คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท
เด็กหญิงปั้นดาวในชุดนอนปาจามาสีชมพูลายแมลงปอกางปีกหลับปุ๋ยในอ้อมกอดผู้เป็นพ่อหลังจากฟังนิทานก่อนนอนเรื่องโปรดยังไม่ทันจบดี รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าคมคล้ามปราศจากหนวดเครา ธรณ์หอมหน้าผากลูกหนึ่งทีอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวเจ้าตัวซึ่งเพิ่งหลับไปได้ไม่นานจะตื่นเสีย ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองศีรษะเล็กที่แต่เดิมซบอกเขาให้นอนลงบนหมอนรูปหมูใบนุ่ม ก่อนห่มผ้าให้เป็นอย่างสุดท้าย
ทุกอย่างตั้งแต่ชายหนุ่มพูดคุยกับลูก เล่านิทานให้ลูกฟัง จนถึงห่มผ้าให้ลูก ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาทรายรุ้งทั้งสิ้น เปรี้ยวหวานเป็นเด็กติดพ่อ อาจจะมากกว่าติดแม่ด้วยซ้ำ สำหรับเด็กผู้หญิงที่มีนิสัยและชอบการเล่นที่ไม่เหมือนเด็กผู้หญิงสักเท่าไร การเล่นกับพ่อย่อมสนุกกว่าแม่ นั่นเพราะผาดโผนกว่าและพ่อไม่ห้ามโน่นห้ามนี่มากเท่าแม่ แต่ถึงแม้ว่าธรณ์ไม่ค่อยขัดใจลูก ก็ใช่ว่าเขาไม่ห่วงลูก สังเกตได้จากยามอยู่กับเปรี้ยวหวาน ดวงตาคู่คมที่มองลูกทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลาไม่เคยละไปไหนแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
ธรณ์พินิจใบหน้ายอดขวัญยอดดวงใจ เมื่อเห็นว่าเปรี้ยวหวานละเมออมยิ้มนิดๆ ยามหลับอย่างที่เห็นอยู่แทบทุกวันจึงคว้ากุญแจรถบนโต๊ะข้างเตียงมาถือไว้ คาดเดาได้ไม่ยากว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
...ต่างกันตรงที่คืนนี้ทรายรุ้งรวบรวมความกล้าให้ตัวเองได้บ้างแล้ว
“พี่ธรณ์คะ” เสียงยามเรียกชื่อสามีฟังดูมีน้ำหนักมั่นคงแต่ซ่อนความกลัวบางอย่างจากคนพูดอยู่ในที
นายสัตวแพทย์ธรณ์ละมือจากลูกบิดประตู หันทั้งร่างเพื่อมองก็พบว่าภรรยาทางนิตินัยและพฤตินัยมองอยู่เช่นกัน
“แซนมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ”
“เรื่องลูกหรือเปล่า”
ถ้าไม่ใช่เรื่องลูก พี่ธรณ์จะอยู่คุยกับแซนไม่ได้หรือคะ
อยากถามเช่นนี้ใจจะขาด แต่ใจไม่กล้าพอที่จะฟังคำตอบ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเบาบางมานานแล้ว หากไม่มีเปรี้ยวหวานเป็นสายใยเล็กๆ ไม่แน่ว่าวันนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ เธออาจกลับไปอยู่ฟาร์มหมูการุณย์กาญจ์แล้วก็ได้ ไม่ใช่นั่งอยู่บนโซฟาสีเทาอ่อนขนาดสองที่นั่ง ซึ่งไม่รู้ว่าสีโซฟากับหัวใจเธออย่างไหนหม่นกว่ากัน
มือสองข้างบีบกันแน่นเป็นการให้กำลังใจตัวเอง ทรายรุ้งพยักหน้าช้าๆ ก่อนตอบเพียงว่า
“ค่ะ”
“ไปคุยข้างล่างเถอะ คุยในนี้เปรี้ยวหวานตื่น”
“ได้ค่ะ”
ทรายรุ้งทิ้งสายตายังแผ่นหลังหนาของคนซึ่งเดินนำเธอลงบันไดสู่ห้องนั่งเล่น เธออยากกอด อยากซบหน้าลงตรงนั้นเหมือนอย่างวันวาน แต่จะเป็นไปได้อีกหรือ
เป็นเธอเองที่ทำทุกอย่างพัง...
พ่อของลูกไม่แม้แต่นั่งบนโซฟาเพื่อคุยกัน เขายืนอยู่แบบนั้นกลางห้องนั่งเล่น มือข้างหนึ่งยังคงกำกุญแจรถยนต์ไว้นิ่ง พร้อมออกจากบ้านได้ทุกเมื่อ สายตาว่างเปล่าที่มองมาทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ ความกล้าเมื่อครู่หายไปกึ่งหนึ่ง
“ลูกทำไมหรือ”
“คะ” คำถามนั้นดึงทรายรุ้งออกจากภวังค์ความคิด ใช่สินะ เธอบอกเขาว่าจะคุยเรื่องลูก ทั้งที่จริงแล้วเกี่ยวกับลูกแค่ร้อยละห้าสิบ ส่วนที่เหลือล้วนมาจากความอัดอั้นของเธอเองล้วนๆ “เอ่อ...คือ”
ธรณ์ยกข้อมือขึ้นดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา นั่นทำให้ทรายรุ้งตระหนักได้ว่าหากออกจากบ้านในเวลานี้เขาน่าจะไปถึงโรงพยาบาลสัตว์เกือบๆ สามทุ่ม เธอยอมรับว่าเป็นห่วง ไม่ชอบเท่าไรนักที่สามีขับรถข้ามอำเภอในยามค่ำคืน ถนนเส้นที่เขาใช้งานบ่อยมีรถบรรทุกวิ่งเยอะ ถึงทุกฝ่ายจะระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นทุนเดิม แต่เธออดกลัวเกิดอุบัติเหตุไม่ได้
“คืนนี้นอนบ้านได้ไหมคะ”
“พี่ขับรถไปกลับทุกคืนเป็นปกติไปแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
ดูเอาเถิด ขนาดรู้ทั้งรู้ว่าเธอเป็นห่วงก็ยังจะทำให้เป็นห่วงมากยิ่งขึ้นไปอีก หากพาเปรี้ยวหวานไปอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยกันได้ ธรณ์คงไม่ขยันขับรถไปกลับระหว่างที่นั่นกับฟาร์มนกกระจอกเทศเป็นแน่
“ขึ้นไปดูลูกเถอะ พี่ปิดบ้านให้”
ชายหนุ่มยิ้มในหน้า วางมือลงบนเส้นผมดำขลับยาวสลวย ธรณ์ขรึมหากก็มีความอ่อนโยนในตัว แต่ทรายรุ้งจะได้เห็นรอยยิ้มและได้รับความอ่อนโยนเช่นนี้ก็ตอนสามีเผลอตัวเท่านั้น และแม้ใบหน้าเขายิ้ม ทว่ารอยยิ้มวิ่งไปไม่ถึงดวงตา
“แต่มันดึกแล้วนะคะ”
แววตาราวลูกกวางตัวน้อยหลงทางทำให้ธรณ์รู้สึกตัว เขาลดมือลงซุกในกระเป๋ากางเกงเมื่อรู้ตัวว่าใกล้ชิดหญิงสาวมากเกินไป ริมฝีปากหนาเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนบอกเรียบๆ ด้วยโทนเสียงเสมอกันทั้งประโยค
“ดึกกว่านี้พี่ก็เคยกลับ”
“ไม่นอนที่โน่นได้ไหมคะ นอนบ้านเราตลอดไปไม่ได้หรือ” ความอัดอั้นมานานถูกปลดปล่อย หาโอกาสไม่ง่ายที่เธอและเขาจะได้อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีลูก ปกติแล้วหลังจากเปรี้ยวหวานหลับเขาจะบึ่งรถเข้าตัวเมืองในทันที และเป็นเธอเองที่ไม่กล้ารั้งไว้
คำว่า ‘บ้านเรา’ อาจฟังดูอบอุ่นสำหรับใครหลายคน แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับธรณ์อีกต่อไปแล้ว
“รู้ใช่ไหมว่าบอกพี่แบบนี้แล้วตัวเองต้องลำบากใจ”
“แซนไม่ได้...” เธอไม่ได้ลำบากใจสักหน่อย ตรงข้าม เธออยากให้อยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก เธอรักเขา แต่เขาเล่า ยังรักกันเหมือนที่เคยบอกอยู่หรือเปล่า
“บ้านหลังนี้พี่ยกให้แซนกับเปรี้ยวหวาน รวมถึงฟาร์มนี่ด้วย”
“แล้วพี่ธรณ์จะอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดไปเลยหรือ” ทรายรุ้งเสียงสั่น น้ำตาเจียนไหลหากแต่พยายามสร้างเขื่อนกักเก็บมวลน้ำไว้
“ไม่หรอก”
หญิงสาวค่อยยิ้มออก ทว่ากลับถูกฉุดลงในบ่อแห่งความกังวลอีกครั้งกับใจความต่อมา
“พี่ตั้งใจปลูกบ้านอีกหลังไว้ท้ายฟาร์ม ดูที่ทางสักพักแล้ว เพื่อนพี่มันช่วยออกแบบให้ เดือนหน้าน่าจะได้ลงเสาเข็ม”
การถูกชกเข้าหน้าท้องเป็นเช่นไร ทรายรุ้งเพิ่งกระจ่างในวันนี้ หากเธอไม่เปิดประเด็นเรื่องการกลับมาอยู่บ้าน ธรณ์คงรอให้เธอเห็นตอนบ้านท้ายไร่สร้างเสร็จเลยกระมัง เขาทำเหมือน ‘บ้านเรือนหอ’ หลังนี้ไร้ความหมายไปเสียแล้ว
“แล้วหลังนี้ล่ะคะ” ยอมรับว่ากลัวในคำตอบ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้กลัวสุดขีดก็ต้องถาม
“ลูกอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เกิด พี่ไม่อยากให้เขาย้ายไปอยู่ที่อื่น”
“หมายความว่าเราจะแยกกันอยู่หรือคะ” วินาทีนี้ทรายรุ้งกลายเป็นสาวใจกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวตรงเข้าสวมกอดสามีแน่น แนบใบหน้าลงกับแผงอกกำยำภายใต้เสื้อผ้า น้ำตาที่กักเก็บไว้ไหลซึมลงบนเสื้อเชิ้ตเขา “พี่ธรณ์บอกสิคะว่าแซนต้องทำยังไง แซนทำให้ได้ทุกอย่าง แต่อย่าหมางเมินกันแบบนี้ได้ไหม”
“อย่าพูด อย่าทำแบบนี้เลยถ้าไม่ได้รู้สึกจริงๆ พี่ไม่อยากให้แซนฝืนทำเพื่อลูก”
“แซนไม่เคยรู้สึกต่างไปจากที่แซนพูดเมื่อกี้” ยาก...ยากที่ธรณ์จะเชื่อ เนื่องจากทุกอย่างที่เขาบังเอิญเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหูในวันนั้นคือหลักฐานชัดเจนที่บ่งบอกว่าการใช้ชีวิตร่วมกันมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องนอกเหนือจากเรื่องหัวใจ และเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีกับคนที่ตายไปแล้ว เธอจึงต้องแบกรับความเย็นชาเฉยเมยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ต่อให้ในอนาคตสถานะระหว่างพี่กับแซนเปลี่ยนไป แต่ถึงยังไงเราก็ยังเป็นพ่อกับแม่ของเปรี้ยวหวาน” ธรณ์ปลดท่อนแขนที่กอดเขาอยู่อย่างสุภาพ “สัญญาห้าปี อย่าลืมสิว่าแซนเป็นคนรื้อมันขึ้นมาเอง”
“พี่ธรณ์...”
ความคิดเห็น