ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ภาคการค้นหา (1)
              Endless Angle
    กรุงเทพฯ ปี ค.ศ. 2006 เวลา 02.30 น. เสียงหึ่งๆ ที่ดังมาจากคอมพิวเตอร์ราคาถูกตัวเก่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ทำให้เขาละความสนใจออกไปจากหน้าจอได้เลย จนกระทั่งเค้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ข้าง ลมเบาๆ  ค่อยๆละเลียดอยู่ที่ต้นคอ  แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้หรอกที่ทำให้เค้ารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศรอบตัวทุกอย่างมันก็เหมือนเป็นใจให้เค้าคิดไปต่างๆ นานา ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเค้านั้นมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เสียงนาฬิกาเข็มรุ่นโบราณหน้าปัดสีขาวเรือนใหญ่ก็ดังอย่างต่อเนื่อง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก “ทำไมเราไม่เคยรู้สึกเลยวะว่าเสียงนาฬิกามันจะดังอย่างนี้” มันไม่แปลกหรอกเพราะว่าเสียงหึ่งๆ ที่ดังมาจากคอมพิวเตอร์ของเค้ามันเงียบไปแล้ว และมันกลับแทนที่ด้วยเสียงอื่นรอบตัวที่ดูเหมือนจะพร้อมใจกันดัง เสียงน้ำหยดที่คอยทำลายโสตประสาท เค้ารีบมองหาที่มาต้นเสียงอย่างลุกลี้ลุกลน จนเผลอไปเตะปลั๊กไฟที่หัวโต๊ะหลุดออกมา เค้าจึงรีบก้มลงไปเสียบมันกลับไปที่เดิม ไม่นานเค้าก็รู้สึกถึงความแปลกประลาดที่เกิดขึ้น  เพราะความสว่างไม่ได้หายไปพร้อมกับความซุ่มซ่ามของเขา ลมเย็นเบาๆ ค่อยๆละเลียดอยู่ที่ต้นคอของเค้าอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้นคอด้วยความกลัวทำให้เค้าไม่กล้าแม้จะเหลือบหางตาไปมองที่มาของลมนี้ด้วยซ้ำ เหงื่อจำนวนมาเริ่มผุดขึ้นมาเต็มหน้าทั้งๆที่วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนแต่ออกจะหนาวด้วยซ้ำ และในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากห้องน้ำ เค้าเหลือบตามองไปที่นาฬิกา ซิติเซน สีขาวที่ติดตรงผนัง แต่ตอนนี้มันกลับหายไปโดยทิ้งคราบฝุ่นที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาทิ้งเอาไว้ ตอนนี้ในใจของชายหนุ่มคนนี้เริ่มสับสบไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย...”เค้ารำพึงกับตัวเองเบาๆ ก่อนตัดสินใจวิ่งไปชนประตูทางออกระหว่างที่กำลังลุกขึ้นพร้อมกับแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ไม่นานเค้าก็ล้มลงเหมือนมีอะไรมาฉุดขาขวาของเค้าไว้ ทันใดนั้นแสงสว่างจากแหล่งเดียวที่มีอยู่ก็ดับลง “อะไรวะ...” เค้าสบถอกมา  เสียงมันดังพอที่จะทำให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกคนในห้องได้ยิน เค้าพยายามใช้มือทั้งสองแกะอะไรบางอย่างให้หลุดออกจากข้อเท้า “อะไรมันพันขาอยู่วะ..แน่นฉิบ” แต่ดูเหมือนความพยายามของเค้าจะไม่เป็นผลเพราะมันเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ทำไมสายไฟมันรัดแน่นอย่างนี้วะ” เค้าคิด และจากที่มันรัดที่ข้อเท้าอย่างเดียวมันก็เริ่มรัดขึ้นมาเรื่องที่ต้นขาเหมือนมีชีวิต เค้าเริ่มดิ้นเหมือนปลาที่ถูกจับอยู่ในแห มือทั้งสองก็ปาดป่ายไปทั่วหวังหาของบางอย่างมาช่วยให้หลุดจากพันธนาการนี้ แต่มันก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดไอ้สิ่งที่เค้าคิดว่ามันคือสายไฟที่หลุดออกมานั้นก็เลื้อยขึ้นมาจนถึงคอ เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั่นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มเข้าไปในสมองของเค้า แสงสว่างจางๆ แวบขึ้นมาในความคิดของเค้า แต่มันก็แค่เพียงชั่วขณะ และทุกอย่างก็มืดลงรวมถึงสติที่กำลังพล่าเลือนของเค้าด้วย “นี่เรากำลังจะตายแน่ๆ...” เค้าคิด และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารู้สึก..............................”เสร็จไปอีกหนึ่ง เหลืออีกแค่สองเท่านั้นแล้วทุกอย่างก็จะเริ่มต้น” แขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินออกมาจากเงามืดพูดขึ้นเบาๆ
    กรุงเทพฯ ปี ค.ศ.2023 เวลา 9.30 น.  ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเหมือนทุกๆ วัน แต่ก็แปลกที่วันนี้แพทกลับไม่อยากรีบลุกจากที่นอนทั้งที่วันนี้เค้ามีนัดสำคัญกับ บก. สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เค้ามองออกไปที่กำแพงด้านหน้า ทันใดนั้นจากกำแพงว่างเปล่าก็ค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นกระจกเผยให้เขาเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอก และด้วยความสูงถึง 53 ชั้นทำให้แพทเห็นวิวของนอกได้ชัดเจนและไกลได้จนถึงอาคารรัฐสภาที่มีรูปร่างเป็นโดมรูปพิรามิดสีเงินขนาดใหญ่ ซึ่งนี้มันตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสที่มีเมฆบางๆ รายล้อมอยู่ “โอย..เมื่อยจัง เฮ้อ! แต่ยังไงเข้าก็ต้องไปตามนัด” เขาคิดพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นอนภายในห้องสีขาวด้วยร่างกายเปลือยเปล่าแต่เต็มไปด้วยแผลเป็นมากมายเหมือนกับว่าชายคนนี้ได้ผ่านสมรภูมิรบมาเป็นร้อยๆแล้ว แต่แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่แผลเป็นรูปปีกนกที่ไหล่ขวา “โอ้ย!..เอาอีกแล้วท่าวันนี้จะลางไม่ดีแฮะ” เขาเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับเอามือบีบที่แผลเป็นแรงๆ เหมือนจะไล่ความเจ็บด้วยความรู้สึกที่เจ็บกว่า
    แพทเดินออกมาจาก Silver Cabana ซึ่งเป็นอพารท์เมนหรูใจกลางเมือง “อรุณสวัสดิ์ครับคุณแพทริค” ชายชราทักขึ้น “อรุณสวัสดิ์ครับบีบี” แพทตอบกลับไปเกือบจะทันทีพร้อมกับมอง บีบี ด้วยสายตาทึ่ง และสงสัยอะไรบางอย่างในตัวของชายชราคนนี้ มันเป็นเพราะ บีบี อายุ 75 แล้ว (ถ้ามันจริงอย่างที่เขาอ้าง) แต่ร่างกายเขาดูบึกบึนและแข็งแรงกว่าเด็กอายุ 20 ด้วยซ้ำไป แต่ทุกครั้งที่แพทพยายามจะถาม ชายชรากลับบ่ายเบี่ยงบอกแต่ว่ามันเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีที่เขาสัมผัสตอนที่เขาเคยทำงานที่โรงไฟฟ้าของเมืองเมื่อสมัยหนุ่มๆ เลยทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งเขาก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม แต่ถึงยังไงแพทก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันว่ามันจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่อยากจะคาดคั้นชายชราคนนี้ “วันนี้ยังแข็งแรงเหมือนเดิมนะครับ” เขาทักทายกลับโดยไม่ได้ใส่ใจกับรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากของชายชรา พร้อมกับรีบเดินขึ้นรถยนต์ที่หน้าตาคล้ายๆ เต่าทองเพื่อไปตามนัด “นา นา สเตชั่นครับ ขอด่วนนะครับผมมีนัดตอน.....สิ...” เขาพูดสั่งขึ้นกับหุ่นยนต์ขับรถพร้อมกับยกนาฬิกาที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างขวาขึ้นมาดูซึ่งตอนนี้มันบอกเวลา 9.45 น. “สิบ...สิบโมงครับ” เขารีบบอกอย่างตื่นเต้นเพราะนัดครั้งนี้สำคัญกับเขาจริงๆ สำคัญมากจนจะเปลี่ยนชีวิตของเขาตลอดไป .....
    กรุงเทพฯ ปี ค.ศ. 2006 เวลา 02.30 น. เสียงหึ่งๆ ที่ดังมาจากคอมพิวเตอร์ราคาถูกตัวเก่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ทำให้เขาละความสนใจออกไปจากหน้าจอได้เลย จนกระทั่งเค้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ข้าง ลมเบาๆ  ค่อยๆละเลียดอยู่ที่ต้นคอ  แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้หรอกที่ทำให้เค้ารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศรอบตัวทุกอย่างมันก็เหมือนเป็นใจให้เค้าคิดไปต่างๆ นานา ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเค้านั้นมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เสียงนาฬิกาเข็มรุ่นโบราณหน้าปัดสีขาวเรือนใหญ่ก็ดังอย่างต่อเนื่อง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก “ทำไมเราไม่เคยรู้สึกเลยวะว่าเสียงนาฬิกามันจะดังอย่างนี้” มันไม่แปลกหรอกเพราะว่าเสียงหึ่งๆ ที่ดังมาจากคอมพิวเตอร์ของเค้ามันเงียบไปแล้ว และมันกลับแทนที่ด้วยเสียงอื่นรอบตัวที่ดูเหมือนจะพร้อมใจกันดัง เสียงน้ำหยดที่คอยทำลายโสตประสาท เค้ารีบมองหาที่มาต้นเสียงอย่างลุกลี้ลุกลน จนเผลอไปเตะปลั๊กไฟที่หัวโต๊ะหลุดออกมา เค้าจึงรีบก้มลงไปเสียบมันกลับไปที่เดิม ไม่นานเค้าก็รู้สึกถึงความแปลกประลาดที่เกิดขึ้น  เพราะความสว่างไม่ได้หายไปพร้อมกับความซุ่มซ่ามของเขา ลมเย็นเบาๆ ค่อยๆละเลียดอยู่ที่ต้นคอของเค้าอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้นคอด้วยความกลัวทำให้เค้าไม่กล้าแม้จะเหลือบหางตาไปมองที่มาของลมนี้ด้วยซ้ำ เหงื่อจำนวนมาเริ่มผุดขึ้นมาเต็มหน้าทั้งๆที่วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนแต่ออกจะหนาวด้วยซ้ำ และในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากห้องน้ำ เค้าเหลือบตามองไปที่นาฬิกา ซิติเซน สีขาวที่ติดตรงผนัง แต่ตอนนี้มันกลับหายไปโดยทิ้งคราบฝุ่นที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาทิ้งเอาไว้ ตอนนี้ในใจของชายหนุ่มคนนี้เริ่มสับสบไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย...”เค้ารำพึงกับตัวเองเบาๆ ก่อนตัดสินใจวิ่งไปชนประตูทางออกระหว่างที่กำลังลุกขึ้นพร้อมกับแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ไม่นานเค้าก็ล้มลงเหมือนมีอะไรมาฉุดขาขวาของเค้าไว้ ทันใดนั้นแสงสว่างจากแหล่งเดียวที่มีอยู่ก็ดับลง “อะไรวะ...” เค้าสบถอกมา  เสียงมันดังพอที่จะทำให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกคนในห้องได้ยิน เค้าพยายามใช้มือทั้งสองแกะอะไรบางอย่างให้หลุดออกจากข้อเท้า “อะไรมันพันขาอยู่วะ..แน่นฉิบ” แต่ดูเหมือนความพยายามของเค้าจะไม่เป็นผลเพราะมันเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ทำไมสายไฟมันรัดแน่นอย่างนี้วะ” เค้าคิด และจากที่มันรัดที่ข้อเท้าอย่างเดียวมันก็เริ่มรัดขึ้นมาเรื่องที่ต้นขาเหมือนมีชีวิต เค้าเริ่มดิ้นเหมือนปลาที่ถูกจับอยู่ในแห มือทั้งสองก็ปาดป่ายไปทั่วหวังหาของบางอย่างมาช่วยให้หลุดจากพันธนาการนี้ แต่มันก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดไอ้สิ่งที่เค้าคิดว่ามันคือสายไฟที่หลุดออกมานั้นก็เลื้อยขึ้นมาจนถึงคอ เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั่นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มเข้าไปในสมองของเค้า แสงสว่างจางๆ แวบขึ้นมาในความคิดของเค้า แต่มันก็แค่เพียงชั่วขณะ และทุกอย่างก็มืดลงรวมถึงสติที่กำลังพล่าเลือนของเค้าด้วย “นี่เรากำลังจะตายแน่ๆ...” เค้าคิด และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารู้สึก..............................”เสร็จไปอีกหนึ่ง เหลืออีกแค่สองเท่านั้นแล้วทุกอย่างก็จะเริ่มต้น” แขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินออกมาจากเงามืดพูดขึ้นเบาๆ
    กรุงเทพฯ ปี ค.ศ.2023 เวลา 9.30 น.  ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเหมือนทุกๆ วัน แต่ก็แปลกที่วันนี้แพทกลับไม่อยากรีบลุกจากที่นอนทั้งที่วันนี้เค้ามีนัดสำคัญกับ บก. สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เค้ามองออกไปที่กำแพงด้านหน้า ทันใดนั้นจากกำแพงว่างเปล่าก็ค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นกระจกเผยให้เขาเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอก และด้วยความสูงถึง 53 ชั้นทำให้แพทเห็นวิวของนอกได้ชัดเจนและไกลได้จนถึงอาคารรัฐสภาที่มีรูปร่างเป็นโดมรูปพิรามิดสีเงินขนาดใหญ่ ซึ่งนี้มันตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสที่มีเมฆบางๆ รายล้อมอยู่ “โอย..เมื่อยจัง เฮ้อ! แต่ยังไงเข้าก็ต้องไปตามนัด” เขาคิดพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นอนภายในห้องสีขาวด้วยร่างกายเปลือยเปล่าแต่เต็มไปด้วยแผลเป็นมากมายเหมือนกับว่าชายคนนี้ได้ผ่านสมรภูมิรบมาเป็นร้อยๆแล้ว แต่แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่แผลเป็นรูปปีกนกที่ไหล่ขวา “โอ้ย!..เอาอีกแล้วท่าวันนี้จะลางไม่ดีแฮะ” เขาเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับเอามือบีบที่แผลเป็นแรงๆ เหมือนจะไล่ความเจ็บด้วยความรู้สึกที่เจ็บกว่า
    แพทเดินออกมาจาก Silver Cabana ซึ่งเป็นอพารท์เมนหรูใจกลางเมือง “อรุณสวัสดิ์ครับคุณแพทริค” ชายชราทักขึ้น “อรุณสวัสดิ์ครับบีบี” แพทตอบกลับไปเกือบจะทันทีพร้อมกับมอง บีบี ด้วยสายตาทึ่ง และสงสัยอะไรบางอย่างในตัวของชายชราคนนี้ มันเป็นเพราะ บีบี อายุ 75 แล้ว (ถ้ามันจริงอย่างที่เขาอ้าง) แต่ร่างกายเขาดูบึกบึนและแข็งแรงกว่าเด็กอายุ 20 ด้วยซ้ำไป แต่ทุกครั้งที่แพทพยายามจะถาม ชายชรากลับบ่ายเบี่ยงบอกแต่ว่ามันเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีที่เขาสัมผัสตอนที่เขาเคยทำงานที่โรงไฟฟ้าของเมืองเมื่อสมัยหนุ่มๆ เลยทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งเขาก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม แต่ถึงยังไงแพทก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันว่ามันจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่อยากจะคาดคั้นชายชราคนนี้ “วันนี้ยังแข็งแรงเหมือนเดิมนะครับ” เขาทักทายกลับโดยไม่ได้ใส่ใจกับรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากของชายชรา พร้อมกับรีบเดินขึ้นรถยนต์ที่หน้าตาคล้ายๆ เต่าทองเพื่อไปตามนัด “นา นา สเตชั่นครับ ขอด่วนนะครับผมมีนัดตอน.....สิ...” เขาพูดสั่งขึ้นกับหุ่นยนต์ขับรถพร้อมกับยกนาฬิกาที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างขวาขึ้นมาดูซึ่งตอนนี้มันบอกเวลา 9.45 น. “สิบ...สิบโมงครับ” เขารีบบอกอย่างตื่นเต้นเพราะนัดครั้งนี้สำคัญกับเขาจริงๆ สำคัญมากจนจะเปลี่ยนชีวิตของเขาตลอดไป .....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น