คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท
ชายหนุ่มผู้ที่ใครๆ ในฟาร์มต่างเรียกว่า ‘นายซัน’ นั่งกระดิกเท้าพิงพนักม้านั่งไม้มะค่าหน้าชานบ้านพักรับรองหลังขนาดกะทัดรัด ฟาร์มหมูการุณย์กาญจ์แห่งนี้ไม่เคยมีสัตวแพทย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะเนื่องจากพี่เขยเขาเป็นสัตวแพทย์ และน้องสาวเรียนจบสัตวบาล แต่เพราะเจ้าคนที่คลานออกจากท้องแม่ต่อจากเขากำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก เป็นไปได้ยากหากต้องเดินอุ้มท้องโย้ๆ ตรวจความเรียบร้อยหมูทั้งฟาร์ม
สัตวแพทย์ใหม่เอี่ยมประจำฟาร์มหมูการุณย์กาญจ์เป็นรุ่นน้องของพี่เขยเขา ฝากฝังกันตั้งแต่ยังไม่เปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการ และเพราะวันนี้น้องสาวมีกำหนดตรวจครรภ์เดือนที่ห้า จึงเป็นหน้าที่ชายหนุ่มในการต้อนรับสัตวแพทย์เส้นกวยจั๊บคนดังกล่าว
“พี่ธรณ์บอกกูว่าหมอหมูที่จะมาประจำฟาร์มเป็นผู้หญิง จะไหวหรือวะไอ้เผือก”
“หมอหมูเลยหรือครับ”
“ไม่เรียกหมอหมู แล้วให้เรียกว่าอะไรวะ ฟาร์มนี้มีแต่หมูให้รักษา”
“ถ้าเป็นรุ่นน้องคุณธรณ์ ก็น่าจะสมบุกสมบันพอตัวนะครับ”
“กูจะรอดู ว่าหมอหมูคนนี้จะไปได้สักกี่น้ำ” ชายหนุ่มสังเกตเส้นทางอันทอดตัวมายังบ้านพักรับรองอยู่นานสองนาน ไม่มีวี่แววว่ารถคันใดจะเฉียดใกล้ ฝ่ามือกรำงานไร่ลูบคางอย่างครุ่นคิด “แค่วันแรกก็ผิดนัดไปสองชั่วโมง แล้วยังจะอยากมาอยู่ระยะยาว”
“หลงทางหรือเปล่าครับ” เผือกนึกเป็นห่วง แม้ถนนหนทางเข้าฟาร์มไม่ได้ทุลักทุเลเหมือนอย่างก่อน แต่คนไม่ชำนาญทางอาจขับเลยไปจนถึงป่าอีกฟาก
“ถ้าแค่ขับรถมาฟาร์มยังขับมาไม่ได้ ก็ปล่อยให้หลงไปเถอะ”
“โธ่นาย หมอหมูของนายซันเป็นผู้หญิงนะครับ”
“มึงถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ไอ้เผือก ไม่ใช่ของกูโว้ย !”
“ครับๆ ไอ้เผือกก็ว่าไปตามเรื่องตามราว นายซันอย่าได้ถือสาเลย”
“กูจะลองดูว่าหมอหมูที่พี่ธรณ์เชียร์นักเชียร์หนาจะอยู่ในคอกหมูได้สักกี่วัน” เขามันพวกลางสังหรณ์แรง ได้กลิ่นไม่ดีตั้งแต่พี่เขยนำเสนอรุ่นน้องสัตวแพทย์ขึ้นมาทั้งที่ทะเลจันทร์ยังไม่ร่างใบสมัครด้วยซ้ำ เห็นว่าเป็นสายรหัสกันเสียด้วย
เผือกเกาหัวแกรกๆ ก่อนทิ้งก้นลงกับชานบ้าน หยิบกิ่งไม้แถวๆ นั้นได้กิ่งหนึ่งจึงฆ่าเวลาด้วยการนำมันมาขีดๆ เขียนๆ พื้นดิน
“ทำไมกูจะต้องมารอคนไม่ตรงเวลาด้วยวะ” ภูตะวันหัวเสีย ท้ายประโยคเน้นเสียงหนัก ทว่าสมองเริ่มคิดหาเหตุผลที่ทำให้สัตวแพทย์คนใหม่มาสาย บางทีอาจหลงทางจริงอย่างไอ้เผือกว่า
“เอ่อ...” ขืนเขาตอบว่า ‘ถ้าหมอหมูมาตรงเวลา นายซันก็ไม่ต้องมารอ’ เกรงว่าจะโดนบาทาก่อนได้กินข้าวมื้อเย็นที่พ่อกับแม่เตรียมไว้แต่เมนูที่เขาชอบ
“มึงมีเบอร์เขาหรือเปล่าวะ”
ซวยแล้วไหมล่ะไอ้เผือก คุณธรณ์เขียนเบอร์ใส่กระดาษให้แล้ว แล้วมึงเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนวะ
ลูกน้องมือขวาของภูตะวันผุดลุกขึ้นฉับราวพื้นไม้เป็นของร้อน สองมือตบไปทั่วทั้งกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกง หวังว่ากระดาษแผ่นเท่าฝ่ามือยังอยู่กับตัว ใบหน้าเหลอหลาซีดลงเรื่อยๆ ตัวเลขสิบหลักบนกระดาษแผ่นนั้นคือความปลอดภัยของสัตวแพทย์เลยก็ว่าได้ หากหาไม่เจอแล้วจะติดต่อได้อย่างไร
“ทำอะไรของมึง รำคาญลูกตาชะมัด”
“เอ่อ...”
“เอ่อ เอ่อพ่อง ! ถ้าติดอ่างนักกูจะเอาตีนช่วยงัดให้” ภูตะวันตั้งท่าจะทำจริงอย่างปากว่า ฝ่าเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นจวนยันเข้าเอวไอ้เผือกอยู่รอมร่อ แต่เห็นทีว่าวันนี้คนที่เกือบถูกเขาเตะยังไม่ถึงคราวเคราะห์
“นะ...นั่นไง มาแล้ว โน่นๆๆ” เผือกโล่งอก รถที่กำลังขับเข้ามาไม่ใช่คนอื่นเป็นแน่ “นั่นไงนายซัน คันสีแดงๆ นั่นน่ะครับ”
รถยนต์คันเล็กแต่ราคาไม่เล็กแล่นตามแนวถนนดิน ฝุ่นติดตัวรถอยู่บ้างหากก็ไม่ได้ทำให้มูลค่าลดน้อยลง คนภายนอกไม่อาจเห็นได้ว่าคนขับหน้าตาเป็นเช่นไรด้วยกระจกรถติดฟิล์มดำมืด พาหนะสีชิลลีเรดเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านพักรับรอง ทว่าจนแล้วจนรอดคนในรถก็ไม่ยักลงมาสักที
“เขาคิดว่ากูเป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นเลยหรือ” ผู้ชายเปิดประตูรถให้ผู้หญิงมีแต่ในละครหลังข่าวที่มารดาเขาติดหนึบหนับเท่านั้นละ “แม่คุณช่างกล้าขับรถแดงแจ๋เข้ามาในฟาร์ม ดีหน่อยว่าฟาร์มน้องกูเป็นฟาร์มหมู ถ้าเป็นฟาร์มควายกูว่าโดนขวิดหงายท้องตั้งแต่ยังไม่พ้นรั้ว รถมินิแบบนี้ขวิดง่ายนักละ”
เผือกเกือบหลุดขำตั้งแต่คำว่าสุภาพบุรุษของเจ้านาย เขาอยู่กับภูตะวันมาแต่เล็กแต่น้อย นายซันพอมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง แต่เอาไว้ใช้กับคนในครอบครัวหรือผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้น สงสัยจะหวงไว้อัดใส่กล่องสุญญากาศส่งขายนอกโลกกระมัง
“คุณเขาน่าจะกลัวนายซัน”
“กลัวอะไร กูไม่ใช่โจร”
ไม่ใช่โจรแต่ก็ใกล้เคียง ภูตะวันหนวดเครายาวปรกหน้าปรกแก้มเนื่องด้วยไม่ได้โกนมาหลายอาทิตย์ เสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่เลอะเทอะดินหลังช่วยคนงานขุดหลุมลงกิ่งแก้วมังกรแถวใหม่ รองเท้าหนังราคาแพงซึ่งสวมอยู่เปรอะเปื้อนไม่ต่างจากเสื้อผ้า ลดทอนราคาลงเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท
“เผือกไปดูนะครับนาย”
“ไม่ต้อง” มือหนารั้งไหล่ลูกน้องไว้ ก่อนตนจะเป็นฝ่ายออกโรง “กูเอง”
ภูตะวันสาวเท้าเร็วๆ ไปยังประตูรถยนต์ฝั่งคนขับ จากนั้นจึงถือวิสาสะเปิดประตู เจ้าหล่อนช่างสะเพร่า ขับรถราคาแพงแต่ไม่รู้จักห่วงความปลอดภัย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับใครสักคนโดยตัดสินเพียงแค่รถที่ขับ
“เสด็จลงมาได้แล้วแม่คุณ จะนอนในรถเลยหรือไง”
หญิงสาวปิดตลับแป้งลงเมื่อการประทินโฉมถูกขัดจังหวะ เปลือกตาตบแต่งอายแชร์โดว์งดงามค่อยๆ ปิดลงอย่างระงับอารมณ์
นายคนนี้เป็นใครกันถึงกล้าออกคำสั่งกับเธอ
“อ๋อ เสริมสวยอยู่อย่างนั้นหรอกหรือ” หากไม่บอกว่าสัตวแพทย์คนนี้พื้นเพเป็นคนจังหวัดสระบุรี เขาคงคิดว่าเธอหลุดออกมาจากยุคอังกฤษโบราณ คนอะไรใส่หมวกตอนขับรถ ที่เมื่อครู่ขับมาช้าๆ อาจไม่ใช่เพราะกลัวรถเสียหาย แต่เป็นเพราะหมวกแปะหัวนี่บังตาจนมองทางไม่ถนัดเสียละมั้ง “รัฐบาลเขารณรงค์ให้เปิดไฟใส่หมวก คุณทำตามที่เขาบอกได้ดีนี่ แต่ติดที่สวมหมวกผิดประเภท เขาต้องสวมหมวกกันน็อกไม่ใช่หรือ”
สัตวแพทย์สาวกำหมัดแน่น ตานี่บ้าไปแล้วหรืออย่างไร เธอไปทำอะไรให้ถึงต้องข่มกันขนาดนี้
“นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน” หญิงสาวก้าวลงจากรถ ความโกรธทำให้หูอื้อตาลายไปหมด
เสียงคุ้นๆ แฮะ
“อื้อหือ จุ๊ๆๆ” ภูตะวันจุปาก สายตากวาดมองอีกฝ่ายไล่จากล่างขึ้นบน มาดามหมอหมูแต่งตัวราวกับจะไปเดินแฟชั่น รองเท้าหรือก็ส้นสูงปรี๊ด เดรสที่สวมเป็นผ้ากำมะหยี่สีดำแขนตุ๊กตา ท่อนล่างพองเหมือนสุ่มไก่ คอเสื้อเว้าลงเป็นวีเชฟ อวดร่องอกที่เขายอมรับว่าก็...ไม่ได้เล็ก “คงไม่คิดแต่งตัวแบบนี้ไปดูแลหมูในฟาร์มหรอกนะ”
“ฉันจะแต่งยังไงมันก็เรื่องของฉัน” อาชีพหมอต้องใจเย็น เธอถูกปลูกฝังมาเช่นนี้ แต่ตอนนี้ต่อให้นับหนังถึงร้อยหรือสวดมนต์สักสิบบทก็ใจเย็นไม่ไหวแล้ว
ทั้งคู่ฟาดฟันกันทางสายตาชนิดไม่มีใครยอมใคร ทว่าไม่ถึงสิบวินาทีก็ต้องร้องออกมาพร้อมกัน
“นายโย่ง ! / ยายตัวยุ่ง !”
ภูตะวันพ่นลมหายใจก่อนเบือนหน้าไปยังแนวต้นแก้วมังกรซึ่งยามนี้ไร้ดอกไร้ผล มีเพียงกิ่งเขียวๆ รอการติดตาดอก ทว่ายังน่ามองกว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาเป็นไหนๆ
“นายมาทำอะไรที่นี่” สัตวแพทย์สาวทำลายความเงียบ บางทีเธออาจดีใจหากโลกใบนี้บูดๆ เบี้ยวๆ แทนที่จะกลม
“จะมาเป็นหมอหมูฟาร์มการุณย์กาจญ์ก็ช่วยทำการบ้านหน่อยเถอะว่าเจ้าของฟาร์มนี้เขามีพี่น้องกี่คน” เจ้าของเสียงทุ้มหันกลับไปบอก
“นายหมายความว่า...”
“เธอคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นคนงานโกยขี้หมูหรอกนะยายตัวยุ่ง” ภูตะวันดักทาง
“สภาพก็ไม่เห็นจะต่างตรงไหน” ฝ่ามือเนียนนุ่มยกขึ้นปิดจมูกตัวเอง ตัวเขาก็ไม่ได้เหม็นอะไรนักหรอก แต่เธอแกล้งทำก็เพราะหมั่นไส้ล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม “และก็อย่ามาเรียกฉันว่ายายตัวยุ่ง ถ้านายจำไม่ได้ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าฉันชื่อยุ้ง”
“ใคร ?”
“จะใคร ก็คนที่ยืนคุยกับนายอยู่นี่ไงล่ะ”
“ใครถาม ?”
“นายโย่ง !!!” ยุ้งทองหมดความอดทน ภูตะวันจะตามจองล้างจองผลาญเธอไปถึงไหน คิดว่าหมดเวรหมดกรรมกันไปตั้งแต่เรียนจบมอหก ที่ไหนได้ ดันมาเจอกันอีกรอบแถมอาจจะฟาดฟันกันจนเลือดสาดหนักกว่าเมื่อครั้งเก่าก่อน
“ถ้าเธอจำไม่ได้ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าฉันชื่อซัน” ภูตะวันหยิบยกประโยคที่หญิงสาวเคยพูดไว้ขึ้นมาย้อน
“คิดเองไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องลอกคำพูดฉัน”
“จดลิขสิทธิ์ไว้อย่างนั้นสิ”
“ฉันขอลาออก” ลาออกทั้งที่ยังไม่ได้เขียนใบสมัครนี่แหละ ไม่สนแล้วว่าที่ทำงานจะเป็นจังหวัดบ้านเกิด หรือเงินเดือนที่ได้จะสูงลิบแค่ไหน เห็นหน้าภูตะวันเธอก็ตัดสินใจยกเลิกทุกอย่างได้ไม่ยาก ให้ไปทำงานไกลบ้านแบบไม่รับเงินเดือนยังสบายใจมากกว่าอยู่ร่วมฟาร์มกับนายโย่ง !
“ปอดแหก”
“นายว่าใคร !”
“ใครอยากรับก็รับไป” ภูตะวันกอดอกพินิจใบหน้าของหญิงที่ตนกำลังกล่าวหา พอมองให้ยาวกว่านั้นจึงเห็นว่าเผือกมีสีหน้าไม่สู้ดี คงสงสัยว่าเขาไปรู้จักยายคุณหนูยุ้งทองทายาทเศรษฐีค้าข้าวคนดังของจังหวัดได้อย่างไร “โตแล้วแต่ยังแยกไม่ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”
“ชักจะมากเกินไปแล้วนะ”
“จะไม่ทำงานที่นี่ก็รีบออกไปจากฟาร์มของน้องสาวฉันได้แล้ว คุยกับเธอแล้วเสียเวลาทำมาหากินจริงๆ” ชายหนุ่มผละออก แล้วจู่ก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อคำว่า ‘นายซัน’ หลุดลอดจากปากกระจับเคลือบลิปสติกสีแดงสด ภูตะวันยิ้มกับประโยคต่อมา
“ฉันจะทำงานที่นี่ และก็ไม่ได้ปอดแหกอย่างที่นายกล่าวหา”
“ก็ดี บ้านพักหลังนี้เป็นของเธอ เชิญตามสบาย” ชายหนุ่มบอกโดยที่ไม่มองคนพูด “จะลาออกวันไหนก็บอก”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองแผ่นหลังหนาไกลออกไปเรื่อยๆ ภูตะวันกระโดดขึ้นรถยนต์กระบะสี่ประตูโดยมีลูกน้องรีบร้อนตามขึ้นไปนั่งฝั่งผู้โดยสาร สัตวแพทย์คนใหม่แห่งฟาร์มสุกรการุณย์กาญจ์บิดกระโปรงตัวเองจนยับยู่ ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง คำต่อว่ากล่าวขานมากมายแล่นในหัว หากแต่พูดไม่ออกเลยสักคำเดียว มีเพียงความมุ่งมั่นเท่านั้นที่ถูกกลั่นกรองบอกผ่านสายลมหวังให้เข้าหูโจทก์เก่าเมื่อครั้งก่อน
“ฉันจะต้องทำให้นายคุกเข่าขอโทษฉันให้ได้...นายโย่งปากปีจอ” คุณหนูยุ้งทองตั้งปณิธาน
ความคิดเห็น