวดแสงแข่งกันระยิบระยับดาษดื่นเต็มน่านฟ้า กลุ่มดาวคามีเลียนลอยเด่นท่ามกลางหมู่ดาวกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มดาวโพรซีออนที่เป็นรูปสุนัขเล็กกลุ่มดาวนอ-ทเทิร์นคาวเหมือนถูกจงใจให้อยู่บนกลุ่มดาวคอมเบเรนิซหรือที่ชาวบ้านเรียกว่ากลุ่มดาวผมเบเรนิซ แม็คเฝ้าสังเกตดวงดาวอยู่พักใหญ่แล้ว เขาพยายามนับพวกมันเพื่อให้คายจากความง่วงที่คุกคามเขาอยู่ตลอดในเวลาครึ่งคืนแรก แม็คนั่งอยู่หน้าประตูที่ถูกซ่อมแซมด้วยฝีมือของมาเวล เขาดึงเสื้อคลุมให้กระชับเพื่อบรรเทาความหนาว ยอดไม้ที่มองเห็นในระยะสายตาเคลื่อนไหวตามกระแสลมยามค่ำคืน ทุกอย่างดูมืดเห็นแต่เพียงเงาหรือรูปทรงลางๆที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ ตะเกียงที่ถูกจุดไว้เป็นเพื่อนทำได้เพียงฉายแสงเลียดไปตามยอดหญ้าที่อยู่รอบๆบ้าน หลังจากครึ่งคืนแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงจันทร์ยามเที่ยงคืนถูกเมฆเคลื่อนมาบัง มาเวลมาเปลี่ยนเวรในตอนที่เขานั่งคอตกด้วยความง่วงที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วในหัวของเขา เด็กชายเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความอ่อนล้า แล้วฟุกตัวหลับลงบนพื้นข้างฟีน่าที่นอนอย่างไม่ไหวติงอยู่บนโต๊ะ เสียงลมพัดลอดบานหน้าต่างที่แตกละเอียดส่งเสียงหวีดระงมไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมที่บิดเบี้ยว กลบเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่มุ่งเป้าสังหารมายังทั้งสามอย่างใจจดใจจ่อ
ความคิดเห็น