คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 .................ผู้ช่วยเหลือ
ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า
ผู้ช่วยเหลือ
-4-
ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่วบดบังร่างของเด็กชาย ซึ่งนอนไม่ไหวติงอยู่เบื้องล่างที่รายล้อมด้วยซากบันไดที่พังทลายลงมากองเป็นหย่อมๆ รอยแดงเป็นจ้ำจ้ำปรากฎไปทั่วใบหน้า ทั้งตามเเขนและขา เสื้อผ้าถูกฉีกขาดด้วยสะเก็ดหินที่แตกหักออกมาจากบันไดที่พังทลายลง แรงเหวี่ยงทำให้ผมดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เงาสีดำปรากฎชัดขึ้นวิ่งตัดผ่านม่านฝุ่นละอองที่บางตาลง พร้อมเสียงควบม้าแว่วมาในอากาศเด็กชายนอนงองุ้มลำตัวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาไม่อาจจะลืมได้เหมือนมีลูกตุ้มนาฬิกาขนาดใหญ่ห้อยถ่วงเปลือกตาไว้ เสียงควบม้าหยุดใกล้ร่างของเขา เสียงหายใจครืดคราดของม้าดังอยู่ข้างลำตัว เสียงเท้าขนาดใหญ่กระโดดลงจากที่สูงลงมาเหยียบบนกรวดหินของลำธาร
"หยุดทำไม บลาสต้า" เสียงสุภาพสตรีแหลมทุ้ม ฟังดูมีพลังหนึ่งถามขึ้นจากไกลๆ
"มีคนบาดดเจ็บครับมาดาม" เสียงชายแหบห้าวตอบกลับมา
"แล้วเขาเป็นไงบ้าง"
"นาจะจะบาดเจ็บมากทีเดียว แต่ยังมีชีวิตอยู่ครับมาดาม" เสียงย้ำเท้าก้าวมาหยุดใกล้ชายที่ชื่อบลาสต้า
"จริงด้วยแฮะ" สุภาพสตรีพูดเสียงสูง
"บลาสต้าเจ้าเอาเด็กนี่ขึ้นรถข้าที"สุภาพสตรีออกคำสั่ง
"ครับมาดาม"
มือขนาดใหญ่ช้อนร่างเด็กชายลอยข้นจากพื้น ก่อนจะปล่อยวางลงบนฟูกรองนั่งที่แสนนุ่ม กลิ่นกลิ่นน้ำหอมคละคลุ้งไปทั่วรถม้าที่เขานั่งอยู่ เมื่อสุภาพสตรีนั้มานั่งอยู่ข้างๆเขา
"ไปได้ บลาสต้า"
เสียงแส้หวือกลางอากาศ พร้อมการเคลื่อนที่ของรถม้า เสียงล้อและฝีเท้ากึกก้องตลอดเส้นทางของมัน "เจ้าโชคดีนะที่มาเจอข้า แถวนี้มันไม่ปลอดภัย เจ้าคงไม่ใช่คนแถวนี้ถึงมาเดินอยู่คนเดียว" สุภาพสตรีพูดระหว่างเดอามือขางที่ปราศจากแหวนเพชรลูบหัวอย่างเอ็นดู อีกชั่วอึดใจของที่ยังนอนหมดเรี่ยวแรงบนรถม้า เสียงแส้หวือกลางอากาศอีกครั้ง รถม้าเริ่มเอียงตัวทำให้เขาและสุภาพสตรีเลื่อนไถลไปข้างหนึ่งของรถม้า
"บลาสต้า แกขับดีๆหน่อยเป็นไหม" สุภาพสตรีตะโกนเสียงแข็ง ฟังจากน้ำเสียงคงโกรธถึงขีดสุด
"ทางแถวนี้ แย่มากเลยครับมาดาม หินเต็มไปหมด" คนบังคับม้าตะโกนกลับมา
"มาดาม ! ถ้าเราไปต่อ คงไม่ไหวแน่ เราอาจต้องชนกับหินพวกนี้แน่" รถม้ากระโดดอย่างบ้าคลั่งทำให้เขากลับสุภาพสตรีโคลงเคลงไปมา
"ข้าเจ้าเปลี่ยนเส้นทางเถอะ อีกไม่นานตัวข้าคงกรอบเป็นแน่"
"แต่เราจะไปทางไหนละ ในเมื่อทางนี้เป็นทางเดียวที่เราปลอดภัยจากพวก...... "
" หุบปากบลาสต้า! ข้าไม่อยากได้ยินชื่อพวกมัน"เสียงคบเคี้ยวฟันแสดงโทสะที่บังเกิด
"และข้าก็รู้อะไรมากกว่าเจ้า บลาสต้า"
"เส้นทางแถวนี้ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ข้าเติบโตจากที่นี่ ข้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่มากกว่าเจ้า และข้าสิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังคือจบชีวิตลงที่นี่" หล่อนลดเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน
"หินผาแถวนี้ไม่มีวันพังลงมาได้ตราบใดที่ทายาท ออกุสต้า ยังอยู่ ข้าหวังว่าพี่น้องของข้าคงไม่พลัดพรากจากข้าไปอีก " ในชั่วอึดใจเหมือนว่าหล่อนนึกอะไรขึ้นมาได้
"หรือว่าเขา......"เสียงกระซิบแผ่วเบาออกมาจากปาก แม็ครู้สึกได้ว่ามีน้ำอุ่นๆหยดลงบนต้นแขนของเขา พร้อมเสียงสั่นเครือของสุภาพสตรี
"แต่แต่ นั่นมันอันตรายนะครับ"
"ข้าไม่มีทางเลือก อีกไม่นานรถม้าอาจจะพังก็ได้และเวลานี้ไม่สมควรจะออกไปเดินเพ่นพล่านข้างนอก" เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังก้องไปทั่ว มือเรียวแหลมดุจลำเทียนของสุภาพสตรียังคงลูบศีรษะเด็กชายอย่างแผ่วเบา
"ดูไปเจ้าก็เหมือนลูกชายของข้า เจ้าหนุ่มน้อย" น้ำตาห่าใหญ่ของหล่อนหยดลงบนต้นแขนเขาอีกครั้ง พลางหยิบผ้าผืนเล็กจากเสื้อคลุมขึ้นมาเช็ดน้ำตา เท่าที่ดวงตาของเด็กชายที่แทบเลอะเลือนจะมองเห็นได้
รถม้าเริ่มเปลี่ยนทิศทางแล้วมุ่งไปข้างหน้าตามคำสั่งคนบังขับม้า สมองของแม็คที่กำลังประมวลกำลังพันกันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าด้ายที่ทอเป็นเสื้อคลุมของสุภาพสตรีที่สวมอยู่ นี่เขาจะพาเราไปไหน เราจากคฤหาสน์ไปไกลมากเท่าไร แว๊บหนึ่งในความคิดเขาเห็นนายและนางฮอลลี่กำลังโบกมือและถอยห่างเขาไป การเดินทางโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย มันทำให้เด็กชายรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ปรากฏวี่แววของเสียงน้ำจากลำธาร คงจะไปไกลมากแล้วจากที่เขาตกจากบันไดที่พังทลายลง
การเดินทางครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นบนรถม้าปริศนาไปพร้อมกับสุภาพสตรีและคนบังคับม้า ชื่อบลาสต้า ร่างของเด็กชายที่หมดเรี่ยวแรงจนแถบจะขยับตัวไม่ได้และสติที่เลอะเลือนเต็มทน ดวงตาที่รับรู้เพียงเงาลางๆ เสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว และความรู้สึกเอียงไปเอียงมาของรถม้า
"เส้นทางนี้ราบรื่นดีนะครับ"
"มันก็คงเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว บลาสต้า ถึงอย่างไรข้าต้องเอาเจ้าเนี่ยไปให้ศาสตราจารย์ให้ได้ ความมุ่งมาดปรารถนาถ่ายทอดมายังมือที่เปลี่ยนจากเคยลูบศีรษะมาเป็นกุมมือเขาไว้แน่น
"เจ้าคงไม่รู้เรื่องใช่ไหมเด็กน้อย เจ้าคงโชคดีจริงๆที่ไม่มีส่วนรับรู้เรื่องของข้า ข้าอยากเป็นเจ้าเหลือเกิน"
"ข้ากลัวว่าข้าจะทำไม่สำเร็จ ข้ากำลังกลัว ซึ่งข้าก็รู้ว่าข้าไม่ควรมีมันตอนนี้ ข้ากลัวเหลือเกินนนน"เสียงสุภาพสตรีสั่นเครือจนรู้สึกได้
"มาดามเบียทิช ข้างหน้าเป็นสะพานครับ" เป็นครั้งแรกที่คนบังขับม้าเอ่ยชื่อสุภาพสตรีเต็มๆ
"สะพานแลนชู ข้ามไปได้เลย บลาสต้า"แทนที่รถม้าจะวิ่งแล่นข้ามไปกับหยุดลงทันที เสียงม้าร้องสนั่นไปทั่งเนื่องจากคนบังขับดึงบังเหียนรั้งมันไว้ มาดามเบียทิชหัวขมำไป
ข้างหน้า ส่วนแม็คลื่นไถลตกจากฟูกรองนั่งไปอยู่ที่วางเท้า
"เกิดอะไรขึ้นบลาสต้า" มาดามเบียทิชถามในขณะพยายามพยุงตัวเด็กชายมานั่งบนฟูกอย่างเดิม ไม่มีเสียงตอบกลับจากชายบังขับม้า
"ยา ยา อย่า อ้า !" เสียงหวือไปกลางอากาศ ตามด้วยเสียงวัตถุขนาดใหญ่ตกกระทบพื้นอย่างแรง
"จัดการนางผู้หญิงที่อยู่ในรถด้วย มอนท่า" เสียงหนึ่งแวกอากาศที่หนาวเย็นเข้ามาดูห้าวและห่วนดุดัน
"บลาสต้า !" มาดามเบียทิชแหวกผ้าม่านแล้วพลุ่งพรวดออกจากรถม้าทันที
"เจ้ากากเดน พวกแกกล้าดีอย่างไร"
"ฆ่ามัน" ชายน้ำเสียงห่วนๆตะโกน
เกิดแสงสว่างวาบวาบสว่างไปทั่วสลับกับเสียงเปรี้ยงปร้างไม่นานเสียงร่างขนาดใหญ่ล้มดังพลั่กคงจะไม่ใช่หล่อนหลอกนะเขาคิด รถม้าสั่นอย่างแรงจนเขาเกือบเลื่อนไถลตกจากฟูกอีกครั้ง
"อย่า มอนท่า ปล่อยเอาไว้ ข้าอยากให้พวกมันรู้ว่าไม่ควรยื่นมืออันโสมมมาแส่"
"แต่ว่า....."
"ไป มอนท่า อย่าพล่ามอยู่ ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว"
"ครับนายท่าน" ชายที่ชื่อมอนท่าตอบเสียงอ่อย
เสียงปีกขนาดใหญ่ กระพืออยู่สูงจากรถม้าขึ้นไป เสียงร้องของสัตว์ร้ายสนั่นไปทั่ว ลมวูบสุดท้ายจากปีกมหึมาพัดผ้าม่านโบกสะบัดตามแรงลม
เหนือฟากฟ้าขึ้นไปสายฟ้าแลบวูบวาบ เมฆดำถมึนบดบังรัศมีแสงจันทร์และหมู่ดาวที่ระยิบระยับอยู่บนห้วงของดาราจักรทอดลำแสงมายังยอดไม้ ทุกอณูที่อยู่บนผืนแผ่นดิน ราตรีดูจะมืดลงยิ่งขึ้น ดุจกับไว้อาลัยต่อดวงวิญญาณที่จากไป เสียงหยดน้ำกระทบยอดหญ้า เริ่มนักขึ้น นักขึ้น พลั่งพลูจากฟากฟ้าในราตรีที่ปราศจากซึ่งดวงจันทร์และหมู่ดาว ฟ้ากำลังร้องไห้ให้แก่พวกเขาที่จากไปพร้อมกับความหวังที่พังทลายลง เชือกที่ล่ามม้าทั้งสองถูกดึงไว้ด้วยพละกำลังของม้าหนุ่มทั้งสองและขาดลงด้วยแรงพยศเพราะตื่นกลัวเสียงฟ้าที่คำรามประหนึ่งจะพังลง เด็กชายนอนหนาวสั่นบนรถม้าที่ปราศจากคนขับ ปราศจากสุภาพสตรีที่ชื่อมาดามเบียทิช เพราะบัดนี้เงื้อมมือซาตานได้ปลิดชีพพวกเขาไปแล้ว ค่ำคืนที่แสนวิปโยคผ่านไป ในเวลาเดียวกับแสงของอรุณรุ่งของวันใหม่สาดส่องทั่วผืนดิน
"ไม่เป็นอะไรแล้วละ เจ้าหนู นอนเปียกฝนทั้งคืน"
"รู้สึกว่าไข้จะลดแล้ว" เด็กชายรู้สึกตัวเมื่อมีมือหยาบกร้านมาวางที่หน้าผาก นัยต์ตาสีฟ้ากลิ่งกลอกไปมาในขณะที่เปลือกตาเริ่มเปิดออก ภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มชัดขึ้น ชายร่างใหญ่สวมเสื้อหนังสัตว์ ชายเสื้อยาวไปถึงหัวเข่า สวมกางเกงขายาว รองเท้าหนัง นั่งอยู่ข้างเขา มีดพก
ที่สวมปลอกแนบอยู่ข้างลำตัว
"อ้าว รู้สึกตัวแล้วสินะ"
สิ่งแรกที่เขาคิดเมื่อได้สติกลับมาสมบูรณ์คือพยายามอยู่ให้ห่างชายคนนี้ให้มากที่สุด เขาลุกขึ้นทันทีเพื่อเตรียมที่จะวิ่ง แต่ถูกมือที่เปี่ยมด้วยพละกำลังจับข้อมือเอาไว้
"จะไปไหน" ชายเสื้อหนังถามขึ้น แม็คสะบัดข้อมือออกจากกำมือของเขาที่จับข้อมือไว้แน่น
"อย่าขัดขืนดีกว่า เจ้าไม่มีทางไปแน่นอน" ชายเสื้อหนังร้องท้าทาย
"ใช่นะซี่ คนอย่างข้า ช่วยใครไม่ขึ้นหรอก ข้าผิดเองที่ทำให้เจ้าตกใจ ข้าไม่น่าช่วยเจ้าเลย" ชายเสื้อหนังเบนสายตาไปจากเขา
"ไปซี่ ไปเลย ยืนอยู่ทำไม ข้าปล่อยเจ้าแล้วไง ไปไป"ชายเสื้อหนังชูมือขึ้นทั้งสองไปกลางอากาศ แทนที่แม็คจะวิ่งไปเขากับหยุดนิ่ง ความรู้สึกผิดที่เมินเฉยต่อชายที่ช่วยชีวิตเกิดขึ้น เขาก้าวเท้ามาใกล้ชายเสื้อหนังก่อนที่จะกุมมือของเขาขึ้นมาและโค้งตัวลง
"ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าไม่ได้ท่านผมคงตายไปแล้ว"
"อึ่ม เรื่องนั้นไม่เป็นไร เรื่องเล็ก อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกันใช่เเม้" ชายเสื้อหนังทำเสียงร่าเริง
"ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจอะไรให้วุ่นวาย ข้าไม่อยากได้ ถ้าเจ้าหายดีแล้วก็ไป ข้าจะได้กลับบ้านข้าซักที คงใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึง"ชายเสื้อหนังหันหลังกลับ
"เดี๋ยวก่อนท่าน" ชายเสื้อหนังหันหลังกลับมาควับประหนึ่งรอโอกาสนี้มานาน
"ท่านชื่ออะไร"ชายเสื้อหนังมีสีหน้าผิดหวังก่อนจะตอบออกไป
"ข้าชื่อ มาเวล ลาสิโอ"
"ต้องขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือ คุณลาสิโอ"
"เรียกข้าว่า มาเวล ข้าจะชอบกว่า เจ้าหนุ่ม.....เอ่อ......."
"แม็ค ครับ แม็ค ฮอลลี่"
"เอ่อ เอ่อ แม็ค ฮอลลี่"
“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้” มาเวลทำหน้าฉงน ไม่มีเสียงตอบกับจากแม็ค มือที่กำแน่นทุบลงบนพื้นที่หยาบกระด้าน เขาสับสนและอิดโรยเกินกว่าวัยอย่างเขาจะรับได้ ความรู้สึกเฮือกสุดท้ายก่อนที่เขาจะได้มารู้จักมาเวลและที่ที่เขายืนอยู่มันทำให้เขาเกินจะเก็บมันไว้คนเดียวได้
น้ำตาเป็นเครื่องปลอบเราทุกครั้งมันจะไหลออกมาเมื่อใจเราเหงาหรือท้อแท้หวาดกลัว แม้กระทั้งสูญเสียคนที่เรารักไป หยดน้ำอุ่นๆที่ขอบตามันทำให้เด็กชายรู้สึกดี มันค่อยๆไหลตามพื้นผิวที่สูงต่ำของใบหน้า ในขณะที่เขาก้มหน้า มือทั้งสองข้างปาดคราบน้ำตา และบดบังร่องรอยของความอ่อนไหว เขาทรุดตัวลงกับพื้น แต่เขาไม่อาจห้ามหยาดหยดของน้ำตาได้ มันเล็ดลอดจากร่องนิ้วมือหยดลงพื้นดิน ตาของเขาพร่ามัวไม่ใช่เพราะคราบน้ำตาแต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากจุดที่เขานั่งอยู่มันล้อมรอบเขาเป็นวงกลมสูงขึ้นจากพื้นดินเรื่อยๆห่อหุ้มร่าง เสียงกระซิบแผ่วเบาเหมือนดังมาจากที่ห่างไกลมันดังอยู่รอบตัว "เจ้า...มา...แล้ว เลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ เลือดของเจ้าคือเลือดของข้า จง...มา...หา...ข้า" สักครู่ตาเขาก็กลับมาเป็นปกติพร้อมการหายไปของแสงที่ล้อมรอบตัว
"เมื่อกี้ มันอะไรกัน เจ้าช่วยตอบข้าที่ ตอบซิ ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้ายังไม่ตอบข้ามาอีก"มาเวลยังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเขาทั้งมือสั่นดูหวาดกลัวยิ่งนัก
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน"แม็คตอบเขาหายใจถี่รัวและเงยหน้ามายังมาเวล ดูท่าแล้วมาเวลยังไม่คายวิตกเมื่อได้ยินประโยคแรกจากปากของแม็ค เกิดความเงียบชั่วครู่ ชายทั้งสองจ้องหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างตะลึงงันในสิ่งที่เกิดขึ้น มาเวลส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ
"เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นหลังจากที่การล้มสลายของตระกุลออกุสต้า" ดวงตาของแม็คจ้องมายังมาเวลอย่างใคร่รู้ ทำให้เขาต้องเล่าต่อ
"เมื่อก่อนแถวนี้เต็มไปด้วยสงคราม พวกที่เขาเรียกว่าพวกเลือดคอเชียสซึ่งเดินทางมาจากทางเหนือในคราบคนจรปิดบังใบหน้าไว้ใต้หน้ากากสีดำ พวกนั้นมากันไม่กี่คนหรอก เมื่อเดินทางมาถึง คัสตาโก สถานนี่ พวกเขาก็เฝ้าถามคนในเมืองว่าทางไปสุสานออกุสต้าอยู่ไหน เมื่อพวกนั้นรู้ทางแล้วก็มุ่งหน้าไปยังสุสานทันที มีคนแถวนั้นเห็นพวกเขาขุดหลุดศพเหล่านั้นในสุสานขึ้นมา ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นว่าคนในหลุมศพกลับมามีชีวิตอีกครั้งแต่ไม่นานชาวบ้านคนนั้นก็กลายเป็นศพ หลังจากนั้นเรื่อยมาคนเมืองก็เริ่มหายตัวไปเรื่อย ป้ายประกาศตามหาคนติดไว้ทั่วเมือง ส่วนมากจะเป็นเด็กอายุก็เห็นจะประมาณเจ้านั่นแหละ จนกระทั่งคืนหนึ่งพ่อบ้านแห่งตระกูลออกุสต้าตื่นมากลางดึกเพราะเสียงเคาะประตูที่หนักหน่วงเขาหยิบไม่เถ้าอันเก่าของเขามุ่งหน้าไปยังประตูคฤหาสน์ เมื่อเปิดประตูออก เกิดเสียงร้องอย่างโหยหวน เสียงนั้นเป็นเสียงที่แสดงถึงความโหดร้ายของคนที่ลงมือฆ่าพ่อบ้าน เกิดเปลวไฟรุ่งโรจน์สว่างไปทั่ว คัสตาโก สถานนี่ ปราสาทตระกูลออกุสต้าถูกเผาชาวเมืองต่างแตกตื่นกันยกใหญ่ไม่มีใครกล้าเหิมเกริมกับพวกออกุสต้าอย่างนี้ โชคดีที่ปราสาทไม่เสียหายมาก หลังจากนั้นปราสาทออกุสต้าก็ปิดตายเลยทันที โรงเตี้ยมกลายเป็นที่สนทนาไปโดยปริยายและข้าก็อยู่ในวงสนทนานั้นด้วย มีข่าวว่าคนทั้งตระกูลตายหมดแม้กระทั่งซากก็ไม่เหลือ บางข่าวก็บอกว่าพวกเค้าได้หนีไปล่วงหน้าแล้วก่อนที่จะเกิดเหตุด้วยซ้ำและทิ้งพ่อบ้านเอาไว้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย แล้วทำไมพวกเค้าต้องทิ้งพ่อบ้านไว้ที่ปราสาทคนเดียวด้วยล่ะและเค้าก็ยอมอยู่ด้วยทั้งที่รู้ว่ามีอันตราย ทุกคำถามไม่มีใครตอบได้ มีแต่ข้อฉงนที่เกิดขึ้นในวงสนทนาวันนั้น"เขาหยุดหายใจและเอื้อมมือไปคว้าแขนแม็คและออกแรงพยุงเขาขึ้นมา
"ข้าว่าเรามาคุยกันตรงนี้มันจะไม่ปลอดภัย ข้าว่าเจ้าไปบ้านข้าดีกว่า ไม่ไกลจากที่นี่มากหรอก" แม็คกลับมายืนดังเดิมแล้วพลางปัดฝุ่นที่ติดตามแข้งขา เด็กชายใช้มือปาดคราบน้ำตาอีกครั้ง ทำให้ฝุ่นละอองเปรอะเปื้อนตามใบหน้า มาเวลที่ยื่นอยู่ตรงหน้าปล่อยหัวเราะก๊ากออกมา แม็คยังสับสนต่อท่าทางของเขา
"ข้าว่าเจ้าเช็ดหน้าให้สะอาดก่อนเถอะ" มาเวลยังอมยิ้มอยู่
"หน้าผมเป็นอะไรมากไหม" แม็คลูบคลำหน้าตัวเองด้วยความกังวล มาเวลยืนผ้าเช็ดหน้าที่เขาพกอยู่ตลอดยื่นให้
"อะ ผ้าเช็ดหน้า เจ้าเนี่ยตลกชะมัด ข้าชักนึกชอบเจ้าขึ้นมาแล้วซิ"
"เจ้าก็ตลกเหมือนแหละมาเวล" แม็คกำฝุ่นจากพื้นแล้วก็ปาไปยังหน้าของมาเวล พร้อมปล่อยเสียงฮาออกมา หน้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นไม่ต่างไปจากหน้าของแม็คในตอนแรก
"เจ้านี่ กล้าดีอย่างไร ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้เข็ด"
มิตรภาพของเขาทั้งสองเริ่มก่อตัวท่ามกลางการเดินทางที่แสนยากลำบาก ม่านหมอกที่ยังอึมครึมหาจุดหมายไม่ได้กำลังเริ่มก่อตัว นี้ไม่ใช่มิตรภาพแรกของเขาที่มายังที่นี่และหวังว่าคงไม่ใช่มิตรสุดท้ายด้วยแม็คหวังอย่างนั้น แต่เขาก็ยังไม่ไว้วางใจในตัวชายคนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตตนก็ตาม
"หยุดนะ มาให้ข้าจับซะโดยดี"
"ไม่มีทางหรอก แน่จริงก็วิ่งตามข้าให้ทันซิ"
"นี้ข้าจับเจ้าได้แล้ว"
"ยอมแล้ว ข้ายอมแล้ว"
เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! เปรี้ยง !
"เสียงอะไรนะ" แม็คถามขึ้นในขณะเขาและมาเวลนอนคว่ำอยู่บนพื้น ทั้งสองมองไปยังทิศที่เกิดเสียง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึม สายฟ้าลากเป็นสายอยู่เหนือขอบฟ้า
"นั้นมันอะไรกัน"
"เรารีบไปกันเถอะ หนทางแถวไม่ค่อยจะปลอดภัย" เขาและมาเวลลุกขึ้นจากพื้น
"ตามข้ามาแม็คเราต้องข้ามสะพานแลนชูกลับไปและเข้าไปในป่าบาบิโรน" น้ำเสียงเขาดูจริงจังยิ่งขึ้น แม็คแอบเห็นความหวั่นวิตกของเขาเจืออยู่บนใบหน้า เขาดูไม่ร่าเริงอย่างเก่า แต่กับดูเข้มขรึมและจริงจัง แต่มีความคิดหนึ่งมาฉุดรั้งเขาเอาไว้
"ใครบอกว่า ผมอยากไปกับคุณ" มาเวลหยุดและหันมามองแม็คอย่างนึกประหลาดใจ
"ผมจะกลับบ้านของผม" แม็คหยุดนิ่งและวิ่งข้ามสะพาน นำหน้ามาเวลไป
"เจ้าคิดอะไรของเจ้าฮะ" เสียงตะโกนของมาเวลไล่หลังเขามา
"เจ้าจะไปไหน"
"กลับไปยังที่ที่ผมมา" แม็คตะโกนกลับไป
"เจ้าคิดดีดีนะ เจ้าดูนี่ เจ้าเห็นเมฆดำนั่นไหม" มาแวลชี้ยังกลุ่มก้อนเมฆที่ก่อตัว
"แล้วไง ข้าไม่เห็นแปลกเลย" แม็คเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม
"มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ มันคือหายนะ นั้นคือสิ่งที่เขาทำ มันโหดร้ายและหน้ากลัว รับรองได้ใต้เมฆฝนนั้นคงมีคนตาย ข้าได้ยินว่ามันกำลังตามหาอะไรบางอย่างสองสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด
"แล้วของสองสิ่งนั่นคืออะไรหรือ"
"เด็กผู้ชาย" สิ้นลมปากของมาเวล เกิดเสียงหนึ่งก้องในหัวของเขา ทำให้เขาหยุดคิด
"เจ้า...มา...แล้ว ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ จง...มา...หา...ข้า"
เขากำลังตามหาเราหรือ เราคิดไปเองมั้ง คงเป็นคนอื่น แล้วสิ่งที่เราได้ยินมันหมายความว่าอย่างไร" เขานึกทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่พาเขามาที่นี้ เริ่มจากการสนทนาลึกลับระหว่างคนดูแลบ้าน กับชายสองคนคือเมมฟิสและโรซาริโอจนถึงหญิงที่ช่วยชีวิตเขา มาดามเบียทิชผู้กุมความรับ บลาสต้าคนบังขับรถม้า สักครู่เขาก็นึกถึงบทสนทนาที่แอบได้ยินในป่าหลังคฤหาสน์ระหว่างติดตามหาเบริค ประโยคต่างๆพรั่งพรูออกมาจากความคิดของเขา เบริค หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะเขาทั้งหมด มันเริ่มที่เขา ใช่ มันเริ่มที่เขาแน่ เขาแอบมาพบคนลึกลับสองคนที่ชื่อโรซาริโอกับอีกคนที่ชื่อเมมฟิส คงจะเป็นเรื่องจะลักพาตัวใครบางคน หรือว่า " มันคงเป็นไปไม่ได้ แม็คคิด
"คงไม่ใช่เราหรอกหรืออาจจะใช่" เกิดความลังเลใจเกิดขึ้นในหัวของแม็ค
"นายหมายความว่า
." แม็คหันมายังมาเวล
"มีคนจะลักพาตัวเราหรือ"
"ข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ แล้วเราก็ไม่คิดว่าเป็นเจ้าด้วย ดูท่าที่คงไม่ใช่เจ้าหรอก ดูบ้าๆ บวมๆ ออกจะอย่างนี้ ถ้าให้ข้าพนัน ข้าคงทุ่มสุดตัวแน่ ว่าไม่ใช่เจ้า"
"เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่ข้า"
"แน่ใจซิ เอาหัวข้าเป็นประกันได้เลย" มาเวลผืนยิ้ม
"ดูเจ้าออกจะไม่จริงใจกับคำพูดเจ้าเท่าไหร่เลย" แม็คทำตาลอยๆ
"ใครบอกเจ้าล่ะ ดูข้าสิออกจะจริงใจ" มาเวลฉีกยิ้มให้เพื่อนใหม่พร้อมทั้งแลบลิ้นปิ้นตาให้ดู
"นี่คุณอย่าทำเป็นเล่นน่ะ ผมไม่มีอารมณ์จะสนุกด้วยนะ" มาเวลเลิกล้อเล่นแล้วยืนก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด
"ผมขอถามอะไรบ้างอย่างกับคุณหน่อยไหมล่ะ และคุณจะต้องสาบานว่าจะตอบคำถามผมทุกอย่าง"
"ถึงขั้นต้องสาบานเลยหรือ เอ่อ ก็ได้ข้าจะตอบคำถามเจ้าทุกอย่าง"
"แน่ใจนะ คำถามแรก คุณรู้จักคนที่ชื่อเมมฟิสกับโรซาริโอไหม"
"ฮา ชื่อออออออออออ อะไรนะ"
" เมมฟิส กับ โรซาริโอ"มาเวลตะโกน
"โอ้ ไม่ต้องตะโกนก็ได้ หูจะแตกอยู่แล้ว"
"แล้วเจ้าไปรู้ชื่อนี่มาจากไหนล่ะ" แววตาของมาเวลจับจ้องมาที่แม็คอย่างจดจ่อ
"ข้าเคยเห็นเขาสองคน"
"เจ้าเคยเห็นเขาสองคนด้วยหรือ สุดยอดไปเลย เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดแล้ว ขนาดข้าอายุถึงขนาดนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเลย เจ้ารู้ไหมว่าสองคนนั้นนะเป็นผู้ที่มีฉายาว่าบุรุษแห่งรัติกาลหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพวก ยาส ผู้ที่ไม่ยอมเปิดเผยหน้าให้ใครเห็น เพราะถ้ามีใครเห็นคำสาปที่เจ้าตระกูลแห่งออกุสต้าสาปไว้จะเริ่มทำงานแล้วร่างของพวกเขาก็จะสลายหายไป และต้องนำสมาชิกในตระกูลมาประกอบพิธีเพื่อเป็นบุรุษรัตติกาลคนใหม่ ว่ากันว่าหน้าที่ของพวกเขามักเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้าย คอยเก็บรักษาสิ่งมีค่าที่สุดของตระกูลออกุสต้า"
"นี่แม็คเจ้าเป็นอะไรหรือ" มาเวลเขย่าตัวแม็คอย่างแรง
"ไม่นะข้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขา ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อภัยให้ข้าด้วย"
"จริงด้วยแฮะ เจ้าไปเห็นมานี่ ป่านนี้พวกเขาคงสลายไปแล้วซินะ"
"แล้วให้ข้าทำไงนี่ ก็ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่"
"ชั่งมันเถอะไหนๆก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก"
"น่าแปลกปกติพวกยาส จะไม่ปรากฏตัวโดยไม่ระมัดระวังตัวเช่นนี้ ตั้งแต่ถือกำเนิดพวกยาสมาไม่เคยมีรุ่นไหนที่ถูกคนอื่นเห็นได้ มันน่าแปลกจริงๆ ไม่ปรากฏตัวโดยไม่ระมัดระวังตัวเช่นนี้ ตั้งแต่ถือกำเนิดพวกยาสมาไม่เคยมีรุ่นไหนที่ถูกคนอื่นเห็นได้ มันน่าแปลกจริงๆ อีกอย่างคือหลังจากเหตุการณ์เผาคฤหาสน์ออกุสต้าไม่มีใครเห็นพวกนี้อีกเลย"
คำสาป เวทย์มนตร์ การหายตัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แม็คได้เจอมันชั่งเป็นเรื่องที่ตลก จนแม็คแทบจะขบฟันกลั้นเอาไว้ได้ เขาปล่อยฮาดังลั่น ดีดดิ้นอยู่กับพื้น
"นี่นาย นี้มันสมัยไหนแล้ว ท่าทางนายก็ออกจะบวมอยู่ แต่งตัวก็ปอน เข้ากับความโบราณ โบราณดี นี่ถ้านายได้ไปเที่ยวบ้านเราที่ มอลโลนะ นายคงไม่อยากกับมาที่นี่เลยมั้ง แล้วไอ้เรื่อง ยาส ผู้รับใช้ของเจ้านั้นนะ คงแต่งเรื่องมาหลอกผมแน่ ผมไม่มีเงินหลอกนะ ผมมาคนเดียว ดีนะที่ว่ามีคนมาช่วย แต่ผมไม่รู้หลอกว่าเค้าป็นใคร "
"มาเวลคุณช่วยพาผมไปส่งที่คฤหาสน์ที่ คุณอยู่แถวนี่ คุณน่าจะรู้จัก ผมนั่งรถผ่านมาก็ไม่เห็นบ้านสักหลังนอกจากคฤหาสน์ของผม"
" เจ้ามีรถด้วยหรือ เจ้ามี่กี่คันล่ะ ข้าฝันอยากขับมานานแล้ว "
" อะไรของคุณ รถยนต์นะไม่ใช่รถม้า คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า"
"มันคืออะไรล่ะ ไอ้ที่เจ้าเรียกว่ารถยนต์ข้าไม่รู้จัก แล้วคฤหาสน์บ้าบอของเจ้าก็ไม่มีหรอกแถวนี้ ข้าวิ่งเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็กข้ายังไม่เคยเห็นเลย"
"แล้วที่นี่มันคือที่ไหนล่ะ" น้ำเสียงเต็มไป ด้วยความกังวล
"นี่คือเส้นทางมรณะดอนเฮีย ไม่มีใจใครอยากจะเข้ามาเส้นทางนี้สักเท่าไหร่หลอก มันมีคำสาปของผู้รักษา เพราะเส้นทางนี้ คือเส้นทางที่เชื่อกันว่าจะนำไปสู่รังของ ฮีเดน เจ้าแห่งรัตติกาล แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมาที่โรงเตี้ยมพูนี่"
"มาเถอะไ ปกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีที่ไป เร็วๆเข้า เดี๋ยวจะมืดเสียก่อนถึงบ้านข้า"
-----------จบตอน----------
ความคิดเห็น