คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter One: Started!
Chapter One: Started!
“ประกาศจากชมรมฟุตบอล ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทางชมรมฟุตบอลจะจัดค่ายเก็บตัวเป็นเวลาสามวัน เพื่อคัดเลือกนักกีฬาชายรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปีไปแข่งขันในทัวร์นาเม้นต์ระดับเขต” ชายวัยกลางคนประกาศผ่านไมโครโฟน ขณะที่นักเรียนมากมายกำลังยืนเข้าแถวอยู่เบื้องหน้าหลังจากหมดเวลาพักกลางวัน “ขอให้นักเรียนชายทุกคนที่อยู่ในชมรมฟุตบอล และมีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับสิบสี่ปี เตรียมชุดเล่นฟุตบอลและชุดนอนมาให้เรียบร้อย แล้วรวมตัวกันพรุ่งนี้ที่สนามฟุตบอลหลังเลิกเรียน จบประกาศ”
สิ้นเสียง ชายผู้ประกาศก็กราดสายตามองแถวของนักเรียนจากหลายช่วงชั้น ซึ่งมีมากเสียจนใต้อาคารที่ใช้เป็นสถานที่เข้าแถวนั้นแทบไม่เหลือพื้นที่ให้หายใจ เมื่อเขาเห็นว่านักเรียนในแต่ละแถวเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็อนุญาตให้นักเรียนแยกย้ายกันไปเรียนได้
เรื่องของค่ายเก็บตัวกลายเป็นประเด็นร้อนในกลุ่มนักเรียนชายอย่างรวดเร็ว ทั้งคนที่อยู่ชมรมฟุตบอล และคนที่ไม่ได้อยู่ เนื่องจากชมรมฟุตบอลของโรงเรียน ‘ชินระวิทยา’ แห่งนี้ เพิ่งคว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับประเทศรุ่นอายุต่ำกว่าสิบแปดปีมาหมาด ๆ จึงไม่แปลกที่จะมีคนจับตามองนักฟุตบอลรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปี ว่าจะทำผลงานได้ดีไม่แพ้รุ่นพี่หรือไม่
“ปีนี้นายก็คงไปเข้าค่ายเก็บตัวอีกสินะ ฮิโรเซะ” นักเรียนชายชั้นปีหนึ่ง ห้องบี ถามเพื่อนของเขา “แน่อยู่แล้ว ก็ฉันอยากลงแข่งกับเขาบ้างนี่นา” ฮิโรเซะ ยูโตะ ตอบอย่างมั่นใจ แล้วถามกลับไป “นายก็ไปเหมือนกันใช่ไหม” “อืม ไปเป็นเพื่อนนายไง” คาคุ ทาคามิ ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำเอาคนฟังยิ้มตามไปด้วย แน่ละ สาเหตุที่เขาเข้าชมรมฟุตบอลก็เพราะมีฮิโรเซะที่รู้จักกันตอนเรียนประถมอยู่ เมื่อฮิโรเซะจะเข้าค่ายเก็บตัวเขาก็ต้องตามไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย “ฮะ ฮะ ขอบคุณมาก” ยูโตะแตะบ่าเพื่อนเบา ๆ “แต่ว่านะ ถ้าจะให้ดีกว่านี้นายก็เลิกเรียกฉันว่า ฮิโรเซะ สักทีสิ ทีนายยังให้ฉันเรียกชื่อจริงเลยไม่ใช่เหรอ” “นั่นสินะ” ทาคามิทำท่าครุ่นคิด สักพักหนึ่งเขาก็ยิ้มออก “งั้นเราไปรีบห้องวิทย์กันได้เถอะ ยูโตะ เดี๋ยวอาจารย์ชิราคาวะบ่นเหมือนคนแก่อีก” เขาทำท่าเลียนแบบอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ที่ชอบบ่นเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ทำให้ยูโตะหัวเราะไปกับท่าทางของเพื่อน “อื้อ ไปกันเถอะ” ยูโตะตอบรับ แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปที่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์พร้อมกระเป๋านักเรียนสีดำสนิทในมือ ================| กิ๊ง ก่อง
“ปีนี้นายก็คงไปเข้าค่ายเก็บตัวอีกสินะ ฮิโรเซะ” นักเรียนชายชั้นปีหนึ่ง ห้องบี ถามเพื่อนของเขา
“แน่อยู่แล้ว ก็ฉันอยากลงแข่งกับเขาบ้างนี่นา” ฮิโรเซะ ยูโตะ ตอบอย่างมั่นใจ แล้วถามกลับไป “นายก็ไปเหมือนกันใช่ไหม”
“อืม ไปเป็นเพื่อนนายไง” คาคุ ทาคามิ ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำเอาคนฟังยิ้มตามไปด้วย แน่ละ สาเหตุที่เขาเข้าชมรมฟุตบอลก็เพราะมีฮิโรเซะที่รู้จักกันตอนเรียนประถมอยู่ เมื่อฮิโรเซะจะเข้าค่ายเก็บตัวเขาก็ต้องตามไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮะ ฮะ ขอบคุณมาก” ยูโตะแตะบ่าเพื่อนเบา ๆ “แต่ว่านะ ถ้าจะให้ดีกว่านี้นายก็เลิกเรียกฉันว่า ฮิโรเซะ สักทีสิ ทีนายยังให้ฉันเรียกชื่อจริงเลยไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสินะ” ทาคามิทำท่าครุ่นคิด สักพักหนึ่งเขาก็ยิ้มออก “งั้นเราไปรีบห้องวิทย์กันได้เถอะ ยูโตะ เดี๋ยวอาจารย์ชิราคาวะบ่นเหมือนคนแก่อีก” เขาทำท่าเลียนแบบอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ที่ชอบบ่นเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ทำให้ยูโตะหัวเราะไปกับท่าทางของเพื่อน
“อื้อ ไปกันเถอะ” ยูโตะตอบรับ แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปที่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์พร้อมกระเป๋านักเรียนสีดำสนิทในมือ
================|
กิ๊ง ก่อง
เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น มันเป็นเสียงสวรรค์ของนักเรียนหลาย ๆ คนที่เบื่อหน่ายกับการเรียนในห้องเรียนตลอดหกคาบ และมันก็เป็นเสียงสวรรค์ของอาจารย์หลาย ๆ คนที่เอือมระอากับนักเรียนที่เบื่อหน่ายกับการเรียน นักเรียนชายหญิงในช่วงชั้นต่าง ๆ ทยอยเดินออกมาจากตึกเรียนที่มีถึงสี่ตึกในโรงเรียนชินระวิทยา บ้างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็อยู่ที่โรงเรียนต่อเพื่อทำกิจกรรมชมรม
ชมรมฟุตบอลจะฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ทาคามิกับยูโตะเดินถือกระเป๋านักเรียนเข้าไปในห้องชมรมฟุตบอลเพื่อเปลี่ยนชุด พวกเขาพบรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งกำลังเก็บกระเป๋าใส่ล็อคเกอร์ เมื่อรุ่นพี่คนนั้นหันมาเห็นทั้งสองก็กล่าวทักทาย “ไง ฮิโรเซะ คาคุ” “สวัสดีครับ รุ่นพี่คิโยชิ” ยูโตะและทาคามิตอบรับพร้อมกัน “พวกนายจะเข้าค่ายเก็บตัวด้วยใช่ไหม อายุพวกนายยังไม่เกินนี่” รุ่นพี่คิโยชิถามขึ้นลอย ยูโตะทำท่าจะตอบ แต่รุ่นพี่ก็พูดขึ้นก่อน “ฉันก็เป็นหนึ่งในพี่เลี้ยงคุมค่ายนะ ระวังตัวไว้ให้ดี ๆ ล่ะ” เขายิ้มให้ทาคามิและยูโตะ ก่อนจะหันไปหมุนกุญแจปิดล็อคเกอร์ แล้วเดินออกจากห้องชมรมไป “รุ่นพี่คิโยชิคุมเหรอ
ฉันสังหรณ์ไม่ดีแล้วสิ” ทาคามิพูดหลังจากที่เห็นว่ารุ่นพี่เดินไปไกลแล้ว “ก็พี่เขาเป็นถึงกัปตันของทีมฟุตบอลม.ต้นนี่นา เลยเข้มงวดกับกฎระเบียบมากไปหน่อย จริงแล้วพี่เขาก็ใจดีนะ” ยูโตะบอก พลางถอดเสื้อนักเรียนออก “ถ้าไม่โดนรุ่นพี่คิโยชิทำโทษตอนเข้าค่ายก็ดีสิ” ทาคามิเปรยขึ้น ในใจนึกภาพการทำโทษอันเหี้ยมโหดของกัปตันทีมม.ต้น ก่อนที่เขาจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับเล่นฟุตบอล ================| ยูโตะและทาคามิเดินมาถึงสนามฟุตบอลของโรงเรียน ทั้งสองแยกไปเข้ากลุ่มของตัวเอง ซึ่งชมรมฟุตบอลระดับม.ต้นแบ่งสมาชิกชมรมออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง และกลุ่มสาม กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มของนักกีฬาตัวจริง ซึ่งมีแต่รุ่นพี่ปีสองกับปีสาม ส่วนกลุ่มสองเป็นกลุ่มของคนที่มีฝีมือในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะลงแข่งขันเป็นตัวจริงได้ ในกลุ่มสองมีนักเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสาม ส่วนมากจะเป็นปีสอง เพราะนักเรียนปีสามต้องติวหนังสือจนไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับชมรม และนักเรียนปีหนึ่งก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มสาม เนื่องจากฝีมือยังไม่ถึงขั้น กลุ่มสามโดยปกติจึงมีไว้เพื่อคอยขัดและเก็บบอลเท่านั้น โอกาสได้เล่นฟุตบอลสามารถนับครั้งได้เลยทีเดียว ทาคามิได้อยู่กลุ่มสอง ด้วยร่างกายที่สูงและแข็งแรง รวมถึงความสามารถในการส่งลูกอันแม่นยำ ทำให้เขาเลื่อนขึ้นมาอยู่กลุ่มสองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ต่างกับยูโตะที่อยู่กลุ่มสาม ร่างกายของยูโตะทั้งเล็กและผอมบาง ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกองหน้าเพื่อบุกทะลวงปราการกองหลังร่างใหญ่ หรือทำหน้าที่เป็นกองหลังเพื่อหยุดการบุกของกองหน้าร่างใหญ่ได้ ความแม่นยำในการส่งลูกก็น้อยกว่าทาคามิมาก จึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกองกลางคอยส่งบอลให้กับกองหน้าได้ ต่อให้เขาเล่นตำแหน่งเหล่านี้ได้ ก็ยังมีคนอีกมากมายในรุ่นเดียวกันที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขา
ชมรมฟุตบอลจะฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ทาคามิกับยูโตะเดินถือกระเป๋านักเรียนเข้าไปในห้องชมรมฟุตบอลเพื่อเปลี่ยนชุด พวกเขาพบรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งกำลังเก็บกระเป๋าใส่ล็อคเกอร์ เมื่อรุ่นพี่คนนั้นหันมาเห็นทั้งสองก็กล่าวทักทาย
“ไง ฮิโรเซะ คาคุ”
“สวัสดีครับ รุ่นพี่คิโยชิ” ยูโตะและทาคามิตอบรับพร้อมกัน
“พวกนายจะเข้าค่ายเก็บตัวด้วยใช่ไหม อายุพวกนายยังไม่เกินนี่” รุ่นพี่คิโยชิถามขึ้นลอย ยูโตะทำท่าจะตอบ แต่รุ่นพี่ก็พูดขึ้นก่อน “ฉันก็เป็นหนึ่งในพี่เลี้ยงคุมค่ายนะ ระวังตัวไว้ให้ดี ๆ ล่ะ”
เขายิ้มให้ทาคามิและยูโตะ ก่อนจะหันไปหมุนกุญแจปิดล็อคเกอร์ แล้วเดินออกจากห้องชมรมไป
“รุ่นพี่คิโยชิคุมเหรอ ฉันสังหรณ์ไม่ดีแล้วสิ” ทาคามิพูดหลังจากที่เห็นว่ารุ่นพี่เดินไปไกลแล้ว
“ก็พี่เขาเป็นถึงกัปตันของทีมฟุตบอลม.ต้นนี่นา เลยเข้มงวดกับกฎระเบียบมากไปหน่อย จริงแล้วพี่เขาก็ใจดีนะ” ยูโตะบอก พลางถอดเสื้อนักเรียนออก
“ถ้าไม่โดนรุ่นพี่คิโยชิทำโทษตอนเข้าค่ายก็ดีสิ” ทาคามิเปรยขึ้น ในใจนึกภาพการทำโทษอันเหี้ยมโหดของกัปตันทีมม.ต้น ก่อนที่เขาจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับเล่นฟุตบอล
================|
ยูโตะและทาคามิเดินมาถึงสนามฟุตบอลของโรงเรียน ทั้งสองแยกไปเข้ากลุ่มของตัวเอง ซึ่งชมรมฟุตบอลระดับม.ต้นแบ่งสมาชิกชมรมออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง และกลุ่มสาม
กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มของนักกีฬาตัวจริง ซึ่งมีแต่รุ่นพี่ปีสองกับปีสาม ส่วนกลุ่มสองเป็นกลุ่มของคนที่มีฝีมือในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะลงแข่งขันเป็นตัวจริงได้ ในกลุ่มสองมีนักเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสาม ส่วนมากจะเป็นปีสอง เพราะนักเรียนปีสามต้องติวหนังสือจนไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับชมรม และนักเรียนปีหนึ่งก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มสาม เนื่องจากฝีมือยังไม่ถึงขั้น กลุ่มสามโดยปกติจึงมีไว้เพื่อคอยขัดและเก็บบอลเท่านั้น โอกาสได้เล่นฟุตบอลสามารถนับครั้งได้เลยทีเดียว
ทาคามิได้อยู่กลุ่มสอง ด้วยร่างกายที่สูงและแข็งแรง รวมถึงความสามารถในการส่งลูกอันแม่นยำ ทำให้เขาเลื่อนขึ้นมาอยู่กลุ่มสองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ต่างกับยูโตะที่อยู่กลุ่มสาม ร่างกายของยูโตะทั้งเล็กและผอมบาง ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกองหน้าเพื่อบุกทะลวงปราการกองหลังร่างใหญ่ หรือทำหน้าที่เป็นกองหลังเพื่อหยุดการบุกของกองหน้าร่างใหญ่ได้ ความแม่นยำในการส่งลูกก็น้อยกว่าทาคามิมาก จึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกองกลางคอยส่งบอลให้กับกองหน้าได้ ต่อให้เขาเล่นตำแหน่งเหล่านี้ได้ ก็ยังมีคนอีกมากมายในรุ่นเดียวกันที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขา
ตั้งแต่ยูโตะเข้าชมรมฟุตบอล เขามีโอกาสได้เล่นฟุตบอลเพียงสองครั้ง คือครั้งแรกที่เล่นเพื่อแบ่งกลุ่ม และครั้งที่สองที่เล่นแข่งกับกลุ่มสองเพื่อคัดตัวสมาชิกกลุ่มสามไปเข้ากลุ่มสอง นอกจากนั้นในวันอื่น ๆ เขากับเพื่อน ๆ ในกลุ่มสามก็ทำได้แค่ขัดลูกฟุตบอลที่เปรอะโคลน เก็บบอลข้างสนาม และนั่งดูกลุ่มอื่น ๆ เล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน เมื่อใดที่กลุ่มสามเอาลูกฟุตบอลมาเดาะ หรือเอามาเตะเล่นกัน แล้วกลุ่มอื่นเห็น กลุ่มสามทุกคนก็จะโดนสั่งให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเป็นอย่างน้อยโดยไม่มีข้อยกเว้น เรียกได้ว่ากลุ่มสามเป็นอะไรที่ไม่ต่างกับคนรับใช้ของชมรม
สมาชิกในกลุ่มสามไม่มีนักเรียนปีสามแม้แต่คนเดียว เพราะนักเรียนปีสามรู้อยู่แก่ใจว่าอยู่กลุ่มนี้ไปก็ไม่มีทางได้เล่นฟุตบอล สู้เอาเวลาไปอ่านหนังสือติวสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงยังจะดีกว่า นั่นทำให้พี่ใหญ่ของกลุ่มสามกลายเป็นนักเรียนปีสอง ที่ชอบไปเอาลูกฟุตบอลมาเตะเล่นแล้วหนีหาย ปล่อยให้ปีหนึ่งต้องรับโทษแทนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนักเรียนปีหนึ่งก็ไม่กล้าโต้เถียงกับรุ่นพี่ ปล่อยให้รุ่นพี่ในกลุ่มกลั่นแกล้งและจิกหัวใช้งานสารพัด วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน รุ่นพี่ปีสองในกลุ่มสามเอาลูกฟุตบอลไปเดาะเล่นต่อหน้ารุ่นพี่คิโยชิ กลุ่มสามทุกคนจึงโดนลงโทษให้วิ่งรอบสนาม และดูเหมือนว่ารุ่นพี่คิโยชิจะอารมณ์เสียกับการกระทำของรุ่นพี่ปีสองเป็นอย่างมาก ทำให้รอบวิ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นยี่สิบรอบ แน่นอนว่ารุ่นพี่ปีสองในกลุ่มสามก็หายไปไม่เหลือสักคน ทิ้งบทลงโทษให้นักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งมาถึงสนามต้องวิ่งกัน ตั้งแต่ต้นปี ยูโตะต้องโดนลงโทษให้วิ่งแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไร และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้นักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามทั้งหลายพากันลาออกวันละคนสองคน “ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ” เซจิ เพื่อนร่วมห้องของยูโตะหันมาบอกกับเขา ขณะที่ทั้งคู่วิ่งมาถึงรอบที่สิบสอง ยูโตะมองหน้าเซจิเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่พูดอะไร เขาวิ่งต่อไปโดยทิ้งเซจิที่หยุดวิ่งไว้เบื้องหลัง เซจิเป็นคนร่างสูงแต่ฝีมือการเล่นฟุตบอลเป็นศูนย์ ทำให้ต้องอยู่ในกลุ่มสาม เขาก้าวอย่างเชื่องช้าออกมาจากแถวของนักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามที่วิ่งกันจนเหงื่อโซมกาย แล้วหันกลับมามองแผ่นหลังของยูโตะที่วิ่งเลยไปไม่ไกล
สมาชิกในกลุ่มสามไม่มีนักเรียนปีสามแม้แต่คนเดียว เพราะนักเรียนปีสามรู้อยู่แก่ใจว่าอยู่กลุ่มนี้ไปก็ไม่มีทางได้เล่นฟุตบอล สู้เอาเวลาไปอ่านหนังสือติวสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงยังจะดีกว่า นั่นทำให้พี่ใหญ่ของกลุ่มสามกลายเป็นนักเรียนปีสอง ที่ชอบไปเอาลูกฟุตบอลมาเตะเล่นแล้วหนีหาย ปล่อยให้ปีหนึ่งต้องรับโทษแทนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนักเรียนปีหนึ่งก็ไม่กล้าโต้เถียงกับรุ่นพี่ ปล่อยให้รุ่นพี่ในกลุ่มกลั่นแกล้งและจิกหัวใช้งานสารพัด
วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน รุ่นพี่ปีสองในกลุ่มสามเอาลูกฟุตบอลไปเดาะเล่นต่อหน้ารุ่นพี่คิโยชิ กลุ่มสามทุกคนจึงโดนลงโทษให้วิ่งรอบสนาม และดูเหมือนว่ารุ่นพี่คิโยชิจะอารมณ์เสียกับการกระทำของรุ่นพี่ปีสองเป็นอย่างมาก ทำให้รอบวิ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นยี่สิบรอบ
แน่นอนว่ารุ่นพี่ปีสองในกลุ่มสามก็หายไปไม่เหลือสักคน ทิ้งบทลงโทษให้นักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งมาถึงสนามต้องวิ่งกัน ตั้งแต่ต้นปี ยูโตะต้องโดนลงโทษให้วิ่งแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไร และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้นักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามทั้งหลายพากันลาออกวันละคนสองคน
“ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ” เซจิ เพื่อนร่วมห้องของยูโตะหันมาบอกกับเขา ขณะที่ทั้งคู่วิ่งมาถึงรอบที่สิบสอง ยูโตะมองหน้าเซจิเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่พูดอะไร เขาวิ่งต่อไปโดยทิ้งเซจิที่หยุดวิ่งไว้เบื้องหลัง
เซจิเป็นคนร่างสูงแต่ฝีมือการเล่นฟุตบอลเป็นศูนย์ ทำให้ต้องอยู่ในกลุ่มสาม เขาก้าวอย่างเชื่องช้าออกมาจากแถวของนักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามที่วิ่งกันจนเหงื่อโซมกาย แล้วหันกลับมามองแผ่นหลังของยูโตะที่วิ่งเลยไปไม่ไกล
“ขอโทษนะ ฮิโรเซะคุง” เซจิพูดขึ้น โดยหวังว่าคำพูดของเขาจะถูกสายลมพัดพาไปให้ถึงหูยูโตะ มือของเด็กหนุ่มคว้ากระดาษสีขาวที่เขียนว่า ‘ใบลาออก’ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พลางหวนนึกถึงวันแรกที่เขามาสมัครเข้าชมรมฟุตบอลแห่งนี้
วันนั้น เซจิ ทาคามิ และยูโตะ มาขอสมัครเข้าชมรมกับรุ่นพี่คิโยชิ ทั้งสามเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน และคิดจะเข้าชมรมฟุตบอลเหมือนกัน รุ่นพี่คิโยชิให้พวกเขากรอกใบสมัคร และรอวันคัดเลือกแบ่งกลุ่มที่กำลังจะมาถึง ในวันคัดเลือกแบ่งกลุ่ม พวกเขาทั้งสามเข้าคัดเลือกและได้อยู่กลุ่มสามทั้งสามคน แต่อยู่ ๆ ไปไม่ถึงเดือน กลุ่มสองก็ขาดแคลนคนเนื่องจากรุ่นพี่ปีสามส่วนหนึ่งลาออกจากชมรมเพื่อไปทุ่มเทกับการติวหนังสือ ทำให้เกิดการคัดเลือกสมาชิกในกลุ่มสามขึ้นมากลุ่มสอง ทาคามิได้แสดงฝีมือการส่งบอลให้เป็นที่ประจักษ์ ทำให้เขาก็ได้รับการคัดเลือก ส่วนเซจิกับยูโตะยังไร้ฝีมือ จึงต้องอยู่กลุ่มสามต่อไป
วันนั้น เซจิ ทาคามิ และยูโตะ มาขอสมัครเข้าชมรมกับรุ่นพี่คิโยชิ ทั้งสามเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน และคิดจะเข้าชมรมฟุตบอลเหมือนกัน รุ่นพี่คิโยชิให้พวกเขากรอกใบสมัคร และรอวันคัดเลือกแบ่งกลุ่มที่กำลังจะมาถึง
ในวันคัดเลือกแบ่งกลุ่ม พวกเขาทั้งสามเข้าคัดเลือกและได้อยู่กลุ่มสามทั้งสามคน แต่อยู่ ๆ ไปไม่ถึงเดือน กลุ่มสองก็ขาดแคลนคนเนื่องจากรุ่นพี่ปีสามส่วนหนึ่งลาออกจากชมรมเพื่อไปทุ่มเทกับการติวหนังสือ ทำให้เกิดการคัดเลือกสมาชิกในกลุ่มสามขึ้นมากลุ่มสอง ทาคามิได้แสดงฝีมือการส่งบอลให้เป็นที่ประจักษ์ ทำให้เขาก็ได้รับการคัดเลือก ส่วนเซจิกับยูโตะยังไร้ฝีมือ จึงต้องอยู่กลุ่มสามต่อไป
การกระทำของรุ่นพี่ในกลุ่มสามทำให้เซจิเอือมระอา เขาไม่รู้ว่าทำไมยูโตะถึงยังวิ่งต่อไปได้ ทั้งที่โอกาสได้ไปกลุ่มสองดับมอดจนแทบไม่เหลือแล้วแท้ ๆ เขาไม่รู้ว่าอะไรผลักดันเพื่อนร่างเล็กของเขาให้วิ่งต่อไป เขาไม่รู้ว่าเขากับยูโตะต่างกันตรงไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ คือ วันนี้เขาต้องลาออกให้ได้!
รุ่นพี่คิโยชิพักกินน้ำพอดี เซจิใช้แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดเดินเซ ๆ ไปหารุ่นพี่ แต่ถูกมืออันแข็งแรงแตะบ่าไว้จากด้านหลัง เขาค่อย ๆ หันมองตามไป และพบว่า
“คาคุ” ผู้หยุดเซจิไว้คือคาคุ ทาคามิ เพื่อนร่วมชั้นของเขานั่นเอง “กระดาษในมือนาย
‘ใบลาออก’ สินะ” ทาคามิถาม ใบหน้าของเขามีเหงื่อมากหลังจากซ้อมแข่งกับกลุ่มหนึ่ง เด็กหนุ่มปาดเหงื่อ แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ช..ใช่” เซจิตอบโดยไม่ปิดบัง เพราะตัวอักษรตัวใหญ่ที่เขียนอยู่บนหัวกระดาษบอกไว้ชัดเจน “ทำไมถึงลาออกล่ะ นายเข้าชมรมนี้เพราะชอบฟุตบอลไม่ใช่หรือไง!” ทาคามิทนไม่ไหว ขึ้นเสียงกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยความโมโห เขาเห็นเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันยื่นใบลาออกไม่เว้นแต่ละวัน จนอารมณ์ของเขาปะทุออกมาในที่สุด เซจิยืนก้มหน้าสลด ตัวสั่นระริก คำถามของทาคามิทำให้เขารู้ซึ้งว่าสิ่งใดที่ผลักดันให้ยูโตะวิ่งต่อไป มันคือ ‘ความชอบ’ นั่นเอง ยูโตะชอบเล่นฟุตบอล เขารักที่จะได้อยู่ใกล้ฟุตบอลแม้ไม่มีโอกาสได้เล่นเลยก็ตาม และเด็กหนุ่มร่างเล็กก็คงเชื่อว่า
ถ้าพยายามต่อไป สักวันต้องได้เล่นฟุตบอล! แต่ถึงเซจิจะคิดเรื่องนั้นได้ เขาก็ไม่ยอมละทิ้งความมุ่งมั่นที่จะลาออก เขาไม่เหมือนยูโตะหรือทาคามิ เขาไม่มีทั้งความพยายามหรือความสามารถในการเล่นฟุตบอล นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เส้นทางที่เขาเลือกเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดแล้ว “ฉัน
ไม่ได้เก่งกาจเหมือนนาย แล้วก็ไม่มีความพยายามเหมือนฮิโรเซะคุงด้ว” เซจิพูดออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ “ปล่อย
ฉันไปเถอะ” เซจิออกเดินไปหารุ่นพี่คิโยชิ โดยที่เพื่อนของเขาไม่ได้เหนี่ยวรั้งไว้อีก ทาคามิได้แต่ถอนหายใจออกมา ภาพแผ่นหลังของเซจิฉายชัดในดวงตา คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาจำต้องปล่อยไป และเขาหวังว่าสิ่งที่เซจิเลือกจะส่งผลดีต่อตัวเซจิเอง อย่างน้อยมันก็คงดีกว่าการวิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใจเป็นปฏิปักษ์เช่นปัจจุบัน เสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักฟุตบอลกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองกลับลงสนามไปแข่งขันต่อ ทาคามิเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้า ก่อนจะวิ่งเข้าไปในสนามฟุตบอล เขาพบว่านักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามที่ถูกทำโทษยังวิ่งกันไม่ครบรอบ แต่ส่วนมากก็เหนื่อยจนล้มลงไปนอนกับพื้น หรือไม่ก็ถอดใจหนีหายไปดื้อ ๆ ทาคามิสังเกตเห็นรอยยิ้มเนือย ๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งอย่างโดดเดี่ยว นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่าทำไมยังยิ้มได้
ทั้งที่โดนทำโทษ ทั้งที่คนอื่นในกลุ่มหายกันไปหมดแล้วแท้ ๆ แต่เมื่อคน ๆ นั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ทาคามิก็เลิกสงสัย รอยยิ้มไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคน ๆ นั้น เพราะเขาคือ
ฮิโรเซะ ยูโตะ เด็กชายผู้ชื่นชอบฟุตบอลยังไงล่ะ ================| “เฮ้อ
ครบสักที” ยูโตะถอนหายใจออกมาหลังจากวิ่งรอบสนามครบยี่สิบรอบ เขาปล่อยร่างกายไร้เรี่ยวแรงให้นอนแผ่บนพื้นหญ้าเขียวขจี ดวงตาคู่สีดำสนิทจับจ้องท้องฟ้ากว้าง ฝูงนกที่อยู่ห่างไกลจนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ กำลังพากันบินกลับรัง เสียงร้องของพวกมันส่งสัญญาณให้ผู้เฝ้ามองรู้ว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเจ็มที เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นจากในสนามฟุตบอล ก่อนที่นักฟุตบอลกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองจะพูดออกมาพร้อมกัน “ชินระ ไฟท์!” “แยกย้ายกันไปได้” รุ่นพี่คิโยชิกล่าวเสียงดัง ยิ่งเมื่อบรรยากาศของโรงเรียนเงียบสงบเช่นนี้ เสียงก็ดังออกมานอกสนามกระทบหูยูโตะ “อะไรกัน เวลาหมดแล้วเหรอเนี่ย” เด็กชายพึมพำกับตัวเอง สายตายังคงจับจ้องบนผืนฟ้ากว้างใหญ่ “ทั้งที่ยังไม่ได้เล่นฟุตบอล
” ภาพลูกฟุตบอลปรากฏขึ้นในจิตใจ ซ้อนทับกับท้องฟ้าเบื้องหน้า จึงดูราวกับว่าลูกฟุตบอลทาบทับอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า สิ่งที่ยูโตะปรารถนามาตลอดอยู่ตรงหน้าแล้ว! ยูโตะไม่รอช้า ยื่นมือขึ้นไปคว้าจับอากาศ บริเวณที่อยู่ของลูกฟุตบอลนั้น เขากำมืออย่างหนักแน่น หวังจะคว้ามโนภาพ หากแต่สิ่งที่จับได้คืออากาศธาตุอันว่างเปล่า ไม่มีลูกฟุตบอลอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก มันเป็นเพียงภาพที่เขาคิดขึ้นเองเท่านั้น “เมื่อไรจะได้เล่นฟุตบอลกันนะ” ยูโตะถามตัวเอง โดยไม่คิดจะได้รับคำตอบ แต่ทว่า
“ค่ายเก็บตัวพรุ่งนี้ยังไงล่ะ” จู่ ๆ เสียงของรุ่นพี่คิโยชิก็ดังขึ้นจากข้างหู ทำเอาคนฟังสะดุ้งโหยง เมื่อเขาหันไปก็พบรุ่นพี่คิโยชิกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับกลุ่มเด็กผู้หญิงที่คอยส่งสายตาหวานหยดย้อยให้รุ่นพี่ “อย่าลืมมาเก็บตัวพรุ่งนี้นะ นายจะได้เล่นฟุตบอลจนหนำใจแน่ ฉันไปก่อนล่ะ” รุ่นพี่ยิ้มให้ ก่อนจะเดินสะพายเป้ใบโปรดจากไป ซึ่งกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ชื่นชอบรุ่นพี่ก็เดินตามไปด้วย
รุ่นพี่คิโยชิพักกินน้ำพอดี เซจิใช้แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดเดินเซ ๆ ไปหารุ่นพี่ แต่ถูกมืออันแข็งแรงแตะบ่าไว้จากด้านหลัง เขาค่อย ๆ หันมองตามไป และพบว่า
“คาคุ” ผู้หยุดเซจิไว้คือคาคุ ทาคามิ เพื่อนร่วมชั้นของเขานั่นเอง
“กระดาษในมือนาย ‘ใบลาออก’ สินะ” ทาคามิถาม ใบหน้าของเขามีเหงื่อมากหลังจากซ้อมแข่งกับกลุ่มหนึ่ง เด็กหนุ่มปาดเหงื่อ แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“ช..ใช่” เซจิตอบโดยไม่ปิดบัง เพราะตัวอักษรตัวใหญ่ที่เขียนอยู่บนหัวกระดาษบอกไว้ชัดเจน
“ทำไมถึงลาออกล่ะ นายเข้าชมรมนี้เพราะชอบฟุตบอลไม่ใช่หรือไง!” ทาคามิทนไม่ไหว ขึ้นเสียงกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยความโมโห เขาเห็นเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันยื่นใบลาออกไม่เว้นแต่ละวัน จนอารมณ์ของเขาปะทุออกมาในที่สุด
เซจิยืนก้มหน้าสลด ตัวสั่นระริก คำถามของทาคามิทำให้เขารู้ซึ้งว่าสิ่งใดที่ผลักดันให้ยูโตะวิ่งต่อไป มันคือ ‘ความชอบ’ นั่นเอง ยูโตะชอบเล่นฟุตบอล เขารักที่จะได้อยู่ใกล้ฟุตบอลแม้ไม่มีโอกาสได้เล่นเลยก็ตาม และเด็กหนุ่มร่างเล็กก็คงเชื่อว่า ถ้าพยายามต่อไป สักวันต้องได้เล่นฟุตบอล!
แต่ถึงเซจิจะคิดเรื่องนั้นได้ เขาก็ไม่ยอมละทิ้งความมุ่งมั่นที่จะลาออก เขาไม่เหมือนยูโตะหรือทาคามิ เขาไม่มีทั้งความพยายามหรือความสามารถในการเล่นฟุตบอล นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เส้นทางที่เขาเลือกเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดแล้ว
“ฉัน ไม่ได้เก่งกาจเหมือนนาย แล้วก็ไม่มีความพยายามเหมือนฮิโรเซะคุงด้ว” เซจิพูดออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ “ปล่อย ฉันไปเถอะ”
เซจิออกเดินไปหารุ่นพี่คิโยชิ โดยที่เพื่อนของเขาไม่ได้เหนี่ยวรั้งไว้อีก
ทาคามิได้แต่ถอนหายใจออกมา ภาพแผ่นหลังของเซจิฉายชัดในดวงตา คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาจำต้องปล่อยไป และเขาหวังว่าสิ่งที่เซจิเลือกจะส่งผลดีต่อตัวเซจิเอง อย่างน้อยมันก็คงดีกว่าการวิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใจเป็นปฏิปักษ์เช่นปัจจุบัน
เสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักฟุตบอลกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองกลับลงสนามไปแข่งขันต่อ ทาคามิเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้า ก่อนจะวิ่งเข้าไปในสนามฟุตบอล เขาพบว่านักเรียนปีหนึ่งในกลุ่มสามที่ถูกทำโทษยังวิ่งกันไม่ครบรอบ แต่ส่วนมากก็เหนื่อยจนล้มลงไปนอนกับพื้น หรือไม่ก็ถอดใจหนีหายไปดื้อ ๆ
ทาคามิสังเกตเห็นรอยยิ้มเนือย ๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งอย่างโดดเดี่ยว นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่าทำไมยังยิ้มได้ ทั้งที่โดนทำโทษ ทั้งที่คนอื่นในกลุ่มหายกันไปหมดแล้วแท้ ๆ
แต่เมื่อคน ๆ นั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ทาคามิก็เลิกสงสัย รอยยิ้มไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคน ๆ นั้น
เพราะเขาคือ ฮิโรเซะ ยูโตะ เด็กชายผู้ชื่นชอบฟุตบอลยังไงล่ะ
================|
“เฮ้อ ครบสักที” ยูโตะถอนหายใจออกมาหลังจากวิ่งรอบสนามครบยี่สิบรอบ เขาปล่อยร่างกายไร้เรี่ยวแรงให้นอนแผ่บนพื้นหญ้าเขียวขจี ดวงตาคู่สีดำสนิทจับจ้องท้องฟ้ากว้าง ฝูงนกที่อยู่ห่างไกลจนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ กำลังพากันบินกลับรัง เสียงร้องของพวกมันส่งสัญญาณให้ผู้เฝ้ามองรู้ว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเจ็มที
เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นจากในสนามฟุตบอล ก่อนที่นักฟุตบอลกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองจะพูดออกมาพร้อมกัน “ชินระ ไฟท์!”
“แยกย้ายกันไปได้” รุ่นพี่คิโยชิกล่าวเสียงดัง ยิ่งเมื่อบรรยากาศของโรงเรียนเงียบสงบเช่นนี้ เสียงก็ดังออกมานอกสนามกระทบหูยูโตะ
“อะไรกัน เวลาหมดแล้วเหรอเนี่ย” เด็กชายพึมพำกับตัวเอง สายตายังคงจับจ้องบนผืนฟ้ากว้างใหญ่
“ทั้งที่ยังไม่ได้เล่นฟุตบอล ” ภาพลูกฟุตบอลปรากฏขึ้นในจิตใจ ซ้อนทับกับท้องฟ้าเบื้องหน้า จึงดูราวกับว่าลูกฟุตบอลทาบทับอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า สิ่งที่ยูโตะปรารถนามาตลอดอยู่ตรงหน้าแล้ว!
ยูโตะไม่รอช้า ยื่นมือขึ้นไปคว้าจับอากาศ บริเวณที่อยู่ของลูกฟุตบอลนั้น
เขากำมืออย่างหนักแน่น หวังจะคว้ามโนภาพ หากแต่สิ่งที่จับได้คืออากาศธาตุอันว่างเปล่า ไม่มีลูกฟุตบอลอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก มันเป็นเพียงภาพที่เขาคิดขึ้นเองเท่านั้น
“เมื่อไรจะได้เล่นฟุตบอลกันนะ” ยูโตะถามตัวเอง โดยไม่คิดจะได้รับคำตอบ แต่ทว่า
“ค่ายเก็บตัวพรุ่งนี้ยังไงล่ะ” จู่ ๆ เสียงของรุ่นพี่คิโยชิก็ดังขึ้นจากข้างหู ทำเอาคนฟังสะดุ้งโหยง เมื่อเขาหันไปก็พบรุ่นพี่คิโยชิกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับกลุ่มเด็กผู้หญิงที่คอยส่งสายตาหวานหยดย้อยให้รุ่นพี่
“อย่าลืมมาเก็บตัวพรุ่งนี้นะ นายจะได้เล่นฟุตบอลจนหนำใจแน่ ฉันไปก่อนล่ะ” รุ่นพี่ยิ้มให้ ก่อนจะเดินสะพายเป้ใบโปรดจากไป ซึ่งกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ชื่นชอบรุ่นพี่ก็เดินตามไปด้วย
ยูโตะค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งบนพื้นหญ้า ทาคามิเดินมาหยุดอยู่หน้าเขาพอดี
“กลับบ้านกันเถอะ ยูโตะ” “อื้ม” เด็กหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า แล้วลุกขึ้นบิดตัวคลายความเมื่อยล้า “แวะร้านสะดวกซื้อสักหน่อยมั้ย” “แล้วแต่นาย” ทาคามิตอบเหมือนไม่ใส่ใจ “พูดแบบนี้แต่จริง ๆ แล้วก็อยากไปใช่มั้ยล่ะ” คำพูดที่ยูโตะสวนมาแทงใจเขาเข้าเต็ม ๆ “งะ
งั้นไปก็ได้!” เด็กหนุ่มร่างสูงพูดออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ================| พระอาทิตย์แห่งเช้าวันใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้พระจันทร์ต้องเฝ้าท้องฟ้ามาหลายชั่วโมง ทาคามิกำลังวิ่งเหยาะ ๆ บนทางเท้าอย่างโดดเดี่ยว นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่แม่ของเขาสั่งให้ทำเมื่อรู้ว่าลูกชายคนเดียวผ่านการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มสองของชมรมฟุตบอล “นักกีฬาที่ดีต้องออกกำลังกายบ่อย ๆ เพื่อร่างกายจะได้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วยังไงล่ะ ลูก” แม่ของทาคามิบอกเหตุผล ซึ่งลูกชายก็ปฏิบัติอย่างเชื่อฟังอยู่ทุกวัน ทาคามิชอบที่จะวิ่งออกกำลังกายในยามเช้า เส้นทางที่เขาวิ่งผ่านทำให้เขาได้พบผู้คนมากมาย และทำให้ได้เห็นการดำเนินชีวิตในยามเช้าของผู้คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษาที่ขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ คุณลุงคุณป้าที่รวมกลุ่มกันออกกำลังกาย หรือชายหญิงวัยกลางคนที่วิ่งออกกำลังกายเช่นเดียวกับเขา ทาคามิรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้เฝ้ามองผู้คน ทุกครั้งที่เขาคิดว่าระยะทางเท่าเดิมไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป เขาก็จะเพิ่มระยะทางการวิ่งขึ้นไปอีก นอกจากจะทำให้ร่างกายวิ่งได้นานขึ้นแล้ว ยังทำให้เขาได้พบการดำเนินชีวิตของผู้คนในเส้นทางใหม่อีกด้วย หากพูดเป็นภาษาปาก ว่า ทาคามิ ‘ฟิตจัด’ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะวันนี้เขาตัดสินใจเพิ่มระยะทางวิ่ง ทั้งที่ที่สองวันก่อนเพิ่งเพิ่มไปครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างสูงไม่รู้ว่าทำไมขาของเขาจึงชินกับระยะทางที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วนัก แต่นั่นก็ทำให้เขาดีใจไปด้วย เพราะเขาจะได้พบกับผู้คนกลุ่มใหม่อีกแล้ว ทาคามิวิ่งไปบนทางเท้าที่ไม่คุ้นตา แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากพบสนามเด็กเล่นซึ่งนาน ๆ จะเจอสักที ลูกบอลลูกหนึ่งถูกวางไว้ชิดกำแพงสูงสีเทาในสนามเด็กเล่น สิ่งนั้นดึงดูดสายตาเขาได้ชะงัด เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวเข้าไปในสนามเด็กเล่นไร้ผู้คน ป้ายไม้ซึ่งปักอยู่หน้าทางเข้าเขียนไว้ว่า ‘สนามเด็กเล่นชินระ’ ทาคามิเดินผ่านชิงช้าและลานทรายไปโดยไม่สนใจ สิ่งที่เขาจับจ้องอยู่คือลูกฟุตบอลเก่า ๆ ที่มีรอยขูดขีดและฝุ่นทรายเลอะเทอะ เขาหยิบมันขึ้นมา หวังจะเล่นเตะบอลกับกำแพงฆ่าเวลา กำแพงสีเทาเบื้องหน้าเขานั้นมีเส้นสีขาวขีดไว้เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับประตูฟุตบอล นั่นทำให้เขาสงสัยว่าใครเป็นเจ้าของลูกฟุตบอลนี้กันแน่ “เฮ้! อย่าหยิบบอลของคนอื่นมาเล่นตามใจชอบสิ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาทาคามิสะดุ้งโหยงรีบปล่อยบอล เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนพูดก้าวเข้ามาใกล้ “นายเป็นใครน่ะ” ทาคามิหันไป สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกตะลึง เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เหนือความคาดหมายของเขามากนัก “อ้าว ยูโตะ นายเป็นเจ้าของลูกบอลนี่เหรอ” ทาคามิเป็นฝ่ายถามก่อน ดูเหมือนยูโตะก็ตกตะลึงไม่น้อย “ใช่ เล่นได้นะ” เด็กหนุ่มร่างเล็กพูดพลางเดินเข้าหา “ขอบคุณเรื่องเมื่อวานด้วย ที่เลี้ยงไอศกรีมน่ะ ฉันไม่เหลือเงินเลยเพราะเพิ่งถูกใช้ไปเป็นค่าลูกฟุตบอล” “ไม่เป็นไร ค่าไอศกรีมไม่เท่าไหร่หรอก นายบอกว่าเพิ่งซื้อลูกฟุตบอลไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันสกปรกแบบนี้ล่ะ” ทาคามิถาม เขาเดาะลูกบอลที่ตัวเองบอกว่าสกปรกอย่างเพลิดเพลิน “ลูกฟุตบอลลูกใหม่อยู่ที่บ้านฉันน่ะ แต่ฉันไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ เลยเอาลูกเก่ามาเล่นแทน” ยูโตะอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็มัวแต่เดาะบอลจนไม่ได้ฟังคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เขาจึงชวนเล่นฟุตบอลด้วยกันซะเลย “ทาคามิ ไหน ๆ นายก็มาแล้ว มาเล่นฟุตบอลกันเถอะ” เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงได้ยิน เขาก็หยุดเดาะบอล แล้วโยนลูกบอลส่งให้ยูโตะ “งั้นนายลองเลี้ยงลูกหลบฉันก็แล้วกัน” ลูกฟุตบอลถูกปล่อยลงพื้น เด็กหนุ่มร่างเล็กใช้ปลายเท้าหยุดการกระดอนเอาไว้ “ไม่เกรงใจล่ะนะ!” ยูโตะพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเลี้ยงบอลด้วยเท้าขวา ทาคามิย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาของเขาเท่ากับระดับสายตาของยูโตะ เด็กหนุ่มร่างเล็กเข้าใกล้เพื่อนของเขามากขึ้นทุกที 3 เมตร
. 2 เมตร
. 1 เมตร
. ในที่สุดก็เข้าสู่ระยะอันตราย สายตาของทาคามิจับจ้องที่ลูกฟุตบอลซึ่งยูโตะกำลังใช้เท้าขวาเลี้ยง เด็กหนุ่มร่างเล็กละสายตาจากบอลขึ้นมองหน้าเพื่อนครั้งหนึ่ง และ
“อ๊ะ!” ลูกฟุตบอลถูกงัดให้ลอยขึ้นไปทางด้านซ้ายของทาคามิ ผู้งัดบอลเคลื่อนที่ตามมาอย่างรวดเร็ว
ไปได้แน่!
ยูโตะร้องบอกตัวเองในใจ บอลกำลังจะลอยข้ามไหล่ของทาคามิไป และทิศทางนั้นคือกรอบประตู! หากแต่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของทาคามิก็หยุดทุกอย่างไว้ได้โดยสิ้นเชิง เขาโน้มตัวต่ำแล้วยกเท้าขึ้นหยุดบอลที่กำลังจะลอยข้ามไป ยูโตะซึ่งพุ่งเข้าหาบอลจำต้องหยุดเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้หน้าผากสัมผัสเท้าทาคามิแทนลูกฟุตบอล ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไม่มีท่าทียอมแพ้ เขาอาศัยจังหวะที่ลูกฟุตบอลตกลงพื้น พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว! “เฮ้ย!” ทาคามิร้องออกมา ขาของเขายังค้างอยู่บนอากาศ แต่ตัวของยูโตะพุ่งลอดขาไปพร้อมกับลูกฟุตบอลแล้ว เด็กหนุ่มร่างสูงได้แต่ถอนใจออกมา ตึง
ผัวะ! จู่ ๆ ลูกฟุตบอลก็กระเด้งมาโดนศีรษะทาคามิจากด้านหลัง ทำให้เขาเซไปข้างหน้าเล็กน้อย ยูโตะรีบวิ่งเข้ามาแล้วถามอย่างเป็นห่วง “โทษทีนะ ทาคามิ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” ทาคามิใช้มือลูบศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ” “ก็
” ยูโตะหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ฉันเตะลูกบอลใส่กำแพง แล้วมันกระเด็นจากกำแพงมาโดนหัวนาย
” คำตอบเพื่อนร่างเล็กทำให้ทาคามิหัวเราะออกมา “ฮะ ฮะ นายนี่ตลกดีนะ” ใบหน้าของยูโตะยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก เขารีบพูดตัดบท “ฉันจะเลี้ยงบอลผ่านนายอีกรอบล่ะนะ” “เมื่อกี้ฉันแค่ออมมือเท่านั้นแหละ ไม่มีครั้งที่สองหรอกน่า!” ================| ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ทาคามิพูดไว้ หลังจากนั้นยูโตะก็เลี้ยงบอลผ่านเขาไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่ายูโตะจะงัดบอลไปด้านซ้ายหรือด้านขวา เขาก็ใช้เท้าเตะออกไปได้ทุกครั้ง จนเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา ทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้าน “ขอบใจมากนะ ทาคามิ ที่ช่วยเล่นฟุตบอลกับฉัน” “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มาเล่นกันอีกก็ได้นะ” เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มให้ เขาหันหลังทำท่าจะวิ่งออกไป แต่แล้วก็หยุดนิ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “นายเตะฟุตบอลกับกำแพงคนเดียวทุกวันเลยเหรอ” “ใช่แล้วล่ะ” “แล้วนายไม่เหงาบ้างหรือไง” คำถามต่อมาของทาคามิทำเอายูโตะอ้ำอึ้งไป “นั่นสินะ
” เด็กหนุ่มร่างเล็กก้มหน้าสลด เพราะในชมรมยูโตะแทบไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอล เขาจึงมาฝึกซ้อมที่นี่คนเดียวทุกเช้าเย็น ด้วยตระหนักว่าหากไม่ฝึกซ้อมก็ไม่มีทางพัฒนาฝีมือได้ หากเขายังเอาแต่นั่งดูกลุ่มหนึ่งซ้อมแข่งกับกลุ่มสองต่อไป คงยากที่ฝีมืออย่างเขาจะตามทัน ดังนั้นทุกวันเขาจึงฝึกซ้อมเตะลูกฟุตบอลอย่างมุ่งมั่น พยายามเล็งมุมกรอบประตูบ่อย ๆ และพยายามฝึกการเคลื่อนไหวให้คล่องแคล่ว เพื่อสักวัน
ฝีมือของเขาจะเป็นที่ประจักษ์แก่ใครสักคน สุดท้าย สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าของยูโตะ คือ รอยยิ้ม
“กลับบ้านกันเถอะ ยูโตะ”
“อื้ม” เด็กหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า แล้วลุกขึ้นบิดตัวคลายความเมื่อยล้า “แวะร้านสะดวกซื้อสักหน่อยมั้ย”
“แล้วแต่นาย” ทาคามิตอบเหมือนไม่ใส่ใจ
“พูดแบบนี้แต่จริง ๆ แล้วก็อยากไปใช่มั้ยล่ะ” คำพูดที่ยูโตะสวนมาแทงใจเขาเข้าเต็ม ๆ
“งะ งั้นไปก็ได้!” เด็กหนุ่มร่างสูงพูดออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
================|
พระอาทิตย์แห่งเช้าวันใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้พระจันทร์ต้องเฝ้าท้องฟ้ามาหลายชั่วโมง ทาคามิกำลังวิ่งเหยาะ ๆ บนทางเท้าอย่างโดดเดี่ยว นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่แม่ของเขาสั่งให้ทำเมื่อรู้ว่าลูกชายคนเดียวผ่านการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มสองของชมรมฟุตบอล
“นักกีฬาที่ดีต้องออกกำลังกายบ่อย ๆ เพื่อร่างกายจะได้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วยังไงล่ะ ลูก” แม่ของทาคามิบอกเหตุผล ซึ่งลูกชายก็ปฏิบัติอย่างเชื่อฟังอยู่ทุกวัน
ทาคามิชอบที่จะวิ่งออกกำลังกายในยามเช้า เส้นทางที่เขาวิ่งผ่านทำให้เขาได้พบผู้คนมากมาย และทำให้ได้เห็นการดำเนินชีวิตในยามเช้าของผู้คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษาที่ขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ คุณลุงคุณป้าที่รวมกลุ่มกันออกกำลังกาย หรือชายหญิงวัยกลางคนที่วิ่งออกกำลังกายเช่นเดียวกับเขา
ทาคามิรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้เฝ้ามองผู้คน ทุกครั้งที่เขาคิดว่าระยะทางเท่าเดิมไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป เขาก็จะเพิ่มระยะทางการวิ่งขึ้นไปอีก นอกจากจะทำให้ร่างกายวิ่งได้นานขึ้นแล้ว ยังทำให้เขาได้พบการดำเนินชีวิตของผู้คนในเส้นทางใหม่อีกด้วย
หากพูดเป็นภาษาปาก ว่า ทาคามิ ‘ฟิตจัด’ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะวันนี้เขาตัดสินใจเพิ่มระยะทางวิ่ง ทั้งที่ที่สองวันก่อนเพิ่งเพิ่มไปครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างสูงไม่รู้ว่าทำไมขาของเขาจึงชินกับระยะทางที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วนัก แต่นั่นก็ทำให้เขาดีใจไปด้วย เพราะเขาจะได้พบกับผู้คนกลุ่มใหม่อีกแล้ว
ทาคามิวิ่งไปบนทางเท้าที่ไม่คุ้นตา แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากพบสนามเด็กเล่นซึ่งนาน ๆ จะเจอสักที ลูกบอลลูกหนึ่งถูกวางไว้ชิดกำแพงสูงสีเทาในสนามเด็กเล่น สิ่งนั้นดึงดูดสายตาเขาได้ชะงัด เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวเข้าไปในสนามเด็กเล่นไร้ผู้คน ป้ายไม้ซึ่งปักอยู่หน้าทางเข้าเขียนไว้ว่า ‘สนามเด็กเล่นชินระ’
ทาคามิเดินผ่านชิงช้าและลานทรายไปโดยไม่สนใจ สิ่งที่เขาจับจ้องอยู่คือลูกฟุตบอลเก่า ๆ ที่มีรอยขูดขีดและฝุ่นทรายเลอะเทอะ เขาหยิบมันขึ้นมา หวังจะเล่นเตะบอลกับกำแพงฆ่าเวลา กำแพงสีเทาเบื้องหน้าเขานั้นมีเส้นสีขาวขีดไว้เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับประตูฟุตบอล นั่นทำให้เขาสงสัยว่าใครเป็นเจ้าของลูกฟุตบอลนี้กันแน่
“เฮ้! อย่าหยิบบอลของคนอื่นมาเล่นตามใจชอบสิ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาทาคามิสะดุ้งโหยงรีบปล่อยบอล เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนพูดก้าวเข้ามาใกล้ “นายเป็นใครน่ะ”
ทาคามิหันไป สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกตะลึง เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เหนือความคาดหมายของเขามากนัก
“อ้าว ยูโตะ นายเป็นเจ้าของลูกบอลนี่เหรอ” ทาคามิเป็นฝ่ายถามก่อน ดูเหมือนยูโตะก็ตกตะลึงไม่น้อย
“ใช่ เล่นได้นะ” เด็กหนุ่มร่างเล็กพูดพลางเดินเข้าหา “ขอบคุณเรื่องเมื่อวานด้วย ที่เลี้ยงไอศกรีมน่ะ ฉันไม่เหลือเงินเลยเพราะเพิ่งถูกใช้ไปเป็นค่าลูกฟุตบอล”
“ไม่เป็นไร ค่าไอศกรีมไม่เท่าไหร่หรอก นายบอกว่าเพิ่งซื้อลูกฟุตบอลไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันสกปรกแบบนี้ล่ะ” ทาคามิถาม เขาเดาะลูกบอลที่ตัวเองบอกว่าสกปรกอย่างเพลิดเพลิน
“ลูกฟุตบอลลูกใหม่อยู่ที่บ้านฉันน่ะ แต่ฉันไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ เลยเอาลูกเก่ามาเล่นแทน” ยูโตะอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็มัวแต่เดาะบอลจนไม่ได้ฟังคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เขาจึงชวนเล่นฟุตบอลด้วยกันซะเลย
“ทาคามิ ไหน ๆ นายก็มาแล้ว มาเล่นฟุตบอลกันเถอะ”
เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงได้ยิน เขาก็หยุดเดาะบอล แล้วโยนลูกบอลส่งให้ยูโตะ “งั้นนายลองเลี้ยงลูกหลบฉันก็แล้วกัน”
ลูกฟุตบอลถูกปล่อยลงพื้น เด็กหนุ่มร่างเล็กใช้ปลายเท้าหยุดการกระดอนเอาไว้
“ไม่เกรงใจล่ะนะ!”
ยูโตะพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเลี้ยงบอลด้วยเท้าขวา ทาคามิย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาของเขาเท่ากับระดับสายตาของยูโตะ
เด็กหนุ่มร่างเล็กเข้าใกล้เพื่อนของเขามากขึ้นทุกที 3 เมตร . 2 เมตร . 1 เมตร .
ในที่สุดก็เข้าสู่ระยะอันตราย สายตาของทาคามิจับจ้องที่ลูกฟุตบอลซึ่งยูโตะกำลังใช้เท้าขวาเลี้ยง เด็กหนุ่มร่างเล็กละสายตาจากบอลขึ้นมองหน้าเพื่อนครั้งหนึ่ง และ
“อ๊ะ!” ลูกฟุตบอลถูกงัดให้ลอยขึ้นไปทางด้านซ้ายของทาคามิ ผู้งัดบอลเคลื่อนที่ตามมาอย่างรวดเร็ว
ไปได้แน่! ยูโตะร้องบอกตัวเองในใจ บอลกำลังจะลอยข้ามไหล่ของทาคามิไป และทิศทางนั้นคือกรอบประตู!
หากแต่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของทาคามิก็หยุดทุกอย่างไว้ได้โดยสิ้นเชิง เขาโน้มตัวต่ำแล้วยกเท้าขึ้นหยุดบอลที่กำลังจะลอยข้ามไป ยูโตะซึ่งพุ่งเข้าหาบอลจำต้องหยุดเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้หน้าผากสัมผัสเท้าทาคามิแทนลูกฟุตบอล
ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไม่มีท่าทียอมแพ้ เขาอาศัยจังหวะที่ลูกฟุตบอลตกลงพื้น พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว!
“เฮ้ย!” ทาคามิร้องออกมา ขาของเขายังค้างอยู่บนอากาศ แต่ตัวของยูโตะพุ่งลอดขาไปพร้อมกับลูกฟุตบอลแล้ว เด็กหนุ่มร่างสูงได้แต่ถอนใจออกมา
ตึง ผัวะ!
จู่ ๆ ลูกฟุตบอลก็กระเด้งมาโดนศีรษะทาคามิจากด้านหลัง ทำให้เขาเซไปข้างหน้าเล็กน้อย ยูโตะรีบวิ่งเข้ามาแล้วถามอย่างเป็นห่วง
“โทษทีนะ ทาคามิ นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
ทาคามิใช้มือลูบศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ก็ ” ยูโตะหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ฉันเตะลูกบอลใส่กำแพง แล้วมันกระเด็นจากกำแพงมาโดนหัวนาย ”
คำตอบเพื่อนร่างเล็กทำให้ทาคามิหัวเราะออกมา “ฮะ ฮะ นายนี่ตลกดีนะ”
ใบหน้าของยูโตะยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก เขารีบพูดตัดบท “ฉันจะเลี้ยงบอลผ่านนายอีกรอบล่ะนะ”
“เมื่อกี้ฉันแค่ออมมือเท่านั้นแหละ ไม่มีครั้งที่สองหรอกน่า!”
================|
ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ทาคามิพูดไว้ หลังจากนั้นยูโตะก็เลี้ยงบอลผ่านเขาไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่ายูโตะจะงัดบอลไปด้านซ้ายหรือด้านขวา เขาก็ใช้เท้าเตะออกไปได้ทุกครั้ง จนเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา ทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
“ขอบใจมากนะ ทาคามิ ที่ช่วยเล่นฟุตบอลกับฉัน”
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มาเล่นกันอีกก็ได้นะ” เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มให้ เขาหันหลังทำท่าจะวิ่งออกไป แต่แล้วก็หยุดนิ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “นายเตะฟุตบอลกับกำแพงคนเดียวทุกวันเลยเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วนายไม่เหงาบ้างหรือไง” คำถามต่อมาของทาคามิทำเอายูโตะอ้ำอึ้งไป
“นั่นสินะ ” เด็กหนุ่มร่างเล็กก้มหน้าสลด
เพราะในชมรมยูโตะแทบไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอล เขาจึงมาฝึกซ้อมที่นี่คนเดียวทุกเช้าเย็น ด้วยตระหนักว่าหากไม่ฝึกซ้อมก็ไม่มีทางพัฒนาฝีมือได้ หากเขายังเอาแต่นั่งดูกลุ่มหนึ่งซ้อมแข่งกับกลุ่มสองต่อไป คงยากที่ฝีมืออย่างเขาจะตามทัน ดังนั้นทุกวันเขาจึงฝึกซ้อมเตะลูกฟุตบอลอย่างมุ่งมั่น พยายามเล็งมุมกรอบประตูบ่อย ๆ และพยายามฝึกการเคลื่อนไหวให้คล่องแคล่ว เพื่อสักวัน ฝีมือของเขาจะเป็นที่ประจักษ์แก่ใครสักคน
สุดท้าย สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าของยูโตะ คือ รอยยิ้ม
“ถ้ายังอยากเล่นฟุตบอลต่อไปก็มีแต่ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นไม่ใช่เหรอ ต่อให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวแค่ไหน สุดท้ายเมื่อความพยายามของเราสำเร็จ ”
“เมื่อความพยายามของเราสำเร็จ ” ทาคามิสงสัยที่ยูโตะหยุดพูดไป
“ก็จะได้รางวัลเป็นมิตรภาพยังไงล่ะ”
================| ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนชินระวิทยา สมาชิกชมรมฟุตบอลปีหนึ่งและปีสองกว่าห้าสิบคนเข้าแถวรวมกันในสนาม พวกเขาทุกคนมีเป้ใส่สัมภาระวางไว้ข้างกาย คนสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของแถว คือ อาจารย์นันโจ อาจารย์ร่างใหญ่ผู้เป็นที่ปรึกษาชมรมฟุตบอล กับคิโยชิ นักเรียนปีสาม กัปตันทีมฟุตบอลโรงเรียนในระดับมัธยมต้น “มีคนมาเก็บตัวกี่คนล่ะ” อาจารย์นันโจหันมาถาม คิโยชิจึงส่งกระดาษรายชื่อให้
================|
ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนชินระวิทยา สมาชิกชมรมฟุตบอลปีหนึ่งและปีสองกว่าห้าสิบคนเข้าแถวรวมกันในสนาม พวกเขาทุกคนมีเป้ใส่สัมภาระวางไว้ข้างกาย คนสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของแถว คือ อาจารย์นันโจ อาจารย์ร่างใหญ่ผู้เป็นที่ปรึกษาชมรมฟุตบอล กับคิโยชิ นักเรียนปีสาม กัปตันทีมฟุตบอลโรงเรียนในระดับมัธยมต้น
“มีคนมาเก็บตัวกี่คนล่ะ” อาจารย์นันโจหันมาถาม คิโยชิจึงส่งกระดาษรายชื่อให้
“ทั้งหมด 54 คนครับ คนเก่ง ๆ มากันหมด ทั้งคาคุ ไอฮาระ แล้วก็ซาเอกิ” กัปตันบอกขณะที่อาจารย์นันโจกำลังกราดสายตาไล่ดูรายชื่อในแผ่นกระดาษ
“อืม กลุ่มสองมากันเกือบทุกคน แต่ทำไมกลุ่มสามมากันแค่ไม่กี่คนเองล่ะ” อาจารย์ถามอย่างสงสัย
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ คงเพราะพวกกลุ่มสามไม่ได้แตะบอลเลยเบื่อไปแล้ว” คิโยชิลองเดา และนั่นก็ทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาฉุกใจคิดขึ้นมาได้
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ลองให้โอกาสกลุ่มสามได้เล่นฟุตบอลบ้างสิ บางทีอาจจะเจอคนที่เก่งแต่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือบ้างก็ได้” คิโยชิเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “หลังจากค่ายเก็บตัวผมจะลองทำดูครับ ถ้าพูดถึงคนเก่งแต่ไม่มีโอกาสล่ะก็ ผมเองก็เคยเป็นเหมือนกัน เพราะช่วงที่ผมเข้าชมรมใหม่ ๆ ผมอยู่กลุ่มสาม แต่ก็ได้ค่ายเก็บตัวนี่แหละครับเป็นเวทีแสดงฝีมือ เลยถูกเลื่อนขั้นให้มาอยู่กลุ่มหนึ่งเลย ผมเชื่อว่าค่ายเก็บตัวครั้งนี้ก็เช่นกัน จะได้เห็นคนเก่งที่ซ่อนอยู่แน่นอนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ลองให้โอกาสกลุ่มสามได้เล่นฟุตบอลบ้างสิ บางทีอาจจะเจอคนที่เก่งแต่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือบ้างก็ได้”
คิโยชิเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “หลังจากค่ายเก็บตัวผมจะลองทำดูครับ ถ้าพูดถึงคนเก่งแต่ไม่มีโอกาสล่ะก็ ผมเองก็เคยเป็นเหมือนกัน เพราะช่วงที่ผมเข้าชมรมใหม่ ๆ ผมอยู่กลุ่มสาม แต่ก็ได้ค่ายเก็บตัวนี่แหละครับเป็นเวทีแสดงฝีมือ เลยถูกเลื่อนขั้นให้มาอยู่กลุ่มหนึ่งเลย ผมเชื่อว่าค่ายเก็บตัวครั้งนี้ก็เช่นกัน จะได้เห็นคนเก่งที่ซ่อนอยู่แน่นอนครับ”
“ครูก็หวังอย่างนั้นนะ” อาจารย์นันโจกล่าวเห็นด้วย ก่อนจะคืนกระดาษรายชื่อให้คิโยชิ เขาหันไปทางแถวของนักเรียนปีหนึ่งและปีสองอีกครั้ง
“ตอนนี้ทุกคนคงพร้อมแล้ว ครูขอเปิดค่ายเก็บตัวนักฟุตบอลชายรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปี ณ บัดนี้!” เสียงปรบมือดังขึ้นจากนักเรียนในแถว สายตาของคนที่ยังไม่กลับบ้านจ้องผ่านลูกกรงเหล็กเข้ามาในสนามฟุตบอล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ในหน้าตาและฝีมือการเล่นฟุตบอลของกัปตันคิโยชิ “น้อง ๆ ทุกคนรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าคืนนี้และคืนพรุ่งนี้เราจะนอนค้างกันที่โรงเรียน” คิโยชิถามขึ้น เรียกเสียงกรี๊ดจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เกาะลูกกรงเหล็กได้พอสมควร รุ่นน้องปีหนึ่งปีสองในแถวพยักหน้าแทนคำตอบ “แล้วน้อง ๆ รู้หรือยังครับ ว่าเราจะนอนกันบริเวณไหนของโรงเรียน” คราวนี้รุ่นน้องพากันส่ายหน้า เรื่องที่พักไม่ได้แจ้งไว้ในกำหนดการ แต่หลาย ๆ คนก็คิดตามปกติว่าถ้าพักในโรงเรียน ที่พักก็คงหนีไม่พ้นห้องเรียนหรือหอพักใกล้ ๆ “นอนในห้องเรียนหรือเปล่าครับ” รุ่นน้องคนหนึ่งร้องถาม “ไม่ใช่ห้องเรียนหรอก เรื่องที่พักนี่อาจารย์นันโจจัดให้น่ะครับ แต่พอพี่รู้แล้วพี่ก็ไม่ค่อยอยากบอกน้อง ๆ สักเท่าไหร่” คิโยชิยิ้มแหย ๆ “นอนที่หอเหรอครับ” รุ่นน้องอีกคนถามขึ้นบ้าง “ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ พี่ไม่อยากให้น้องรู้เลยจริง ๆ” คิโยชิยังไม่พยายามเลี่ยงคำตอบ
“ตอนนี้ทุกคนคงพร้อมแล้ว ครูขอเปิดค่ายเก็บตัวนักฟุตบอลชายรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปี ณ บัดนี้!”
เสียงปรบมือดังขึ้นจากนักเรียนในแถว สายตาของคนที่ยังไม่กลับบ้านจ้องผ่านลูกกรงเหล็กเข้ามาในสนามฟุตบอล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ในหน้าตาและฝีมือการเล่นฟุตบอลของกัปตันคิโยชิ
“น้อง ๆ ทุกคนรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าคืนนี้และคืนพรุ่งนี้เราจะนอนค้างกันที่โรงเรียน” คิโยชิถามขึ้น เรียกเสียงกรี๊ดจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เกาะลูกกรงเหล็กได้พอสมควร รุ่นน้องปีหนึ่งปีสองในแถวพยักหน้าแทนคำตอบ “แล้วน้อง ๆ รู้หรือยังครับ ว่าเราจะนอนกันบริเวณไหนของโรงเรียน”
คราวนี้รุ่นน้องพากันส่ายหน้า เรื่องที่พักไม่ได้แจ้งไว้ในกำหนดการ แต่หลาย ๆ คนก็คิดตามปกติว่าถ้าพักในโรงเรียน ที่พักก็คงหนีไม่พ้นห้องเรียนหรือหอพักใกล้ ๆ
“นอนในห้องเรียนหรือเปล่าครับ” รุ่นน้องคนหนึ่งร้องถาม
“ไม่ใช่ห้องเรียนหรอก เรื่องที่พักนี่อาจารย์นันโจจัดให้น่ะครับ แต่พอพี่รู้แล้วพี่ก็ไม่ค่อยอยากบอกน้อง ๆ สักเท่าไหร่” คิโยชิยิ้มแหย ๆ
“นอนที่หอเหรอครับ” รุ่นน้องอีกคนถามขึ้นบ้าง
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ พี่ไม่อยากให้น้องรู้เลยจริง ๆ” คิโยชิยังไม่พยายามเลี่ยงคำตอบ
“พี่บอกมาเถอะครับ ว่าเราต้องนอนพักที่ไหนกันแน่” รุ่นน้องซักไซ้ แต่กัปตันก็ปิดปากเงียบ อาจารย์นันโจจึงพูดขึ้นในที่สุด
“บอก ๆ ไปเถอะ คิโยชิ ว่าเรานอนบน พื้นหญ้าในสนามฟุตบอล”
“หา!” นักเรียนปีหนึ่งปีสองอุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน
“เฮ้อ เพราะต้องนอนในที่แบบนี้น่ะสิ เลยไม่อยากบอก” คิโยชิบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ ================| หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าก็มืดมัวไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของดวงจันทร์ สนามฟุตบอลโรงเรียนชินระวิทยาเปิดสปอตไลท์ส่องสว่างทั่วทั้งสนาม เพื่อให้เหล่านักฟุตบอลผู้หวังจะถูกคัดเลือกเข้าทีมรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปีได้ซ้อมกัน
“เฮ้อ เพราะต้องนอนในที่แบบนี้น่ะสิ เลยไม่อยากบอก” คิโยชิบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
================|
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าก็มืดมัวไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของดวงจันทร์ สนามฟุตบอลโรงเรียนชินระวิทยาเปิดสปอตไลท์ส่องสว่างทั่วทั้งสนาม เพื่อให้เหล่านักฟุตบอลผู้หวังจะถูกคัดเลือกเข้าทีมรุ่นอายุต่ำกว่าสิบสี่ปีได้ซ้อมกัน
“นี่มันอะไรกัน ให้เดาะบอลตั้งหนึ่งร้อยครั้ง ใครมันจะทำได้” เด็กปีสองคนหนึ่งพูดออกมาอย่างหัวเสียขณะก้มลงเก็บบอลที่เขาเดาะพลาด เมื่อยูโตะหันมาดูก็พบว่าผู้พูดคือรุ่นพี่ปีสองในกลุ่มสามที่คอยสร้างปัญหาให้พวกเขาไม่เว้นแต่ละวันนั่นเอง
“แล้วถ้าฉันทำได้ล่ะ คาซึโอะ” เสียงอันคุ้นหูทุกคนในที่นั้นดังขึ้น พร้อมกับมือหนึ่งที่คว้าลูกบอลไปจากมือคนบ่น
“อ..เอ่อ กัปตันครับ ผมแค่พูดเล่น” เขาพยายามพูดแก้ตัว แต่รุ่นพี่คิโยชิไม่มีท่าทีสนใจ รุ่นพี่วางบอลลงบนเท้าแล้วเดาะอย่างรวดเร็วและแม่นยำ หลาย ๆ คนที่เดาะบอลอยู่ถึงกับหยุดบอลของตัวเองกลางคัน เพื่อดูฝีมือของกัปตันทีมม.ต้นให้ชัดเต็มตา
“เดาะได้ระดับนี้ไม่ใช่ฝีมือของเด็กม.ต้นแล้ว” รุ่นน้องปีหนึ่งโพล่งขึ้น ซึ่งคนอื่น ๆ บริเวณนั้นเมื่อได้เห็นรุ่นพี่คิโยชิเดาะบอลก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นทันที ฝ่ายคาซึโอะ รุ่นพี่ปีสองผู้สร้างปัญหา ถึงกับยืนตาค้างดูลูกฟุตบอลลอยขึ้นจากเท้ากัปตัน แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่ารุ่นพี่คิโยชิมีฝีมือสูงส่ง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นสูงส่งกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
“เดาะได้ระดับนี้ไม่ใช่ฝีมือของเด็กม.ต้นแล้ว” รุ่นน้องปีหนึ่งโพล่งขึ้น ซึ่งคนอื่น ๆ บริเวณนั้นเมื่อได้เห็นรุ่นพี่คิโยชิเดาะบอลก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นทันที
ฝ่ายคาซึโอะ รุ่นพี่ปีสองผู้สร้างปัญหา ถึงกับยืนตาค้างดูลูกฟุตบอลลอยขึ้นจากเท้ากัปตัน แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่ารุ่นพี่คิโยชิมีฝีมือสูงส่ง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นสูงส่งกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
ลูกบอลเคลื่อนที่ขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน โดยที่การเคลื่อนไหวของรุ่นพี่คิโยชิไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม หน้าเท้าเปิดขึ้นในองศาเท่ากันทุกครั้ง ราวกับการฉายเทปม้วนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า การใส่แรงพร้อมกับการเปิดเท้าให้เหมือนเดิมทุกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่นักฟุตบอลมืออาชีพยังไม่แน่ว่าจะทำได้หรือเปล่าเลย
ชั่วพริบตาหนึ่ง คาซึโอะเห็นรุ่นพี่คิโยชิเป็นเสมือน ‘ปีศาจ’
“
เก้าสิบเก้า
หนึ่งร้อย!” กัปตันคว้าลูกบอลที่ลอยอยู่ในอากาศมาถือไว้ บรรยากาศของสนามฟุตบอลเงียบกริบประหนึ่งไร้ผู้คน ไม่มีใครเคลื่อนไหว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา และไม่มีใครหลงเหลือสมาธิที่จะเดาะบอลต่อ เว้นแต่กัปตันผู้แสดงฝีมือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ในตอนนั้นเอง คิโยชิก็เบนสายตามาทางคาซึโอะ ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ความกดดันแผ่ปกคลุมทันทีที่สบสายตา ผู้เป็นรุ่นน้องจึงพยายามหลบสายตารุ่นพี่ “คาซึโอะ วิ่งรอบสนามสิบรอบ
ปฏิบัติ!” รุ่นพี่พูดด้วยเสียงแข็งกร้าว ในขณะที่คาซึโอะรู้สึกกลัวชายผู้นี้จับใจ “ค
ครับ” เขาตอบเสียงสั่น ก่อนจะรีบวิ่งไปทันที บางทีการถูกลงโทษให้วิ่งเช่นนี้อาจจะดีกว่าการต้องมายืนนิ่งอยู่หน้ากัปตันเป็นเวลานาน ๆ ก็เป็นได้
ในตอนนั้นเอง คิโยชิก็เบนสายตามาทางคาซึโอะ ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ความกดดันแผ่ปกคลุมทันทีที่สบสายตา ผู้เป็นรุ่นน้องจึงพยายามหลบสายตารุ่นพี่
“คาซึโอะ วิ่งรอบสนามสิบรอบ ปฏิบัติ!” รุ่นพี่พูดด้วยเสียงแข็งกร้าว ในขณะที่คาซึโอะรู้สึกกลัวชายผู้นี้จับใจ
“ค ครับ” เขาตอบเสียงสั่น ก่อนจะรีบวิ่งไปทันที บางทีการถูกลงโทษให้วิ่งเช่นนี้อาจจะดีกว่าการต้องมายืนนิ่งอยู่หน้ากัปตันเป็นเวลานาน ๆ ก็เป็นได้
“เอ้า! ทำอะไรกันอยู่ เดาะบอลไปสิ” คิโยชิพูดขึ้น เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องปีหนึ่งปีสองทุกคนกำลังมองมาทางเขา น้ำเสียงเฉียบขาดของกัปตันทีมม.ต้นทำให้หลาย ๆ คนเริ่มเดาะบอลใหม่อีกครั้ง ด้วยเพราะเริ่มรู้สึก ‘กลัว’ ชายคนนี้เหมือนกับคาซึโอะ
แม้แต่ยูโตะกับทาคามิที่สนิทกับรุ่นพี่คิโยชิ ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงความกลัวได้ ฝีมือของรุ่นพี่คิโยชิที่แสดงให้พวกเขาทำให้รู้สึกถึงความห่างชั้นอันมหาศาลในด้านฝีมือ ทาคามิซึ่งซ้อมแข่งกับทีมหนึ่งบ่อย ๆ ไม่เคยได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของกัปตันทีมม.ต้น
จนกระทั่งเมื่อครู่
แม้แต่ยูโตะกับทาคามิที่สนิทกับรุ่นพี่คิโยชิ ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงความกลัวได้ ฝีมือของรุ่นพี่คิโยชิที่แสดงให้พวกเขาทำให้รู้สึกถึงความห่างชั้นอันมหาศาลในด้านฝีมือ ทาคามิซึ่งซ้อมแข่งกับทีมหนึ่งบ่อย ๆ ไม่เคยได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของกัปตันทีมม.ต้น จนกระทั่งเมื่อครู่
ไม่แน่ว่า ฝีมือที่แท้จริงอาจจะสูงกว่านั้น และเมื่อกี้เป็นเพียงการแสดงละครตบตาเท่านั้น!
“แบบนี้สิ ค่อยน่าโค่นหน่อย!” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่รุ่นพี่คิโยชิเดินไปที่อื่นแล้ว เจ้าของเสียงคือเด็กปีสองผู้มีผมสีน้ำตาลยาวถึงหู ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมของเขาเปล่งประกายระยับ เขาสูงพอ ๆ กับทาคามิเลยทีเดียว
“ไม่เอาน่า ซาเอกิ เดี๋ยวก็โดนลงโทษแบบคาซึโอะหรอก” เพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบเตือน
“จะกลัวอะไรเล่า กะอีแค่กัปตันทีมระดับม.ต้น เดี๋ยวฉันจะโค่นจากบัลลังก์ให้ดู!” เด็กหนุ่มชื่อซาเอกิยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือน พร้อมกับเดาะบอลไปด้วย
“จะกลัวอะไรเล่า กะอีแค่กัปตันทีมระดับม.ต้น เดี๋ยวฉันจะโค่นจากบัลลังก์ให้ดู!” เด็กหนุ่มชื่อซาเอกิยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือน พร้อมกับเดาะบอลไปด้วย
แวบแรกที่เห็น ยูโตะคิดว่ารุ่นพี่ซาเอกิคนนี้เป็นเพียงคนปากมากธรรมดา แต่คำพูดของเพื่อนร่างสูงก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิด
“เห็นเหรือเปล่า รุ่นพี่คนนั้นเดาะบอลไป คุยไป ได้ด้วย!” ทาคามิทักขึ้น เด็กหนุ่มร่างเล็กรีบหันไปดู มันเป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ รุ่นพี่ซาเอกิคุยเล่นหน้าระรื่นกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยที่ยังเดาะบอลไปด้วย ซึ่งสายตาไม่ได้จับจ้องลูกฟุตบอลแม้แต่น้อย
“อ๊ะ เจ็ดสิบสองเหรอ นึกว่าจะได้ครบร้อยซะอีก” ซาเอกิบ่นพลางก้มลงเก็บลูกบอล คำพูดของเขายิ่งทำให้ยูโตะกับทาคามิรู้สึกทึ่งมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ไม่ได้มองบอลแต่กลับเดาะได้ถึงเจ็ดสิบสองครั้ง ต่างกับยูโตะที่แม้มองแล้วก็ยังได้ไม่ถึงครึ่ง
“เป็นอะไรไปน่ะ เงียบไปเลย” ทาคามิถามยูโตะที่ยืนนิ่งมองรุ่นพี่ซาเอกิ
เด็กหนุ่มร่างเล็กหันมาพร้อมคำตอบ “นายไม่ดีใจหรือไงล่ะ ที่ค่ายเก็บตัวมีคนเก่ง ๆ ตั้งขนาดนี้”
“ฮะ ฮะ ไว้ดีใจตอนได้รับคัดเลือกก็แล้วกัน” ทาคามิยิ้มอย่างอารมณ์ดี
วันแรกยังไม่ทันพ้นผ่าน
To be continued
End Chapter One: Started!
To be continued
End Chapter One: Started!
ความคิดเห็น