ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ai shi te ru. You're my heart.

    ลำดับตอนที่ #1 : chapter :1 แรกพบสบตา

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 56



     Fic story
    Sadahara Reiji X Koide Yu
     
    chapter 1
    สวัสดี! นี่คงจะเป็นคำแรกที่เราใช้ทักทายกัน และต่อจากนั้นก็แนะนำตัว ชื่อของผมคือ ยู ทำไมถึงชื่อยูน่ะเหรอ เพราะผมมีเชื้อสายญี่ปุ่นนิดหน่อยน่ะสิ พ่อของผมมีแม่เป็นคนญี่ปุ่น สรุปคือ ผมเป็นลูกครึ่งครับ หน้าตาของผมจะค่อนไปทางพ่อ ซึ่งก็ธรรมดาออกจะติดสวยไปนิดนึง พอใกล้เคียงกับแจจุงวงดงบังชินกิน่ะ แหะๆก็คงจะรู้ว่ามันเป็นยังไง
                  อันที่จริงผมเกิดที่เมืองไทยและโตที่นี่ แต่ตอนนี้ผมอายุ 18 แล้ว พ่อต้องย้ายไปญี่ปุ่น ผมกับแม่ก็เลยต้องย้ายตามไปด้วย พ่อของผมเป็นช่างภาพฮะ ส่วนแม่เป็นสไตลิส พวกท่านเจอกันที่สตูดิโอแห่งหนึ่งในโตเกียว แล้วสานสัมพันธ์กันจนเกิดมาเป็นผม ผมเป็นลูกคนเดียวฮะจึงอยู่อย่างสบายๆไม่ต้องแย่งของๆใครและใช้ชีวิตอย่างอิสระ เนื่องจากผมเป็นคนมีอัธยาศัยดีปานนางงาม ผมจึงมีเพื่อนเยอะ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ชื่นชอบผมกันทุกคน แม่ก็เลยไม่ห่วงว่าผมจะเหงา ผมก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องย้ายไปเรียนที่ญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นของผมใช้ได้เลยล่ะ เนื่องจากพ่อเคยสอนเพราะท่านบอกว่าในอนาคตคงจะได้ใช้ และวันนั้นมันก็มาถึงจริงๆไม่เสียแรงที่ผมได้เรียน
     
    สนามบินนาริตะ
    “ คนเยอะจังเลยแฮะ ” ผมบ่นพลางมองไปรอบๆตัวมีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเต็มไปหมด
    “ แม่ฮะผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะฮะ เดี๋ยวมาฮะ” ผมวิ่งไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ขนาดห้องน้ำคนยังเยอะขนาดนี้ ผมชักจะเริ่มเวียนหัวกับคนเยอะๆแล้วแฮะ ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านตู้กดน้ำอัตโนมัติ ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนด้อมๆมองๆอยู่นานสองนาน เมื่อเข้าไปใกล้ก็เข้าใจได้ทันที ผมจึงหยิบเหรียญ 10 เยน หยอดลงไปแล้วกระป๋องก็หล่นลงมา ชายหนุ่มหันมามองผมซึ่งผมก็มองตอบอย่างเป็นมิตร หน้าตาเขาก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ แต่ติดที่ว่าสายตาที่ส่งมามันไม่เป็นมิตรซะเลย จากนั้นเขาก็ล้วงกระเป๋าแล้วเดินจากไป ผมจึงได้แต่มองตามอย่างงงๆ
    “ อะไรเนี่ย...คำขอบคุณซักคำก็ไม่มี แถมยังมองตาขวางอีก ชิ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ความจริงผมไม่ได้อยากให้เขาขอบคุณอะไรหรอกนะ แต่ว่าคนเราก็ต้องมีมารยาทบ้างสิ ไม่มีใครสั่งสอนรึไงนะ หลังจากออกมาจากสนามบินแล้ว ครอบครัวเราก็มุ่งหน้าไปยังบ้านคุณย่า
                   
                    เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อต้องออกไปที่สตูดิโอเพื่อรับงาน ผมกับแม่ก็เลยได้ไปด้วย เนื่องจากแม่ก็มีส่วนช่วยในงานของพ่อ ส่วนผมน่ะเหรอ หึๆ ก็แค่อยากไปดูสถานที่ที่ดาราเขาทำงานกันน่ะครับ อ้อ! ลืมบอกไปที่พ่อของผมต้องย้ายมาอยู่ที่ญี่ปุ่น เพราะพ่อได้งานเป็นตากล้องประจำของสตูดิโอและนายแบบหน้าใหม่ที่ตอนนี้กำลังมาแรง ที่พ่อผมได้งานนี้ก็เพราะว่าท่านถ่ายภาพได้ไม่เลวเลยล่ะ แค่เพียงพูดชื่อออกไปน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักพ่อผม
    เมื่อมาถึงสตูดิโอ พ่อก็ขอแยกตัวไปพบผู้จัดการ ส่วนแม่ก็ไปยังห้องที่มีเสื้อผ้าเยอะๆ ผมจึงต้องเดินเล่นอยู่คนเดียว ด้วยความที่เหม่อลอยหน้าของผมจึงไปกระแทกกับอกของใครเข้า ผมเงยหน้าพลางกล่าวขอโทษขอโพย จากตาผมที่โตอยู่แล้วก็เบิกกว้างขึ้นอีกเมื่อมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวอมชมพู จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาสีเทาอมเขียวมรกตซึ่งไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน แต่แปลกที่คิ้วเข้มและผมสีดำ นายคนนี้มัน นายคนที่ผมให้ยืม 10 เยน นี่!
    ผมอ้าปากพะงาบๆกำลังจะพูด แต่นึกขึ้นได้ว่าผมเป็นคนไปชนเขาจึงได้แต่ขอโทษขอโพย ซึ่งเค้าก็ไม่ว่าอะไร แต่สายตานิ่งๆอย่างนี้เห็นแล้วมันหมั่นไส้ชะมัดเลยอ่ะ
    เมื่อถึงเวลางานผมเดินไปยังห้องที่พ่อกับแม่ทำงาน ในห้องนี้มีทั้งกล้อง ฉากและไฟสปอตไลท์ และอุปกรณ์มากมายสำหรับถ่ายแบบ ผมเดินไปยังมุมห้องซึ่งแม่นั่งทำงานอยู่
    “ ยู มานี่หน่อยสิ ” เสียงแม่เรียกผมดังมาจากหลังกองผ้า
    “ ว่าไงฮะแม่ ”
    “ ลูกว่าชุดนี้เป็นไงบ้าง สำหรับฤดูร้อนน่ะ” แม่ถามผมพลางเอาชุดมาทาบกับตัวผม มันก็สวยดีนะฮะแต่ติดที่ว่ามันไม่ใช่ไซต์ผม
    “ ผมว่าก็ดูดีฮะแม่ แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนน่าจะสีสันสดใสกว่านี้ ”   ปากผมพูดไปแต่มือก็เลือกชุดที่เหลือ พร้อมกับหยิบออกมาชุดหนึ่ง มันเป็นเสื้อเชิ้ตสบายๆกับกางเกงขาสั้นสามส่วน
    “ ลูกแม่นี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย เดี๋ยวแม่เอาชุดไปให้เค้าก่อนนะ” แม่แซวผมก่อนจะเดินออกไป ผมพยักหน้าพลางมองไปที่เค้าที่แม่พูดถึง
    “ ไม่น่าเชื่อ!!! หมอนี่เป็นนายแบบด้วยเหรอเนี่ย” ผมกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ไม่แปลกหรอกเพราะหน้าตาเขาก็จัดว่าอยู่ในขั้นนายแบบเลยล่ะ แต่ที่ผมไม่รู้จักเค้าเพราะว่าผมกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบในช่วงนั้นพอดี เลยไม่สนใจเรื่องอื่นในขณะที่สาวๆในโรงเรียนผมชื่นชอบเขา
    ผมเดินเข้าไปในห้องพักชั่วคราว เมื่อเข้าไปถึงผมเพิ่งนึกได้ว่า ห้องนี้นาย 10 เยน (คือผมไม่รู้จักชื่อเค้าน่ะครับ) เพิ่งเข้ามา ผมกำลังจะก้าวออกจากห้อง แต่ประตูห้องน้ำเปิดออกมาพอดี ผมจึงทำเนียนเดินไปที่ตู้กดน้ำ
    “ นายเข้ามาทำไมน่ะ” นายนั่นเริ่มพูดกับผมก่อน(ก็ไม่เชิงพูดหรอกครับ ออกจะเสียงดังไปหน่อย)
    “ เอ่อ...ฉันก็มาดื่มน้ำน่ะ” ผมยังคนทำเนียนต่อไป เขาไม่สนใจจะฟังผมด้วยซ้ำยังคงแต่งตัวต่อไป แล้วมันจะถามทำไมวะเนี่ย !!!
    “ เอ่อ...ฉันชื่อยูนะ แล้วนายล่ะ” ผมยังคงพยายามพูดกับเขา บอกแล้วว่าผมน่ะอัธยาศัยดี555+
    “ ไม่ได้ถามสักหน่อย” เพล้ง!! คุณได้ยินเสียงอะไรแตกมั๊ยฮะ? ช่วยเก็บเศษหน้าผมที.. นายนั่นยังกวนประสาทผมพร้อมกับหน้าตาเฉยชา ชิ ทำเป็นหยิ่ง หมั่นไส้โว๊ย!!!~O~
    ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ประตูก็เปิดออกมาก่อน
    “ เรจิคุง ได้เวลาแล้วนะ กล้องพร้อมแล้วล่ะ” หญิงวัยกลางคนเปิดประตูเข้ามา คาดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัว นายเรจิจึงได้แต่พยักหน้าแล้วเดินจากไป ไม่วายส่งสายตากวนส่วนที่เดินได้มาให้ผมอีก ผมรู้สึกหงุดหงิดชะมัดเพราะหมอนี่แท้ๆเลย จากนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องพลางเดินมายืนข้างๆแม่เพื่อดูหมอนี่ถ่ายแบบ ตัวจริงกับหน้ากล้องแตกต่างกันชะมัด นี่แหละนะโลกมายา รอยยิ้มของเค้าทำให้เสื้อผ้าที่แสนธรรมดาที่ผมเลือก ดูเจิดจ้าเปล่งประกาย ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเค้าได้เลย เค้าดูเป็นมืออาชีพไม่เขินอายเลยเวลาอยู่หน้ากล้องผิดกับผม ที่เวลาพ่อจะถ่ายรูปทีไรผมต้องอายกล้องทุกที ก็มันรู้สึกแปลกนี่ฮะ ที่มีคนคอยจ้องมองเราผ่านเลนส์กล้องตัวนั้น คอยจับตามองเราทุกท่วงท่า ผมถูกแม่จับแต่งตัวและเป็นนายแบบให้พ่อมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งผมอายุ 12 ผมจึงเลิกทำ ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่งานหนักอะไร แล้วก็มีคนรู้จักผมมากขึ้น แต่ผมก็รู้สึกว่าผมยังอายเหมือนเดิม ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาจ้องนี่!!!
    งานถ่ายแบบครั้งนี้ จะมีบางช็อตที่ไม่ต้องมองกล้อง หมอนั่นจะมองมาทางผมตลอด ก็อย่างที่บอกผมไม่ชอบให้ใครมาจ้อง ตอนนี้ตัวผมคงหดเหลือสองนิ้วแล้วมั้ง แต่ที่น่าโมโหก็เห็นจะเป็นสายตาเรียบเฉยของหมอนี่น่ะแหละ
    ...หน้าฉันมีอะไรติดรึไง จ้องอยู่ได้ แล้วทำไมต้องมองด้วยสายตาอย่างนั้นด้วยเล่า...
    ผมบ่นกับตัวเองพึมพำพลางเดินหนีเข้าห้องพักชั่วคราวไปพร้อมกับงีบเอาแรง
     
    ...แอ๊ด...
    เสียงเปิดประตูเข้ามาทำเอาผมตื่นแต่ผมไม่อยากลืมตาเลยง่ะ ขออีก 5 นาทีก็แล้วกันนะ
    แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างกลับเงียบกริบ เงียบจนน่าอึดอัดผมเลยไม่อดทนนอนต่อ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เจอกับหน้าคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดซึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผม
    “ นายมีอะไร มาจ้องฉันทำไมเนี่ย?” ผมถามออกไปอย่างพาลๆ แต่เค้าไม่ตอบยังคงมองผมด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่แปลกที่กลับเป็นผมเองที่หน้าร้อนผ่าวและดูลุกลี้ลุกลน ผมแอบเห็นมุมปากเค้ากระตุกยิ้มด้วยล่ะ เป็นยิ้มที่เจ้าเล่ห์ชะมัด จากนั้นเค้าหันหลังกลับแล้วเดินไปยังห้องน้ำ
                    ขณะที่ผมกำลังจะเดินทางกลับบ้าน ผมถูกแม่สั่งให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าเรจิด้วยเหตุผลที่ว่าผมเลือกเสื้อผ้าเก่ง ผมจึงต้องจำใจไปกับเขา
    ตอนนี้เรา 2 คน กำลังยืนอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า มากับหมอนี่ผมรู้สึกว่าเหมือนผมมาคนเดียว เพราะหมอนี่นั่งเงียบมาตลอดทางเลยน่ะสิ เราเดินเข้าไปเลือกเสื้อผ้า เค้ารสนิยมใช้ได้เลยล่ะ แต่คนเป็นนายแบบเนี่ยได้เปรียบชะมัด ใส่อะไรก็ดูดีไปหมดจนผมนึกอิจฉาที่ตัวเองเกิดมาตัวเล็ก ไหล่บางอ้อนแอ้น ไม่เหมือนผู้ชายบวกกับหน้าหวานๆจนหลายคนเข้าใจผิด เรจิมองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วยิ้มที่มุมปาก เขาเดินถือเสื้อมาตัวหนึ่งซึ่งผมมองแล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงใส่เสื้อผ้าสีหวานได้ขนาดนี้ เขานำมันมายื่นให้ผม ซึ่งผมก็รับมาอย่างงงๆ
    “ นายจะใส่สีนี้จริงๆน่ะเหรอ”
    “ แล้วผมใส่ไม่ได้รึไง”
    “ ก็เปล่า แค่คิดว่ามันตัวเล็กไป แล้วสีมันก็เอ่อ...หวานเกินไปสำหรับนาย” ผมพูดโดยที่ไม่กล้าสบตาเขา ผมคิดว่าถ้าผมใส่คงดูดีกว่าเค้าเป็นแน่
    “ ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ผมอยากซื้อ” พูดจบเค้าก็ยัดมันใส่มือผมพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตมาให้ ผมก็เลยจำเป็นต้องไปจ่ายเงินแทนเขา
    “ ทำไมนายต้องซื้อเสื้อผ้าเยอะๆล่ะ แล้วก็รองเท้าด้วย” ผมถามขึ้นขณะเดินตามเขา อันที่จริงไม่เรียกว่าเดินหรอก วิ่งเหยาะๆจะเหมาะกว่าเพราะเรจิขายาวกว่าผม ก้าวนึงของเขาเท่ากับสองก้าวของผม
    “ รอฉันด้วยสิ นายจะรีบไปไหนน่ะ คนอุตส่าห์มาช่วยเลือกนะ” ผมพูดพร้อมกับหอบน้อยๆ เรจิหยุดเดินพร้อมกับหันมาแล้วเอาถุงไปถือไว้ทั้งหมด จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมเดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
    “ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ”
    “ ผมอยากพักน่ะ”
    “ ชิ ความจริงฉันต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น” ผมบ่นพึมพำออกมาแต่มันก็คงไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
    “ นายนี่ เหมือนผู้หญิงชะมัด ถือของนิดเดียวก็เหนื่อยแล้ว” นายเรจิเอ่ยปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งมันขัดลูกกะตาผมเป็นที่สุด
    “ นายว่าใคร...หนอย แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะ ของๆตัวเองแท้ๆช่วยถือหน่อยก็ไม่ได้” ผมบ่นให้เจ้าตัวฟัง แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ
    “ เหนื่อยมากเลยเหรอ” อยู่ดีๆเรจิก็ถามผมขึ้นมา ผมจึงหันไปมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
    “ ก็...นิดหน่อย ก็นายเล่นก้าวซะยาวเลย ฉันเดินไม่ทันนี่” ผมพูดเสียงอ่อยๆก่อนจะบ่นกลับไปอีกรอบ
    “ เหรอ...งั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” เรจิเอ่ยปากออกมาแต่หน้าก็ยังคงก้มอยู่เหมือนเดิม
    “ ไม่เป็นไร...ว่าแต่ทำไมนายต้องซื้อเสื้อผ้าเยอะอย่างนี้ล่ะ” ผมถามไปด้วยความสงสัย ถ้าดูจากอาชีพแล้วเขาคงไม่มีวันที่จะขาดแคลนเสื้อผ้า
    “ ใช้ในการถ่ายแบบน่ะ” เขาตอบเรียบๆทำให้ผมนึกถึงตอนที่เอาเสื้อผ้าในสตูดิโอมาลอง มันไซต์ใหญ่กว่าตัวผม ที่แท้ก็ไซต์ของเรจินี่เอง
    “ เสื้อผ้าพวกนั้นนายเป็นคนมาเลือกเองเหรอเนี่ย” ผมถามพลางอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในปาก ผมหุบปากแล้วเคี้ยว มันนุ่มดีแฮะ ผมมองไปที่ช้อนมันคือวิปครีม ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามันมาจากแก้วและช้อนของผม แต่ตอนนี้มันอยู่ในช้อนของคนตรงหน้าที่ยื่นมันมาป้อนเข้าปากผม ทำเอาผมถึงกับอึ้งและรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว ผมกำลังจะอ้าปากถาม มันก็ถูกส่งเข้ามาอีกคำ ผมจึงได้แต่ส่งสายตาเป็นคำถาม
    “ กินซะ นายจะได้หุบปากและเงียบซักที” เรจิยังคงพูดหน้าตายเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่หน้าผมน่ะสิมันคงฟ้องเต็มที่แล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นหมอนั่นคงไม่ยิ้มออกมาหรอก
    หลังจากที่เราจัดการของว่างเรียบร้อย เราก็เดินมายังรถ ลืมบอกไปเราจิมีรถเป็นของตัวเองน่ะ รถมินิคูปเปอร์สีดำขาวน่ารัก คนเป็นดาราก็อย่างนี้ล่ะน้า.....น่าอิจฉาชะมัด ขณะที่เราเดินกลับมาขึ้นรถเรจิเป็นคนถือของทั้งหมด คงจะรู้สึกผิดมั้งที่ให้ผมถืออยู่คนเดียว เค้ามาส่งผมหน้าบ้านแต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ มีแต่ผมล่ะมั้งที่ขอบคุณเขาฝ่ายเดียว 
    ………………………………………………………………………………………………….........
    ตอนแรกก็ช่วยคอมเม้นหน่อยนะคะ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×