คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท
รถยนต์สีน้ำตาลเข้มสัญชาติเยอรมันจอดสวนเลนริมบาทวิถีอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
ล้อด้านหน้าแนบสนิทกับขอบทาง
นั่นทำให้หญิงสาวซึ่งปั่นจักรยานผ่านมาอดชะลอฝีปั่นแล้วเหลือบมองไม่ได้
สิ่งดึงดูดสายตาเธอให้ต้องสนใจคือชายที่นั่งพิงต้นไม้ด้วยท่าทางหมดแรง
เปลือกตาปิดสนิทแต่เดิมพลันลืมขึ้นอีกทั้งมองตรงมายังเธอคล้ายขอความช่วยเหลือ
แต่ภัยร้ายที่เห็นตามสื่อหลายแขนงอยู่บ่อย ๆ
ทำให้เท้าคู่เล็กส่งแรงปั่นเร็วและแรงขึ้น
ถ้าหากเธอใจดำกว่านี้สักนิดคงปั่นต่อไปจนถึงที่หมายโดยไม่สนใจคนคนนั้น
ทว่าจิตใต้สำนึกส่วนดีสั่งให้เลี้ยวจักรยานกลับมาที่เดิม
แสงแดดแรงจ้าในเวลาเกือบเที่ยงช่วยให้เธออุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังปลอดภัยอยู่บ้าง
หญิงสาวจอดจักรยานหน้ารถยนต์ราคาแพงลิบแล้วค่อย ๆ
ก้าวเข้าใกล้ร่างนั้นอย่างระแวดระวัง
เป็นจังหวะเดียวกับที่คนซึ่งนั่งพิงต้นไม้เบี่ยงตัวไปอีกทางแล้วขย้อนบางอย่างออกมา
“คุณคะ เป็นอะไรมากไหม”
เธอตรงเข้าลูบหลังให้เขาอย่างไม่ลังเล
อาเจียนหนักขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว “คุณ !!”
โชคยังดีที่เธอคว้าร่างหนัก ๆ
ไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะไถลลงไปกองรวมกับเศษอาหารที่ไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงไปในคูน้ำกว้างราวหนึ่งเมตรนั่น
หญิงสาวรวบรวมกำลังและความกล้ารั้งร่างชายแปลกหน้าลากขึ้นมานั่งพิงกับต้นไม้ใกล้บาทวิถี
“ไหวไหมคะคุณ”
เธอปลดกระเป๋าสะพายหลังควานหากระดาษเช็ดหน้าออกมาส่งให้เขา
“เช็ดหน้าเช็ดปากหน่อยนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าให้แล้วรับมาเช็ดสะเปะสะปะเป็นเหตุให้คราบอาเจียนเปื้อนเลอะเทอะยิ่งกว่าเดิม
ร้อนถึงคนสังเกตการณ์ต้องหยิบกระดาษอีกแผ่นมาเช็ดให้เอง
ดูเหมือนเขาพยายามบังคับเปลือกตาหนัก ๆ ให้เบิกกว้าง
แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็ปิดลงดังเดิม
“ดีขึ้นไหมคะ” มือหนึ่งเช็ดหน้าให้
อีกมือล้วงหาของในกระเป๋าสะพายหลัง และในที่สุดก็เจอสิ่งที่พอจะใช้แทนพัดได้
ไม่นานลมหายใจของผู้ชายตรงหน้าก็เริ่มเป็นปกติ
หญิงสาวละมือมาควานหาขวดน้ำในกระเป๋าที่เธอมักพกติดตัวตลอดเวลาออกมาเปิดฝาแล้วเทน้ำลงบนผ้าเช็ดหน้าของตัวเอง
ก่อนส่งน้ำที่เหลือในขวด “น้ำค่ะ”
ชายหนุ่มรับขวดน้ำมาบ้วนปากจากนั้นจึงกรอกที่เหลือลงท้อง
และก็ต้องมองผู้หญิงตรงหน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นตรงแก้มตน
“ขอโทษนะคะ
แต่เช็ดหน้าแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ”
คนเริ่มได้สติมองหญิงสาวที่บรรจงซับหน้าให้อย่างพินิจ
เธอไม่ได้สวยเปรี้ยวโฉบเฉี่ยวทว่ากลับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ละสายตาไปไหนไม่ได้
หากแต่ดวงตายามเผลอสบกับเขากลับดูเศร้า
...มันไม่เหมาะที่จะประดับอยู่บนใบหน้าหวานหยดนี้เลยด้วยซ้ำ
“ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณมากครับ” เขายิ้มอ่อนพลางค่อย
ๆ ยืดหลังนั่งตัวตรง “ผมบริจาคเลือดน่ะครับ ตรงศูนย์เรียนรวมมีรถจากสภากาชาดมารับบริจาค
ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณ”
เธอพอจะรู้มาบ้างว่ารถรับบริจาคเลือดเคลื่อนที่จะมาประจำที่มหาวิทยาลัยทุกวันพฤหัสแรกของเดือน
แต่การแต่งกายของเขาไม่เหมือนกับนิสิตเลยสักนิด
สูทที่ใส่ค่อนไปทางอาจารย์หรือนักธุรกิจมากกว่า
“คุณเมาเลือดหรือคะ”
“ทำนองนั้นครับ
คงเพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย คุณล่ะ เรียนที่นี่หรือ”
หญิงสาวมีท่าทีลังเลที่จะตอบแต่สุดท้ายก็พยักหน้าพอเป็นพิธี
จากนั้นจึงเก็บขวดน้ำกับผ้าเช็ดหน้าเปียก ๆ ลงในกระเป๋าสะพายหลังโดยไม่มองหน้าเขา
“ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่” ใช่
คงแย่ ! เขาอาจอาเจียนไส้บิดและกลิ้งตกลงคูน้ำจนหาสภาพเดิมไม่เจอ
“ก็...เกือบจะไม่แวะดูเหมือนกันค่ะ”
“แต่คุณก็แวะดูผม”
พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วพยายามเดินกลับไปที่รถ
อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึง แต่ร่างกายที่ยังแข็งแรงไม่เต็มร้อยกลับซวนเซ
และคงล้มไปกองกับพื้นหากไม่ได้ลำแขนเรียวโอบรั้งไว้
“คุณอย่าเพิ่งรีบก้าวสิคะ”
หญิงสาวเอ่ยเตือน
ทว่าสายตาคมเข้มที่มองหน้าเธอแล้วไล่มาตรงเอวทำให้ต้องรีบปล่อยมือที่เกาะเกี่ยวเอวเขาอยู่ออกโดยพลัน
น่าอายจริง ๆ
“ถ้าไม่รบกวนคุณเกินไป ช่วยหยิบมือถือในรถให้ผมหน่อยได้ไหมครับ
ผมคงขับรถต่อไปไม่ไหวแน่ ๆ จะโทรให้คนที่บ้านมารับ”
“คะ...ค่ะ ได้ค่ะ”
เธอเกี่ยวผมไว้หลังใบหูกลบเกลื่อนอาการเขินอาย “อยู่ตรงไหนหรือคะ”
“น่าจะหล่นอยู่แถว ๆ เบาะคนขับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำแล้วเดินมายังประตูรถที่เปิดทิ้งไว้ มือบางเอื้อมหยิบเครื่องมือสื่อสารบนเบาะแล้วยื่นให้เจ้าของทันที
“นี่ใช่ไหมคะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มรับมา
เลื่อนหาหมายเลขที่ต้องการแล้วกดโทรออก ไม่นานปลายสายก็ตอบรับ “มารับพี่หน่อย
อยู่ทางลัดที่จะออกประตูฝั่งพหลฯ...นั่งพี่วินมาเลยนะ...มาก่อน
เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง...เหอะน่า มีปัญหานิดหน่อย...ตามนั้นครับที่รัก”
คำว่า ‘ที่รัก’ บ่งบอกชัดเจนว่า ‘คนที่บ้าน’ ที่เขาหมายถึงไม่ใช่คนขับรถอย่างแน่นอน
การแต่งตัว แถมรถที่เขาขับยังยืนยันฐานะทางการเงินได้ดี
ไม่แปลกหรอกที่ผู้ชายคนนี้จะมีเจ้าของแล้ว
“คุณรีบไปไหนหรือเปล่า ให้ผมเลี้ยงตอบแทนคุณสักมื้อนะครับ
อีกไม่ถึงห้านาทียายตัวเล็กคงมาถึง” ชายหนุ่มมองลึกลงไปในดวงตาคู่เศร้านั้นคล้ายอยากทำความรู้จักมากขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ตายแล้ว !!!” หญิงสาวร้องเสียงหลงหลังยกข้อมือขึ้นดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา
เธอคว้ากระเป๋าสะพายหลังมารูดซิปปิดแล้วยกขึ้นสะพายในเวลาอันรวดเร็ว “เอ่อ
คุณอยู่คนเดียวได้ไหมคะ ยังมึนอยู่หรือเปล่า คือ...หนูมีเรื่องต้องทำน่ะค่ะ”
“ครับ ผมดีขึ้นมาก ขอบคุณนะครับ
แต่ผมรบกวนขอนามบัตรคุณไว้ได้ไหม เบอร์ติดต่อก็ได้ครับ
อยากเลี้ยงขอบคุณที่คุณอุตส่าห์แวะช่วยผม” เขาปลดล็อกโทรศัพท์เตรียมบันทึกหมายเลข
คนธรรมดาอย่างเธอไม่เคยมีนามบัตรอะไรอย่างใครอื่นเขา
และก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องให้เบอร์ติดต่อกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตด้วย
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอเป็นชาวประมงโลภมากที่ใช้ปลาเล็กเป็นเหยื่อล่อดักจับปลาใหญ่
“ไม่เป็นไรค่ะ
ที่ช่วยเพราะเห็นคุณกำลังแย่ ไม่ได้หวังอะไรจากคุณ อ้อ และก็ไม่ได้ ‘อุตส่าห์’ หรอกค่ะ หนูเต็มใจ ไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวพูดยาวเป็นพรวน
ประนมมือไหว้แล้วผลุนผลันมายังจักรยานของตน ก่อนขึ้นคร่อมและปั่นออกมาอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าสวยหวานที่แปรเปลี่ยนเป็นไม่เรียบนิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอไม่พอใจในคำพูดของเขาแน่แล้ว
ชายหนุ่มมองตามคนที่ปั่นจักรยานไกลออกไปเรื่อย ๆ เส้นผมซึ่งปลิวสยายยามโต้ลมนั้นเขาพิสูจน์มาแล้วเมื่อครู่ว่าช่างหอมยวนใจ
วันนี้เขาเผลอแสดงเรื่องน่าอายให้ผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกได้เห็น
First
Impression
เสียไปแบบไม่สมเกียรตินักธุรกิจเลือดใหม่ติดอันดับหนึ่งในสิบของประเทศเลยสักนิด
ไม่รู้ละ...
เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ได้เห็นเขาในมุมน่าอาย
เพราะฉะนั้นเธอต้องรับผิดชอบ
“ผมสัญญาว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่ครับ
แม่คนหน้าหวานนัยน์ตาเศร้า...ของผม”
ความคิดเห็น