คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter Two: Walk Alone
Chapter Two: Walk Alone
“วันนี้พอแค่นี้”คิโยชิกล่าวเสียงดังขณะยืนอยู่กลางกลุ่มรุ่นน้อง ทุกคนจึงหยุดเดาะบอลแล้วยืนตรงมองมาทางเขา “เลิกแถว!”
รุ่นน้องปีหนึ่งปีสองปรบมือพร้อมกันสามครั้ง ก่อนจะตะโกน “ชินระ ไฟท์!” “แยกย้ายกันไปได้” คิโยชิพูดเสียงเรียบ รุ่นน้องจึงหยิบลูกฟุตบอลของตัวเองไปเก็บในตระกร้าที่เตรียมไว้ แล้วพากันเดินไปทางมุมหนึ่งของสนามฟุตบอลซึ่งตั้งเต๊นท์ไว้ประมาณสิบกว่าเต๊นท์ สัมภาระของพวกเขาวางอยู่บริเวณนั้น ตอนแรกเมื่อนักเรียนที่เข้าเก็บตัวได้ยินว่าจะนอนกันบนพื้นหญ้าก็ประท้วงกันใหญ่ และมีคนทำท่าจะกลับบ้านกันกว่าครึ่ง อาจารย์นันโจจึงยอมบอกว่าจริง ๆ แล้วมีเต๊นท์ให้ ที่บอกว่านอนบนหญ้าเป็นเพียงการอำกันเล่น ๆ เท่านั้น “อาจารย์ครับ เราจะอาบน้ำกันที่ไหนล่ะครับ” เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งเดินมาถามอาจารย์นันโจที่นั่งเฝ้าสัมภาระของพวกเขาอยู่ อาจารย์ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะถามกลับ “ถ้าครูบอกว่าไม่มีน้ำให้อาบล่ะ” “ผมไม่ยอมถูกหลอกเป็นครั้งที่สองหรอกน่า” “ครูล่ะเกลียดพวกรู้ทันจริง ๆ ก็ได้ ครูจะบอก
” อาจารย์ไม่ทันพูดจบ เด็กปีหนึ่งก็ถามขัดขึ้น “อาจารย์จะบอกที่อาบน้ำแล้วใช่มั้ยครับ” “เปล่า ครูจะบอกว่าครูไม่ได้โกหกต่างหาก ไม่มีที่ให้อาบน้ำจริง ๆ” “
” คำตอบของอาจารย์ทำเอาเด็กปีหนึ่งนิ่งอึ้งไปทันที ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปาก อาจารย์นันโจกลับยิ้มหน้าชื่น “ล้อเล่นหรอก ห้องอาบน้ำใช้ห้องน้ำชั้นหนึ่งของอาคารมัธยมต้น มีฝักบัวอยู่ในสี่ห้องจากแปดห้อง” ได้ยินดังนั้น เด็กปีหนึ่งที่นิ่งอึ้งก็กระพริบตาปริบ ๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแหย ๆ เขาแอบบ่นกับตัวเองหลังจากผละออกมาจากอาจารย์นันโจ “โดนหลอกอีกรอบจนได้ อาจารย์นะอาจารย์” ================| ยูโตะกับทาคามินำกระเป๋าสัมภาระไปเก็บไว้ในเต๊นท์ที่พักเมื่ออาบน้ำเสร็จ หนึ่งเต๊นท์อาจารย์นันโจจัดให้นอนสี่คน ยูโตะและทาคามินอนเต๊นท์หมายเลขสิบสี่เหมือนกัน ซึ่งสมาชิกอีกสองคนในเต๊นท์ของพวกเขาเป็นนักเรียนปีหนึ่งกับปีสองอย่างละคน “ฉันชื่อฮิโรเซะ ยูโตะ ห้องหนึ่งบี ส่วนนี่เพื่อนของฉัน ชื่อคาคุ ทาคามิ ห้องหนึ่งบีเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มร่างเล็กแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมเต๊นท์ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมชื่อไอฮาระ นางิ ห้องหนึ่งเอ” เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงตอบรับ เขามีร่างกายผอมบาง ความสูงอยู่ระหว่างยูโตะกับทาคามิ นางิผายมือไปด้านข้างก่อนจะพูดต่อ “นี่พี่ชายของผม ชื่อไอฮาระ เรียว อยู่ปีสอง ห้อง
เอ่อ อยู่ห้องอะไรนะพี่” เขาหันไปถามพี่ชาย ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่มีกล้ามให้เห็นเล็กน้อย พี่ชายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ฟุตบอลอย่างขะมักเขม้น “ห้องเอ” คำตอบเรียบ ๆ ดังออกมาจากปาก โดยที่สายตายังจับจ้องหน้าหนังสือพิมพ์ ดูเหมือนเรียวจะไม่ใส่ใจกับมิตรภาพในเต๊นท์สักเท่าไหร่ หรืออาจด้วยเพราะมีแต่รุ่นน้องในเต๊นท์ก็เป็นได้ “ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พี่ของผมเขาไม่ค่อยชอบคุยกับใครสักเท่าไหร่ แต่ฝีมือฟุตบอลน่ะสุดยอดเลยล่ะ” นางิพูดอย่างภูมิใจ “พี่นายอยู่กลุ่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ ไอฮาระ ฉันคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นตอนซ้อมแข่ง” ทาคามิถาม “ใช่แล้วครับ พี่น่ะเป็น ‘เป้าหมาย’ ของผมเลยล่ะ!” ยูโตะหันมาจ้องหน้านางิทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เป้าหมาย’ เพราะตัวเขาเองก็มีเป้าหมายในการเล่นฟุตบอลเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มเริ่มคิดว่าระหว่างเขากับนางิ ใครจะเป็นฝ่ายพิชิตเป้าหมายได้ก่อนกัน การแข่งขันนี้เกิดขึ้นในใจของยูโตะเพียงคนเดียว ทำให้ไอฮาระ นางิ กลายเป็น ‘คู่แข่งจำเป็น’ ของเขาไปโดยปริยาย เป้าหมายของยูโตะ คือ การแสดงฝีมือของตัวเองให้ผู้อื่นยอมรับ ในขณะที่เป้าหมายของนางิเป็นการไล่ตามฝีมือการเล่นฟุตบอลของพี่ชาย ต่างคนต่างเป้าหมาย แต่ก็มีฟุตบอลเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเดียวกัน เหมือนกับกับค่ายเก็บตัวแห่งนี้ ฟุตบอลคือสิ่งที่ดึงดูดเด็กนักเรียนปีหนึ่งและปีสองทั้ง 54 คนมารวมตัวกันและฝึกซ้อมในสถานที่เดียวกัน เพื่อพิชิตเป้าหมายในการเป็น 1 ใน 15 สมาชิก ของทีมฟุตบอลชายรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปี
รุ่นน้องปีหนึ่งปีสองปรบมือพร้อมกันสามครั้ง ก่อนจะตะโกน “ชินระ ไฟท์!”
“แยกย้ายกันไปได้” คิโยชิพูดเสียงเรียบ รุ่นน้องจึงหยิบลูกฟุตบอลของตัวเองไปเก็บในตระกร้าที่เตรียมไว้ แล้วพากันเดินไปทางมุมหนึ่งของสนามฟุตบอลซึ่งตั้งเต๊นท์ไว้ประมาณสิบกว่าเต๊นท์ สัมภาระของพวกเขาวางอยู่บริเวณนั้น
ตอนแรกเมื่อนักเรียนที่เข้าเก็บตัวได้ยินว่าจะนอนกันบนพื้นหญ้าก็ประท้วงกันใหญ่ และมีคนทำท่าจะกลับบ้านกันกว่าครึ่ง อาจารย์นันโจจึงยอมบอกว่าจริง ๆ แล้วมีเต๊นท์ให้ ที่บอกว่านอนบนหญ้าเป็นเพียงการอำกันเล่น ๆ เท่านั้น
“อาจารย์ครับ เราจะอาบน้ำกันที่ไหนล่ะครับ” เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งเดินมาถามอาจารย์นันโจที่นั่งเฝ้าสัมภาระของพวกเขาอยู่
อาจารย์ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะถามกลับ “ถ้าครูบอกว่าไม่มีน้ำให้อาบล่ะ”
“ผมไม่ยอมถูกหลอกเป็นครั้งที่สองหรอกน่า”
“ครูล่ะเกลียดพวกรู้ทันจริง ๆ ก็ได้ ครูจะบอก ” อาจารย์ไม่ทันพูดจบ เด็กปีหนึ่งก็ถามขัดขึ้น
“อาจารย์จะบอกที่อาบน้ำแล้วใช่มั้ยครับ”
“เปล่า ครูจะบอกว่าครูไม่ได้โกหกต่างหาก ไม่มีที่ให้อาบน้ำจริง ๆ”
“ ” คำตอบของอาจารย์ทำเอาเด็กปีหนึ่งนิ่งอึ้งไปทันที ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปาก
อาจารย์นันโจกลับยิ้มหน้าชื่น “ล้อเล่นหรอก ห้องอาบน้ำใช้ห้องน้ำชั้นหนึ่งของอาคารมัธยมต้น มีฝักบัวอยู่ในสี่ห้องจากแปดห้อง”
ได้ยินดังนั้น เด็กปีหนึ่งที่นิ่งอึ้งก็กระพริบตาปริบ ๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแหย ๆ เขาแอบบ่นกับตัวเองหลังจากผละออกมาจากอาจารย์นันโจ
“โดนหลอกอีกรอบจนได้ อาจารย์นะอาจารย์”
================|
ยูโตะกับทาคามินำกระเป๋าสัมภาระไปเก็บไว้ในเต๊นท์ที่พักเมื่ออาบน้ำเสร็จ หนึ่งเต๊นท์อาจารย์นันโจจัดให้นอนสี่คน ยูโตะและทาคามินอนเต๊นท์หมายเลขสิบสี่เหมือนกัน ซึ่งสมาชิกอีกสองคนในเต๊นท์ของพวกเขาเป็นนักเรียนปีหนึ่งกับปีสองอย่างละคน
“ฉันชื่อฮิโรเซะ ยูโตะ ห้องหนึ่งบี ส่วนนี่เพื่อนของฉัน ชื่อคาคุ ทาคามิ ห้องหนึ่งบีเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มร่างเล็กแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมเต๊นท์
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมชื่อไอฮาระ นางิ ห้องหนึ่งเอ” เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงตอบรับ เขามีร่างกายผอมบาง ความสูงอยู่ระหว่างยูโตะกับทาคามิ นางิผายมือไปด้านข้างก่อนจะพูดต่อ
“นี่พี่ชายของผม ชื่อไอฮาระ เรียว อยู่ปีสอง ห้อง เอ่อ อยู่ห้องอะไรนะพี่” เขาหันไปถามพี่ชาย ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่มีกล้ามให้เห็นเล็กน้อย พี่ชายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ฟุตบอลอย่างขะมักเขม้น
“ห้องเอ” คำตอบเรียบ ๆ ดังออกมาจากปาก โดยที่สายตายังจับจ้องหน้าหนังสือพิมพ์ ดูเหมือนเรียวจะไม่ใส่ใจกับมิตรภาพในเต๊นท์สักเท่าไหร่ หรืออาจด้วยเพราะมีแต่รุ่นน้องในเต๊นท์ก็เป็นได้
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พี่ของผมเขาไม่ค่อยชอบคุยกับใครสักเท่าไหร่ แต่ฝีมือฟุตบอลน่ะสุดยอดเลยล่ะ” นางิพูดอย่างภูมิใจ
“พี่นายอยู่กลุ่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ ไอฮาระ ฉันคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นตอนซ้อมแข่ง” ทาคามิถาม
“ใช่แล้วครับ พี่น่ะเป็น ‘เป้าหมาย’ ของผมเลยล่ะ!”
ยูโตะหันมาจ้องหน้านางิทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เป้าหมาย’ เพราะตัวเขาเองก็มีเป้าหมายในการเล่นฟุตบอลเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มเริ่มคิดว่าระหว่างเขากับนางิ ใครจะเป็นฝ่ายพิชิตเป้าหมายได้ก่อนกัน การแข่งขันนี้เกิดขึ้นในใจของยูโตะเพียงคนเดียว ทำให้ไอฮาระ นางิ กลายเป็น ‘คู่แข่งจำเป็น’ ของเขาไปโดยปริยาย
เป้าหมายของยูโตะ คือ การแสดงฝีมือของตัวเองให้ผู้อื่นยอมรับ ในขณะที่เป้าหมายของนางิเป็นการไล่ตามฝีมือการเล่นฟุตบอลของพี่ชาย ต่างคนต่างเป้าหมาย แต่ก็มีฟุตบอลเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเดียวกัน
เหมือนกับกับค่ายเก็บตัวแห่งนี้ ฟุตบอลคือสิ่งที่ดึงดูดเด็กนักเรียนปีหนึ่งและปีสองทั้ง 54 คนมารวมตัวกันและฝึกซ้อมในสถานที่เดียวกัน เพื่อพิชิตเป้าหมายในการเป็น 1 ใน 15 สมาชิก ของทีมฟุตบอลชายรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปี
จู่ ๆ เสียงตะโกนของอาจารย์นันโจก็ดังเข้ามาถึงในเต๊นท์ ทำให้การสนทนาหยุดลง
“ทุกคนรีบนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้ามาออกกำลังกายแต่เช้า ถ้าใครตื่นสายโดนกัปตันทำโทษแน่” ดูเหมือนอาจารย์จะเน้นประโยคสุดท้าย ซึ่งข่มขู่นักเรียนหลาย ๆ คนได้ชะงัด นางิกล่าวราตรีสวัสดิ์ยูโตะและทาคามิก่อนจะล้มตัวลงนอนข้าง ๆ พี่ชาย ยูโตะนึกอิจฉาพี่น้องไอฮาระเล็กน้อย ที่เตรียมถุงนอนมาดิบดี ต่างกับเขาและทาคามิที่ต้องนอนบนพื้นผ้าใบแข็ง ๆ ของเต๊นท์ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าที่นอนเป็นเช่นนี้เขาก็คงเอาถุงนอนมาด้วยแล้ว ทว่าสำหรับคืนนี้พื้นแข็ง ๆ ไม่มีผลอะไรกับยูโตะ ความเหนื่อยอ่อนจากการฝึกซ้อมและบรรยากาศอันเงียบสงบทำให้เขาหลับไปในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่โดยปกติเขามักจะนอนไม่หลับเมื่อต้องนอนในที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง คืนนั้นเขาฝัน พื้นหลังของความฝันคือสีขาวสะอาดไร้จุดสิ้นสุด ดูราวกับห้วงอวกาศที่มีแต่ความว่างเปล่า ยูโตะยืนอยู่คนเดียวในสถานที่นั้น คล้ายเป็นประหนึ่งดวงอาทิตย์ผู้หมุนอย่างโดดเดี่ยวกลางระบบสุริยะ ปลายเท้าของเขามีลูกฟุตบอลอยู่ลูกหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มนึกสงสัยว่าเขาคิดถึงฟุตบอลจนเก็บมาฝันเลยหรือนี่
“ทุกคนรีบนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้ามาออกกำลังกายแต่เช้า ถ้าใครตื่นสายโดนกัปตันทำโทษแน่”
ดูเหมือนอาจารย์จะเน้นประโยคสุดท้าย ซึ่งข่มขู่นักเรียนหลาย ๆ คนได้ชะงัด นางิกล่าวราตรีสวัสดิ์ยูโตะและทาคามิก่อนจะล้มตัวลงนอนข้าง ๆ พี่ชาย
ยูโตะนึกอิจฉาพี่น้องไอฮาระเล็กน้อย ที่เตรียมถุงนอนมาดิบดี ต่างกับเขาและทาคามิที่ต้องนอนบนพื้นผ้าใบแข็ง ๆ ของเต๊นท์ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าที่นอนเป็นเช่นนี้เขาก็คงเอาถุงนอนมาด้วยแล้ว
ทว่าสำหรับคืนนี้พื้นแข็ง ๆ ไม่มีผลอะไรกับยูโตะ ความเหนื่อยอ่อนจากการฝึกซ้อมและบรรยากาศอันเงียบสงบทำให้เขาหลับไปในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่โดยปกติเขามักจะนอนไม่หลับเมื่อต้องนอนในที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
คืนนั้นเขาฝัน พื้นหลังของความฝันคือสีขาวสะอาดไร้จุดสิ้นสุด ดูราวกับห้วงอวกาศที่มีแต่ความว่างเปล่า ยูโตะยืนอยู่คนเดียวในสถานที่นั้น คล้ายเป็นประหนึ่งดวงอาทิตย์ผู้หมุนอย่างโดดเดี่ยวกลางระบบสุริยะ ปลายเท้าของเขามีลูกฟุตบอลอยู่ลูกหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มนึกสงสัยว่าเขาคิดถึงฟุตบอลจนเก็บมาฝันเลยหรือนี่
ยูโตะลองใช้เท้าเขี่ยลูกฟุตบอลดู ปรากฏว่ามันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเหมือนกับเขากำลังเตะฟุตบอลอยู่บนพื้นใส ๆ ที่มองไม่เห็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องประหลาดใจ ใครคนหนึ่งยืนห่างจากเขาไปประมาณสองเมตร เด็กหนุ่มจดจำใบหน้านั้นได้แจ่มชัด
“ซ
เซจิ” เด็กหนุ่มกล่าวออกมา ใช่แล้ว เบื้องหน้าเขาคือเพื่อนที่เพิ่งลาออกจากชมรมฟุตบอลไป เช้าวันนี้เขาก็พบเซจิในห้องเรียน แต่เซจิพยายามหลบหน้าเขาและไม่เดินเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
“ซ เซจิ” เด็กหนุ่มกล่าวออกมา ใช่แล้ว เบื้องหน้าเขาคือเพื่อนที่เพิ่งลาออกจากชมรมฟุตบอลไป เช้าวันนี้เขาก็พบเซจิในห้องเรียน แต่เซจิพยายามหลบหน้าเขาและไม่เดินเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสงสัยมากขึ้นไปอีก แล้วเซจิมาทำอะไรที่นี่..!
ไม่ทันที่ยูโตะจะคิดอะไรต่อ จู่ ๆ เซจิก็พุ่งเข้าหาแล้วใช้เท้าแย่งลูกฟุตบอลไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไม่ทันตั้งตัว จึงเผลอปล่อยบอลหลุดจากเท้าไปอย่างง่ายดาย
ไม่ทันที่ยูโตะจะคิดอะไรต่อ จู่ ๆ เซจิก็พุ่งเข้าหาแล้วใช้เท้าแย่งลูกฟุตบอลไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไม่ทันตั้งตัว จึงเผลอปล่อยบอลหลุดจากเท้าไปอย่างง่ายดาย
“เดี๋ยว ๆ หยุดก่อนสิ นายจะทำอะไรน่ะ” ยูโตะร้องปราม แต่เซจิทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด อีกฝ่ายยืนอยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร และเลี้ยงบอลสลับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ฝีมือแตกต่างกับเซจิคนเดิมมากนัก
เด็กหนุ่มร่างเล็กเริ่มสงสัยในการกระทำของเพื่อน หรือว่า
“นายอยากเล่นฟุตบอลงั้นเหรอ เอาสิ!” ยูโตะไม่รอช้า พุ่งปราดเข้าหาทันที ดวงตาของเขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเซจิ เพราะมันคือจุดอ่อนของอีกฝ่ายที่มักจะกลัวการถูกจ้องมองจนเล่นพลาด ทว่ามันใช้กับเซจิคนนี้ไม่ได้ ดวงตามุ่งมั่นปราศจากความกริ่งเกรง จนยูโตะเองรู้สึกกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง
เด็กหนุ่มร่างเล็กเริ่มสงสัยในการกระทำของเพื่อน หรือว่า
“นายอยากเล่นฟุตบอลงั้นเหรอ เอาสิ!” ยูโตะไม่รอช้า พุ่งปราดเข้าหาทันที ดวงตาของเขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเซจิ เพราะมันคือจุดอ่อนของอีกฝ่ายที่มักจะกลัวการถูกจ้องมองจนเล่นพลาด ทว่ามันใช้กับเซจิคนนี้ไม่ได้ ดวงตามุ่งมั่นปราศจากความกริ่งเกรง จนยูโตะเองรู้สึกกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง
เมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กเข้าใกล้เซจิแทบจะประชิดตัว รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนใบหน้าของผู้ครองบอล พร้อมกับขาที่สัมผัสบอลอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ!” ยูโตะถึงกับอุทานออกมา เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกระทบต้นขา อีกฝ่ายเตะลูกฟุตบอลให้พุ่งลอดระหว่างขาของเขาไปอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มชะงักค้างไปนิดหนึ่งกับไหวพริบเกินคาดเดาของเพื่อน แต่มันก็นานพอที่เซจิจะอาศัยจังหวะนี้วิ่งผ่านด้านซ้ายของยูโตะไปโดยที่ผู้ชะงักยังไม่สามารถตอบโต้ได้
เมื่อยูโตะรู้สึกตัวอีกที ลูกฟุตบอลและตัวเซจิก็ไปอยู่ด้านหลังของเขาเรียบร้อยแล้ว!
“นาย ทำได้ยังไงน่ะ” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ จิตใจเริ่มไม่เชื่อว่าบุคคลด้านหลังคือเซจิที่เขารู้จัก ทั้งไหวพริบและความเร็วอาจจะสูสีกับรุ่นพี่คิโยชิเลยก็เป็นได้
แน่นอนว่าเซจิไม่ตอบ เพียงปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเท่านั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กทำท่าจะเดินเข้าหา แต่เซจิก็หันหลังอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งเลี้ยงบอลหนีไป
“เดี๋ยวก่อนสิ!” ยูโตะร้องเรียก พร้อมกับวิ่งตามเต็มฝีเท้า เขามั่นใจว่าหากเขาทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อวิ่ง ความเร็วของเขาไม่มีทางแพ้ใคร แต่ถึงอย่างนั้นเซจิกลับวิ่งเร็วกว่าเขาเสียอีก ยูโตะทำได้เพียงมองแผ่นหลังนั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ
“เดี๋ยวก่อนสิ!” ยูโตะร้องเรียก พร้อมกับวิ่งตามเต็มฝีเท้า เขามั่นใจว่าหากเขาทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อวิ่ง ความเร็วของเขาไม่มีทางแพ้ใคร แต่ถึงอย่างนั้นเซจิกลับวิ่งเร็วกว่าเขาเสียอีก ยูโตะทำได้เพียงมองแผ่นหลังนั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ
จนสุดท้าย ก็ถูกกลืนหายไปในห้วงอวกาศสีขาวบริสุทธิ์
================| ปรี๊ด..!
================|
ปรี๊ด..!
เสียงนกหวีดดังกระทบโสตประสาท ปลุกให้ยูโตะลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงความฝัน แสงอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาในเต๊นท์บอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว พี่น้องไอฮาระกับทาคามิก็เพิ่งตื่นเช่นกัน ทั้งสามลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลืออยู่บนที่นอนของตัวเอง
“อีกสิบนาทีครูจะเป่านกหวีดให้ทุกคนออกมาเข้าแถว ใครยังนอนอยู่ในเต๊นท์โดนกัปตันทำโทษแน่” อาจารย์นันโจตะโกนเสียงดัง โดยยังใช้คำขู่เดิม ๆ จนยูโตะอดคิดไม่ได้ว่าถ้ารุ่นพี่คิโยชิไม่มาอาจารย์จะคุมค่ายเก็บตัวนี้อย่างไร “ออกไปข้างนอกกันเถอะ ฮิโรเซะคุง คาคุคุง” นางิเอ่ยปากชวน เมื่อเขากับพี่ชายกำลังจะออกไปนอกเต๊นท์ ซึ่งผู้ถูกชวนทั้งสองก็พยักหน้าแทนคำตอบ
“อีกสิบนาทีครูจะเป่านกหวีดให้ทุกคนออกมาเข้าแถว ใครยังนอนอยู่ในเต๊นท์โดนกัปตันทำโทษแน่” อาจารย์นันโจตะโกนเสียงดัง โดยยังใช้คำขู่เดิม ๆ จนยูโตะอดคิดไม่ได้ว่าถ้ารุ่นพี่คิโยชิไม่มาอาจารย์จะคุมค่ายเก็บตัวนี้อย่างไร
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ ฮิโรเซะคุง คาคุคุง” นางิเอ่ยปากชวน เมื่อเขากับพี่ชายกำลังจะออกไปนอกเต๊นท์ ซึ่งผู้ถูกชวนทั้งสองก็พยักหน้าแทนคำตอบ
ยูโตะตัดสินใจเก็บเรื่องความฝันเอาไว้ เขาขยี้ตาที่ยังปรือก่อนจะก้าวออกไปรับแสงแดดนอกเต๊นท์
================| การออกกำลังกายตอนเช้าเริ่มด้วยการวิ่งรอบโรงเรียน ซึ่งรุ่นพี่คิโยชิเป็นคนนำวิ่งและเป็นคนเป่านกหวีดเพื่อให้สัญญาณการเปลี่ยนจังหวะวิ่ง จากวิ่งช้า ๆ ไปเป็นวิ่งเร็ว หรือจากวิ่งเร็วไปเป็นวิ่งช้า เพราะระยะทางวิ่งก็ไม่ใช่น้อย ๆ จึงต้องมีช่วงที่วิ่งช้าเพื่อไม่ให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป เมื่อวิ่งใกล้จะครบรอบ ซึ่งเป็นระยะทางกว่าสามกิโลเมตร ความแตกต่างด้านร่างกายก็เริ่มส่งผลต่อการวิ่ง ยูโตะผู้มีร่างกายไม่แข็งแรงเริ่มหอบเบา ๆ ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทาคามิจึงวิ่งเข้ามาหวังจะช่วยพยุง แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กกลับบอกปัด
================|
การออกกำลังกายตอนเช้าเริ่มด้วยการวิ่งรอบโรงเรียน ซึ่งรุ่นพี่คิโยชิเป็นคนนำวิ่งและเป็นคนเป่านกหวีดเพื่อให้สัญญาณการเปลี่ยนจังหวะวิ่ง จากวิ่งช้า ๆ ไปเป็นวิ่งเร็ว หรือจากวิ่งเร็วไปเป็นวิ่งช้า เพราะระยะทางวิ่งก็ไม่ใช่น้อย ๆ จึงต้องมีช่วงที่วิ่งช้าเพื่อไม่ให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป
เมื่อวิ่งใกล้จะครบรอบ ซึ่งเป็นระยะทางกว่าสามกิโลเมตร ความแตกต่างด้านร่างกายก็เริ่มส่งผลต่อการวิ่ง ยูโตะผู้มีร่างกายไม่แข็งแรงเริ่มหอบเบา ๆ ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทาคามิจึงวิ่งเข้ามาหวังจะช่วยพยุง แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กกลับบอกปัด
“ไม่ เป็นไรหรอก ทาคามิ ตอนอยู่กลุ่มสาม ฉันก็โดน ทำโทษ ให้วิ่ง อยู่บ่อย ๆ อย่า ห่วงเลย” ยูโตะพูดแล้วเว้นพักหายใจเป็นช่วง ๆ เขารีบออกตัววิ่งนำหน้าทาคามิไป ทิ้งเพื่อนให้เกาะกลุ่มอยู่ด้านหลัง ด้วยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเป็นห่วงตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าหากเขาวิ่งแบบนี้ต่อไปมีแต่เกิดผลเสียกับร่างกายก็ตาม
ในที่สุดการออกกำลังกายช่วงเช้าก็จบลง โดยที่ยูโตะยังเหลือแรงอยู่บ้าง อาจารย์นันโจบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปตามสบาย โดยอีกหนึ่งชั่วโมงจะเรียกรวม ซึ่งเวลานั้นต้องอยู่ในชุดสำหรับซ้อมชุดฟุตบอลแล้ว คนส่วนใหญ่ไปซ้อมฟุตบอลกันแล้วค่อยอาบน้ำ แต่ก็มีบางคนที่ไปอาบน้ำก่อน หรือกลับมาที่เต๊นท์ก่อนเหมือนยูโตะ
เด็กหนุ่มร่างเล็กถึงกับทรุดนั่งลงไปบนพื้นหญ้าเมื่อก้าวถึงเต๊นท์ ขาทั้งสองสั่นระริกและไม่มีแรงพอที่จะลุกยืนขึ้นอีกครั้งได้ ร่างกายก็ส่วนอื่น ๆ เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจคิด ดวงตาพร่ามัว สติเริ่มเลือนลาง เขาเห็นต้นไม้เป็นสิบ ๆ ต้นปลูกติด ๆ กัน ทั้งที่เมื่อกี้เขายังเห็นเป็นต้นเดียว
เด็กหนุ่มร่างเล็กถึงกับทรุดนั่งลงไปบนพื้นหญ้าเมื่อก้าวถึงเต๊นท์ ขาทั้งสองสั่นระริกและไม่มีแรงพอที่จะลุกยืนขึ้นอีกครั้งได้ ร่างกายก็ส่วนอื่น ๆ เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจคิด ดวงตาพร่ามัว สติเริ่มเลือนลาง เขาเห็นต้นไม้เป็นสิบ ๆ ต้นปลูกติด ๆ กัน ทั้งที่เมื่อกี้เขายังเห็นเป็นต้นเดียว
ยูโตะรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศตาย การออกกำลังกายทำให้เขาแทบไม่เหลือแรงหายใจ เขาเคยรู้สึกแบบนี้มาหลายครั้งหลังจากต้องวิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเกือบทุกวัน แต่อย่างไรก็ยังไม่ชินกับมันสักที การหายใจเข้าออกแม้เพียงครั้งเดียวยังทำได้ยากลำบาก เขาจึงตัดสินใจทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้า ให้ร่างกายรู้สึกสบายที่สุด
ท้องฟ้าสดใสกว้างใหญ่ปรากฏแก่สายตา ลมเย็นที่พัดวูบมาช่วยคลายความทรมานในการขาดอากาศหายใจไปได้บ้าง เขาพยายามสูดอากาศเข้าปอดอย่างเต็มที่ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าออกซิเจนมาเป็นของตน ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ามันยังไม่พอ
ร่างกายอันผอมบางแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้ ราวกับว่าทั้งตัวยกเว้นศีรษะได้กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว ขณะนั้นเอง
ร่างกายอันผอมบางแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้ ราวกับว่าทั้งตัวยกเว้นศีรษะได้กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว ขณะนั้นเอง
“ฮิโรเซะคุง!” ไอฮาระ นางิปรากฏตัวขึ้นพอดี เขาร้องขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตะลึง แล้ววิ่งรี่เข้าหายูโตะทันที “เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ”
เด็กหนุ่มร่างเล็กขยับปากทำท่าจะตอบ แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ในขณะนี้แค่การเปิดปากก็ทำได้ยากแล้ว นางิกุมศีรษะเพราะไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไง จนคิดได้ว่าควรพายูโตะเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่สบายกว่าพื้นหญ้านี้ก่อน
เด็กหนุ่มร่างเล็กขยับปากทำท่าจะตอบ แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ในขณะนี้แค่การเปิดปากก็ทำได้ยากแล้ว นางิกุมศีรษะเพราะไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไง จนคิดได้ว่าควรพายูโตะเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่สบายกว่าพื้นหญ้านี้ก่อน
มือเรียวเล็กยกร่างของเพื่อนขึ้นอย่างยากลำบาก แม้อีกฝ่ายจะตัวเล็กกว่า แต่เรี่ยวแรงที่มีก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร ดวงตาอ่อนแรงของยูโตะที่จ้องมาทางเขาดูคล้ายจะปิดลงได้ทุกเมื่อ เด็กหนุ่มร่างเล็กพยายามหายใจอย่างรุนแรงหวังจะเอาอากาศเข้าไปให้มากที่สุด สีหน้าของเขาดูทุกข์ทรมานไม่น้อย เรี่ยวแรงก็แทบไม่เหลือ ยังต้องดิ้นรนที่จะไขว่คว้าอากาศหายใจอีก
ภาพนั้นทำให้นางิฮึดสู้ขึ้นมา เรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นฉับพลันโดยไม่รู้ตัว เขายกร่างบางของยูโตะเข้ามาในเต๊นท์อย่างกระอักกระอ่วม แล้ววางลงบนถุงนอนของเขาซึ่งทั้งนิ่มและสบายกว่าพื้นแข็ง ๆ ที่อีกฝ่ายใช้นอนเมื่อคืนมากนัก
นางินั่งเฝ้ายูโตะอยู่เกือบสิบนาที เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้อีกฝ่ายฟังพร้อมกับคอยดูอาการไปด้วย ซึ่งผู้ฟังก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกมาสักคำ เพียงจ้องมองคนพูดแล้วหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ จนเมื่อนางิเห็นว่าเพื่อนเสียงหายใจรุนแรงของเพื่อนเงียบไปแล้ว ก็พูดขึ้น “อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปตามพี่กับทาคามิคุงมาดู” เขาบุกขึ้นและกำลังจะก้าวออกไป และคงอยู่นอกเต๊นท์แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงอันสั่นเทาของยูโตะ “ม
ไม่ต้อง”
นางินั่งเฝ้ายูโตะอยู่เกือบสิบนาที เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้อีกฝ่ายฟังพร้อมกับคอยดูอาการไปด้วย ซึ่งผู้ฟังก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกมาสักคำ เพียงจ้องมองคนพูดแล้วหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ จนเมื่อนางิเห็นว่าเพื่อนเสียงหายใจรุนแรงของเพื่อนเงียบไปแล้ว ก็พูดขึ้น
“อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปตามพี่กับทาคามิคุงมาดู” เขาบุกขึ้นและกำลังจะก้าวออกไป และคงอยู่นอกเต๊นท์แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงอันสั่นเทาของยูโตะ
“ม ไม่ต้อง”
นางิหันมามองอย่างแปลกใจ เรี่ยวแรงของยูโตะกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน
เด็กหนุ่มร่างเล็กพยายามพยุงตัวขึ้นนั่ง นางิเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วยทันที เขาใช้มือจับหลังของอีกฝ่ายไม่ให้เซลงไป ยูโตะเองก็ใช้มือทั้งสองยันพื้นไว้ ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาจะกลับมาแล้วจริง ๆ เพราะหลังจากที่นางิถอนมือออก อีกฝ่ายก็สามารถนั่งอยู่ได้ด้วยการใช้มือยันกายไว้
“ขอโทษนะ ที่ทำให้ เป็นห่วง” ยูโตะพูดโดยพักหายใจเป็นช่วง ๆ “ฉันฝืนใช้แรง มากไปหน่อย ”
“นายนอนพักไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวพออาจารย์เรียกรวม นายก็คงหายพอดี” นางิไม่อยากให้เพื่อนฝืนพูดทั้งที่ยังไม่ค่อยมีแรง เขากดไหล่ยูโตะให้นอนลงไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
“ผมจะไปอาบน้ำแล้วนะ อย่าลืมอาบน้ำก่อนอาจารย์เรียกล่ะ” “อืม” ยูโตะรับคำ เขามองตามนางิที่เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงอาบน้ำตัวเดียวเดินออกไปพร้อมกับผ้าขนหนูจนลับสายตา
“ผมจะไปอาบน้ำแล้วนะ อย่าลืมอาบน้ำก่อนอาจารย์เรียกล่ะ”
“อืม” ยูโตะรับคำ เขามองตามนางิที่เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงอาบน้ำตัวเดียวเดินออกไปพร้อมกับผ้าขนหนูจนลับสายตา
เมื่อเขาอยู่คนเดียว ความเงียบก็เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว ผู้คนส่วนมากในขณะนี้ไปรวมตัวกันที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ หรือไม่ก็เล่นฟุตบอลอยู่ในเขตสนามฟุตบอล น้อยคนนักจะเดินผ่านบริเวณตั้งเต๊นท์นอกเสียจากว่าต้องการมาพักผ่อน
ความเงียบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางทีมันก็ทำให้เราได้คิดอะไรสบาย ๆ และบางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกเหงา แต่ความเงียบสำหรับยูโตะในตอนนี้มีแต่ข้อดี มันทำให้เขาได้คิดเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างอิสระโดยไม่มีอะไรมารบกวน และในเวลาที่แรงกายของเขายังไม่เต็มร้อยเช่นนี้ ความเงียบก็ช่วยให้เขาพักผ่อนได้สบายขึ้น
ในสมองของยูโตะตอนนี้มีแต่ความคิดวกวนสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งทาคามิและนางิต้องมาเป็นห่วงเขา ทั้งที่เวลานี้เป็นช่วงของการเก็บตัว ซึ่งทุกคนในค่ายต่างจำเป็นต้องชิงชัยกันเพื่อให้ได้ที่นั่งในทีมฟุตบอลของโรงเรียน
ในสมองของยูโตะตอนนี้มีแต่ความคิดวกวนสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งทาคามิและนางิต้องมาเป็นห่วงเขา ทั้งที่เวลานี้เป็นช่วงของการเก็บตัว ซึ่งทุกคนในค่ายต่างจำเป็นต้องชิงชัยกันเพื่อให้ได้ที่นั่งในทีมฟุตบอลของโรงเรียน
เท่าที่เด็กหนุ่มพึงคิดได้ คือ ค่ายเก็บตัวแห่งนี้ทุกคนจำเป็นต้องห่วงตัวเองเป็นอันดับแรก!
และมันคงไม่ดีนักหากต้องมาคอยห่วงคอยดูแลคนอื่น ๆ ที่พร้อมจะแย่งที่นั่งในทีมฟุตบอลไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับทาคามิที่มีฝีมือไม่น้อยหน้าใครด้วยแล้ว
การมาห่วงยูโตะผู้อ่อนเรื่องฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง! ยูโตะอยากให้ทาคามิได้รับคัดเลือกเข้าไปในทีมฟุตบอลรุ่นต่ำกว่าสิบสี่ปีนี้ เขาไม่อยากเป็นภาระให้กับใครอีก เขาไม่อยากเห็นทาคามิหรือนางิไม่ได้รับคัดเลือกเพราะมาห่วงเขา ที่เขากังวลอยู่คือสิ่งนี้เอง เพราะฉะนั้น ยูโตะจึงตัดสินใจพยายามต่อไป โดยไม่ยอมให้ใครมาคอยดูแลคอยห่วงใย
การมาห่วงยูโตะผู้อ่อนเรื่องฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!
ยูโตะอยากให้ทาคามิได้รับคัดเลือกเข้าไปในทีมฟุตบอลรุ่นต่ำกว่าสิบสี่ปีนี้ เขาไม่อยากเป็นภาระให้กับใครอีก เขาไม่อยากเห็นทาคามิหรือนางิไม่ได้รับคัดเลือกเพราะมาห่วงเขา ที่เขากังวลอยู่คือสิ่งนี้เอง
เพราะฉะนั้น ยูโตะจึงตัดสินใจพยายามต่อไป โดยไม่ยอมให้ใครมาคอยดูแลคอยห่วงใย
ถ้ายังอยากเล่นฟุตบอลต่อไปก็มีแต่ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น ต่อให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวแค่ไหน สุดท้ายเมื่อความพยายามนั้นสำเร็จ รางวัลที่ได้รับก็คือ มิตรภาพ
เด็กหนุ่มยังเชื่อเช่นนั้น
================|
“เอ๋ ฝึกเป็นกลุ่มย่อยเหรอครับ”
เสียงดังขึ้นจากคนหนึ่งในแถว หลังจากที่อาจารย์นันโจได้อธิบายเกี่ยวกับการฝึกให้นักเรียนปีหนึ่งปีสองทุกคนได้ฟัง ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนสงสัย เพราะเดิมทีในชมรมฟุตบอลของโรงเรียน ‘ชินระวิทยา’ ก็มักจะฝึกแข่งเป็นทีม มากกว่าที่จะฝึกกันเฉพาะกลุ่ม ยิ่งกับคนที่อยู่กลุ่มสามยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาแทบไม่มีโอกาสได้ฝึกไม่ว่าจะเป็นแบบทีมหรือแบบกลุ่ม
================|
“เอ๋ ฝึกเป็นกลุ่มย่อยเหรอครับ”
เสียงดังขึ้นจากคนหนึ่งในแถว หลังจากที่อาจารย์นันโจได้อธิบายเกี่ยวกับการฝึกให้นักเรียนปีหนึ่งปีสองทุกคนได้ฟัง ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนสงสัย เพราะเดิมทีในชมรมฟุตบอลของโรงเรียน ‘ชินระวิทยา’ ก็มักจะฝึกแข่งเป็นทีม มากกว่าที่จะฝึกกันเฉพาะกลุ่ม ยิ่งกับคนที่อยู่กลุ่มสามยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาแทบไม่มีโอกาสได้ฝึกไม่ว่าจะเป็นแบบทีมหรือแบบกลุ่ม
“ถ้ายังสงสัยกันอยู่ล่ะก็ ครูจะอธิบายอีกรอบแล้วกัน เราจะแบ่งกลุ่มฝึกกลุ่มละสี่คน คนที่อยู่เต๊นท์เดียวกันก็อยู่กลุ่มเดียวกัน มีเต๊นท์ไหนสมาชิกมากหรือน้อยกว่าสี่คนหรือเปล่า” อาจารย์นันโจถามหลังจากอธิบายไปเล็กน้อย แต่นักเรียนทุกคนก็เงียบสนิท อาจารย์จึงอธิบายต่อ
“ช่วงเช้านี้เราจะฝึกการครองบอล ให้จับคู่กันสองคน คนหนึ่งเป็นคนครองบอล อีกคนเป็นคนประกบ คนครองบอลต้องพาบอลหนีคนประกบให้ได้เกินหนึ่งเมตร ถ้าคนครองบอลทำสำเร็จ หรือคนประกบแย่งบอลได้ ถือว่าจบ ให้สองคนสลับหน้าที่กัน จากคนครองบอลเป็นคนประกบ จากคนประกบเป็นคนครองบอล พอจบอีกก็สลับตำแหน่งกันอีก แค่นี้แหละ เข้าใจใช่มั้ย” “ครับ
” เสียงตอบดังมาจากแถวด้านซ้ายทีด้านขวาที “เข้าใจใช่มั้ย!” อาจารย์นันโจตะโกนถาม ปลุกไฟในใจหลาย ๆ คนที่ดับมอดให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ช่วงเช้านี้เราจะฝึกการครองบอล ให้จับคู่กันสองคน คนหนึ่งเป็นคนครองบอล อีกคนเป็นคนประกบ คนครองบอลต้องพาบอลหนีคนประกบให้ได้เกินหนึ่งเมตร ถ้าคนครองบอลทำสำเร็จ หรือคนประกบแย่งบอลได้ ถือว่าจบ ให้สองคนสลับหน้าที่กัน จากคนครองบอลเป็นคนประกบ จากคนประกบเป็นคนครองบอล พอจบอีกก็สลับตำแหน่งกันอีก แค่นี้แหละ เข้าใจใช่มั้ย”
“ครับ ” เสียงตอบดังมาจากแถวด้านซ้ายทีด้านขวาที
“เข้าใจใช่มั้ย!” อาจารย์นันโจตะโกนถาม ปลุกไฟในใจหลาย ๆ คนที่ดับมอดให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ครับ!” เสียงที่ดังชัดเจนทำให้อาจารย์อดยิ้มไม่ได้
“เอาล่ะ ครูจะสุ่มกลุ่มหนึ่งขึ้นมาสาธิตการฝึกนี้ ครูเรียกหมายเลขของเต๊นท์ไหนให้สมาชิกในเต๊นท์นั้นมายืนข้างหน้านะ” คำพูดต่อมาของอาจารย์ทำเอาทุกคนในที่นั้นเสียวสันหลังวาบ เพราะทุกกลุ่มมีโอกาสที่จะถูกเรียกขึ้นมาเท่า ๆ กัน
“หมายเลขผู้โชคดี ได้แก่
” อาจารย์ทำเหมือนรายการทีวี ซึ่งเมื่อยูโตะได้ฟังก็แอบคิดว่า ‘โชคร้ายชัด ๆ’ ในระหว่างที่อาจารย์เว้นช่วงพูด เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนต่างลุ้นอยู่ในใจว่าหมายเลขผู้โชคดีของอาจารย์จะเป็นใคร พร้อมกับคอยสาปแช่งให้กลุ่มอื่นได้รับหมายเลขนี้ไปด้วย “หมายเลข สิบสี่”
“หมายเลขผู้โชคดี ได้แก่ ” อาจารย์ทำเหมือนรายการทีวี ซึ่งเมื่อยูโตะได้ฟังก็แอบคิดว่า ‘โชคร้ายชัด ๆ’
ในระหว่างที่อาจารย์เว้นช่วงพูด เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนต่างลุ้นอยู่ในใจว่าหมายเลขผู้โชคดีของอาจารย์จะเป็นใคร พร้อมกับคอยสาปแช่งให้กลุ่มอื่นได้รับหมายเลขนี้ไปด้วย
“หมายเลข สิบสี่”
จบคำ เสียงคนส่วนมากหัวเราะยินดีก็ดังขึ้น ส่วนกลุ่มที่ได้รับเลือกน่ะหรือ
ยืนอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“รีบ ๆ ขึ้นมาได้แล้ว ใครที่รู้ตัวว่าอยู่เต๊นท์หมายเลขสิบสี่น่ะ” อาจารย์นันโจพูดเร่ง ทำให้ยูโตะ ทาคามิ นางิ และเรียว ซึ่งเป็นสมาชิกในเต๊นท์หมายเลขผู้โชคดี จำต้องเดินไปอยู่หน้าแถวนักเรียนคนอื่น ๆ ทุกสายตาที่จ้องมาสร้างความหวั่นเกรงให้ยูโตะกับนางิซึ่งอยู่กลุ่มสามมาตลอด ต่างกับทาคามิและเรียวที่เคยแข่งฟุตบอลท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายมาหลายครั้ง พวกเขาจึงรู้สึกชินกับเรื่องนี้ไปแล้ว “จะสาธิตแค่คู่เดียวนะ เดี๋ยวเวลาไม่พอ เธอ
กับไอฮาระ
แยกออกมาข้างตรงนี้” อาจารย์ชี้ไปที่ยูโตะ ก่อนจะชี้เรียวต่อ ทำให้นักเรียนในแถวหลายคนนึกสงสัย ถ้าเลือกยูโตะกับนางิ หรือทาคามิกับเรียวก็ยังพอว่า เพราะมีขนาดร่างกายใกล้เคียงกัน แต่สำหรับเรียวกับยูโตะนั้น เรียกได้ว่าร่างกาย ‘คนละไซส์’ กันเลย แค่มองผ่าน ๆ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ทาคามิกับนางิที่มองอยู่รู้สึกเป็นห่วงยูโตะขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างสูงยังไม่รู้ว่าช่วงพักหนึ่งชั่วโมงนั้นเพื่อนของเขาหายไปไหน แต่จากอาการที่เห็นขณะออกกำลังตอนเช้าทำให้เขาอดวิตกไม่ได้
“รีบ ๆ ขึ้นมาได้แล้ว ใครที่รู้ตัวว่าอยู่เต๊นท์หมายเลขสิบสี่น่ะ” อาจารย์นันโจพูดเร่ง ทำให้ยูโตะ ทาคามิ นางิ และเรียว ซึ่งเป็นสมาชิกในเต๊นท์หมายเลขผู้โชคดี จำต้องเดินไปอยู่หน้าแถวนักเรียนคนอื่น ๆ ทุกสายตาที่จ้องมาสร้างความหวั่นเกรงให้ยูโตะกับนางิซึ่งอยู่กลุ่มสามมาตลอด ต่างกับทาคามิและเรียวที่เคยแข่งฟุตบอลท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายมาหลายครั้ง พวกเขาจึงรู้สึกชินกับเรื่องนี้ไปแล้ว
“จะสาธิตแค่คู่เดียวนะ เดี๋ยวเวลาไม่พอ เธอ
กับไอฮาระ
แยกออกมาข้างตรงนี้” อาจารย์ชี้ไปที่ยูโตะ ก่อนจะชี้เรียวต่อ ทำให้นักเรียนในแถวหลายคนนึกสงสัย ถ้าเลือกยูโตะกับนางิ หรือทาคามิกับเรียวก็ยังพอว่า เพราะมีขนาดร่างกายใกล้เคียงกัน แต่สำหรับเรียวกับยูโตะนั้น เรียกได้ว่าร่างกาย ‘คนละไซส์’ กันเลย แค่มองผ่าน ๆ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ทาคามิกับนางิที่มองอยู่รู้สึกเป็นห่วงยูโตะขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างสูงยังไม่รู้ว่าช่วงพักหนึ่งชั่วโมงนั้นเพื่อนของเขาหายไปไหน แต่จากอาการที่เห็นขณะออกกำลังตอนเช้าทำให้เขาอดวิตกไม่ได้
ทาคามิกับนางิที่มองอยู่รู้สึกเป็นห่วงยูโตะขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างสูงยังไม่รู้ว่าช่วงพักหนึ่งชั่วโมงนั้นเพื่อนของเขาหายไปไหน แต่จากอาการที่เห็นขณะออกกำลังตอนเช้าทำให้เขาอดวิตกไม่ได้
อาจารย์นันโจไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของนักเรียนในแถวที่มองมา เขาโยนลูกฟุตบอลให้ยูโตะก่อนจะอธิบาย
“เธอเป็นฝ่ายครองบอล ฉันให้เวลาสามสิบวินาที หน้าที่ของเธอคือต้องพาบอลหนีจากไอฮาระให้เกินหนึ่งเมตร” อาจารย์เน้นหนักตรงคำว่า ‘ต้อง’ ทำให้ยูโตะยิ่งรู้สึกกดดันมากกว่าเดิม “จะเริ่มล่ะนะ”
“ค...ครับ” แม้ความกดดันจะทับถมจนขาแทบก้าวไม่ออก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นจึงจำใจตอบรับไป
ปรี๊ด..!
เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณ เด็กหนุ่มร่างเล็กหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขามองไปที่ร่างของอีกฝ่าย โดยไม่กล้าสบตา ด้วยกลัวว่าจะทำให้ใจเสียได้ง่าย ๆ รุ่นพี่เรียวย่อตัวต่ำลง ขาทั้งสองแยกห่างออกจากกันเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ดูเหมือนเขาจะมีฝีมือเรื่องการป้องกันไม่น้อย ทั้งที่ร่างกายเหมาะกับตำแหน่งศูนย์หน้ามากกว่า
...ลองดูสักตั้งแล้วกัน!... ยูโตะร้องบอกตัวเองในใจ เท้าสัมผัสบอลเป็นครั้งแรก ก่อนจะพุ่งตัวออกไป ทว่า... “อ๊ะ” เป็นเขาเองที่อุทานออกมา เมื่อตั้งใจเลี้ยงบอลไปด้วยวิ่งไปด้วย แต่เท้าจับไม่โดนลูกฟุตบอลทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ขยับไปไหน สิ่งที่พุ่งออกไปประจันหน้ากับรุ่นพี่เรียวจึงมีเพียงตัวเขา บอลยังนิ่งสนิทอยู่ในที่ของมัน
...ลองดูสักตั้งแล้วกัน!... ยูโตะร้องบอกตัวเองในใจ เท้าสัมผัสบอลเป็นครั้งแรก ก่อนจะพุ่งตัวออกไป ทว่า...
“อ๊ะ” เป็นเขาเองที่อุทานออกมา เมื่อตั้งใจเลี้ยงบอลไปด้วยวิ่งไปด้วย แต่เท้าจับไม่โดนลูกฟุตบอลทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ขยับไปไหน สิ่งที่พุ่งออกไปประจันหน้ากับรุ่นพี่เรียวจึงมีเพียงตัวเขา บอลยังนิ่งสนิทอยู่ในที่ของมัน
ยูโตะชะงักค้างเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกินความคาดหมายของตัวเอง รุ่นพี่เรียวกับคนที่ดูอยู่ก็ชะงักไปด้วยเหตุผลเดียวกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูไอ้เปี๊ยกนั่นสิ แค่เลี้ยงบอลมันยังเลี้ยงพลาดเลย” เด็กปีสองที่นั่งอยู่ในแถวพูดขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ พากันหัวเราะ จนเสียงนั้นดังกระหึ่มไปทั่วสนามฟุตบอล หากไม่ใช่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของโรงเรียนคงมีนักเรียนมามุงดูมากมายเป็นแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ยูโตะหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาร้องด่าตัวเองในใจที่ไม่ได้ฝึกซ้อมการเลี้ยงบอลบ่อยนัก ทำให้พลาดเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งไม่กล้าทำอะไรต่อ เพราะโดนความอายและความกดดันทับถมจนเกิดเป็น ‘ความกลัวสายตาผู้คน’ ขึ้นมา
อาจารย์นันโจถึงกับกุมขมับ เขาทำได้เพียงมองเด็กหนุ่มร่างเล็กอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น หากปัญหาแค่นี้ยังแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ ปัญหาใหญ่ ๆ ที่จะพบเจอในอนาคตคงไม่สามารถแก้ไขได้เป็นแน่ อาจารย์จึงตัดสินใจปล่อยให้ยูโตะยืนก้มหน้านิ่งไปคนเดียว
อาจารย์นันโจถึงกับกุมขมับ เขาทำได้เพียงมองเด็กหนุ่มร่างเล็กอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น หากปัญหาแค่นี้ยังแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ ปัญหาใหญ่ ๆ ที่จะพบเจอในอนาคตคงไม่สามารถแก้ไขได้เป็นแน่ อาจารย์จึงตัดสินใจปล่อยให้ยูโตะยืนก้มหน้านิ่งไปคนเดียว
ทาคามิกับนางิที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ก็ทำได้เพียงเอาใจช่วยให้เพื่อนร่างเล็กต้านความกลัวในจิตใจให้ได้ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มร่างเล็กจะไม่ตอบสนอง เขายังคงยืนนิ่งค้างอยู่แบบนั้น
ไม่มีใครทันคาดคิด จู่ ๆ เรียวก็ขยับตัวพุ่งหลบไปทางด้านซ้ายของยูโตะ! สายตาของเขาจับจ้องแต่เพียงลูกฟุตบอลโดยไม่มีท่าทีสนใจอีกฝ่าย ความมุ่งมั่นในการนำลูกฟุตบอลมาเป็นของตนลุกโชนอยู่ในดวงตา ด้วยว่าหากเขาทำได้การสาธิตก็จะจบลงทันที
ยูโตะสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของรุ่นพี่ เพราะมันแสดงออกมาทางดวงตาคู่สีดำสนิทจนหมด และสิ่ง ๆ เดียวที่ดวงตาคู่นั้นจับจ้อง คือ ลูกฟุตบอล!
...รุ่นพี่เรียวเก่งจัง เขาเล่นต่อได้โดยไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะ ถ้าเราเป็นแบบนั้นบ้างก็ดีสิ... ความคิดนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเด็กหนุ่ม และตอกย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า ความคิดนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเด็กหนุ่ม และตอกย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘รุ่นพี่เรียวเก่ง’
เรียวผ่านยูโตะไปได้อย่างง่ายดายเพราะอีกฝ่ายยืนนิ่งสนิท เขาเข้าใกล้บอลมากขึ้นทุกทีแล้ว
จู่ ๆ ดวงตาแห่งความมุ่งมั่นก็ปรากฏในมโนภาพของยูโตะ เขาคิดทบทวนกับสิ่งที่เห็นนั้น ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น...!
จู่ ๆ ดวงตาแห่งความมุ่งมั่นก็ปรากฏในมโนภาพของยูโตะ เขาคิดทบทวนกับสิ่งที่เห็นนั้น
ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น...
ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น... ความมุ่งมั่น...!
...รุ่นพี่เรียวเก่งก็จริง แต่ถ้าเรายังอยากเล่นฟุตบอลต่อไป เราก็ต้องชนะเขาให้ได้!... ความคิดใหม่เกิดขึ้นในจิตใจของยูโตะอย่างฉับพลัน ปลุกให้จิตใจของเขาที่ดับมอดไปแล้วได้เปล่งประกายขึ้นใหม่อีกครั้ง!
ความคิดใหม่เกิดขึ้นในจิตใจของยูโตะอย่างฉับพลัน ปลุกให้จิตใจของเขาที่ดับมอดไปแล้วได้เปล่งประกายขึ้นใหม่อีกครั้ง!แต่...ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะลูกฟุตบอลกับรุ่นพี่เรียวอยู่ห่างกันไม่ถึงเมตร ทว่า
“ไม่ยอมให้ผ่านหรอกน่า!”
ฝีเท้าของรุ่นพี่เรียวหยุดชะงักลงกลางคัน ทั้งที่หากก้าวไปอีกไม่เกินสองก้าวก็จะได้บอลไว้ในครอบครองแล้ว ...หมายถึงถ้าไม่มียูโตะขวางอยู่ล่ะก็นะ
“ฮิโรเซะคุงวิ่งมาทันได้ยังไงน่ะ” นางิกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตกใจ เมื่ออยู่ ๆ ยูโตะก็มาปรากฏเบื้องหน้าพี่ชายของเขา
“นายน่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ ไอฮาระ เพราะนายก็ตัวเตี้...” ทาคามิไม่ทันพูดจบ นางิก็แทรกขึ้นอย่างเดือดดาล
“ผมไม่ได้ตัวเตี้ยสักหน่อย! ผมสูงกว่ายูโตะร่วมห้าเซนติเมตรเชียวนะ!” ดูเหมือนเขาจะเกลียดคำว่า ‘ตัวเตี้ย’ เข้าไส้เลยทีเดียว นั่นทำให้ทาคามิอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ผมไม่ได้ตัวเตี้ยสักหน่อย! ผมสูงกว่ายูโตะร่วมห้าเซนติเมตรเชียวนะ!” ดูเหมือนเขาจะเกลียดคำว่า ‘ตัวเตี้ย’ เข้าไส้เลยทีเดียว นั่นทำให้ทาคามิอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ห้ามยิ้มด้วย!” นางิรีบพูดขึ้นอีก ขณะนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำพอ ๆ กับใบหน้าของยูโตะเมื่อครู่
“ฮะ ฮะ ขอโทษที คือฉันจะบอกว่า คนตัวเตี้ยน่ะ...” พอทาคามิพูดถึงคำนี้อีก เขาก็หยุดมองนางิแล้วหัวเราะเบา ๆ “จะหัวเราะอะไรอีกเล่า!” คนถูกมองร้องอย่างไม่พอใจ
“โทษที โทษที มันอดไม่ได้น่ะ ฉันจะพยายามไม่พูดก็แล้วกัน
พี่นายทั้งตัวใหญ่กว่ายูโตะ แล้วก็วิ่งเร็วกว่ายูโตะ จริงไหม” นางิพยักหน้าแทนคำตอบ “แต่เพราะยูโตะเป็นคนตัวเตี้... เอ่อ คนตัวเล็ก เลยมีสิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่” “สิ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่?” คนฟังย้ำคำด้วยใบหน้าสงสัย โดยไม่ได้สนใจคำที่อีกฝ่ายเกือบหลุดปากพูดออกมา
“ฮะ ฮะ ขอโทษที คือฉันจะบอกว่า คนตัวเตี้ยน่ะ...” พอทาคามิพูดถึงคำนี้อีก เขาก็หยุดมองนางิแล้วหัวเราะเบา ๆ
“จะหัวเราะอะไรอีกเล่า!” คนถูกมองร้องอย่างไม่พอใจ
“โทษที โทษที มันอดไม่ได้น่ะ ฉันจะพยายามไม่พูดก็แล้วกัน
พี่นายทั้งตัวใหญ่กว่ายูโตะ แล้วก็วิ่งเร็วกว่ายูโตะ จริงไหม” นางิพยักหน้าแทนคำตอบ “แต่เพราะยูโตะเป็นคนตัวเตี้... เอ่อ คนตัวเล็ก เลยมีสิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่” “สิ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่?” คนฟังย้ำคำด้วยใบหน้าสงสัย โดยไม่ได้สนใจคำที่อีกฝ่ายเกือบหลุดปากพูดออกมา
“โทษที โทษที มันอดไม่ได้น่ะ ฉันจะพยายามไม่พูดก็แล้วกัน พี่นายทั้งตัวใหญ่กว่ายูโตะ แล้วก็วิ่งเร็วกว่ายูโตะ จริงไหม” นางิพยักหน้าแทนคำตอบ “แต่เพราะยูโตะเป็นคนตัวเตี้... เอ่อ คนตัวเล็ก เลยมีสิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่”
“สิ่งที่ได้เปรียบคนตัวใหญ่?” คนฟังย้ำคำด้วยใบหน้าสงสัย โดยไม่ได้สนใจคำที่อีกฝ่ายเกือบหลุดปากพูดออกมา
“ใช่ ในระยะทางไกล ๆ คนตัวเล็กอาจจะวิ่งเร็วเท่าคนตัวใหญ่ไม่ได้ แต่ในระยะทางใกล้ ๆ จะเร็วกว่าคนตัวใหญ่อยู่หนึ่งถึงสองก้าว เพราะฉะนั้นที่เมื่อกี้ยูโตะไปดักได้ทันก็เพราะมันเป็นระยะทางใกล้ ๆ ที่เขาเคลื่อนที่ไปถึงได้เร็วกว่าพี่นายยังไงล่ะ อ้อ! เรื่องแบบนี้มันเป็นเฉพาะบุคคลด้วยนะ ฉันเคยเห็นหลายคนเหมือนกันที่ตัวเล็กแต่วิ่งไม่เร็ว”
“อืม...” นางิพยักหน้าแบบขอไปที เขายังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดถามต่อ เด็กหนุ่มละสายตาจากทาคามิไปยังยูโตะกับเรียวที่ยังแย่งลูกฟุตบอลกันอยู่ อาจารย์นันโจยืนดูยูโตะหลอกล่อรุ่นพี่อย่างเพลิดเพลินจนลืมเป่านกหวีดเมื่อเกินสามสิบวินาทีมาแล้ว
คนอื่น ๆ ในแถวก็เช่นกัน ความเร็วอันน่าตื่นตาของยูโตะทำให้พวกเขาอยากรู้ว่าระหว่างเด็กหนุ่มร่างเล็กกับเรียว ใครจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ จึงพากันปิดปากเงียบไม่มีใครบอกเรื่องเวลากับอาจารย์สักคน
การเลี้ยงบอลต้องเลี้ยงให้อยู่ในระยะ 30 50 เซนติเมตร
ยูโตะทบทวนถึงสิ่งที่เขารู้จากนิตยสารที่ไปยืนอ่านในร้านหนังสือมา เพราะเด็กหนุ่มไม่มีเงินค่าขนมมากนัก จึงต้องอาศัยการยืนอ่านในร้านหนังสือโดยที่ไม่ซื้ออยู่บ่อย ๆ การป้องกันของรุ่นพี่เรียวแทบไร้ช่องโหว่ เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่าปิดทางบอลจนมิด ยูโตะไม่มีทางเดาะลูกฟุตบอลข้ามหัวหรือโยนลูกหลบไปด้านซ้ายขวาแบบที่เคยใช้กับทาคามิได้เลย รุ่นพี่พยายามใช้เท้าเข้าแย่ง แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ขยับบอลหลบได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง ยิ่งเวลาผ่านไปความกดดันของยูโตะก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บอลจะถูกแย่งไป สีหน้าของเขาแสดงความหวั่นวิตกออกมา ต่างกับรุ่นพี่เรียวที่ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เขาพยายามเข้าแย่งบอลอย่างไม่รู้เบื่อ แม้ยูโตะจะสามารถพาบอลรอดพ้นเท้าของอีกฝ่ายมาได้ตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตระหนักว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ตัวเขาเองเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้สูญเสียพลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ นั่นหมายถึงเขาจะเหนื่อยเร็ว และแน่นอนว่าร่างกายผอมบางก็จะทำให้แรงของเขาหมดก่อนรุ่นพี่เรียวในที่สุด ยูโตะต้องรีบเผด็จศึก! แต่จะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อการบุกทะลวงปราการเหล็กของรุ่นพี่เรียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาพยายามคิดทบทวนถึงการเล่นฟุตบอลครั้งต่าง ๆ ของเขา ล่าสุด...ที่แข่งกับทาคามิ เขาใช้การเตะบอลให้ข้ามไหล่ทาคามิไป แต่วิธีนั้นใช้กับรุ่นพี่เรียวผู้มีร่างสูงใหญ่กว่าทาคามิไม่ได้ ...เอ๊ะ การแข่งครั้งล่าสุด เราไม่ได้แข่งกับทาคามินี่นา... จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าทันที “ฮิโรเซะคุงยิ้มทำไมน่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย” นางิที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ พูดขึ้น “ถ้ายูโตะยิ้มแบบนั้นแปลว่าคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว” ทาคามิบอก ดวงตาจับจ้องการเคลื่อนไหวของยูโตะอย่างตั้งใจ เขารู้จักอีกฝ่ายมากว่าสามปีแล้ว จึงมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปไม่มีทางผิดพลาด ยูโตะลากบอลถอยหลังพร้อมกับเคลื่อนที่ตามไป รุ่นพี่เรียวชะงักเพราะตกใจไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังก้าวตามไปรักษาระยะประกบหนึ่งเมตรได้ทัน หลายคนที่เริ่มคิดว่าการเผชิญหน้าระหว่างสองคนนี้น่าเบื่อ เริ่มที่จะสนใจมากขึ้น เพราะตามปกติฝ่ายครองบอลต้องพยายามฝ่าไปข้างหน้า ไม่ใช่พาบอลถอยลงมาแบบนี้ แถมรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของยูโตะก็ช่วยเพิ่มความสนใจมากขึ้นไปอีก ทำให้คนที่ดูนั่งลุ้นว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กจะทำอย่างไรต่อไป ยูโตะถอยไปทีละก้าว ซึ่งรุ่นพี่เรียวก็ตามไปอย่างไม่ลดละ เด็กปีหนึ่งปีสองทุกคนในแถวพากันจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่อาจารย์นันโจเองก็ยังสนใจในการเคลื่อนไหวของยูโตะ เขาไม่สามาถคาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่าการถอยหลังไปนั้นมีแผนอะไรซ่อนอยู่ ...น่าจะถอยมาพอแล้ว... ยูโตะคิดในใจ ก่อนจะใช้เท้าสัมผัสบอล ทำท่าจะลากถอยหลัง รุ่นพี่เรียวซึ่งคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะลากบอลถอยหลังก็ก้าวเข้าหาเพื่อรักษาระยะประกบอย่างรวดเร็ว ทว่า... ยูโตะไม่ได้ใช้เท้าดันบอลถอยหลังเหมือนทุกครั้ง เขายังยืนอยู่ที่เดิม เมื่อรุ่นพี่ก้าวเข้าใกล้ด้วยความเคยชิน ระยะห่างหนึ่งเมตรที่เคยมีก็หดเหลือครึ่งเมตรกว่า ๆ ทำลายความสมดุลในการตั้งรับซึ่งระยะห่างมาตรฐานคือหนึ่งเมตรไปจนหมดสิ้น รุ่นพี่ถึงกับชะงักไปเพราะตกใจการกระทำที่เกินความคาดหมาย อาจารย์นันโจเผยรอยยิ้มบาง ๆ ผู้ครองบอลไม่รอช้า เตะบอลลอดระหว่างขาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพุ่งตัวหลบรุ่นพี่เรียวเพื่อเข้าไปรับบอล! ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วจนทำให้ทุกสายตาที่มองอยู่ลืมหายใจไปชั่วขณะ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่เรียว... จากฝ่ายที่ถูกกดดันกลายมาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในพริบตา ยูโตะนึกขอบใจเซจิ ผู้แข่งฟุตบอลครั้งล่าสุดกับเขา ที่ช่วยสอนเทคนิคทะลวงปราการเหล็กนี้ให้
แม้จะเป็นการสอนในฝันก็ตามที
คนอื่น ๆ ในแถวก็เช่นกัน ความเร็วอันน่าตื่นตาของยูโตะทำให้พวกเขาอยากรู้ว่าระหว่างเด็กหนุ่มร่างเล็กกับเรียว ใครจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ จึงพากันปิดปากเงียบไม่มีใครบอกเรื่องเวลากับอาจารย์สักคน
การเลี้ยงบอลต้องเลี้ยงให้อยู่ในระยะ 30 50 เซนติเมตร ยูโตะทบทวนถึงสิ่งที่เขารู้จากนิตยสารที่ไปยืนอ่านในร้านหนังสือมา เพราะเด็กหนุ่มไม่มีเงินค่าขนมมากนัก จึงต้องอาศัยการยืนอ่านในร้านหนังสือโดยที่ไม่ซื้ออยู่บ่อย ๆ
การป้องกันของรุ่นพี่เรียวแทบไร้ช่องโหว่ เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่าปิดทางบอลจนมิด ยูโตะไม่มีทางเดาะลูกฟุตบอลข้ามหัวหรือโยนลูกหลบไปด้านซ้ายขวาแบบที่เคยใช้กับทาคามิได้เลย
รุ่นพี่พยายามใช้เท้าเข้าแย่ง แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ขยับบอลหลบได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง ยิ่งเวลาผ่านไปความกดดันของยูโตะก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บอลจะถูกแย่งไป สีหน้าของเขาแสดงความหวั่นวิตกออกมา ต่างกับรุ่นพี่เรียวที่ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เขาพยายามเข้าแย่งบอลอย่างไม่รู้เบื่อ
แม้ยูโตะจะสามารถพาบอลรอดพ้นเท้าของอีกฝ่ายมาได้ตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตระหนักว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ตัวเขาเองเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้สูญเสียพลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ นั่นหมายถึงเขาจะเหนื่อยเร็ว และแน่นอนว่าร่างกายผอมบางก็จะทำให้แรงของเขาหมดก่อนรุ่นพี่เรียวในที่สุด
ยูโตะต้องรีบเผด็จศึก! แต่จะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อการบุกทะลวงปราการเหล็กของรุ่นพี่เรียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาพยายามคิดทบทวนถึงการเล่นฟุตบอลครั้งต่าง ๆ ของเขา ล่าสุด...ที่แข่งกับทาคามิ เขาใช้การเตะบอลให้ข้ามไหล่ทาคามิไป แต่วิธีนั้นใช้กับรุ่นพี่เรียวผู้มีร่างสูงใหญ่กว่าทาคามิไม่ได้
แต่จะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อการบุกทะลวงปราการเหล็กของรุ่นพี่เรียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาพยายามคิดทบทวนถึงการเล่นฟุตบอลครั้งต่าง ๆ ของเขา ล่าสุด...ที่แข่งกับทาคามิ เขาใช้การเตะบอลให้ข้ามไหล่ทาคามิไป แต่วิธีนั้นใช้กับรุ่นพี่เรียวผู้มีร่างสูงใหญ่กว่าทาคามิไม่ได้...เอ๊ะ การแข่งครั้งล่าสุด เราไม่ได้แข่งกับทาคามินี่นา... จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าทันที
“ฮิโรเซะคุงยิ้มทำไมน่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย” นางิที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ พูดขึ้น
“ถ้ายูโตะยิ้มแบบนั้นแปลว่าคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว” ทาคามิบอก ดวงตาจับจ้องการเคลื่อนไหวของยูโตะอย่างตั้งใจ เขารู้จักอีกฝ่ายมากว่าสามปีแล้ว จึงมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปไม่มีทางผิดพลาด
ยูโตะลากบอลถอยหลังพร้อมกับเคลื่อนที่ตามไป รุ่นพี่เรียวชะงักเพราะตกใจไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังก้าวตามไปรักษาระยะประกบหนึ่งเมตรได้ทัน หลายคนที่เริ่มคิดว่าการเผชิญหน้าระหว่างสองคนนี้น่าเบื่อ เริ่มที่จะสนใจมากขึ้น เพราะตามปกติฝ่ายครองบอลต้องพยายามฝ่าไปข้างหน้า ไม่ใช่พาบอลถอยลงมาแบบนี้ แถมรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของยูโตะก็ช่วยเพิ่มความสนใจมากขึ้นไปอีก ทำให้คนที่ดูนั่งลุ้นว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กจะทำอย่างไรต่อไป
ยูโตะถอยไปทีละก้าว ซึ่งรุ่นพี่เรียวก็ตามไปอย่างไม่ลดละ เด็กปีหนึ่งปีสองทุกคนในแถวพากันจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่อาจารย์นันโจเองก็ยังสนใจในการเคลื่อนไหวของยูโตะ เขาไม่สามาถคาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่าการถอยหลังไปนั้นมีแผนอะไรซ่อนอยู่
...น่าจะถอยมาพอแล้ว... ยูโตะคิดในใจ ก่อนจะใช้เท้าสัมผัสบอล ทำท่าจะลากถอยหลัง รุ่นพี่เรียวซึ่งคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะลากบอลถอยหลังก็ก้าวเข้าหาเพื่อรักษาระยะประกบอย่างรวดเร็ว ทว่า...
ยูโตะไม่ได้ใช้เท้าดันบอลถอยหลังเหมือนทุกครั้ง เขายังยืนอยู่ที่เดิม เมื่อรุ่นพี่ก้าวเข้าใกล้ด้วยความเคยชิน ระยะห่างหนึ่งเมตรที่เคยมีก็หดเหลือครึ่งเมตรกว่า ๆ ทำลายความสมดุลในการตั้งรับซึ่งระยะห่างมาตรฐานคือหนึ่งเมตรไปจนหมดสิ้น รุ่นพี่ถึงกับชะงักไปเพราะตกใจการกระทำที่เกินความคาดหมาย อาจารย์นันโจเผยรอยยิ้มบาง ๆ
ผู้ครองบอลไม่รอช้า เตะบอลลอดระหว่างขาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพุ่งตัวหลบรุ่นพี่เรียวเพื่อเข้าไปรับบอล! ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วจนทำให้ทุกสายตาที่มองอยู่ลืมหายใจไปชั่วขณะ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่เรียว...
จากฝ่ายที่ถูกกดดันกลายมาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในพริบตา ยูโตะนึกขอบใจเซจิ ผู้แข่งฟุตบอลครั้งล่าสุดกับเขา ที่ช่วยสอนเทคนิคทะลวงปราการเหล็กนี้ให้ แม้จะเป็นการสอนในฝันก็ตามที
“ยอดมาก!” อาจารย์นันโจกล่าวเสียงดัง เมื่อยูโตะเลี้ยงบอลไปข้างหน้าได้อีกเมตรกว่า โดยที่รุ่นพี่เรียวไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย สิ่งที่เด็กหนุ่มร่างเล็กทำเมื่อครู่ทำให้ทุกคนในที่นั้นยอมรับพร้อมกันว่าไหวพริบของเขาไม่เป็นรองใคร
ยูโตะส่งบอลคืนให้อาจารย์ ก่อนจะเดินไปหารุ่นพี่เรียว รุ่นพี่ที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่ทำให้เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะถูกโกรธแน่
ยูโตะส่งบอลคืนให้อาจารย์ ก่อนจะเดินไปหารุ่นพี่เรียว รุ่นพี่ที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่ทำให้เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะถูกโกรธแน่
“รุ่นพี่เรียวฮะ...” ยูโตะเรียกเสียงอ่อย ทำให้รุ่นพี่ค่อย ๆ หันหลังกับมา และ
“ดีใจจริง ๆ! ฉันไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้เจอคนเก่ง ๆ อย่างเธอ!” รุ่นพี่เรียวพูดพร้อมกับยิ้มดีใจ ทำเอาภาพที่ยูโตะคิดไว้ก่อนหน้านี้พังทลายไปจนหมด “ไหวพริบของเธอไม่ใช่ระดับนักฟุตบอลม.ต้นแล้วล่ะ หลอกฉันให้เข้าประกบพลาดได้ แล้วบุกเข้าใส่จุดอ่อนที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว นายนี่มันสุดยอดเลย!”
รุ่นพี่เรียวเขย่าไหล่ยูโตะแล้วออกปากชมไปด้วย ทำเอาเด็กหนุ่มร่างเล็กไม่กล้าบอกว่าแท้จริงแล้วเทคนิคนั้นเขาเอามาจากความฝัน ถ้ารุ่นพี่รู้คงซึมไปไม่น้อยเลยทีเดียว รุ่นพี่เรียวยังชมเขาต่อไปโดยไม่สัญญาณว่าจะหยุดพูด
“เฮ้อ... พอเจอคนที่ถูกใจพี่ก็เผยธาตุแท้ออกมาทุกทีสิน่า” นางิถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“ตอนแรกฉันนึกว่าพี่ชายนายเป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ซะอีก พูดก็น้อย ไม่ค่อยสนใจใคร แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้วภาพในหัวฉันมันหายไปหมดเลยล่ะ” ทาคามิพูดยิ้ม ๆ “เอาล่ะ! ทุกคนฟังทางนี้!” อาจารย์นันโจตะโกนเสียงดัง ทำให้เสียงอื้ออึงของนักเรียนที่พากันพูดถึงยูโตะเงียบไปในพริบตา รวมถึงเรียวด้วย
“ตอนแรกฉันนึกว่าพี่ชายนายเป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ซะอีก พูดก็น้อย ไม่ค่อยสนใจใคร แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้วภาพในหัวฉันมันหายไปหมดเลยล่ะ” ทาคามิพูดยิ้ม ๆ
“เอาล่ะ! ทุกคนฟังทางนี้!” อาจารย์นันโจตะโกนเสียงดัง ทำให้เสียงอื้ออึงของนักเรียนที่พากันพูดถึงยูโตะเงียบไปในพริบตา รวมถึงเรียวด้วย
“ครูเชื่อว่าพวกเธอทุกคนมาที่นี่เพราะอยากจะเล่นในทีมฟุตบอลของโรงเรียน และเราก็จะคัดเอาแค่สิบห้าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในค่ายเท่านั้น ถ้ามัวแต่เอ้อระเหยไม่แสดงความสามารถของตัวเองออกมาล่ะก็ ต่อให้มีฝีมือที่แท้จริงมากแค่ไหนก็ไม่ได้รับการคัดเลือกแน่!”
คำพูดอาจารย์ทำให้ทุกคนเงียบกริบไป พวกเขาต่างครุ่นคิดถึงสองประโยคสุดท้ายนั้น
ถ้ามัวแต่เอ้อระเหยไม่แสดงความสามารถของตัวเองออกมาล่ะก็ ต่อให้มีฝีมือที่แท้จริงมากแค่ไหนก็ไม่ได้รับการคัดเลือกแน่!
“พวกเราทุกคน จะสู้ไหม!” อาจารย์ตะโกนก้อง
“สู้!” ทุกคนตอบรับเสียงดังฟังชัด ภาพของยูโตะที่แสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ช่วยเน้นย้ำคำพูดของอาจารย์ได้ดี
“แยกย้ายกันไปฝึกซ้อมได้ มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งตอนเที่ยง เลิกแถว!”
นักเรียนปีหนึ่งปีสองปรบมือพร้อมกันสามครั้ง ก่อนจะตะโกนคำปลุกใจที่คุ้นเคย
“ชินระ ไฟท์!”
To be continued
End Chapter Two: Walk Alone
To be continued
End Chapter Two: Walk Alone
ความคิดเห็น