คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3.................ข้อความเเละความโกรธเกี้ยวของเบริค
ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า
ข้อความและความโกรธเกรี้ยวของเบริค
-3-
นี่เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วสำหรับเด็กชายตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังซุกตัวนอนใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่คุณยายมิรันด้าถักทออย่างประณีตทุกอณูของความอบอุ่นซึมแผ่สู่ทุกรูขุนขนของเด็กชาย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะนี้คือฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดของปี เหงื่อเริ่มซึม ความคิดเริ่มวกวน สุดท้ายก็จำนนกับความร้อนที่ตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นตามแรงขยับตัวของเด็กชาย แม็คลุกจากที่นอนที่เขาหวังว่าจะช่วยตนหยุดคิดเรื่องต่างๆได้ แล้วแม็คก็พบกับความผิดหวัง แม็คถอนหายใจเฮือกใหญ่ระหว่างที่เดินไปที่ขอบหน้าต่างที่ยังเปิดอยู่ เผยให้เห็นโคมไฟที่ติดอยู่ที่หัวเสาของประตูสีทอง จิตใจจดจ่ออยู่กับความฝันครั้งล่าสุด
ภาพแต่ละฉากถูกขีดเขียนจากความคิดที่กำลังหมุนวนเหมือนเครื่องจักรกล เข้ามาแล้วก็ผ่านไปวกวนเหมือนลมร้อนที่ทยอยพัดเข้าหน้าต่างม้วนเป็นเกียวคลื่นโบกพัดม่านหน้าต่างและมีท่าที่ว่าจะไม่มีวันลดกำลังลงง่ายๆ
เมื่อความมืดที่อยู่ตรงหน้าไม่มีความหน้าสนใจพอ เเม็คจึงละทิ้งจากจุดที่ตนยืนอยู่มุ่งตรงมายังโต๊ะที่แม็คเองใช้หวีผมอยู่ประจำ ทั้งหวีที่เคยใช้อยู่ประจำยังวางอยู่ที่เดิมเหมือนไม่ได้ผ่านการใช้งานมาก่อน กระจกตรงหน้าสะท้อนใบหน้ากลมรีของเด็กชายอายุ สิบสองปีผิวขาวดวงตาสีฟ้ากลม วันเวลาทำให้เขาโตขึ้น นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความคิดเริ่มมีความซับซ้อนขึ้นเช่นกันและตนเองกำลังใช้มัน แน่นอนแม็คกำลังใช้มันอย่างหนัก
ปริศนาล้อมตัวแม็ค มันออกจะโหดร้ายสำหรับเด็กชายตัวเล็กอย่างแม็คแต่ก็รู้ตัวเสมอว่านี้เราเข้ามาเอง แม็คตัดสินใจมาเองมาอยู่ที่คฤหาสน์นี้ เด็กชายนึกทวนเหตุการณ์ที่ตัวเองบังเอิญเจอหรือมีใครจงใจให้เขารู้ คงไม่มีคำตอบให้ แม็ครู้ เพราะที่นี้คงมีแค่ตัวเองที่อยู่ในกระจกเท่านั้นที่คอยพูดคุยอยู่เสมอและคงเป็นเพื่อนที่ดีเช่นเคย
“ชายในคราบของเสื้อคลุม”แม็คกระซิบเบาๆ
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ช่างเป็นหญิงที่น่าที่โชคร้าย ถ้าเรื่องนี้ที่เราเห็นเป็นความจริงล่ะ”แม็คขยี้ผมตัวเองจนกลายเป็นรังนกขนาดใหญ่อยู่บนหัวของตน
“โอ๊ย! เลิกคิด เลิกคิ๊ด” แม็คพยายามหยุดคิด ก็เท่าเป็นการเพิ่มขนาดรังนกบนหัวของแม็คให้มีขนาดใหญ่กว่าเก่าในขณะที่ตนเองมัวแต่สาระวนกับเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ที่หน้ากระจกที่สะท้อนหน้าต่างอีกบานที่อยู่ตรงกันข้ามที่เผยให้เห็นป่ามืดครึมที่อยู่หลังคฤหาสน์ มีลำธารไหลเอื่อยๆเหมือนจงใจรอฤดูฝนที่กำลังมาถึง ความผิดปกติหนึ่งซึ่งแม้แต่แม็คที่นั่งอยู่หน้ากระจกนั้นยังรู้สึกได้ มีลมพัดมาวูบหนึ่ง จนทำให้รังนกขนาดใหญ่บนหัวเอนลู่ไปตามลม แต่ที่หน้าประหลาดไม่ใช่เพียงแค่ลมที่พัดมาเท่านั้นเป็นสิ่งที่แม็คถึงกลับเปล่งเสียงออกมา
"ขนนก!" พร้อมกับยืนขึ้นและเดินไปยังสิ่งที่ว่าซึ่งตอนนี้ตกอยู่ใกล้กลับหน้าต่าง พรางเอื้อมมืออันสั่นเทาไปหยิบขนนกที่ตกอยู่ที่พื้นห้องสิ่งที่เขาสังเกตได้คือลายบนขนนกที่มีขนาดไม่แตกต่างไปกับขนนกที่มีอยู่อันแรกเลยมันคล้ายกับข้อความที่เขียนว่า
**ไปพบเราและเรซิลป์ที่ ลำธารกลับกัน
อย่างลืมเอาฟรอยซ์มาด้วย**
จาก บาเช่ โบมินี่
ใครคือ เรา เรซิลป์ และ ฟรอยซ์ แม็คอุทาน ในขณะที่มือยังถือขนนกอยู่ พลางเหลือบไปเห็นข้อความที่ระบุถึงเจ้าของจดหมาย
"บาเช่ โบมินี่"เด็กผู้ชายอึ้งอยู่สักครู่แล้วพูดต่อ
"เราไม่เห็นรู้จักคนที่ชื่อบาเช่เลย"แม็คพรึมพรำกับตัวเอง
ในขณะที่แม็คกำลังพรึมพรำกับตัวเองอยู่นั้นประตูห้องก็เปิดขึ้น เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับเสียงย่ำเท้าอย่างแรงตรงระเบียงด้านนอกประตู แต่คนที่เปิดไม่ใช่ใครอื่นไกล
"เบริค" แม็คอุทาน
"คุณเข้ามาในห้องผมทำไม"
แทนที่เบริคจะรับฟังคำถามที่แม็คยิงไปแต่กับเดินตรงเข้ามาหาเขาอย่างฉับพลัน
"นี้มันอะไรกันครับคุณจะทำอะไรผม"
"มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่มีวัน!
เบริคพุ่งตรงมาที่แม็คและคว้าขนนกที่พึ่งเจอมาจากมือไป สีหน้าตอนนี้ของเบริคเปลี่ยนไปมาก ดวงตาเบิกโต
เหงื่อไหลมาจนเต็มหน้า
"คิดเอาไว้แล้วคืนนี้มันต้องมาแน่ คิดไว้ไม่ผิดเลยเชียว"
"อะไรครับเบริค อยู่ดีดีคุณก็.............
เบริคเบนสายตามายังแม็คดวงตายังเบิกโตริมฝีปากเริ่มขยับพลางก้าวเท้าเข้ามาหาแม็ค แม็คเริ่มขยับตัวหนีแต่ติดกับฝาผนังตรงหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ เบริคคว้ามับเข้าที่ข้อแขน แม็คตื่นตกใจจนไม่กล้าทำอะไร
"คุณหนูต้องบอกผมซิว่าจะไม่พยายามไปตามที่ที่จดหมายเขียนไว้"เหงื่อยิ่งไหลท่วมหน้าทำให้เขาหน้ากลัวมากขึ้น
"แล้วมีเหตุผลไหมที่ผมต้องทำตามที่คุณบอก"แม็คพยายามแกะมือของเบริคที่จับแน่นอยู่ที่ข้อมือจนมือเล็กๆของเด็กผู้ชายซีดเผือก
"คุณปล่อยแขนผมเดี๋ยวนี้นะ" เริ่มมีน้ำตาซึมออกมาจากห่างตาของแม็ค
"ถ้าคุณไม่ปล่อยผม ฮือ ฮือ ผมจะตะโกนเรียกพ่อและเเม่" น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าที่แดงระรื่อ ชั่วอึดใจเบริคก็เริ่มคลายมือที่จับกุมแน่นออกจากข้อมือของแม็ค เบริคถอยหลังออกห่างจากตัวแม็คทันทีที่แล้วปล่อยมือออก
"ผมเพียงแค่ อ่อ......." เบริคหยุดคิดไปพักหนึ่ง "อย่าบังคับผมเลย" เบริคตะโกนสุดเสียง พร้อมกับหันหลังพร้อมปล่อยขนนกล่วงล่นลงกลับพื้น แล้ววิ่งออกจากประตูทันที ทิ้งให้แม็คยืนอย่างงงันคนเดียวท่ามกลางอุณหภูมิที่อบอ้าวในฤดูร้อนที่มีแต่ความเปลี่ยนแปลงจนแม็คเองไม่รู้จะรับมันได้หรือเปล่า
เช้านี้ไม่ได้เป็นเช้าที่สำราญใจนักสำหรับแม็ค เขารีบแต่งตัวอย่างรีบเร่งพรางหยิบขนนกทั้งสองใส่กระเป๋าเพื่อไปกินอาหารเช้าพร้อมกับพ่อและแม่ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหาโอกาสพูดคุยกับเบริคถึงเรื่องเมื่อคืน เมื่อไปถึงโต๊ะอาหารก็พบกับความผิดหวัง เมื่อไม่พบเบริคอยู่ที่โต๊ะอาหาร ซึ่งปกติเขาอยู่ด้วยเสมอในขณะที่ครอบครัวใช้วลาเช้าในการรับประทานอาหาร
"แม่ครับ เบริคไปไหนครับ"แม็ครีบร้อนถาม
"แม่เห็นเขาเดินไปข้างหลังโน่นนะ" นางฮอลลี่ชี้นิ้วไปทางด้านหลังคฤหาสน์
"ขอบคุณครับแม่"แม็คหันหลังกลับและวิ่งพุ่งตรงไปหลังคฤหาสน์ทันที ตามมาด้วยเสียงตะโกนของนางฮอลลี่ไล่หลังมา
"นั่นลูกจะไปไหนนะ ไม่อยู่กินข้าวกับแม่ก่อนหรือ"
"ปล่อยลูกเขาบ้าง คุณก็"
เมื่อวิ่งออกห่างจากห้องอาหารของคฤหาสน์ได้พอสมควรพร้อมทั้งเสียงของคนทั้งคู่แผ่วลงแต่ถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงปีกแข็งที่มองดูสนุกสนานเหลือเกินในฤดูร้อนอันสั้น แม็คไม่เคยไปด้านหลังคฤหาสน์มาก่อน เคยได้แต่มองจากห้องของเขาเท่านั้น เมื่อเดินออกจากตัวคฤหาสน์ เขาก็ตัดสินใจเดินเลี้ยวไปด้านหลังคฤหาสน์ที่มีกำแพงและฝาผนังของคฤหาสน์อยู่ทั้งสองด้าน เมื่อเดินมาสุดกำแพงคฤหาสน์ที่อยู่ด้านข้าง เขาเลี้ยวอีกครั้ง และมาหยุดหน้าประตูขนาดใหญ่ ประตูถูกแกะสลักเป็นลวดลายพิธีกรรมซึ่งก็น่าสนใจอยู่ แต่นี้ไม่ใช่เวลามาสนใจรูปแกะสลักบนบานประตู มือของเขายังลูบประตูก่อนจะผลักประตูออกไปทันทีที่ละสายตาจากรูปแกะสลัก สายลมพัดมาวูบหนึ่งมันทำให้ขนของแม็คลุกจนหน้าตกใจ มันหนาวอย่างประหลาดทั้งๆนี้คือฤดูร้อนซึ่งเหลือเวลาตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะสิ้นสุดฤดู บันไดเวียนปรากฏตรงหน้าทอดยาวลงไปด้านล่างเห็นได้ชัดว่าบันไดนี้ผ่านการใช้งานมานานแน่นอน แต่ละขั้นมีรองรอยแตกหักหรือถูกกระเทาะด้วยของแข็ง มีด ขวาน หรืออะไรก็ตามที่เด็กปกติอย่างแม็คไม่เคยเห็น แม็คก้าวลงบันไดอย่างช้าๆหลังจากที่ประเมินสภาพของบันไดเวียนแล้ว
"นี้เราคิดถูกหรือเปล่านี่"มองดูแต่ละอย่างเก้าของแม็คชั่งไม่มั่นใจเหลือเกิน มันทำให้แม็คนึกถึงหนังเรื่องโปรดที่เกี่ยวกับการผจญภัยของหนอนบับเบิลที่แสนจะตลก แต่ตอนนี้มันไม่ตลกแบบหนอนบับเบิลนี่มันเป็นเรื่องจริง เมื่อก้าวมาพ้นโค้งแรกของบันไดเวียนทำให้แม็คเห็นอะไรที่อยู่ด้านล่างได้ชัดมากขึ้น มีจุดดำๆเล็กเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่าง ที่สังเกตได้แม็คเห็นมันมีอยู่สองจุดอยู่ข้างลำธารที่มองดูราวกับไม่เต็มใจไหลสักเท่าไรคงเป็นเพราะน้ำในลำธารมีน้อย มีโขดหินปรากฏอยู่กลางลำธารเท่าที่เขาจะสังเกตได้ ยังเหลืออีกสองโค้งของบันไดเวียนที่ยังรออยู่ข้างหน้า แม็คลงจากบันไดเวียนด้วยความใคร่รู้ชักนำมันทำให้เขาก้าวเร็วขึ้นทำให้กำจัดความกลัวเรื่องบันไดที่ผุพัง และความสูงชันไปอย่างสิ้นเชิง เด็กชายก้าวอย่างรวดเร็วจนพ้นโค้งที่สองของบันไดเวียนจุดเล็กที่อยู่ตอนล่างเริ่มชัดขึ้น ทำให้แน่ใจว่าจุดนั้นก็คือเบริคเห็นจากการแต่งตัวและผมที่ยุ่งเหยิงและอีก
จุดหนึ่งคงจะเป็นสัตว์เลี้ยงของเบริคเพราะมันมองไม่เหมือนคนเลยสักนิด แต่ก่อนจะถึงโค้งที่สามของบันไดเวียนเขาเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านล่าง เบริคกับสิ่งมีชีวิตที่เขายังไม่สรุปว่ามันคืออะไรกำลังข้ามลำธาร ไปยังอีกฝากหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ดูอึมครึม เมื่อมองจากที่เขายืนอยู่ จากสิ่งที่เห็นมันยิ่งเพิ่มแรงดึงดูดที่จะรีบไปให้ทันเบริคมากขึ้น เขาไปทำอะไรนะ ใจลึกๆคิด ไม่นานก็ล่วงพ้นโค้งที่สามของบันไดเวียนเข้าสู่บันไดช่วงสุดท้ายที่สภาพแย่กว่าสามช่วงที่ผ่านมา บางขั้นแทบจะไม่เหลือขั้นบันไดให้เห็นเลย แต่ก็พอที่เขาจะกระโดดข้ามไปได้ เมื่อก้าวแรกสัมผัสยังพื้นผิวที่ขรุขระปกคลุมไปด้วยเศษหินที่ถูกน้ำพัดมาเกยตื้น มันทำให้แม็คเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น สักครู่ก็เดินมาหยุดที่ริมลำธาร จากที่เห็นพอมีโขดหินที่ถอดยาวข้ามลำธารไปยังอีกฟากหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ความมืดของป่า เจ้าสิ่งนี้แหละมันทำให้เขาลังเล มีเสียงกระซิบว่าข้ามเถอะ อีกเสียงหนึ่งก็บอกว่าอย่าข้ามเลยนายอาจตายได้ แต่เขาก็รู้โดยอัตโนมัติว่าไหนๆมาแล้วก็ต้องข้าม ไม่ช้าก็กระโดดไปยังก้อนหินก้อนแรกที่ห่างจากฝั่งพอสมควร ทำให้รู้สึกทึ่งในความสามารถของตน ในขณะที่ตัวยังโอนเอนบนก้อนหินก้อนแรกก่อนจะข้ามไปยังหินก้อนต่อไป จนถึงฝั่งอีกฟากหนึ่ง มาหยุดเผชิญหน้ากับเงามืดของป่าที่ทอดเงาลงปกคลุมตัวของเขา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด แม็คมองกลับไปยังอีกฝั่งที่ตนข้ามมา เกิดหมอกปกคลุมทุกแห่งรอบตัว ทำให้มองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามและบันไดเวียนที่ทอดยาวสู่คฤหาสถ์ด้านบน
" อะไรกันนี้หน้าร้อนแท้ๆ แล้วหมอกมาจากไหน"แม็คร้องเสียงหลง
เงามืดของป่าห้อมล้อมกายของเขาเมื่อเริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปยังในป่า สองฟากปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เบียดเสียดกันขึ้น ชูแขนงกิ่งก้านบดบังแสงแดด และยังทวีจำนวนมากขึ้นเมื่อลึกเข้าไป ทำให้ป่ายิ่งดูมืดขึ้น ไม่มีวี่แววของเบริคหรือสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวจากส่วนลึกของป่า สองฝากเต็มไปด้วยพงหนาม และต้นอ่อนของต้นไม้ใหญ่ ซากของกิ่งไม้แก่มีให้เห็นจนเกลื่อนตาสลับกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่สูงเลยหัวของเขาทำให้ดูเหมือนทั้งป่าปกคลุมด้วยมูลสัตว์ขนาดยักษ์ เสียงเหยียบเท้าลงบนใบไม้แห้งที่มีทั่วไปในป่ายังมีตลอดเวลา แม็คพยายามเดินให้เบาที่สุดเพื่อจะได้ยินเสียงที่บ่งบอกว่าเป็นเสียงของเบริค แต่มองดูว่ายังไม่พบลงลอยของเบริคเลยในขณะที่เดินเข้าไปลึกขึ้นจนไม่สามารถเห็นลำธารที่เขาพึ่งข้ามมา รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้และความมืด ที่คอยกระตุ้นให้เขาเลิกล้มความตั้งใจในการหาตัวแม็ค วิสัยทัศน์ยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อก้อนหินเริ่มมีมากขึ้น แม็คต้องคอยหลบหลีกก้อนหินเหล่านั้น ทั้งลีบตัวให้ผ่านก้อนหินสองก้อนที่อยู่ติดกัน ในขณะที่สาระวนกับเหล่าก้อนหินที่ทยอยมาเป็นปราการขัดขวางการเดินทางของเด็กชาย มีเสียงหนึ่งเรียบเย็นดุจ
เสียงกระซิบของเหล่าต้นไม้ที่อยู่รอบกาย เยือกเย็นดุจสายลมในป่าที่ผิดแปลกจากความเป็นจริง และอีกเสียงหนึ่งแหลมเล็กสลับกับเสียงหายใจเข้ายาวสูงแหลมเช่นเดียวกับเจ้าของเสียง โดยมีเสียงหนึ่งสอดแทรกคงจะเป็นเสียงใครไปไม่ได้นอกจากเสียงของเบริค
"ผมคิดว่าคุณมอลโดว่าคงเหนื่อยมาก จึงไม่อาจจะทำหน้าที่ได้ด้วยตัวท่านเอง ฉะนั้นผมในนาม เมมฟิส แห่งตะกูล ออกุสต้า ขอรับอาสาเอง" เมมฟิสก้าวเท้ามาข้างหน้า สะบัดผ้าคลุมขึ้นแล้วโค้งตัวลงจนศีรษะเกือบจะเตะพื้น
"อะไรกันคุณเมมฟิส"ชายเสียงเรียบเย็นและดูอ้วนที่สุดกล่าวขึ้น ท่าทีเขาดูสุขุมกว่าชายคนที่ชื่อเมมฟิส
"คุณลืมที่เราตกลงกันไว้แล้วหรือคุณเมมฟิสว่าเราจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้"
"เราเปลี่ยนได้นี้ เรื่องอะไรจะไปสนคนอย่างจ้าว......."
"ระวังหน่อยคุณเมมฟิส จะพูดจะจาอะไรให้ระวังบ้าง"ชายเสียงเรียบเย็นถมึงใส่
"คุณคงประเมินศาสตราจารย์ต่ำไปมั้งคุณเมมฟิส ข้าเห็นท่านเข้านอกออกในตลอด ท่านน่าจะรู้อะไรมากกว่าเรา"
"มีอะไรก็บอกมาเถอะ คุณโรซาริโอ"เบริคตัดบท
โรซาริโอเอามือที่รียวแหลมมีแหลมเพรชเม็ดโตสวมไว้ที่นิ้วกลาง ล้วงเข้าไปใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่สวมอยู่ พลางหยิบขนนกสีทองออกมาจากใต้เสื้อคลุม
"นี้มันฟรอยซ์จากศาสตราจารย์ ปิเอโตร ออกุสต้า แห่งสถาบันกฎหมายเมกเซลูทเพื่อความสงบสุขของคัลตาโก สถานนี่"เมมฟิสพูดขึ้น
"ไหนขอผมดูหน่อยสิ" แต่ก่อนที่เมมฟิสจะคว้าฟรอยซ์ไป ฟรอยซ์ก็ตกไปอยู่ในมือของเบริคแล้ว
"เสียมารยาทน่า เมมฟิส"เบริคพูดเสียงแข็ง พลางส่งสายตาตาดูแคลนมายังเมมฟิส ทำให้เมมฟิสดูสงบลง เกิดแสงสว่างเปล่งออกมาจากฟรอยซ์ อาบไล้ทั่วใบหน้าของคนทั้งสาม ใบหน้าซีดเผือก ผมยาวปกหน้าของโรซาริโอมองดูจะตื่นเต้นแต่ทิ้งรอยยิ้มที่แปลกประหลาดที่มุมปาก ส่วนเมมฟิสชายผมแดงสั้นใส่แว่นกำลังจ้องมองฟรอยซ์อย่างสนใจ ลำแสงที่ออกมาจากฟรอยซ์บิดเป็นเกลียว เกิดเสียงดังขึ้นฟังดูคล้ายกับเสียงกรีดร้อง ขจัดความเงียบรอบตัวที่มีมาตลอดที่คนทั้งสามพูดคุยกัน เขาเห็นชายที่ชื่อโรซาริโอล้มลงไปหัวเราะกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เมมฟิสยังตะลึงงันจนพูดไม่ออก
"หยุดเล่นสนุกได้แล้ว ผมไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะตอบสนองเรื่องไร้สาระของคุณนะ คุณโรซาริโอ"แม็คเห็นมือของเบริคกำแน่นเพื่อพร้อมจะต่อยโรซาริโอให้ล้มคว่ำไปตรงหน้า โรซาริโอปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมในขณะที่พยายามยืนให้มั่นคงพร้อมทั้งหยิบขนนกที่อยู่ใต้เสื้อคลุมอีกครั้ง
"อันนี้แหละของจริง"โรซาริโอทำปากยื่น
"อันเมื่อกี้มันเป็นของเล่นที่บราเธอร์เปโตร บลังเซ่ให้มา" โรซาริโอพยายามพูดว่าเจ้าสิ่ง
นั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา
"ท่านยังคลั่งใคร่ของเล่นหลอกเด็กของพวกบลังเช่อยู่หรือ ข้าคิดว่าท่านพ้นวัยนั้นมาสามสิบปีแล้วนะ" เบริคพูดในขณะที่จ้องไปยังฟรอยซ์ที่อยู่ในมือของโรซาริโอ
"เขาให้มาน่า เบริค" เบริครีบคว้าฟรอยซ์จากมือโรซาริโอ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เกิดแสงสว่างขึ้นอีกครั้งแทนที่ลำแสงจะบิดเป็นเกลียวแต่คราวนี้มันขดม้วนกลายเป็นข้อความอยู่กลางอากาศเริงแสงสว่างจ้า เขียนด้วยตัวหนังสือเล็กใหญ่สลับกัน เบียดเสียดกันแน่น ไม่เป็นระเบียบ
เรียนท่านเบริคดั่งที่ท่านรู้แล้วว่าสถาบันกฎหมายเมทซูลูทเพื่อความสงบสุขของคัลตาโก สถานนี่ ได้ไว้วางใจให้ตัวท่านตามมาตราที่ร้อยสามของตระกูลออกุสต้าที่สำคัญยิ่งยวดของสถาบันเราซึ่งเกี่ยวพันกับความสงบสุขของคัลตาโก สถานนี่ จากที่ประชุมผู้อาวุโสและผู้ทรงคุณวุฒิเห็นชอบให้นำออกุสต้ารุ่นที่หกสิบสามมายังสถาบันด่วน
ด้วยความนับถือ
ศาสตราจารย์ปิเอโตร ออกุสต้า
เบริคจ้องมองข้อความดูสักพักหนึ่งก่อนจะเบนสายตาจากข้อความที่เริ่มลางเลือนลง
"มองดูท่านปิเอโตร คงจะรีบร้อนมากนะ" โรซาริโอพูดขึ้น
"ท่านก็รู้ว่าเด็กคนนั้นสำคัญกับเรามากแค่ไหน" เมมฟิสแทรกขึ้น แต่พยายามหลบสายตา
เบริค
"ผมมั่นใจในตัวคุณ
"เลิกแสดงละครได้แล้ว ลงมือเถอะ" เมมฟิสพูดตาม
ท่าทีของเบริคค่อนข้างกังวล ทำให้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าซึ่งแต่เดิมก็มีอยู่แล้ว เขาก้มหน้าลงมองพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง
"ข้าเข้าใจแล้ว คุณช่วยไปบอกศาสตราจารย์ว่าผมจะจัดการให้เสร็จ คงเร็วๆ นี้แหละ"
มือข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมเริ่มขยุกขยิกสักครู่ก็ล้วงฟรอยซ์ออกมายื่นให้โรซาริโอ
"ได้เวลาแล้วล่ะ"เบริคพูดพลางหันหลังให้ชายทั้งสอง
เกิดลมแรงขึ้น หอบเอาไปไม้ทั้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นและที่เขียวสดอยู่บนต้น หมุนวนเป็นเกลียวห่อหุ้มร่างชายทั้งสอง เมมฟิสและโรซาริโอ แม็คพยายามขยี้ตาเพื่อจะได้มองชายทั้งสองให้ชัด ชั่วครู่ลมก็สงบพร้อมกับการหายตัวไปของเมมฟิสและโรวาริโอ
"จูร่า" สุนัขพันธุ์เซนเบอร์นาดวิ่งออกมาจากพุ่มไม้เมื่อยินสียงเรียกของเบริค เขาโยนชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ให้มัน
"ข้าไม่น่าพาเจ้ามาเลย เจ้าคงจะลำบากแย่ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เอาไว้งานของเราเสร็จเมื่อไหร่เราค่อยกลับบ้านกัน" เบริคลูบหัวเจ้าจูร่าอย่างเอ็นดู มันเพียงกระดิกหางเพราะมัวแต่สนใจชิ้นเนื้อที่คราบอยู่ในปาก มันวิ่งตามเบริคไปติดๆ
ครั้งแรกที่แม็คเคยเดินป่าคือการได้เข้าค่ายลูกเสือสำรองในขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมเซนต์ยอร์จมันไม่ได้เป็นการเข้าค่ายลูกเสือจริงหรอก มันเป็นเพียงการไปพักร้อนมากกว่าในความคิดของเขา ไม่มีการเดินป่าที่ต้องใช้เข็มทิศ ไม่มีการชุมนุมน่ากองไฟหรือการผจญภัยที่แสดงถึงการเป็นลูกเสือเต็มตัว แถมยังต้องทนฟังพวกขยะซึ่งแม็คหมายถึงพวกที่มีเงินเต็มถุงบ่นระหว่างเดินทางไกลที่มีลูกศรชี้บอกทางและพื้นปูด้วยซีเมนต์อย่างดี
การคิดจะหันหลังกลับไปเผชิญความมืดของป่าเพื่อเดินตามเส้นทางเดิม เห็นได้ชัดว่ามันลำบากกว่าการเข้ามาในนี้ อย่างน้อยมันยังมีสิ่งกระตุ้นความอยากรู้คอยอยู่ตรงหน้าจนไม่ทันจดจำเส้นทาง และข้อนี้แหละคือผลเสีย การเดินทางกลับมันไม่เหมือนเดินทางไกลไปในป่าที่มีลูกศรชี้บอกทาง พื้นปูด้วยซีเมนต์อย่างที่เคยเป็นมา อาจพูดได้ว่าไม่ควรเอาไปเปรียบเลยดีกว่า คงจะเหลือเพียงชายชราในเสื้อคลุมและสุนัขหนึ่งตัวที่นำทางได้ กว่าจะตั้งสติเบริคก็เดินไปไกลแล้ว แม็ครีบวิ่งตามเบริคและเจ้าจูร่าไปติดๆและเงียบสุดๆ จะเป็นอย่างไรถ้าเบริครู้ว่าตนแอบตามเขามาและรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้ อย่างมากสุดมือโตๆและสุนัขล่าเนื้อก็พอที่จะปิดปากเด็กชายอย่างเงียบกริบในป่าอันเย็นยะเยือกนี้ได้ ตอนนี้เท้ารู้สึกราวกับกระแสความเย็นกำลังแช่แข็ง มันแล่นปรื๋อจากปลายเท้าจนมาถึงต้นขา จนแทบก้าวขาไม่ออก ดวงตายังจับจ้องอยู่ข้างหน้าระวังไม่ให้เบริคและเจ้าจูร่าคลาดสายตาต้นไม้เริ่มเบียดเสียดกันน้อยลงแสงแดดลอดลงมาตามกิ่งที่จับตัวกันหลวมๆทำให้พื้นป่าโดยรอบมองเห็นเป็นจุดๆของแสงแดดกระจายไปโดยรอบ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นประกอบกับขาที่เริ่มมีแรง อีกไม่นานคงถึงลำธารแล้ว แม็คคิด แสงสว่างตรงหน้าที่เดิมที่เห็นเป็นจุดเล็กขยายขนาดขึ้น และนั้นแหละคือทางออก ออกจากเจ้าป่าที่แสนหนาวเย็น ความดีใจทำให้ละทิ้งความสนใจที่มีต่อชายชราและสุนัขที่เมื่อสิบนาทีก่อนคอยทำหน้าเป็นเข็มทิศ เบริคกับเจ้าจูร่าล่วงหน้าไปไกลแล้ว ในขณะที่แม็คสนใจแต่ทางออกอย่างเดียว เมื่อล่วงพ้นจากป่ากลับมายืนที่จุดก่อนที่จะข้ามลำธารเพื่อเข้าสู่ความมืดของพงไพรราวสักหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาจากการคาดคะเนของเขา ด้านหน้าเป็นบันไดเวียนเมื่อมองตามบันไดเวียนก็จะพบประตูที่เปิดเข้าสู่ด้านหลังคฤหาสน์ เบริคและ จูร่ายืนอยู่ที่ตีนบันได จากจุดที่แม็คกับจุดที่ทั้งยืนอยู่ห่างกันพอสมควร ทำให้ทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็นเขา เบริคล้วงมีดพกออกจากเสื้อคลุมด้วยมือขวา เวลาเดียวกันก็เลิกแขนเสื้อขึ้นกดเจ้าสิ่งนั้นลงบนข้อมือซ้ายเสียงของความเจ็บปวดก้องสะท้อนไปทั่ว เขาสะบัดข้อมือลงไปที่ตีนบันไดเวียน มีดพกถูกเก็บแล้วแต่สิ่งที่อยู่ในมือคือผ้าพันแผล เบริคใช้ผ้าพันรอบข้อมืออย่างทุลักทุเล ก่อนจะก้าวลงบนบันไดเวียน แม็ควิ่งตามหลังทั้งสองไปแต่เขาไม่ลืมว่าอย่าให้เบริคจับได้ เบริคกับเจ้าจูร่าขึ้นไปถึงบันไดเวียนโค้งที่สองแล้ว เขาก้าวขึ้นบันไดที่ละสามขั้นหวังตามทั้งสองให้ทัน เมื่อล่วงเข้าสู่โค้งที่สองของบันไดเวียน เกิดแรงสั่นสะเทือนใต้เท้าจนรู้สึกได้ เสียงดังครืน ครืน สนั่นไปทั่ว บันไดแต่ละขั้นร่วงหล่นสู่พื้นด้านล่าง มือและเท้าทั้งสองพยายามปีนป่ายและพยุงตัวให้อยู่กับที่ เกิดเสียงดัง ครืน ครืน อีกครั้ง บันไดที่อยู่ใกล้สุดพังทลายลง แรงสั่นสะเทินยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เสียง ครืน ครืน ยังมีตลอด ความพยายามเหิกสุดท้ายจบสิ้นลง เมื่อพื้นบันไดที่เขาเหยียบกำลังลื่นไถลลงสู่เบื้องล่าง พร้อมกลับร่างเด็กชายที่พยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่
------------จบตอน-------------
ความคิดเห็น