ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮอลลี่ เวิลด์ ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 .................ณ.คฤหาสถ์

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 51


               

    ปฐมบทที่ 1 ตระกูลออกุสต้า

     

    . คฤหาสถ์

     

    -2-

        "นี้มันดึกมากแล้วนะ ไม่เห็นใครมาเปิดประตูให้เลย"
           
    "ใจเย็นๆสิคุณเดี๋ยวก็มีคนมาเปิดให้"

              "นี่เธอเลือกคนใช้อย่างไร ไม่ได้เรื่องเลย นายฮอลลี่หน้าแดงคล้ายผลมะเขือเทศ

              "ไม่เอาค่ะคุณ ไม่เอาค่ะคุณ อย่าโมโหกัน" นางฮอลลี่พูดปราม

              "ขอโทษครับคุณผู้หญิง" เสียงเรียบเย็นฟังแล้วขนลุกดังขึ้น นางและนายฮอลลี่หันไปหาเจ้าของเสียงทันที แม็คซึ่งนั่งในรถก็ด้วยเช่นกัน

     

               ชายชราวัยประมาณ 60 ปี ยืนหลังค้อมเล็กน้อย แสงไฟจากหัวเสาของประตูทำให้เห็นใบหน้าและเสื้อที่สวมใส่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดเผล ซึ่งบางแผลก็เหลือแต่รอยแผลเป็นบางแผลดูเหมือนยัง สดๆร้อนๆอยู่เลยเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะเย็บและขาดหวิ่น ดูเหมือนเศษผ้าที่ใช้แล้ว แค่เห็นแม็คก็ขนลุกไปทั้งตัว  เขาหวังว่าเขาคงไม่ได้เจอชายชราคนนี้อีกตลอดไป

             

               "นี่พ่อบ้าน จะให้พวกเรายืนอยู่อย่างนี้หรือ กระเป๋าท้ายรถละ ไปขนซิ นายฮอลลี่ขึ้นเสียง

                "ใจเย็นซิที่รัก เดี๋ยวเขาก็จัดการเองล่ะ"

                "เธอคิดอย่างไรเอาหมอนี่มาดูแลบ้าน"

                "ก็ไม่มีใครมาสมัครนี่ มีแต่เค้าคนเดียวนี่แหละ"

    คืนนั้นนายฮอลลี่อารมณ์เสียทั้งคืน  มีปากเสียงกันนิดหน่อยระหว่างอาหารค่ำของวันนั้น และจบลงด้วยเบริคทำจานแตกระหว่างไกล่เกลี่ยทั้งสองให้หยุดทะเลาะกัน

         

                แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่างตกกระทบใบหน้าอันเยาว์วัยของเด็กชาย แก้มชมพูระเรื่อขยับตามเปลือกตาที่กระพริบเป็นจังหวะ แม็คขยี้ตาจนแดงก่ำ แต่เขาก็รู้ว่าสาเหตุที่เขาตื่นไม่ใช่แสงแดดยามเช้าของวันใหม่แต่เป็นเสียงที่แสนจะทรมานโสตประสาทเขามากที่สุด นั้นคือแม่เขาเองอย่างไม่ต้องสงสัย การได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มหลังจากการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยนับว่าเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุด ในทางตรงกันข้ามการได้ยินเสียงที่แสนจะบาดหูปลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นับเป็นสิ่งที่เลวร้ายจนไม่อาจให้อภัย เสียงตะโกนยังมีตลอดเหมือนระลอกคลื่นทยอยพัดเข้าหาฝั่ง                                                                 "แม็คคคคคค ตื่นมากินอาหารเช้าได้แล้ว วันนี้มีพายฟักทองอาหารโปรดของลูกด้วย"                      

                 

                  "ทราบแล้วครับแม่" แม็คพยายามพูดในขณะพยุงตัวเองขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกท้องโหวงโหวงชอบกล นี้คงเป็นความรู้สึกหนึ่งที่ฉุดเขาลุกจากเตียง เสียงท้องคำรามกับพายที่รออยู่ด้านล่างชั่งเข้ากันเหลือเกิน สองเท้าย่างมาหยุดที่ธรณีประตูเพื่อเอื้อมมือไปถอดสลักประตูแต่ประตูก็เปิดก่อน

                  

                 "อรุณสวัสดิ์ยามเช้าครับคุณหนู" แม็คแทบจะหันหลังกลับและขอให้เขาได้อยู่ในห้องเหมือนเดิม ใบหน้าและวิธีการยิ้มของเขามันทำให้ขนลุกไปทั้งตัว

                 "อรุณสวัสดิ์เบอ.....เบริค" เขาพยามตั้งสติและพูดออกไป

                 "คุณหนูลงไปทานข้าวกับคุณแม่เถอะครับ ท่านรออยู่นานแล้ว เดี๋ยวอาหารเย็นฉิบ"

                 

                 "ครับ คับ เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ" แม็คพูดในขณะใช้มือทั้งสองข้างปิดบังใบหน้าซีดเผือกของตัวเองไว้ เขารีบวิ่งลงบันไดอย่างลนลานพร้อมเหลียวหลังไปจับจ้องที่เบริคทำไห้เขาเกือบตกบันได เขาวิ่งมาไกลจนเบริคหายลับไป ระหว่างลงบันไดเขาคิดอะไรต่างๆนานา เบริคอาจจะวางยาพิษในน้ำที่เราดื่มระหว่างที่ตื่นขึ้นมากลางดึก หรืออาจจะวางกับดักไว้บนเตียงที่อาจทำให้เราคอขาดก็ได้

                     

                 ระหว่างที่ทานอาหารกับพ่อและแม่ แม็คมองดูเหม่อลอย เขามัวแต่จ้องแต่เพดานห้อง ป่านนี้  เบริคคงวางแผนและจัดการอะไรต่ออะไรตามแผนเรียบร้อยแล้ว

                

                "แม็ค ลูกได้ยินที่พ่อพูดไหมลูก"

               "แม็ค......" เสียงตะโกนของพ่อเขาทำให้เขาตื่นจากภวังค์

               "ลูกเป็นอะไรหรือเปล่าลูก เห็นลูกเหม่อลอยตั้งแต่มาแล้ว เป็นอะไรบอกพ่อและแม่ได้นะ" นางฮอลลี่ถามด้วยความเป็นห่วง

               "ไม่เป็นไรครับ ผมแค่พยายามปรับตัวให้เข้ากลับที่นี่"

               "แล้วเป็นไงละคืนแรก หลับสบายดีไหม

              

               "อย่าถามอะไรมากเลยเธอ เดียวอาหารจะเย็นหมด ลูกคงหิวแย่แล้ว" นายฮอลลี่แย้งขึ้น

    หลังอาหารเช้า แม็คเดินอย่างใจลอยขึ้นไปยังห้อง โดยใจยังหวังว่าคงมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้หลังจากที่เข้าไปในห้องซึ่งความน่าสะพรึงกลัวรอเขาอยู่  เมื่อไปถึงมันกับไม่เป็นอย่างที่คิดห้องดูเรียบร้อยและสะอาดกลิ่นน้ำหอมคละคลุ้งไปทั่ว ผ้าปูที่นอน หมอน  ถูกจัดให้เข้าที่ อ่างอาบน้ำมีน้ำเต็มบนผิวน้ำมีกลีบกุหลาบลอยเต็มไปหมดส่งกลิ่นหอมสดชื่น "น่าเหลือเชื่อคนอย่างเบริคหรือจะทำได้ขนาดนี้"เขาคิด เด็กชายจัดการกับเสื้อผ้าที่สวมใส่และลงแช่ในอ่างอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ท่ามกลางดอกกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว

          

               ความร้อนครุระอุขึ้นจากพื้นซึ่งสัมผัสได้จากการเหยียบย่ำลงบนพื้นหลังจากที่ต้องอุดอู่อยู่เเต่ในนคฤหาสน์ เเม็ครู้สึกว่าหมวกที่ตนสวมอยู่ไม่เพียงพอเสียเเล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นที่ร้อนเป็นพิเศษมากกว่าวันอื่นๆ มันเเย่จริงๆที่จะต้องนั่งย่างบาร์บีคิวที่พ่อเตรียมไว้เป็นอาหารกลางวันใต้ดวงตะวันที่ร้อนเเสนร้อนยิ่งกว่าเตาอบเบเกอร์รี่ที่เเสนสกปรกของป้าโดโรทีเสียอีก เเต่ดูเเล้ว การปิกนิคยังไม่ได้เริ่มขึ้นโดยเห็นจากนายฮอลลี่ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ลงตัวจากข่าวต่างๆที่พาดอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เดลี่ไลฟ์                                                                                                                                                                                    

              

                  "นี่อะไรกันนี่เกิดการประท้วงขับไล่ลูคอปนายเทศมนตรี"                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                              

                

                   "ไอ้พวกนี้มันต้องถูกจ้างวานมาเเน่นอน ผมคิดว่าต้องเป็นฝีมือเจ้าเกลยอนเเน่"

                 

                 "ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็น เกลยอน ล่ะ" นางฮอลลี่ถาม ในขณะที่ถอดกายอยู่บนเสื่อที่ปูลงบนพื้น โดยมีครีมกันเเดดหลากหลายยี่ห้อวางอยู่ข้างๆ เเว่นกันเเดดจากร้านลูทิปที่หล่อนใช้เวลาเลือกหนึ่งวันเต็มๆเเต่แม็คก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากเเว่นกันเเดดที่กองขายอยู่ทั่วไปตามตลาดแถวย่านเเมททิว ย่านที่เหล่าไฮโซเรียกมันว่า ย่านพวกขี้โคนโสโคก   

             

               "ของมันเเน่อยู่เเล้วเธอ เจ้านั่นลงสมัครเลือกตั้งทีไรตกกระป๋องทุกที ก็เลยหาทางกลั่นเเกล้ง สาดโคนไปทั่วเพื่อจะได้เลือกตั้งใหม่"                            

              

                "ถ้าเจ้านั่นขึ้นมาเป็นนายกเทศมนตรีเมื่อไหร่มีหวังธุรกิจเราเเย่เเน่" นายฮอลลี่ยังให้ความสนใจกับข่าวการประท้วงครั้งใหญ่อย่างไม่ลดละ เเต่ความสนใจต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นลูกชายตนเดินเข้ามา นายฮอลลี่เหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือ

               

                "ให้ตายซิ นี้มันใกล้จะบ่ายโมงเเล้วเรายังไม่ได้เริ่มย่างบาร์บีคิวเลย ลูกมายืนคอยนานหรือยังจ๊ะ"

               

                    "สักพักเเล้วครับพ่อ"เเต่จริงเเล้วเเม็คอยากบอกว่านานพอที่จะรู้ว่าทั้งสองทำอะไรกันบ้าง นายฮอลลี่กระวีกระวาดลุกจากที่นั่งเดินไปยังเตาบาร์บีคิว สักครู่กลิ่นหอมของบาร์บีคิวก็ตลบอบอวลพร้อมกลิ่นเห็นไหม้ที่โชยมาจากผมที่ติดไฟเเละเพิ่งมอดดับลงจากการช่วยกันของสองเเม่ลูก นางฮอลลี่ต่อว่านายฮอลลี่ระหว่างที่ทั้งหมดนั่งกินบาร์บีคิว เตาบาร์บีคิวเริ่มมอดดับลงหลังจากบาร์บีคิวไม้สุดท้ายถูกยกขึ้นจากเตา เเม็คสุดที่จะทนพ่อเเละเเม่เถียงกันจึงตัดสินใจเดินกับไปยังคฤหาสน์

                  
                เตียงนอนเป็นที่อบอุ่นเเละปลอดภัยที่สุดในความคิดของเเม็ค มันทำไห้เขาได้ผ่อนคลายหลังจากไปเจอปัญหาที่วุ่นวาย เเม็คมักบอกกับตัวเองเสมอว่า เราชั่งเป็นคนที่โชคดีจริงที่กับมานอนบนเตียงที่อุ่นเเละนุ่มนวลได้ทุกวัน  เเม็คเป็นเด็กที่เเตกต่างจากเด็กคนอื่นคือเขากลัวการเป็นผู้ใหญ่ กลัวที่จะต้องคิดอะไรที่ซับซ้อนจนปวดหัว  เเม็คจะรู้สึกพะอืดพะอมทุกทีเมื่อพ่อเเละแม่พูดถึงเรื่องงาน เเละข่าวการเมืองที่ดูจะปวดหัวเเละวุ่นวายมากขึ้นทุกวัน เเต่กับนายเเละนางฮอลลี่กับตรงข้ามแถมยังพยายามยัดเหยียดให้แม็คพยายามได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไว้ ตอนเด็กๆแม็คเคยฝันอยากเป็นนักดนตรี  พอพ่อกับแม่รู้เข้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีถูกปิดกั้นเเละถูกกำจัดออกไป เเต่อะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจถูกนำเข้ามา

             

                 มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนฉลองครบเจ็ดขวบพ่อซื้อหนังสือนักบริหารธุรกิจที่ดีมาเป็นของขวัญ นับเป็นเรื่องตลกทุกครั้งที่เเม็คนึกถึงมัน บางครั้งยังนึกว่าตัวเองบ้าไปเเล้วหรือมานั่งหัวเราะอยู่คนเดียว ความร้อนเริ่มทุเลาลงในยามบ่ายดวงตะวันเริ่มคล้อยลงไปทางทิศตะวันตก  เเต่กับมีเมฆดำครึมมาเเทนจากทิศตะวันออก    อากาศรอบกายเด็กชายเริ่มเย็นลง มันช่วยถ่วงหนังตาให้หนักขึ้น หนักขึ้นอีก เเล้วรอบกายก็มืดมิดในทันใดเด็กชายกำลังก้าวไปยังโลกของความฝัน เขากำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านที่เก่ามอซอ เหมือนเจ้าของบ้านจงใจให้มันเป็นอย่างนี้สักครู่ก็มีเสียงกรีดร้องซึ่งดังมากจากหลักประตูบานนี้ ชั่วอึดใจประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างผู้หญิงที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงซึ่งถูกชายสองคนในเสื้อคลุมฉุดกระชากอย่างไร้ความปราณี หญิงสาวพยายามร้องขอความช่วยเหลือเเต่ดูเธอจะไร้ซึ่งกำลังที่จะร้องขอความช่วยเหลือ ร่างกายเธอดูไร้เรี่ยวเเรง  ท่าทางเธอคงใช้เเรงทั้งหมดในการต่อสู้ขัดขืนจากชายทั้งสองที่จับตัวเธอไว้ ชั่วขณะหนึ่งเขาสังเกตสายตาที่อ้อนวอนฉายเเววมาทางเขาที่ยืนอยู่ พร้อมพะเย้อริมฝีปาก เเม็ครู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาตัดสินใจไม่ถูกดีว่าจะทำอะไรจะช่วยผู้หญิงดีหรือจะหนีดี เเต่เราเป็นเเค่เด็กนะจะไปสู้ชายกำยำสองคนนั้นได้อย่างไร

                     

                          "ช่วยข้าด้วย เรซิดวล ปราณีข้าด้วย ขอให้ข้าเเก้ตัวด้วยเถิด" หญิงสาวอ้อนวอน

    เราไม่ใช่เรซิดวลนี่  เราคือเเม็คต้องเป็นการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง อยู่ๆก็มีเสียงตอบกับมาจากด้านหลังที่เขายืนอยู่

                         

                         "ไม่มีคำว่าเเก้ตัว ซาบิล นายสั่งอย่างนี้ก็คืออย่างนี้ จัดการกับหล่อนเเล้วเราจะได้กลับกัน" ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเเม็คซึ่งก็ใส่เสื้อคลุมเช่นเดียวชายสองคนที่จับตัวหญิงงสาวอยู่สั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

                          

                        "อย่าได้โปรด ไว้ชีวิตข้าด้วย ได้โปรดเถิด" หญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายเพื่อร้องขอชีวิต ชายสองคนพยักหน้ารับคำสั่ง ชายทางด้านซ้ายของหญิงสาวล้วงสิ่งบางอย่างที่ดูเเล้วน่าจะเป็นของมีคม พร้อมง้างเเขนออก เเละหวดลงอย่างเต็มเเรงตรงหน้าอกของเธอ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากปากหญิงสาว ก่อนที่ร่างเธอจะฟุกลงกับพื้นเเต่ไม่ปรากฏร่องรอยของเลือด เเม็คยืนเเข็งทื่อมือไม้สั่นไปหมด

                        

                        "จบกันเสียที" ชายที่ชื่อเรซิดวลพูด

                       "เเล้ว เด็กสองคนกับนางพี่เลี้ยงละครับท่าน เราจะทำอย่างไร" ชายหนึ่งในสองพูด

                       "ฆ่ามันเลยไหมครับท่าน" ชายอีกคนหนึ่งพูด

                       "ใจเย็นซิสหายของข้า มีคนสมควรตายเยอะเเยะรอเจ้าอยู่ นายสั่งมาเเค่นี้ก็คงพอเเค่นี้"

                   

                       "ให้อภัยข้าด้วยซาบิลมันเป็นความผิดพลาดของเจ้าเองข้าช่วยเจ้าไม่ได้  ลาก่อนเเละลาตลอดไป"  เรซิดวลโบกมือลา    เกิดเเสงสว่างขึ้นพร้อมการหายตัวไปของชายทั้งสาม เเม็ครู้สึกพื้นที่เขายืนอยู่เริ่มหมุนเขาหวีดร้องด้วยความตกใจก่อนที่จะออกจากโลกเเห่งความฝันพร้อมดวงตาที่เบิกโพลน เหงื่อท่วมใบหน้า เขาเหลือบมองดูนาฬิกาที่หัวนอน เป็นเวลาที่ใกล้จะสองทุ่มเเล้ว  "นี้เราหลับตั้งครึ่งวันเชียวหรือ" เเม็คหันไปเห็นชุดอาหารที่จัดเตรียมไว้บนโต๊ะ เบริคคงเป็นคนที่นำมาให้ ระหว่างที่นั่งกินข้าวด้วยความหิวโซเพราะนี้เลยเวลาปกติมามากเเล้ว สักพักก็มีเสียงเคาะประตู

                            คุณหนูครับผมขออนุญาตเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ" คงเป็นเสียงเบริคเเน่นอนเขาคิด

                            "เข้ามาได้เลยคุณเบริค"เเม็คตะโกนออกไป

                            "ขอบคุณครับคุณหนู"เบริคเข้ามาเเละจัดแจงภาชนะเเละเดินออกไปด้วยใบหน้าที่ฉงน

                            "คุณหนูสบายดีใช่ไหมครับ"

                            "อ๋อ สะสบายดี คุณออกไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วง" เบริคเปิดประตูเเละเดินออกไปทันที

           มันไม่ใช่เลี้ยงจริงเเม็ครู้ เเต่ทำไมความรู้สึกของเขาเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆความกลัวเเละภาพของเหตุการณ์เเห่งความโหดร้ายที่พึ่งทักถอจากเส้นใสแห่งความฝันยังถูกพันธนาการไว้ใต้ความคิดส่วนลึกยากที่จะลบให้หมดไปได้ เเม็คล้มตัวลงนอน ม่านตาเริ่มเเคบลง ภาพหญิงสาววนเวียนเข้ามาในความคิดตลอดเวลาเข้ามาเเล้วก็ผ่านไป เรากำลังเจออะไรอยู่ นี้คือความคิดสุดท้ายของเขาก่อนจะหม่อยหลับไป


                                                                                             ---------จบตอน---------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×