ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮอลลี่ เวิลด์ ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5..................ที่พักพิงใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 51


    ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า

     

    ที่พักพิงใหม่

     

    -5-

          ดูจะสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้วที่จะกับไปยังคฤหาสน์ที่นายและนางฮอลลี่อยู่ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน

    เด็กชายได้แต่เดินทางตามหลังมาเวลเพื่อนใหม่ที่รู้จักอย่างลังเลและคาดคะเนไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร  ข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง มันแสนมืดมนไปหมด แต่อย่างน้อยความหวังว่าจะได้นอนบนเตียงนุ่มๆก็ยังมีอยู่  แต่ดูท่าแล้วความสบายอย่างที่คิดมองดูจะเลือนรางนัก เมื่อการเดินทางเริ่มยืดเยื้อขึ้น ความอึมครึมของป่าทำให้เขาทั้งสองไม่อาจจะคาดเดาเส้นทางที่อยู่ข้างหน้าได้ ความรู้สึกฉงนในป่าแห่งนี้เริ่มเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่แค่เพียงความมืดจากป่าเพียงแค่นั้นแต่เป็นความมืดจากพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร่นอยู่คอยบดบังแสงสว่าง  ดุจดั่งมฤตยูแห่งความมืดครอบงำในตัวของเด็กชายทำให้เขารู้สึกพะวงในเส้นทางแห่งนี้ และจนมุมกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่านี้ไปในที่สุดเขาทั้งสองพยายามอยู่ใกล้กันให้ที่สุดเพื่อไม่ให้พรากจากกัน

                      "เจ้าอย่าเบียดข้าสิ ข้าจะล้มแล้ว"

                      "โอ้ย มีอะไรไม่รู้ตำขาผม"

                      "เจ้าเดินให้ระวังหน่อยสิ แถวนี้มีหนามเฮวีนขึ้นอยู่ไปทั่วป่า"

    แม็คเดินตามมาเวลอย่างกระชั้นชิดเพราะเกรงกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ในโลกที่แสนจะแปลกพิลึกแห่งนี้   เมื่อเดินมาสักครู่มีเสียงเหมือนเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันก้องดังไปทั่วป่ามันดังคนเขาทั้งสองต้อง เอามือปิดหูทั้งสองข้าง

                     "นั่นเสียงอะไรน่ะ ดังจนผมแทบจะทนไม่ไหวแล้ว"

                     "มันคือเสียงของต้นไม้"

                     "อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน"

                     "มันคือเสียงของต้นไม้ แห่งไคออส เจ้าแห่งต้นไม้ "

                     "ต้นไม้ทุกต้น สัตว์ทุกตัว ที่อยู่ในป่าแห่งนี้ต้องพึ่งพาต้นไม้แห่งไคออสหมด

    เปรียบเสมือนถังเบียร์ใหญ่เลยก็ได้"

                      "อ้าว ต้นไม้มันสังเคราะห์แสงเองได้นี่ ทำไมต้องพึ่งต้นไม้ต้นอื่นด้วยล่ะ"

                     "เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย"

            ดูเหมือนเสียงเริ่มสงบลงแล้ว กว่าจะสงบลงได้ทำเอาเขาทั้งสองหูอื้นไปตามๆกัน

                      "ผมไม่เข้าใจคุณเลยว่าทำไมมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้  ทั่งที่แสนจะมืด  อีกอย่างก็มีเสียงอะไรก็รู้เล่นเอาแทบหูจะระเบิดเลย"

                      "มันไม่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกแม็ค ถ้าเจ้าเปิดใจและเรียนรู้ในตัวของมันเจ้าก็จะรู้เอง" แม็คหันมามองแม็คที่เดินตามอย่างกระชั้น ก่อนจะพูดทิ้งท้าย และหันกับไปเพื่อเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

                       " เส้นทางแห่งนี้มีมนต์ที่เหล่าคนผู้รักษาเนรมิตขึ้นมาอย่างจงใจ"

         

                        สิ่งที่มาเวลพูดมาไม่ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าระดับความปลอดภัยยิ่งลดลงทุกที  ทิวทัศน์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฎเนินเขาด้านหน้า ความครึ้มของป่าเริ่มลดลง มีแสงแดดสุดท้ายของวันส่งลงมากระทบพื้น ข้างหน้าเป็นเนินเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยนแน่ แต่ที่เห็นอย่างแน่ชัดคือ บ้านไม้ที่แสนโกโรโกโสและเอียงไปอีกด้านหนึ่ง มีเถาวัลย์ เลื้อยไปตามหลังคาบ้านและเลื้อยลงมาปะพื้น ประตูถูใส่กุลแจดอกใหญ่ไว้ ไม่มีสวนหน้าบ้านมีแต่กองฟืนที่วางกองไว้ระเกะระกะอยู่หน้าบ้าน กลิ่นผักเน่าเหม็นตลบอบอวลไปหมด  มันทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา

                      "นี่คุณมาเวล คุณอยู่ได้อย่างไรนี่ มันดู ออกจะ เอ่อ..........."

                      "ดูแล้วมันน่ารังเกลียดมากใช่ไหม"  เสียงของเด็กผู้หญิงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางอากาศ  แม็คหันไปตามทิศทางของเสียง  เขาเห็นเด็กผู้หญิงแต่งตัวมอมแมม มีคราบโคนติดอยู่ตามเสื้อผ้า และแก้มทั้งสองข้างจนไม่สามารถคลาดเดาลักษณะของเด็กหญิงได้

                      "นายทำไมถึงมากับพี่ข้าได้" เด็กสาวย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวเด็กชาย

    รู้สึกว่าพื้นดินที่เปียกแฉะจะทำให้เธอเสียหลัก เด็กหญิงโงนเงนและล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะเดินมาถึงตัวเขา  แม็คอดขำไม่ได้ที่เห็นเด็กผู้หญิงที่ตอนแรกทำอวดเก่งกับเขาเปื้อนเศษไปไม้ที่กองอยู่บนพื้น
             

                        "นายขำอะไรของนาย ไม่เคยเห็นคนลื่นหกล้มหรือไง"เด็กสาวพูดด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ เธอพยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้งทำให้ยิ่งกระตุ้นต่อมอารมณ์ขันของแม็คเพิ่มขึ้น                  ในตอนนี้ใบหน้าของเด็กสาวที่เป็นสีแดงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธและอับอายยิ่งนัก

                        "หลบไปแม็ค" มาเวลผลักตัวเขาออกไป เขามุ่งตรงไปที่เด็กหญิงคนนั้น พรางเอื้อมมือไปพยุงเธอขึ้นมาอยู่ในท่ายืนอีกครั้ง

                        "ทำไมไม่อยู่ในบ้าน มาเที่ยวเตร่อยู่แถวนี้ทำไม พี่เตือนแล้วเตือนอีกน้องก็ไม่เชื่อ"

                        "ก็มันน่าเบื่อนะสิ ให้น้องอยู่ในนั้นทั้งวันมีหวังคงสติแตกแน่" เด็กหญิงตอบอย่างคนคุ้นเคย 

                        "น้องน่าจะรอให้พี่กลับมาก่อนก็ได้นี่"

                        พี่เลิกพูดซักที ประโยคนี้ น้องไม่อยากฟัง กว่าพี่จะกลับมาน้องเห็นพลบค่ำทุกที แล้วที่พี่สัญญาว่าจะพาน้องไปเที่ยวข้างนอกโน้น พี่ก็ไม่เคยพาไป ปล่อยให้น้องอยู่แต่ในป่าเนี่ยตลอด น้องเบื่อจะตายแล้วรู้มั้ย

                         ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามแม็คก็ได้คำตอบทันที  เด็กหญิงนั่นเป็นน้องของมาเวล ขณะนี้เขาทั้งสองกำลังเดินมายังจุดที่เขายืนอยู่  แม็ครู้สึกผิดทีไปหัวเราะน้องสาวของคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้

                         ซีน่า นี้แม็ค เพื่อนพี่เอง แม็คยืนมืออกไปทักทาย แต่กับได้สีหน้าที่บูดบึ้งกับมา

                         พี่ไปคบกับคนอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่มีมารยาท แถมยังแล้งน้ำใจอีกต่างหาก คำพูดนี้ยิ่งตรอกย้ำให้แม็คยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น

                         เลิกเถอะ ฟีน่า เลิกว่าแม็คได้แล้ว

    เราสามคนรีบเดินทางไปยังบ้านของพี่น้องลาสิโออย่างรีบเร่งโดยมีแม็ควิ่งรั้งท้ายอยู่  ทั้งสามมาหยุดอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านซึ่งทำมาจากไม้ที่ตอนนี้ผุพังจนมองเหมือนกองไม้เก่าๆวางล้อมบ้านเอาไว้  แม็คแทบจะล้มตัวลงไปนอนกับพื้นเพราะเหนื่อยแทบขาดใจ  เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ   เขามองไปพี่น้องทั้งสองที่ตอนนี้ พวกเขาเดินผ่านประตูหน้าเข้าไปโดยไม่คิดฉงนใจว่ายังมีอีกคนที่มาด้วย

    แม็คลากร่างกายที่อ่อนล้าเดินตามเขาก่อนจะหยุดลงอีกครั้ง 

                         เอ้.......พี่ว่าพี่เก็บกุญแจไว้แถวน่ะ ไม่รู้มันไปไหน มาเวลล้วงกระเป๋าทุกใบและซอกเล็กซอกน้อยบนเสื้อคลุม

                          พี่เลิก เถอะ ซีน่ามือล้วงกระเป๋าพรางยืนลูกกุญแจส่งให้มาเวล

                          น้องเจอมันตกไว้ที่หน้าบ้าน น้องก็เลยเก็บไว้ มาเวลรับกุญแจจากน้องสาวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด

                          ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกลิ่นเหม็นอับที่ฟุ้งกระจายออกมา  ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านทันที แม็ครีบเดินตามทั้งสองคนนั้นเข้าไปในบ้านก่อนที่ประตูจะถูกปิดลง  ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกว่านี่เป็นบ้านเลย สิ่งของแต่ละชิ้นเหมือนถูกใช้งานมานานหรือไม่ก็ถูกวางทิ้งไว้จนเก่าใช้การไม่ได้ หน้าต่างเเต่ละบานมีรูโหว่หรือไม่ก็รอยแตกร้าว แทบทุกที่ในบ้านปกคลุมฝุ่นหนา มีโต๊ะกินข้าวตั้งไว้ที่กลางบ้าน โดยมีเก้าอี้ทั้งสี่ ตัววางล้อมอยู่  เศษอาหารหกเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ ข้างหลังโต๊ะมีประตูอยู่สามบานดูไม่ต่างกับประตูหน้าบ้านนัก  มีตู้กระจกเก่าๆอยู่ทางซ้ายมือ เท่าที่แม็คสังเกตได้ มีสิ่งของที่มองดูเหมือนรากไม้วางอยู่  ขณะนี้พี่น้องลาสิโอนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว  มาเวลอาสาแทนน้องไปจัดเตรียมชาร้อน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมแก้วใบโตสามใบมีไอโพยพุ่งออกมา

                         เลิกเป็นนักสำรวจได้แล้วเจ้าตัวน้อย เรามีชาร้อนให้เจ้าดื่ม รีบมาดื่ม เเดี๋ยวจะเย็นหมด บ้านข้าไม่ใหญ่โตมากแต่ข้ากับน้องก็อยู่อย่างมีความสุข และหวังว่าเจ้าคงจะมีความสุขเช่นเดียวกับเรา แม็คก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจของพี่น้องมาเวล เขาเดินมานั่งยังโต๊ะที่พี่น้องลาสิโอนั่งอยู่โดยมีชาแก้วใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เขายกแก้วขึ้นมาแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง ทำให้ความร้อนแผ่ซ่านไปทุกรูขุมขน เขารู้สึกอบอุ่นและมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที

                         ที่นี่ดูวิเศษจริงเลยว่ามั้ย มีของแปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นเต็มเลย อย่างเช่น แม็คชี้ไปยังตู้กระจกที่ภายในบรรจุสิ่งของที่มองดูเหมือนรากไม้

                         นั่นมันคืออะไร เจ้าสิ่งที่มันดูเหมือนรากไม้

                         ข้าก็ไม่รู้หลอกมันคืออะไร ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าก็เห็นมันมาตลอด ตู้นั้นนะมันไม่มีกุญแจไข เราก็เลยไม่ได้สนใจมันนัก แต่ว่ากันว่าเป็นสมบัติของแม่ข้าแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร แต่ข้ายังจำคำพูดได้รางๆจากปากของ เฮเลน พี่เลี้ยงข้า แต่ข้าพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกทุกที มันติดอยู่ที่มุมปาก   มาเวลเอามือกุมศีรษะก่อนจะพูดตัดบท

                         เจ้าทั้งสองคนไปอาบน้ำให้เรียบร้อย เดี๋ยวพี่จะไปก่อกองไฟที่หน้าบ้านคืนนี้เรามาฉลองกันต้อนรับแขกของเรา

                           ซีน่าเป็นคนพาแม็คไปทำความคุ้นเคยกับบ้านแต่ท่าทางเธอไม่คอยเติมใจนัก  แม็คได้มีโอกาสเข้าไปทั้งสามห้องที่อยู่หลังโต๊ะที่ทั้งสามนั่งคุยกัน ห้องแรกซึ่งภายไม่ได้แตกต่างกับภายนอกนัก ฝุ่นยังจับหนาตามพื้น ลังใส่ของ ตู้ใส่ของใช้  กระจก เสื้อผ้าที่ใส่แล้วกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนห้อง มีฟูกสำหรับไว้นอนปูอยู่บนพื้น ซีน่าไม่ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องพี่ชายนานนัก เธอกระชากปกเสื้อเขาออกจากทันทีก่อนจะพูดว่า

                          อย่าคิดแม้จะแตะต้องสมบัติของพี่ข้าสักชิ้นเดียว ถ้าข้ารู้มีหวังเจ้าได้เข้าไปอยู่ในถังไม้โอ๊คหมักเหล้าแน่ ซีน่าขบฟันพูดก่อนที่จะกระชากเขาเข้าไปยังห้องที่สอง ห้องนี้ดูแตกต่างจากห้องของมาเวลโดยสิ้นเชิง ข้าวของดูเป็นระเบียบโต๊ะ เครื่องแป้งที่ถูกเช็ดจนแทบไม่เหลือคราบของฝุ่นละออง ของทุกชิ้นถูกเก็บเข้าที่ มีเตียงอยู่ติดกับหน้าต่าง เทียนที่กำลังมอดดับลงทำให้เห็นห้องได้ชัดเจน มีหีบใส่ของแปลกกว่าหีบธรรมดาคือมีกุญแจห้าถึงหกลูกครองอยู่ที่เดียวกัน ข้างในคงจะมีของสำคัญ                        

                            คืนนี้ เจ้านอนกับข้าที่นี่ และคืนต่อไป ข้าก็หวังว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสได้นอนกับข้าในห้องนี้อีก ถ้าเจ้าจะอาบน้ำก็ไปด้านหลังบ้านมีสระอยู่ เวลาพอหัวค่ำก็ออกไปพบเราที่หน้าบ้าน

    ซีน่าเดินกระทืบเท้าออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดพร้อมผลักประตูปิดอย่างแรง ลมกระทบหน้าเขาอย่างจัง แม็คไม่เข้าใจในตัวของซีน่าเลยแต่เขาก็รู้สึกผิดที่ทำต่อซีน่าอย่างนี้ เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเขาและซีน่า  มิฉะนั้นเขาจะลำบากในเมื่อต้องมานอนในห้องเดียวกัน กว่าแม็คจะจัดแจงอาบน้ำและสู้กับปิงดูดเลือดที่อยู่ในสระออกจากแขนและขาหมด เขาใส่เสื้อผ้าที่ฟีน่าจัดเตรียมไว้อย่างรีบร้อนก่อนจะวิ่งออกไปหน้าบ้าน บรรยากาศในค่ำคืนยังเงียบสงบอย่างเช่นเมื่อกี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่มีเสียงสัตว์ หรือแมลงจากส่วนลึกของป่า มีแต่เสียงกองไฟกำลังปะทุส่องแสงวาวอยู่ตรงหน้าพี่น้องลาสิโอ ฟีน่านั่งกอดค่ำและพยายามจ้องมองกองไฟอย่างครุ่นคิด มาเวลกำลังนำเศษไม้แห้งๆโยนเข้าไปในกองไฟ 

                            มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ คือผมว่างอยู่ก็อยากจ่า   อ่อ.......... เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นฟีน่ามองมาทางเขา

                             ทำไมเธอมาช้า ซีน่าขึ้นเสียง

                              คือว่าผมมีปัญหานิดหน่อยแบบว่าในสระนั้นมันมีปิงอยู่แล้วมันก็กัดผมคือ....ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเอามันออก มองดูฟีน่าจะเข้าใจอะไรยากไปเสียทั้งหมดเธอไม่ย่อมฟังเหตุผลของเขาเลยเอาแต่โทษว่าแม็คผิดไปหมดทุกเรื่อง

                               เจ้ามันไม่เอาไหนเลย แถมยังเป็นภาระให้เราสองคนอีก ซีน่าส่งสายตาอย่างเชียบคมมาทางแม็ค

                               ไม่เอาน่า..ฟีน่า มันก็จริงใช่ไหมที่ในสระหลังบ้านเรามีปิงอยู่เยอะ ซีน่ารู้สึกเสียหน้าที่พี่ชายพูดเข้าข้างแม็ค

                               มันก็จริงแต่ไม่ควรนานขนาดนี้นี่นา ฟีน่าพูดเบาลงเมื่อเหตุผลเธอฟังไม่ขึ้น

            ฟีน่ามีท่าทีสงบลง เธอยอมให้แม็คนั่งข้างๆและไม่ให้แตะต้องอะไร  สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งเฉยๆ   ควันไฟลอยตัวสูงขึ้นจากจุดที่มันปะทุไฟ หมุนวน ม้วนตัวคล้ายเกียวคลื่น ลอยสูงขึ้นเลยๆเหนือศีรษะเขา จนจางหายไปในที่สุด  เนื้อปลาโปบาบัสที่กำลังสุกได้ที่ลอยมาแตะจมูกเขาทำให้เขาหันมาให้ความสำคัญกับเนื้อปลาที่อยู่ตรงหน้า   สองพี่น้องลาสิโอซึ่งตอนนี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่ากำลังม่วนอยู่กับการเร่งให้ไฟปะทุยิ่งขึ้นโดยมาเวลเป็นคนพัดส่วนซีน่าเป็นคนใส่เชื้อเพลิง   ไม่นานปลาโปบาบัสก็สุกได้ที่ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว

                              หลังจากมื้อค่ำที่สุดวิเศษ ในความคิดของแม็คจบลง มาเวลไปส่งเขาและซีน่าถึงห้องนอนและเดินออกไปอย่างเงียบกริบ  แม็ครีบเดินตรงไปยังที่นอนของเขาที่อยู่ตรงมุมห้องด้านใน เขาล้มตัวนอนลงด้วยความเหนื่อยล้าและหนังท้องที่ตรึงอย่างเต็มที่ไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกับซีน่าที่หลับสนิทหลังหัวถึงหมอนเพียงไม่ก็นาที เด็กชายรู้สึกตัวอีกที่เมื่อเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกที่หมุนวนรอบตัวเขาเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุที่เกรี้ยวกราด บดบังสิ่งที่รายล้อมเขาอยู่รอบข้าง  มีแสงตะเกียงเคลื่อนตัวช้าๆจากที่หนึ่งที่ห่างออกไปจากใจกลางหมอก แสงนั้นกำลังเข้ามาใกล้เลยๆอย่างรวดเร็วและนิ่มนวลแหวกม่านหมอกที่ปกคลุมตัวเด็กชาย แสงสีเขียวจากตะเกียงที่ถือทำให้เห็นรูปร่างของบุคคลในคราบของเสื้อคุมตลอดทั้งตัวปิดบังใบหน้าที่ดำมืดใต้เสื้อผืนผ้าที่ขาดลุ่ย มือที่เรียวและเล็กจนแทบไม่มีเนื้อหุ้ม มือที่ไม่ได้ถือตะเกียงกุมสิ่งของที่เหมือนคฑา ยิ่งเข้ามาใกล้เด็กชายรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะที่รุนแรงทำให้รู้สึกหนาว จับขั้วหัวใจ แขนและขาอ่อนแรงเหมือนมีมนตราสาปแช่แข็งไว้  เด็กชายรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเขารับรู้ได้อย่างไรมันแปลกและไม่คุ้นเคย  ไม่นานนักชายที่ถือตะเกียงก็มาหยุดตรงหน้าเขาพรางลดระดับตะเกียงลง  ทำให้ใบหน้าตกอยู่ภายใต้ความมืดของเสื้อคลุม หมอกยังคงฟุ้งกระจายขดและม้วนตัวอย่างคุ้มคลั่งอยู่ตลอดเวลา มีเสียงแผ่วเบาและเรียบเย็นดังออกมาจากตัวเขา มันเบาจนแทบกลมกลืนไปกับความเงียบที่ล้อมกลายเขาอยู่  แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือหมอกเริ่มจางลงพร้อมคำพูดที่ดังขึ้นของชายเสื้อคลุม

                   ข้า....อ่อน...ล้าเหลือเกิน ไม่มีใครจะช่วยข้าได้ เขาสู้หายใจลึก ท่าทางอ่อนล้าเต็มทน

                   เจ้าใช่มั้ย ที่ข้าตามหาอยู่ ข้าร่ำร้องอย่างทรมาน ข้าอ่อนล้าสุดเยียวยา ข้าไร้สิ้นมนตราที่เข้มแข็ง ข้าถูกพันธนาการด้วยวาจา ชายถือตะเกียงเดินอย่างสงบนิ่งโดยไม่หวั่นไหวต่อม่านหมอกที่เริ่มก่อตัวและปั่นป่วนอีกครั้ง 

                    จิตใจข้าปั่นป่วนดั่งเช่นม่านหมอก มองไม่เห็นแม้กระทั่งวิญญาณของตัวเอง ข้ากำลังดับสูญและที่แห่งนี้ก็กำลังดับสูญ ผู้ครองอำนาจใหม่กำลังมา  เค้าถือครองเฟียร์ หัวใจแห่งป่าแต่ข้าหามีไม่ ข้าไม่อาจต่อกรกับเค้า มนตราข้าไม่พอ หลังจากที่พวกออกุสต้าล่มสลาย ข้าถูกทิ้งให้ปกป้องดินแดนนี้โดยลำพัง ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เดิมเคยเป็นเพื่อนข้า พวกมันทุกตัวถูกฆ่าเพื่ออุทิศให้งานที่สำคัญของพวกชั่วช้าจิตใจทรยศ  ในยามที่ข้าเหงา ข้าไร้คนปลอบโยน ข้ากำลังตายยยยยยย น้ำเสียงที่ลากยาวมันทำให้เขาแทบหยุดหายใจตามมัน ดั่งความเหงาความเดียวดายเข้าครอบงำตัวเขา ดูเหมือนทุกอณูของอากาศกำลังจับตัวแข็งจนเขาไม่อาจสูดมันเข้าไปได้

                     เวลาทำให้ข้าเลอะเลือนหมดหวังและอ่อนแอ ข้ารู้สึกถึงพลังด้านมืดที่ครอบงำดินแดนนี้ แต่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากรักษาพลังเพียงน้อยนิดเพื่อประคับประคองร่างที่อ่อนแอให้มีชีวิตอยู่ได้และใช้พลังส่วนหนึ่งเฝ้ามองและรอคอยความหวัง ป่าเริ่มมืดลงทุกทีพร้อมความหวังที่ดับมืด จนกระทั่งเจ้าปรากฏกายเหยียบบนอาณาเขตแห่งข้า กายข้าร้อนผ่าวหลังจากจมดิ่งอยู่ได้ความหนาวเย็นและสิ้นหวัง เจ้ามีสิ่งวิเศษ พลังมนตราที่ข้าไม่รู้จักและเจ้า ชายถือตะเกียง ชี้มาทางแม็ค

                       ก็คือความหวังที่ข้ารอคอย เเม็คแทบลำลักคำพูดสุดท้ายของชายถือตะเกียง แต่ก่อนที่เขาจะตั้งคำถามกลับไป มีเสียงหนึ่งเรียกมาจากที่แสนไกล เขารู้สึกโงนเงนเหมือนพื้นที่ยืนอยู่เริ่มสั่นไหว มีแรงมหาศาลดันตัวเขาขึ้น ลอยสูงขึ้นจากพื้น มีเสียงของชายถือตะเกียงดังมาจากข้างล่าง

                         จำไว้ เด็กน้อย เจ้าคือความหวังของเรา ค้นหาตัวเองให้พบและเจ้าจะเข้าใจในคำพูดของข้า ไปที่คัสตราโก ที่นั้นเจ้าจะพบความจริง สิ้นเสียงชายถือตะเกียง เกิดแสงระยิบระยับทำให้ตาเขาพร่ามัว 

                         โครม ถังน้ำใหญ่สาดลงบนใบหน้าของเด็กชาย เขาลืมตาขึ้นร่างกายเปียกปอน ปิง 2-3 ตัว ดิ้นอยู่บนพื้น โดยมีฟีน่ายืนหอบ มือข้างหนึ่งถือถังไม้อยู่ข้างลำตัว

                          หวังว่าครั้งต่อไปเจ้าคงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ตื่นสาย ข้าบอกเจ้าแล้วนะ ฟีน่าหันหลังแล้วเดินออกไป ระหว่างที่เขาจัดแจงกับเสื้อผ้าที่เปียก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มาเวลในชุดนักล่าสัตว์ มือข้างหนึ่งถือหน้าไม้เดินผ่านประตูเข้ามา

                          อรุณสวัสดิ์ แม็ค จากที่เห็นเช้านี้คงไม่สดใสนัก มาเวลยืนมองแม็คที่พยายามบิดเสื้อผ้าให้แห้ง  

                           ข้าขอโทษแทนน้องข้าด้วย ปกติฟีน่าไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฟีน่าเป็นเด็กร่าเริง และนิสัยดี มาเวลนั่งลงบนเตียงของฟีน่าพรางมองหมอนลูกเก่าที่ฟีน่าใช้นอน เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมากอดเอาไว้

                           เราสนิทกันมาก เราอยู่กันตามลำพังหลังจากเฮเลนพี่เลี้ยงของเราตาย หล่อนดูแลเราตั้งแต่เล็กหลังจากที่แม่เราตาย เราพี่น้องแทบจำหน้าท่านจำไม่ได้ เฮเลนไม่เคยเล่าว่าท่านจากไปอย่างไร เราทำได้เพียงคิดถึงท่านและภาวนาให้ท่านคุ้มครองเราทั้งสอง มาเวลวางหมอนของน้องสาวลงพรางเอื้อมมือไปหยิบหน้าไม้ และผูกเชือกรองเท้าให้กระชับ

                           เอาล่ะ ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วสินะ นี่เสื้อผ้าของเจ้าเปลี่ยนซะ ข้าให้ฟีน่าทำซุปกระต่ายไว้แล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้ มาเวลเดินผ่านหน้าเขาไป แม็คแอบเห็นคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าของเขา

                             เช้านี้   ฟีน่าซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต  กางเกงขายาว รองเท้าหนังหุ้มทั้งเท้า มีเปียเล็กๆห้อยปะบ่า ม้วนผ้าขนาดเท่านกเพริเเคนขดม้วนอยู่ที่เท้า มือข้างหนึ่งม่วนอยู่กับเส้นด้ายที่บรรจงปักลงบนผืนผ้า แม็คไม่อยากจะกวนฟีน่าเพราะผลลัพธ์คงไม่ดีแน่ เขาเดินผ่านฟีน่าอย่างเงียบฉี่ จนผ่านพ้นสายตาอันเฉียบคมของฟีน่าไปได้  เขาผลักประตูเพื่อหวังว่าจะได้เห็นแสงของวันใหม่ แต่ผิดหวัง เมฆฝนก่อตัวแน่น บดบังแสงของวันใหม่จนหมดสิ้น

                             จะออกไปไหนหรือ เด็กเจ้าปัญหา เสียงฟีน่าดังมาจากข้างหลัง

                             คือผมตั้งใจว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย

                             วันนี้ไม่ได้หรอก มีประกาศจาก ออลชามิส ว่าจะมีฝนตกตลอดทั้งวัน อีกอย่างพวกวูฟฮาวกำลังออกล่าเหยื่อด้วยคงไม่ดีหรอกถ้าเจ้าจะกลายเป็นอาหารมื้อเช้าของพวกมัน ฟีน่ายังคงก้มหน้าก้มตากับงานฝีมือของเธอ

                               แล้วมาเวล เขาจะปลอดภัยมั้ยครับ

                                ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ข้า ไม่มีศัตรูหน้าไหนกล้าเข้าใกล้พี่ข้าหรอก มิฉะนั้นพวกมันจะกลายเป็นอาหารเย็นนี้   

                                 แม็คกลับมานั่งที่โต๊ะ ข้างๆฟีน่า เขานั่งมองฟีน่าสอดเข็มขนาดจิ๋วปักลงไปในเนื้อผ้า ฝนห่าใหญ่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้างนอก เขารู้สึกเป็นห่วงมาเวลมากขึ้นทุกทีและเมื่อหันมามองฟีน่าเขาไม่เห็นแม้แต่สีหน้าที่เป็นกังวลของเธอเลย

                                นี่ ฟีน่า เธอไม่เป็นห่วงพี่เธอเลยหรือ แม็คสะกิดเธอให้ฟังสิ่งที่เขาพูด

                                โอ้ย !  เลือดออก

                                เป็นอะไรหรือฟีน่า แม็คถามด้วยความเป็นห่วง

                                อย่ามายุ่งกับข้า เพราะเจ้าคนเดียว ถ้าเจ้าไม่เอามือมาสะกิดเข็มคงไม่ทิ่มข้าหรอก ฟีน่าปัดมือแม็คออกจากรัศมีของเธอ เด็กชายนั่งกุมมือด้วยความเจ็บปวดจากแรงเหนี่ยวของฟีน่า

                               เจ้าเป็นอะไรหรือ เด็กเจ้าปัญหาฟีน่าเบนความสนใจมาที่แม็ค เธอผุดลุกมาประคองแม็คซึ่งตอนนี้ลื่นไถลลงไปกองบนพื้นแล้ว

                                เจ้าไม่หน้ายั่วโมโหข้าเลย เด็กจ้าวปัญหา เจ็บมากมั้ยเนี่ย ขอข้าดูหน่อย ฟีน่าประคองแม็คขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

                               โอ้ย เจ็บครับ

                                ก็แค่ข้อเคร็ด มีสีหน้าเป็นห่วงเจืออยู่บนหน้าของเธอ

                                 แค่ใบของต้นฮาเซล ก็คงหายแล้วล่ะฟีน่าเดินหายเข้าไปในครัว และเดินกับมาในมือมีใบของต้นฮาเซลติดมือมา เธอบรรจงประคบลงบริเวณแขนอย่างละมุมละม่อม

                                เอาล่ะ แค่นี้ก็คงหายแล้วซิน่ะ

                                แล้วแผลของคุณล่ะ ไม่เจ็บแล้วเหรอ แม็คถามแต่ฟีน่าไม่ตอบเธอยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องของเธอ

                                  บรรยากาศภายนอกยังอึมครึม  ฝนยังโถมกระนั่ม  ต้นไม้ใหญ่น้อยลู่เอียงตามสายลมที่โหมแรงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีวี่แววของมาเวล เขานั่งภาวนาว่ามาเวลคงปลอดภัยกลับมาก่อนอาหารเย็น ไอน้ำจับตัวกันเป็นฝ้าบนกระจกทุกบาน ยิ่งทำให้ของเขาวิสัยทัศน์แย่ลง เด็กชายลุกจากเก้าอี้เดินไปยังหน้าต่างพรางใช้มือลูบเพื่อกำจัดฝ้าที่จับตัวกันแน่นบนกระจกออกไป  เด็กชายแนบแก้มลงบนกระจก เสียงลม และหยาดสายฝนแซ่ซ้องไปทั่ว เขามองผ่านม่านฝนออกไปยังลานโล่งที่เห็นภูเขาลูกย่อมอยู่ไกลๆ  มีพุ่มของหนามเฮวีนขึ้นเป็นกลุ่มปะปลาย มีพุ่มหนึ่งเล็กกว่าพุ่มอื่น แม็คจับจ้องที่มันเขารู้สึกว่าเจ้าพุ่มนั้นกำลังเคลื่อนมาหาเขาช้าๆ ไม่นานเขาก็เห็นมันชัดขึ้น เจ้าพุ่มนั้นไม่ใช่อื่นไกล คือ มาเวลเอง เขากระโดดข้ามรั้วอย่างกระหืดกระหอบ  เสียงเคาะประตูดังอย่างนักหน่วง  แม็ครีบวิ่งไปยังประตู ทันทีที่เขาเปิดประตู มาเวลก็พุ่งพรวด ผลักตัวเขาไปนอนกองอยู่กับพื้น

                                ฟีน่าอยู่ไหน มาเวลถามในขณะที่เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดูรีบร้อนยิ่งนัก

                               อยู่ในห้องของเธอ แม็คบอกในขณะที่พยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้น เขาวิ่งไปยังห้องของฟีน่าทันที และกลับออกมาโดยมีโดยมีฟีน่าที่มีท่าทางตื่นกลัววิ่งตามมา

                                ต้องรีบไปที่หลบภัย พวกมันกำลังมา

                                 ใครกันที่กำลังมา แม็คถาม

                                  ไม่ใช้เวลามาตอบคำถาม เร็วเข้า เจ้าด้วยแม็คตามข้ามาแม็ควิ่งตามพี่น้องลาสิโอโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เราทั้งสามวิ่งออกห่างตัวบ้านไม่ไกลนักมาหยุดใต้ต้นใม้ให้ที่แผ่กิ่งก้านไปทุกิศทุกทาง มาเวลลดตัวลงไปนอนกับพื้นดิน พรางใช้มือเคาะโดยที่หูแนบลงกับพื้น สักครู่ก็ลุกขึ้น  ฟีน่าใช้เท้าเขี่ยเศษใบให้ที่ปกคลุมอยู่เผยเห็นตราสัญลักษณ์คล้ายรูปดวงอาทิตย์ สักครู่มันก็เริ่มหมุนเละเคลื่อนตัวลงไปเกิดเป็นช่องที่พอดีให้เขาทั้งสามคนลอดลงไปได้  ทั้งสามหย่อนตัวเองลงไปยังปล่องบันไดโดยมีมาเวลรั้งท้าย ทางลงบันไดทั้งสูงและชัน  มืดมีกลิ่นอับคละคลุ้งไปทั่ว แม็คซึ่งตามหลังพยายามหย่อนตัวเองและพยุงตัวเองลงบันไดเพื่อตามสองพี่น้องให้ทัน  ความมืดบดบังพี่น้องลาสิโอที่อยู่ด้านล่าง บันไดที่ทอดตัวลงโดยไม่รู้จุดสิ้นสุดเด็กชายทำได้เพียงคาดคะเนเส้นทางและก้าวลงอย่างระมัดระวัง  แม็คหวังว่าอีกไม่นานคงจะสิ้นสุดโดยการได้ยืนบนพื้นที่ราบเรียบ   ชั่วครู่เกิดเสียงเท้าแตะกระทบพื้นดังก้องไปทั่วปล่องบันได พี่น้องลาสิโอคงถึงพื้นแล้ว เกิดแสงสว่างสาดส่องไปทั่วปล่อง แม็คมองเห็นมาเวลและฟีน่าอยู่ด้านล่าง เด็กชายเร่งฝีเท้าเพื่อตามไปสมทบกับทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่าง

                             ข้างล่างเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีผนังที่ก่อด้วยก้อนอิฐวางเรียงต่อกันสูงขึ้นเป็นฝาผนังล้อมทั้งสี่ด้านของห้อง ด้านบนเป็นก้อนหินหลายก้อนถูกอัดแน่นดูขรุขระไม่เป็นระเบียบ รากไม้ทั้งเล็กและใหญ่เกยก่ายและพันกันคล้ายใยแมงมุมขนาดยักษ์ มีตะเกียงที่ติดไฟวูบวาบวางที่แท่นหินที่ยืนออกมาจากฝาผนังด้านซ้ายมือ  ทั้งสามคนนั่งล้อมรอบแท่นหินเพื่อขจัดความหนาวที่นับว่าเลวร้ายลงทุกทีเมื่อมาอยู่ในห้องแห่งนี้  ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นแม็คไม่รู้ แต่สีหน้าของพี่น้องลาสิโอเต็มไปด้วยวิตกกังวล   ฟีน่าโผเข้าซบมาเวลด้วยความหวาดกลัวในขณะที่มาเวลลูบศีรษะน้องสาว แม็คก็พยายามอยู่ให้ใกล้ตะเกียงให้มากที่สุดเพื่อรับแสงอบอุ่นที่แผ่ไปทุกทิศทุกทาง

                              พี่ว่าพวกมันไปกันหรือยังค่ะ ฟีน่าถามพี่ชายด้วยเสียงสั่นเครือ

                              ยังหรอกฟีน่า มาเวลรับแรงกอดที่แรงขึ้นของฟีน่า

                              ใครครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าพวกมัน แม็คถามในสภาพที่ขากรรไกรติดค้างเพราะความหนาว

                               พวกเราไม่รู้เหมือนกัน สองสามวันก่อนข้าเห็นว่าพวกมันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวละแวกนี้ ไม่มีใครมาแถวนี้หรอก เพราะอันตรายเกินไป กลิ่นอายของมนตราเก่าแก่ที่ถูกผนึกไว้คอยป้องกันข้ากับฟีน่า คอยซ่อนเร้นและอำพรางคนนอกที่ล่วงล้ำมายังที่แห่งนี้ มีแต่พวกที่มีสัมผัสแห่งมนต์ตราเท่านั้นที่จะผ่านเข้ามาได้หนึ่งในนั้นก็คือเจ้า  แม็ค  ฮอลลี่ ข้าไม่อยากจะถามเจ้าหรอกว่าเจ้ามีได้อย่างไร แต่ข้าสัมผัสถึงพลังด้านดีที่มีเต็มเปี่ยมในตัวเจ้า ข้าจึงไว้วางใจในตัวเจ้า จึงพาเจ้ามายังบ้านของเราไง แม็คถึงกับหน้าชาเลยทันทีที่ฟังมาเวลพูด  เขาไม่คิดเลยว่าตนจะมีพลังวิเศษนี้ได้อยู่จริง

                         แต่ผมไม่รู้สึกว่ามีมันอยู่เลยนี่ แม็คถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

                          เจ้ายังเด็ก อีกอย่างเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้และควบคุมมัน มาเวลหยุดหายใจแล้วว่าความต่อ

                         เจ้าพวกที่อยู่ข้างนอกนั่น เป็นผลผลิตจากพลังด้านมืด พลังพวกนี้หาง่ายและกระจายไปทั่วเพียงจิตใจเจ้าอ่อนไหว มันจะแทรกซึม เจ้าจะหลงใหลมันในตอนแรก จนเจ้าตายใจมันจะทำลายเจ้า ผลสุดท้าย เจ้าจะไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ตกอยู่ในความมืด ความหนาวเหน็บ เรียนรู้ความรู้สึกจากลมหายใจและสันชาตญานของเจ้าและหลังจากนั้นจะไม่มีใครได้ใช่มันอีก นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีเจ้าและมัน

                         หายสาบสูญไปตลอดกาลใช่ไหมครับแม็คตอบอย่างอัตโนมัติ

                          ถูกต้องแล้ว ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกมันมาจากไหน แต่มีเสียงล่ำลือกันหนาหูในโรงเตี้ยมพูนี่ว่าออกจากปราสาทตระกูลกุสต้า ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากไฟไหม้คฤหาสน์

                          พี่ค่ะแล้วข่าวพวกนี่ได้มาจากไหนฟีน่าเริ่มกล้าพูดขึ้นมาหลังตกอยู่ในความกลัว

                   พวกคนส่งเสบียงไง ช่วงนี้แปลกชอบกลทางปราสาทต้องการเสบียงมากเป็นพิเศษ คนส่งเสบียงจึงมีโอกาสเข้าไปยังปราสาทบ่อยครั้ง แต่เจ้าพวกนี้มักพูดจาเลอะเลือนจับประเด็นไม่ได้ โชคดีที่ออลชามิสมีคาถาอ่านใจเราจึงรู้เรื่องต่างๆและรู้ว่าพวกมัน ข้าหมายความว่าคนในปราสาทกำลังตามหาสิ่งสำคัญนั่นก็คือ เด็ก นี่เป็นข้อมูลเชื่อมโยงไปยังการหายตัวของเด็กที่อาศัยแถวละแวกคัสตราโก สถานนี่แต่เราก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีการจับตัวไปจริง สิ้นสียงของแม็คเกิดความเงียบชั่วขณะทั้งสามนั่งมองหน้ากันและพยายามไตร่ตรองเรื่องต่างๆที่ได้ฟัง ฟีน่าปล่อยโหออกมา เธอหน้าแดง น้ำมูกไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าที่อ่อนวัย เกิดสียงหึ่งๆคล้ายฝูงแมลงที่ออกหากินหลังฝนตกดังอยู่ด้านบน

                          นั่นเสียงพวกมันใช่ไหมครับ แม็คมองขึ้นไปตามปล่องบันได

                            มาเวลส่ายหน้าเเต่ก็ไม่พูดอะไร

    หลังจากเวลาผ่านไปประมาณสองถึงสามนาทีก็เกิดเสียงที่สองตามมาเป็นเสียงคล้ายคนกำลังใช้เลื้อยตัดต้นไม้ขนาดใหญ่

                          พวกมันกำลังพังบ้านของเราใช่ไหมค่ะ

                         ไม่มีใครจะทำลายบ้านของเราได้มาเวลปลอบน้องสาวให้คลายกังวล

                          นานเท่าไรแล้วที่เขาติดแหงกอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีวี่แววว่าการหลบซ้อนจะสิ้นสุดลง   เวลาเดินอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับอากาศที่อยู่ในห้องนี้กำลังลดลงทุกที

                           ตอนนี้พี่น้องลาสิโอนอนกอดกันกลมอยู่ตรงมุมห้อง แม็คกำลังตามไปสมทบไม่นานทั้งสามก็หลับสนิทโดยลืมเรื่องต่างที่รบกวนจิตใจ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้านบน 

                            เหมือนเวลาจะหยุดเดินชั่วขณะไม่มีเสียงดังจากข้างบน ตะเกียงที่วางอยู่ที่แท่นหินดับลงเนื่องจากเชื้อเพลิงที่บรรจุหมด แม็คลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมากระแทกหน้าอย่างจัง   เท้าของฟีน่านั่นเอง แม็คผลักเท้าเธอให้ห่างจากเขา พรางผุดลุกขึ้น สองพี่น้องยังหลับสนิท อุณหภูมิในห้องเริ่มสูงขึ้น มีแสงพระอาทิตย์ลอดผ่านปล่องเข้ามาตามรอยแตกตามแฉกของรูปสลักพระอาทิตย์

                           แม็คตัดสินใจว่จะปลุกสองพี่น้อง เขาเดินไปยังพวกเขาพรางเขย่าตัวมาเวล  มาเวล

    กระพริบตาเล็กน้อยก่อนได้สติคืนมา  มาเวลยืนขึ้นอย่างมั่นคงพรางเขย่าตัวน้องสาว

                           พวกนั้นไปหรือยังพี่ ฟีน่าถามทันทีที่ลืมตาขึ้น

                           คงไปแล้วล่ะ ป่านนี้ข้างบนคงเช้าแล้ว เดียวพี่จะต้มชาอุ่นๆให้พวกเราดื่มกัน มาเวลยืดแข่งยืนขา ทำท่าคึกคัก ทั้งสามพากันเดินขึ้นไปตามปล่องบันได ตามเส้นทางเดินที่ลงมายังห้องสี่เหลี่ยมนี้ ไม่มีเสงสว่างจากตะเกียงดังเช่นตอนที่ลงมา มีพียงแสงแห่งรุ่งอรุณที่เล็ดลอดลงมาเท่านั้น ทั้งสามดูอิดโรยยิ่งนักหลังจากที่ต้องหนีลงมาหลบยังที่นี้โดยทิ้งอาหารที่โอชะไว้ ดูจากสภาพของทั้งสาม ฟีน่ามองดูแย่ที่สุด เธอเริ่มมีอาการหน้าแดงและตัวร้อน พูดเผลอไม่เป็นเรื่องเป็นราวตลอด ที่ทั้งสามเดินขึ้นไปตามปล่องบันได ไม่นานก็มาถึงปากปล่องที่มี่แสงแดดเล็ดลอดลงมา ปากปล่องเลื่อนเปิดเหมือนได้รับคำสั่ง แสงแดดของรุ่งอรุณทำให้ตาพร่ามัวต้องรอสักพักหนึ่งจึงจะเห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน แม็คและมาเวลช่วยกันพยุงร่างของฟีน่าที่ดูจะหนักขึ้นทุกที ฟีน่าทิ้งร่างที่ไร้เรี่ยวแรงลงบนบ่าทั้งสองของพวกเขา แม็คแทบทรุดฮวบโชคดีที่   มาเวลออกแรงช่วยเขาไว้ได้ทัน ข้างนอกยังสงบเงียบอย่างเช่นเคยไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวเพื่อรับแสงของเช้าวันใหม่  แต่สิ่งที่ทำให้เขาเเละแม็คต้องเข่าอ่อนคือ บ้านที่ถูกทำลายเหลือแต่เพียงหลังคาที่โอนเอียง ซีกหนึ่งของบ้านพังยับเยิน ประตูบ้านถูกเหวี่ยงไปค้างอยู่บนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้เคียง เหลือเพียงบานประตูที่ยังตั้งอยู่ได้เพราะเสาหลักของบ้านที่ไม้ล้ม และฝาผนังที่ล้อมรอบห้องที่เคยเป็นของฟีน่าและซีกหนึ่งของห้องมาเวล โต๊ะที่ใช้เป็นที่ดื่มน้ำชายังวางอยู่ที่เดิมมี เก้าอี้ที่แตกหักกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ   แม็ค ฟีน่า และมาเวลเยียบย่ำบนซากกองปรักหักพังของบ้านที่เคยใช้อาศัยอยู่ ใบหน้าที่เจือสีเศร้าสร้อยของมาเวลบ่งบอกถึงความอาลัยที่เกิดขึ้นในใจของเขา เขาและมาเวลพยุงฟีน่านั่งลงตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่หลงเหลือจากการถูกทำลายท่ามกลางแสงอ่อนๆในตอนเช้า  มาเวลเดินไปรอบๆตัวบ้านพยายามมองหาเศษไม้ที่สภาพดีอยู่มาวางรวมกองไว้โดยมีแม็คเป็นลูกมือช่วย ไม่นานกองไม้กองโตก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

                              แค่นี้คงจะพอสำหรับที่จะซ่อมแซมบ้านของเราแล้วล่ะ มาเวลปาดเหงื่อที่ไหลโชกเต็มหน้า

                               คุณคิดจะซ่อมบ้านใหม่หมดทั้งหลังหรือนี่แม็คซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างจากมาเวลนัก

                                 แสงแดดแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้จำเป็นต้องพาฟีน่าไปอยู่ใต้ต้นชาวเวียที่ขึ้นแผ่กิ่งก้านปกคลุมเป็นร่มเหงาให้พวกเขาทั้งสาม   มาเวลหยิบเศษขนมปังที่เหลืออยู่ในกระเป๋าระหว่างออกไปล่าสัตว์ป้อนให้ฟีน่าที่นอนอย่างไร้เรียวแรงด้วยพิษของไข้  อีกสองส่วนที่เหลือเป็นของเขาและมาเวล  มาเวลฉีกเสื้อที่เขาใส่แช่น้ำบิดหมาดมาวางไว้ที่หน้าผากเพื่อลดไข้

                                 ท่าทางเธอยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ แม็คถามหลังจากเฝ้ามองอาการฟีน่ามานานแล้วดีไม่ขึ้น

                                 เราต้องการใช้รากของต้นแบรนโก้ เป็นยาลดไข้ขนานดี มีขึ้นชุกอยู่แถวนี้ เจ้าช่วยข้าหาหน่อยมาเวลสาธยาย เขาและมาเวลแยกย้ายกันไปหาต้นแบรนโก้ มาเวลได้มาสามต้นส่วนแม็คได้ต้นอ่อนของหนามเลวีนมา

                              คุณเรียนการปรุงยามาจากไหนครับแม็คถามในขณะจ้องมองมาเวลก่อกองไฟ

                              ข้าเคยเป็นลูกมือเฮเลน หล่อนชำนาญเรื่องปรุงยาเป็นพิเศษ ยามข้าและฟีน่าป่วยหล่อนมักจะใช้รากของต้นแบรนโก้นี่แหละ ต้มเอาแต่น้ำแล้วให้ดื่ม กองไฟถูกจุดพรึบขึ้นมา หม้อเก่าๆถูกวางลง ชั่วพริบตาเดียวน้ำในหม้อก็ส่งเสียงร้องเดือดปุดปุด มาเวลจัดการหย่อนรากของต้นแบรนโก้ลงไป มันลอยอยู่ในหม้อขึ้นๆลงๆตามฟองอากาศที่ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงคล้ายคนฮัมเพลงลอยออกมาจากหม้อพร้อมเสียงปุดปุดของน้ำที่เดือดอย่างเต็มที่

                           นั่นเสียงอะไรน่ะ

                           เป็นเสียงของตัวยาที่ผสมกันของแต่ละส่วนของรากแบรนโก้ เกิดแสงวูบวาบสาดไปทั่วใบหน้าของทั้งสองที่กำลังสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของตัวยาภายในหม้อ

                          ได้ที่แล้วล่ะตัวยาหมุนวนแล้วกับมาสงบอีกครั้ง น้ำยาใสแจ๋วลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในหม้อ มาเวลตักน้ำยาใสแจ๋วสะท้อนแสงวาวๆลงเยือกที่เตรียมไว้ ทั้งสองคะยั้นคะยอให้ฟีน่าดื่มแต่เธอเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว กว่าเธอจะยอมก็เหลือน้ำยาฮึกสุดท้ายที่เหลือเธอปัดหกหมด หลังจากที่ดื่มยาฟีน่ามีอาการดีขึ้น เธอหลับอย่างสบายใต้ร่มของต้นชาวเวีย

                             ตะวันเริ่มคล้อยลงแล้วในขณะที่เขาและมาเวลเร่งมือกันซ่อมแซมบ้าน เศษไม้ใหญ่น้อยถูกเอามาประกบและเชื่อมกันจนกลายเป็นเค้าโครงบ้านอีกครั้งแต่ดูแย่กว่าหลังเดิมบานประตูและหน้าต่างถูกนำขึ้นไปติดด้วยฝีมือตอกตะปูอย่างชำนาญของมาเวล อุณหภูมิเริ่มลดลงบ่งบอกถึงการมาถึงของราตรีของวัน

                             เสร็จซะทีมาเวลปัดฝุ่นออกมากมือและเสื้อผ้าสวนแม็คลงไปนอนกองกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

                            แม้บ้านหลังใหม่จะไม่ค่อยเป็นทรงนักแต่ก็พอที่จะบรรเทาอาการหนาวของค่ำคืนที่รู้สึกจะยาวนานในความรู้สึกของแม็คผู้พลิกผันชะตาชีวิตมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มาเวลชงน้ำชาจากซากของใบชาที่เหลือและกาต้มน้ำที่พอจะใช้งานได้ ตอนนี้ฟีน่าพอมีสติกลับคืนมาบ้างแล้วแต่ยังบ่นพึมพำไม่เป็นภาษา มาเวลทำได้เพียงอ่านจากปากว่าเธอต้องการอะไร เราตรงลงกันว่าจะพลัดเปลี่ยนกันอยู่ยามตอนกลางคืนโดยครึ่งคืนแรกจะเป็นของแม็คส่วนครึ่งคืนหลังจะเป็นของมาเวล

                     ดวงดาวยามค่ำคืนแยกกันอวดแสงแข่งกันระยิบระยับดาษดื่นเต็มน่านฟ้า กลุ่มดาวคามีเลียนลอยเด่นท่ามกลางหมู่ดาวกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มดาวโพรซีออนที่เป็นรูปสุนัขเล็กกลุ่มดาวนอ-ทเทิร์นคาวเหมือนถูกจงใจให้อยู่บนกลุ่มดาวคอมเบเรนิซหรือที่ชาวบ้านเรียกว่ากลุ่มดาวผมเบเรนิซ  แม็คเฝ้าสังเกตดวงดาวอยู่พักใหญ่แล้ว เขาพยายามนับพวกมันเพื่อให้คายจากความง่วงที่คุกคามเขาอยู่ตลอดในเวลาครึ่งคืนแรก แม็คนั่งอยู่หน้าประตูที่ถูกซ่อมแซมด้วยฝีมือของมาเวล เขาดึงเสื้อคลุมให้กระชับเพื่อบรรเทาความหนาว ยอดไม้ที่มองเห็นในระยะสายตาเคลื่อนไหวตามกระแสลมยามค่ำคืน ทุกอย่างดูมืดเห็นแต่เพียงเงาหรือรูปทรงลางๆที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ ตะเกียงที่ถูกจุดไว้เป็นเพื่อนทำได้เพียงฉายแสงเลียดไปตามยอดหญ้าที่อยู่รอบๆบ้าน หลังจากครึ่งคืนแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงจันทร์ยามเที่ยงคืนถูกเมฆเคลื่อนมาบัง  มาเวลมาเปลี่ยนเวรในตอนที่เขานั่งคอตกด้วยความง่วงที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วในหัวของเขา เด็กชายเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความอ่อนล้า แล้วฟุกตัวหลับลงบนพื้นข้างฟีน่าที่นอนอย่างไม่ไหวติงอยู่บนโต๊ะ  เสียงลมพัดลอดบานหน้าต่างที่แตกละเอียดส่งเสียงหวีดระงมไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมที่บิดเบี้ยว กลบเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่มุ่งเป้าสังหารมายังทั้งสามอย่างใจจดใจจ่อ

     

     

     

    ------------จบตอน------------------- 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×