ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : So We Can Love :: Chapter 1
K a e
Title :: So We Can Love :: Chapter 1
Author :: ..NaR..
Rating :: PG
Pairing :: SiWon x EeTeuk
Note :: ฟิคยาวเรื่องแรกในชีวิตค่ะ แต่งทีเหงื่อตกกันเลยทีเดียว จริงๆเริ่มต้นเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้นปีค่ะ - -* แต่เพราะยังไม่มีเวลาเลยไม่ได้แต่งต่อ แต่พอมีเวลาก็เกิดอาการลังเลเยอะเหมือนกันว่าจะแต่งรอดไหมนะ แต่สุดท้ายก็คิดว่าลองสู้กันสักตั้งดีกว่า >< วันนี้เลยจับมาปัดฝุ่นแต่งจนจบพาร์ท 1 ค่ะ
สนามบินนานาชาติที่ๆมีคนจำนวนมากมาใช้กันนับล้านๆคนต่อปี ถึงตอนนี้บรรยากาศภายในสนามบินจะวุ่นวายไปกับการเดินทางเข้าออกประเทศของผู้คนจากทุกสารทิศ และถึงแม้บรรยากาศจะวุ่นวายแค่ไหนแต่ก็มีใครคนหนึ่งที่เรียกความสนใจจากผู้คนให้พากันหันมามอง
‘ปาร์ค จองซู หรือ อีทึก’ นักร้องชื่อดังที่สุดในประเทศขณะนี้ ด้วยน้ำเสียงใสๆแต่เต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ในการร้อง ก็ทำให้ อีทึก ดังได้ไม่ยากแล้ว ยังบวกกับ ตาสวยๆ หน้าหวานๆ ด้วย ยิ่งทำให้อีทึกเป็นที่สนใจของแฟนเพลงมากขึ้นไปอีก
“คิดถึงเกาหลีที่สุดเลย!!” เสียงใสๆ พร้อมรอยยิ้มสดใส ของร่างบางที่กำลังยืนรอรถของบริษัทมารับนั้นเรียกรอยยิ้มจากใครหลายคนบริเวณนั้น ให้พากันยิ้มตาม แต่กับเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวอย่าง คิม ฮีชอล กับมองว่านักร้องของเขานะเว่อร์เหลือเกิน
“เว่อร์ไปไหมฮะจองซู พูดอย่างกับนายไปอยู่เมืองนอกมาเป็น สิบๆปีงั้นแหละ นี่นายแค่ไปถ่ายเอ็มวีที่ฝรั่งเศสแค่อาทิตย์เดียวเองนะ” เอ่ยขัดนักร้องในความดูแลของตนเองไปที แต่ทำเอาคนที่โดนขัดถึงกับอมลมแก้มป่อง ทำหน้างอนๆใส่ผู้จัดการไปอีกที
“จะงอนก็งอนให้ตลอดนะจองซู นี่ฉันกะว่าจะให้นายพักผ่อนสักอาทิตย์นะ แต่เห็นนายมาทำงอนอย่างนี้ฉันรู้สึกหมั่นไส้นายจัง สงสัยต้องหางานให้ทำจะได้ไม่มีเวลามาทำหน้างอนใส่ฉันอย่างนี้” ทำเสียงขรึม หน้าบึ้งๆ ให้อีกคนใจหายเล่น ซึ่งถือว่าได้ผลเพราะคนที่ตอนแรกทำหน้างอนผู้จัดการตนเองอยู่นั้นตอนนี้กลับกลายมาทำหน้าอ้อนใส่ซะแล้ว
“อ่า ไม่เอานะฮีชอล ขอฉันพักหน่อยนะ ฉันทำงานไมได้พักมาตั้งหลายเดือนแล้ว แค่อาทิตย์เดียว ขอนะ” พูดไปพลางเกาะแขนคุณผู้จัดการไป ทำหน้าอ้อนๆใส่ แบบที่ไม่ว่าทำทีไรใครๆที่พากันเห็นก็ต้องยอมใจอ่อนให้คนๆนี้ทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง ผู้จัดการส่วนตัว
“รู้แล้วนะ ฉันก็แหย่นายเล่นไปงั้นแหละ”
“ฮาฮ่า ฉันก็รู้ว่านายแหย่เล่น ฮีชอล ฉันก็แกล้งอ้อนนายไปงั้นแหละ” บอกพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่าที่คราวนี้ได้เอาคืนผู้จัดการบ้าง ก็ทุกครั้งตัวเขาเองจะโดนผู้จัดการแกล้งแหย่ตลอด
“แสบจริงๆนะ ปาร์ค จองซูเดียวนี้” พูดพร้อมกับหยิกแขนนักร้องคนเก่งไปทีด้วยความหมั่นไส้
“เจ็บนะฮีชอล อ่า” ส่งเสียงโอดครวญพร้อมกับยกมือลูบแขนตัวเอง
“แล้วนี่ เมื่อไหร่รถจะมาซักทีล่ะ ฉันอยากกลับคอนโดไปนอนแล้ว ไปถึงจะนอนให้เต็มอิ่มเลย” ถามอีกคนพร้อมกับวาดฝันถึงการนอนที่นับว่าหาได้ยากในชีวิตของคนที่ชื่อว่า อีทึก
“แต่ฉันว่านะ นายคงไม่ได้นอนแล้วแหละ จองซู” ประโยคที่ทำให้ร่างบางถึงกับหันขวับกลับมามองหน้าผู้จัดการตนเองทันที
“ทำไมฉันถึงจะไม่ได้นอนละฮีชอล”
“นู้นไง มานู้นแล้ว” คำตอบที่ได้รับทำให้จองซู หันไปมองตามสายตาที่ฮีชอลกำลังมอง ผู้ชาย 2 คนในชุดสูทดำกำลังเดินมาถึงตัวเขาแล้ว
“สวัสดีครับคุณจองซู คุณฮีชอล” ก้มหัวทักทายบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกเจ้านาย
“มีอะไรหรอครับ คุณแทฮวาน ถึงมาหาผมถึงที่นี่” ถามด้วยความแปลกใจ เพราะถ้าไม่มีเรื่องด่วนหรือสำคัญจริงๆเขาก็แทบจะไม่ได้เจอคุณแทฮวาน ซึ่งเป็นคนติดตามของคุณนายปาร์คเลย
“คุณผู้หญิงให้ผมมารับคุณจองซูครับ ท่านมีเรื่องสำคัญที่จะคุยด้วย เชิญคุณจองซูขึ้นรถเลยครับ” บอกเหตุผลที่มารับพร้อมกับเชิญให้ขึ้นรถ ทำให้ร่างบางได้แต่ทำหน้าเป็นกังวล ดูจากท่าทางแล้วเรื่องสำคัญแน่ๆ แถมยังเชิญให้ขึ้นรถแบบนี้ บังคับกันเห็นๆ จะปฏิเสธไม่ไปก็ไม่ได้
“ไปเถอะ จองซู เดียวแม่นายจะรอนานนะ ส่วนของๆนายเดียวฉันเอาไปเก็บที่คอนโดให้” เอ่ยพร้อมดันหลังเพื่อนให้ขึ้นรถไป
“ฝากด้วยนะฮีชอล” หันมาขอบคุณผู้จัดการอีกครั้ง ก่อนที่ประตูรถจะปิด พร้อมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
หลังจากนั่งรถไปได้สักพักอีทึกก็ได้แต่แปลกใจว่าทางที่รถกำลังวิ่งอยู่นี้ ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่น่า
“เอ๊ะ? คุณแทฮวานครับ ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับ เราจะไปที่ไหนกันครับเนี้ย” ถามชายที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างคนขับด้วยความแปลกใจปนสงสัย
“ไปบ้านตระกูลชเวครับ คุณนายรออยู่ที่นั่น” แต่คำตอบที่ได้รับนั่นยิ่งทำให้คนฟังถึงกับทำสีหน้าตกใจ พร้อมกับเอ่ยถามให้แน่ใจว่าที่ตนเองได้ยินนั้นไม่ผิดใช่ไหม
“ฮะ? อะไรนะครับ บ้านตระกูลชเว”
“ใช่ครับ บ้านตระกูลชเว” ย้ำอีกครั้งให้คนที่ถามมั่นใจว่าที่ได้ยินนะถูกแล้ว
พอได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง ร่างบางได้แต่ถอนหายใจ พลางมีสีหน้าเป็นกังวลได้ชัด ไปบ้านตระกูลชเว ก็ต้องไปเจอคุณนายชเวนะสิ โอ๊ย!! แต่เจอคุณนายชเวนะก็ไม่มีอะไรหรอก แต่อีกคนที่จะต้องเจอนะสิ ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากเจอเลยจริงๆ
‘ชเว ซีวอน’ ลูกชายคนเดียวของตระกูลชเว นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้บริหารเครือชเว กรุ๊ป ที่มีกิจการโรงแรมทั้งในประเทศและนอกประเทศในเครือมากมาย ล่าสุดได้รับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี นอกจากการบริหารงานที่ดีเด่นแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกและการศึกษาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยซักนิด จึงทำให้เป็นที่หมายปองของสาวๆทั่วไป
จองซูไม่เข้าใจเลยสักนิดทำไมสาวๆถึงพากันหลงคนอย่าง ชเว ซีวอน คนนี้กันจัง นี่ถ้าลองมาได้เจออย่างที่ตัวเขาเองเจอ สงสัยคงรีบวิ่งหนีกันแทบไม่ทัน ทีกับคนอื่นล่ะพูดจากดีอย่างโน้นอย่างนี้ ทีกับตัวเขา รอยยิ้มสักนิดก็ยังไม่มีให้ ไหนจะวาจาร้ายๆที่พูดออกมาแต่ละที เขาแทบอยากจะหาอะไรมาอุดปากผู้ชายคนนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้ ถึงไม่ชอบหน้ากันนัก
ห้องรับแขกบ้านตระกูลชเว ที่ตอนนี้มีคุณนายชเว คุณนายปาร์ค และชายหนุ่มอีกคนที่ใครบางคนไม่อยากจะเจอ
กำลังนั่งคุยกันอยู่
“ไม่ได้เจอจองซูตั้งนาน ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้างนะค่ะ แล้วยังไม่สบายบ่อยๆเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าค่ะ” คุณนายชเวเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น กับการที่จะได้เจอลูกของคุณนายปาร์ค กับจองซูนั้นคุณนายชเวเอ็นดูอย่างกับเป็นลูกแท้ๆอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ แต่เพราะหน้าที่การงานของจองซูทำให้หลังๆมานี้แม้แต่แม่แท้ๆอย่างคุณนายปาร์ค จะเจอจองซูยังนับครั้งได้
“เรื่องไม่สบายนี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะแต่ก็ยังมีบ้าง จองซูเวลาทำงานแล้วไม่ค่อยจะนึกห่วงตัวเองเท่าไหร่ ยังดีที่ว่าได้ผู้จัดการเขาช่วยๆคอยดูแล ไม่งั้นก็คงแย่ค่ะ ”
“แต่หลังจากนี้ป้าคงต้องฝากซีวอนดูแลจองซูแทนป้าด้วยนะ” รอยยิ้มที่คาดหวังจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ถูกส่งมาพร้อมกับประโยคเชิงขอร้อง
“ครับ” คนที่ถูกฝากฝังได้แต่ตอบรับสั้นๆพร้อมรอยยิ้มส่งกลับไปให้
ถ้าถามว่าตอนนี้ชเว ซีวอนคนนี้พร้อมที่จะดูแลใครไหม คำตอบคือ ‘ไม่’ แต่ในเมื่อต่อจากนี้ไปทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความต้องการของผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยเลยสักนิด แต่เพียงเพื่อแม่คนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในชีวิตของเขา ถึงจะลำบากใจแค่ไหน เขาก็จะทำ
หลังจากจองซูมาถึงและทำการทักทายคุณนายชเวและกอดคุณนายปาร์คผู้เป็นแม่ให้หายคิดถึงแล้ว ก็หันมาทักทายชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ในห้อง ไม่ใช่ว่าจองซูไม่เห็นซีวอน แต่เขาไม่รู้จะเริ่มทักทายอย่างไรมากกว่า จึงเลือกที่จะพูดคุยกับผู้ใหญ่ทั้ง 2 ไปก่อนสักพัก แต่พอมาถึงตอนนี้การที่จะไม่ทักทายซีวอนก็เห็นว่าจะดูไร้มารยาทเกินไป
“สวัสดีซีวอน ไม่เจอกันตั้งนานสบายดีไหม?” เอ่ยทักทายพร้อมกับหันไปมองอีกคนให้เต็มตา
2 ปีกว่าๆ ที่ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มตรงหน้า ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้นะ จากเด็กหนุ่มร่าเริงที่ชอบกวนประสาทในสายตาเขาตอนนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่ดูสุขุมขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลิกนิสัยชอบกวนประสาทไปหรือยังนะ
“สบายดีครับ ดูจองซูเองก็คงสบายดีใช่ไหม?” ถามคนที่ตั้งคำถามมาให้กลับ พลางมองสำรวจอีกฝ่าย
ถึงแม้ตอนนี้อีกคนจะเป็นนักร้องดังแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่จากเมื่อก่อนเลยสักนิด จองซูก็ยังคงเป็นจองซูที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในจิตใจนั้นเปราะบาง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจริงๆจองซูก็ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นักหรอก ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองด้วยที่เมื่อก่อนเห็นคนๆนี้ ทีไรก็อยากจะทำให้อีกคนโมโหเล่น แถมไม่เคยจะเรียกจองซูว่าพี่ ก็เลยพาลทำให้จองซูไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นัก แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาทีไรคนที่ไม่ชอบหน้าเขาก็กลับเป็นคนที่มาร้องไห้เพื่อเขาได้ตลอดเช่นกัน
“อือ” พยักหน้าตอบรับและก็ต้องหลบสายตาที่ใครอีกคนส่งไม่ให้ สายตาที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
“แล้วมีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ ถึงตามผมมาที่นี่” หันไปมองหน้าผู้ใหญ่ทั้ง 2 แล้วถามในเรื่องที่ตนเองสงสัย
“คือน้าอยากจะให้จองซู ช่วยถ่ายภาพนิ่งโปรโมทงานการกุศลของมูลนิธิกับเด็กๆให้น้าหน่อยนะจ๊ะ ได้ไหมเอ่ย”
“ได้สิครับแค่นี้เอง”
ตอบรับคำขอทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก พร้อมกับพูดคุยรายละเอียดต่างๆที่ต้องจองซูต้องทำ การถ่ายทำโปสเตอร์ในครั้งนี้จะไปถ่ายกันที่ทะเล โดยคนที่จะดูแลงานทั้งหมดในครั้งนี้คือซีวอน แถมในเรื่องการเดินทางทั้งๆที่เขาบอกจะไปกันเองกับฮีชอลก็กลายเป็นโดนมัดมือชกให้ซีวอนคอยไปรับไปส่งเสร็จสรรพ
“จองซู ” เสียงเรียกของคุณนายปาร์คที่อยู่ดีๆก็จริงจังขึ้นมา ทำให้จองซูต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกแปลกใจ
สีหน้ากระอักกระอ่วนของทั้งคุณนายปาร์คและคุณนายชเวที่จ้องไปจ้องกันมาสลับกับมองหน้าเขา ทำให้ยิ่งรู้สึกสงสัย ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็ได้แต่ทำหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ กลับยิ่งทำให้จองซูรู้สึกกังวล
“คือแม่มีเรื่องสำคัญที่จะบอกลูก” น้ำเสียงสั่นไหวนิดๆของคุณนายปาร์ค จองซูรับรู้ได้ไม่ยากนักว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ
“แม่มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ” ถึงจะกลัวในเรื่องที่ผู้เป็นแม่จะบอก แต่ในเมื่อยังไงสุดท้ายก็ต้องรู้อยู่ดี ก็รู้ตอนนี้ไปเลยดีกว่า
“แม่กับคุณน้าจะให้ซีวอนกับลูกแต่งงานกัน”
“แต่งงาน !!”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่หลังจากที่บอกถึงการแต่งงานจองซูได้แต่นั่งเงียบ จนคุณนายปาร์คต้องพาจองซูออกมาคุยกันที่สนามหน้าบ้านกัน 2 คน
“จองซู” น้ำเสียงที่เป็นห่วงเรียกชื่อลูกชายคนเล็กของตนพลางลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดที่เริ่มร้องไห้ออกมา
“ทำไมครับ ทำไมถึงต้องให้จองซูแต่งงาน” คำถามที่สงสัยพร้อมสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตนเองเปลี่ยนไปเวลาอยู่กับแม่เพียง 2 คน ถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่น
“จองซูฟังแม่นะ” กอดคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น และเริ่มเล่าในสิ่งที่คนในอ้อมกอดถาม
“จองซูรู้ใช่ไหม ตั้งแต่คุณชเวเสียไป คุณน้ากับซีวอนก็เหลือกันอยู่แค่ 2 คน จากที่ซีวอนเคยเป็นเด็กร่าเริง เคยแหย่จองซูเล่นต่างๆนานา ก็เปลี่ยนเป็นคนที่เงียบขรึมขึ้น วันๆก็ทำแต่งานและคอยดูแลคุณน้าอย่างเดียว ถึงแม้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ ซีวอนจะยิ้มแย้ม เหมือนที่จองซูพูดกับแม่อยู่บ่อยๆว่าซีวอนยิ้มแบบนี้ดูดีกว่าตอนทำหน้าโหดคอยแกล้งจองซูซะอีก แต่จริงๆแล้ว ซีวอนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เมื่อกี้ลูกก็เห็นแล้วใช่ไหม ”
เสียงสั่นๆ ที่รับรู้ถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ตอบรับสั้นๆ ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเริ่มเล่าต่อ
“และตอนนี้คุณน้ากำลังไม่สบาย.... และอาจมีชีวิตอยู่ได้แค่อีก... 2-4 ปี” เสียงเล่าที่เริ่มขาดหายของผู้เป็นแม่พร้อมกับความตกใจของคนร่างบางที่ผละจากอ้อมกอดผู้เป็นแม่
“อะไรนะครับ” ถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาที่เกือบจะหยุดไหล ตอนนี้กับไหลลงมาเต็มใบหน้าหวานอีกครั้ง
“คุณน้าเป็นโรค ALS หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ตอนนี้คุณน้าเริ่มมีอาการหยิบจับสิ่งของไม่ค่อยสะดวก ยิ่งนานวันเข้าอาการก็จะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ และอาจอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี ตอนนี้ซีวอนก็พยายามถึงที่สุดที่จะรักษาคุณน้า แต่โรคนี้ทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ตอนนี้เรื่องเดียวที่คุณน้ายังห่วง ก็คือเรื่องของซีวอน”
“คุณน้ากลัวว่าถ้าคุณน้าเกิดเป็นอะไรไปมากกว่านี้ซีวอนจะเป็นยังไงในเมื่อไม่มีใครอยู่ข้างๆ และความหวังสุดท้ายของคุณน้าก็คืออยากเห็นซีวอนกลับมายิ้มได้อีกครั้งเหมือนก่อน และทั้งแม่และก็คุณน้าก็คิดกันแล้วว่า คนๆนั้นมีลูกเพียงคนเดียวที่จะอยู่ข้างๆและช่วยซีวอนได้”
มองสบตาลูกชายคนเล็ก ก่อนเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้าที่เริ่มหยุดร้องไห้ พลางพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากไป
“จองซูลองเอาไปคิดดูนะ ถึงแม้ตัวลูกจะไม่มั่นใจว่าลูกจะสามารถอยู่ข้างๆซีวอนได้ แต่สำหรับแม่ แม่เชื่อว่าลูกคนนี้ของแม่ต้องทำได้”
หลังจากผู้เป็นแม่เดินจากไป ร่างบางก็ได้แต่นั่งคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อก่อนซีวอนเด็กหนุ่มที่เขารู้จักเป็นคนยิ้มง่าย ร่าเริงต่อหน้าทุกคน แต่จะมีแค่กับเขาเองเท่านั้นล่ะ ที่ซีวอนชอบมาทำหน้าโหดใส่ คอยแกล้ง คอยทำให้เขาโมโหอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อกี้แม้แต่ต่อหน้าคุณน้าเองซีวอนก็ยังไม่สามารถยิ้มได้ แล้วนี่เขาควรจะทำยังไงดี ตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน อีกอย่างจะมีใครรับรองได้ไหมว่าเวลาอยู่ตามลำพังกับซีวอนเขาจะไม่โดนแกล้ง โดนยั่วโมโหอีก ถ้าจะต้องอยู่กับคนแบบนี้ทุกวัน สู้ให้เขาโดนฮีชอลบ่นจนหูชายังดีกว่าซะอีก
ได้แต่ถอนหายใจคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าแผดเสียงดังลั่นให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัว
“ว่าไงฮีชอล” กรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ ด้วยเสียงที่ยังติดสั่นเครือเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่าจองซู เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงเหมือนคนร้องไห้แบบนั้น” เสียงโวยวายที่ถามกลับมาของปลายสาย ถ้าเป็นทุกครั้งจองซูจะแกล้งโวยวายฮีชอลกลับ ว่าเป็นผู้จัดการตื่นตูม แต่กลับครั้งนี้ แม้แต่จะคิดแกล้งจองซูก็ยังไม่นึกถึง
“อือ นิดหน่อยนะ เดียวเจอหน้าแล้วจะเล่าให้ฟังนะ แล้วนี่โทรมามีเรื่องอะไร”
ก็ไหนบอกเขาว่าไม่มีงาน 1 อาทิตย์แล้วจะโทรมาหาทำไม ทุกครั้งถ้าฮีชอลรู้ว่าจองซูอยู่กับแม่นั้นจะไม่โทรหาเด็ดขาดถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เพราะถือเป็นเวลาของครอบครัว
“ท่านประธานเรียกเข้าบริษัทด่วนนะ มาได้ไหม”
“อือ ได้ งั้นเดียวเจอกันที่บริษัทนะ”
หลังจากวางสายจากฮีชอล จองซูก็เข้าไปขอโทษผู้ใหญ่ทั้ง 2 ที่ต้องกลับก่อน ส่วนเรื่องที่คุยกันไว้เขาจะให้คำตอบทีหลัง
“งั้นเดียวแม่ให้แทฮวานไปส่งลูกนะ” เอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าจะเรียกคนสนิทให้ขับรถไปส่ง แต่เสียงใสๆก็ขัดขึ้นซะก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับ เดียวผมนั่งแท๊กซี่ไปเอง ถ้าแม่ให้คุณแทฮวานไปส่งผม แล้วแม่จะกลับยังไงล่ะครับ”
“ไม่ได้นะ จองซูจะนั่งแท๊กซี่ไปได้ยังไงล่ะคนเดียว อันตราย น้าไม่ให้ไปแน่ๆ” คราวนี้เป็นคุณนายชเวที่ขัดขึ้นบ้าง
“เดียวผมไปส่งเองครับ”
หลังจากนั่งเงียบมานานซีวอนก็เอ่ยขึ้นมา เรียกความแปลกใจให้กับร่างบางที่ต้องหันไปมองคนพูดว่าที่เมื่อกี้ได้ยินนะหูไม่ได้ฝาด ร่างสูงที่กำลังลุกจากโซฟาทันทีที่พูดจบก็ย้ำให้รู้ว่าที่ได้ยินนะคือเรื่องจริง
“ไม่เป็นไรหรอกซีวอน พี่ไปเองได้” ปฎิเสธออกไปอีกครั้ง เพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับร่างสูงเพียงลำพัง
“ไปเถอะ ไปคนเดียวมันอันตราย ผมไปส่งเองนะดีแล้ว จองซูรีบไม่ใช่หรือไง” ไม่รอให้ร่างบางปฎิเสธซ้ำสาม ซีวอนเดินเข้ามาจูงมือร่างบางและพาเดินออกไปทันที
ซีวอนที่เขาเห็นตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรอ? เด็กชายที่เมื่อก่อนเคยเอาแต่พูดจาไม่เข้าหู และยังรังแกเขาด้วยมือคู่นี้ แต่ทำไมตอนนี้มาพูดจาเป็นห่วงเขา และยังมือคู่นี้ที่กำลังจูงเขาอยู่ทำไมถึงรับรู้ได้แต่ความอบอุ่นที่อีกคนมีให้
ได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของร่างสูง ที่จูงมือเดินออกมาที่รถอย่างพยายามจะค้นหาบางสิ่งที่ร่างสูงพยายามปกปิดซ่อนไว้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ร่างสูงจะปฎิบัติต่อเขาคงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย หวังว่าเขาคงจะคิดไม่ผิดนะ
ทันทีเข้ามาอยู่ในรถกัน 2 คนความอึดอัดก็ก่อตัวขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากความเงียบ จนจองซูเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเอ่ยทำลายความเงียบ
“พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” เมื่อเห็นร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต คำถามที่คาใจก็ถูกถามออกไปทันที
“ทำไมถึงยอมที่จะแต่งงานกับพี่ล่ะ” คำถามที่ไม่คิดว่าอีกคนจะถาม ก็ทำให้ร่างสูงแปลกใจไม่น้อย
“ทำไมนะหรอครับ” หันมาสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันทีที่รถติดไฟแดง
“เพราะผมอยากทำทุกๆอย่างที่ทำให้แม่มีความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต” น้ำเสียงและแววตาเศร้าๆ ที่กำลังสบตาด้วยอยู่นั้น กำลังทำให้จองซูคนนี้หวั่นไหว
“แค่นี้นะหรอ เหตุผลของนายนะ” ได้แต่สบตาร่างสูงกลับและถามต่อในสิ่งที่ยังไม่หายสงสัย
“ทำไมครับ ก็มีแค่นี้แหละ” จากนำเสียงและแววตาเศร้าๆเมื่อกี้นี้ แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่จองซูคิดว่ามันกวนโมโหเขาที่สุดและยังยื่นหน้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“หรือจองซูหวังอะไร หวังให้ผมบอกว่าผมอยากแต่งงานกับจองซู ผมรักจองซูนะหรอ?” ได้แต่เอียงใบหน้าหลบใบหน้าคมที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อย พลางดันอกร่างสูงไว้ไม่ให้ใกล้เข้ามามากกว่านี้
“ฝันไปหรือเปล่าครับจองซู”
ปิดท้ายด้วยน้ำเสียงกวนโมโหและแววตาเจ้าเล่ห์ที่เมื่อก่อนเคยมีให้เขาให้ยังไง ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ก่อนที่จะผละจากเขาหันไปขับรถต่อทันทีที่สัญญาณไฟแสดงสีเขียว
นี่เขาคิดผิดใช่ไหม? หวังมากไปรึเปล่าที่คนๆนี้ เวลาอยู่กับเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพียงแค่คิดน้ำตาก็พากันมาคลอที่นัยน์ตาสวย
“แต่พี่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน” เสียงสั่นเล็กๆที่เอ่ยบอกความต้องการนั้น ทำให้ร่างสูงที่กำลังขับรถหันมามองคนข้างกายที่นั่งก้มหน้านิ่งหลังจากเอ่ยในสิ่งที่ต้องการ
“ทำไมครับ กลัวอะไรอยู่รึไง” ถึงแม้จะรู้ว่าร่างบางกำลังจะร้องไห้ แต่ซีวอนก็ไม่คิดจะปลอบใจ เพราะเขารู้ว่ายิ่งปลอบจองซูก็มีแต่จะยิ่งร้อง เถียงกันไปแบบนี้นะดีแล้ว เพราะนิสัยแบบจองซูนะถึงจะยอมอ่อนให้ใครต่อใคร แต่กับผู้ชายอย่างเขา จองซูไม่เคยยอมเลยสักครั้ง
“เอ๊ะ กลัวอะไร หมายความยังไงฮะ ซีวอน ” เงยหน้ามาสบตาคนที่ถามคำถามได้กำกวมอย่างนึกโมโห น้ำตาที่เริ่มไหลลงมานิด ถูกเช็ดออกอย่างไม่ต้องการให้คนตรงหน้าได้เห็นน้ำตาของตัวเอง
“ก็กลัวว่าถ้าแต่งงานไป จองซูจะรักผมนะสิ” ส่งสายตากวนๆให้ร่างบางอีกครั้งก่อนจะหันไปขับรถต่อทันที
“ไม่มีทาง พี่ไม่มีทางรักนายหรอกซีวอน”
เถียงกลับอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอย่างนึกโมโหหลงตัวเองมากไปหรือเปล่า ชเว ซีวอน ปาร์ค จองซูคนนี้ไม่หลงรักนายง่ายๆหรอก
“งั้นกล้าไหมล่ะครับ ว่าถ้าแต่งงานไป จองซูจะไม่รักคนอย่างผม” ท้าทายร่างบางกลับไปอย่างคนที่อยากจะเอาชนะ
“ตกลง! พี่จะแต่งงานกับนายชเว ซีวอน”
To Be Con.
Title :: So We Can Love :: Chapter 1
Author :: ..NaR..
Rating :: PG
Pairing :: SiWon x EeTeuk
Note :: ฟิคยาวเรื่องแรกในชีวิตค่ะ แต่งทีเหงื่อตกกันเลยทีเดียว จริงๆเริ่มต้นเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้นปีค่ะ - -* แต่เพราะยังไม่มีเวลาเลยไม่ได้แต่งต่อ แต่พอมีเวลาก็เกิดอาการลังเลเยอะเหมือนกันว่าจะแต่งรอดไหมนะ แต่สุดท้ายก็คิดว่าลองสู้กันสักตั้งดีกว่า >< วันนี้เลยจับมาปัดฝุ่นแต่งจนจบพาร์ท 1 ค่ะ
สนามบินนานาชาติที่ๆมีคนจำนวนมากมาใช้กันนับล้านๆคนต่อปี ถึงตอนนี้บรรยากาศภายในสนามบินจะวุ่นวายไปกับการเดินทางเข้าออกประเทศของผู้คนจากทุกสารทิศ และถึงแม้บรรยากาศจะวุ่นวายแค่ไหนแต่ก็มีใครคนหนึ่งที่เรียกความสนใจจากผู้คนให้พากันหันมามอง
‘ปาร์ค จองซู หรือ อีทึก’ นักร้องชื่อดังที่สุดในประเทศขณะนี้ ด้วยน้ำเสียงใสๆแต่เต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ในการร้อง ก็ทำให้ อีทึก ดังได้ไม่ยากแล้ว ยังบวกกับ ตาสวยๆ หน้าหวานๆ ด้วย ยิ่งทำให้อีทึกเป็นที่สนใจของแฟนเพลงมากขึ้นไปอีก
“คิดถึงเกาหลีที่สุดเลย!!” เสียงใสๆ พร้อมรอยยิ้มสดใส ของร่างบางที่กำลังยืนรอรถของบริษัทมารับนั้นเรียกรอยยิ้มจากใครหลายคนบริเวณนั้น ให้พากันยิ้มตาม แต่กับเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวอย่าง คิม ฮีชอล กับมองว่านักร้องของเขานะเว่อร์เหลือเกิน
“เว่อร์ไปไหมฮะจองซู พูดอย่างกับนายไปอยู่เมืองนอกมาเป็น สิบๆปีงั้นแหละ นี่นายแค่ไปถ่ายเอ็มวีที่ฝรั่งเศสแค่อาทิตย์เดียวเองนะ” เอ่ยขัดนักร้องในความดูแลของตนเองไปที แต่ทำเอาคนที่โดนขัดถึงกับอมลมแก้มป่อง ทำหน้างอนๆใส่ผู้จัดการไปอีกที
“จะงอนก็งอนให้ตลอดนะจองซู นี่ฉันกะว่าจะให้นายพักผ่อนสักอาทิตย์นะ แต่เห็นนายมาทำงอนอย่างนี้ฉันรู้สึกหมั่นไส้นายจัง สงสัยต้องหางานให้ทำจะได้ไม่มีเวลามาทำหน้างอนใส่ฉันอย่างนี้” ทำเสียงขรึม หน้าบึ้งๆ ให้อีกคนใจหายเล่น ซึ่งถือว่าได้ผลเพราะคนที่ตอนแรกทำหน้างอนผู้จัดการตนเองอยู่นั้นตอนนี้กลับกลายมาทำหน้าอ้อนใส่ซะแล้ว
“อ่า ไม่เอานะฮีชอล ขอฉันพักหน่อยนะ ฉันทำงานไมได้พักมาตั้งหลายเดือนแล้ว แค่อาทิตย์เดียว ขอนะ” พูดไปพลางเกาะแขนคุณผู้จัดการไป ทำหน้าอ้อนๆใส่ แบบที่ไม่ว่าทำทีไรใครๆที่พากันเห็นก็ต้องยอมใจอ่อนให้คนๆนี้ทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง ผู้จัดการส่วนตัว
“รู้แล้วนะ ฉันก็แหย่นายเล่นไปงั้นแหละ”
“ฮาฮ่า ฉันก็รู้ว่านายแหย่เล่น ฮีชอล ฉันก็แกล้งอ้อนนายไปงั้นแหละ” บอกพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่าที่คราวนี้ได้เอาคืนผู้จัดการบ้าง ก็ทุกครั้งตัวเขาเองจะโดนผู้จัดการแกล้งแหย่ตลอด
“แสบจริงๆนะ ปาร์ค จองซูเดียวนี้” พูดพร้อมกับหยิกแขนนักร้องคนเก่งไปทีด้วยความหมั่นไส้
“เจ็บนะฮีชอล อ่า” ส่งเสียงโอดครวญพร้อมกับยกมือลูบแขนตัวเอง
“แล้วนี่ เมื่อไหร่รถจะมาซักทีล่ะ ฉันอยากกลับคอนโดไปนอนแล้ว ไปถึงจะนอนให้เต็มอิ่มเลย” ถามอีกคนพร้อมกับวาดฝันถึงการนอนที่นับว่าหาได้ยากในชีวิตของคนที่ชื่อว่า อีทึก
“แต่ฉันว่านะ นายคงไม่ได้นอนแล้วแหละ จองซู” ประโยคที่ทำให้ร่างบางถึงกับหันขวับกลับมามองหน้าผู้จัดการตนเองทันที
“ทำไมฉันถึงจะไม่ได้นอนละฮีชอล”
“นู้นไง มานู้นแล้ว” คำตอบที่ได้รับทำให้จองซู หันไปมองตามสายตาที่ฮีชอลกำลังมอง ผู้ชาย 2 คนในชุดสูทดำกำลังเดินมาถึงตัวเขาแล้ว
“สวัสดีครับคุณจองซู คุณฮีชอล” ก้มหัวทักทายบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกเจ้านาย
“มีอะไรหรอครับ คุณแทฮวาน ถึงมาหาผมถึงที่นี่” ถามด้วยความแปลกใจ เพราะถ้าไม่มีเรื่องด่วนหรือสำคัญจริงๆเขาก็แทบจะไม่ได้เจอคุณแทฮวาน ซึ่งเป็นคนติดตามของคุณนายปาร์คเลย
“คุณผู้หญิงให้ผมมารับคุณจองซูครับ ท่านมีเรื่องสำคัญที่จะคุยด้วย เชิญคุณจองซูขึ้นรถเลยครับ” บอกเหตุผลที่มารับพร้อมกับเชิญให้ขึ้นรถ ทำให้ร่างบางได้แต่ทำหน้าเป็นกังวล ดูจากท่าทางแล้วเรื่องสำคัญแน่ๆ แถมยังเชิญให้ขึ้นรถแบบนี้ บังคับกันเห็นๆ จะปฏิเสธไม่ไปก็ไม่ได้
“ไปเถอะ จองซู เดียวแม่นายจะรอนานนะ ส่วนของๆนายเดียวฉันเอาไปเก็บที่คอนโดให้” เอ่ยพร้อมดันหลังเพื่อนให้ขึ้นรถไป
“ฝากด้วยนะฮีชอล” หันมาขอบคุณผู้จัดการอีกครั้ง ก่อนที่ประตูรถจะปิด พร้อมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
-+- So We Can Love -+-
หลังจากนั่งรถไปได้สักพักอีทึกก็ได้แต่แปลกใจว่าทางที่รถกำลังวิ่งอยู่นี้ ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่น่า
“เอ๊ะ? คุณแทฮวานครับ ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับ เราจะไปที่ไหนกันครับเนี้ย” ถามชายที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างคนขับด้วยความแปลกใจปนสงสัย
“ไปบ้านตระกูลชเวครับ คุณนายรออยู่ที่นั่น” แต่คำตอบที่ได้รับนั่นยิ่งทำให้คนฟังถึงกับทำสีหน้าตกใจ พร้อมกับเอ่ยถามให้แน่ใจว่าที่ตนเองได้ยินนั้นไม่ผิดใช่ไหม
“ฮะ? อะไรนะครับ บ้านตระกูลชเว”
“ใช่ครับ บ้านตระกูลชเว” ย้ำอีกครั้งให้คนที่ถามมั่นใจว่าที่ได้ยินนะถูกแล้ว
พอได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง ร่างบางได้แต่ถอนหายใจ พลางมีสีหน้าเป็นกังวลได้ชัด ไปบ้านตระกูลชเว ก็ต้องไปเจอคุณนายชเวนะสิ โอ๊ย!! แต่เจอคุณนายชเวนะก็ไม่มีอะไรหรอก แต่อีกคนที่จะต้องเจอนะสิ ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากเจอเลยจริงๆ
‘ชเว ซีวอน’ ลูกชายคนเดียวของตระกูลชเว นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้บริหารเครือชเว กรุ๊ป ที่มีกิจการโรงแรมทั้งในประเทศและนอกประเทศในเครือมากมาย ล่าสุดได้รับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี นอกจากการบริหารงานที่ดีเด่นแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกและการศึกษาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยซักนิด จึงทำให้เป็นที่หมายปองของสาวๆทั่วไป
จองซูไม่เข้าใจเลยสักนิดทำไมสาวๆถึงพากันหลงคนอย่าง ชเว ซีวอน คนนี้กันจัง นี่ถ้าลองมาได้เจออย่างที่ตัวเขาเองเจอ สงสัยคงรีบวิ่งหนีกันแทบไม่ทัน ทีกับคนอื่นล่ะพูดจากดีอย่างโน้นอย่างนี้ ทีกับตัวเขา รอยยิ้มสักนิดก็ยังไม่มีให้ ไหนจะวาจาร้ายๆที่พูดออกมาแต่ละที เขาแทบอยากจะหาอะไรมาอุดปากผู้ชายคนนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้ ถึงไม่ชอบหน้ากันนัก
-+- So We Can Love -+-
ห้องรับแขกบ้านตระกูลชเว ที่ตอนนี้มีคุณนายชเว คุณนายปาร์ค และชายหนุ่มอีกคนที่ใครบางคนไม่อยากจะเจอ
กำลังนั่งคุยกันอยู่
“ไม่ได้เจอจองซูตั้งนาน ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้างนะค่ะ แล้วยังไม่สบายบ่อยๆเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าค่ะ” คุณนายชเวเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น กับการที่จะได้เจอลูกของคุณนายปาร์ค กับจองซูนั้นคุณนายชเวเอ็นดูอย่างกับเป็นลูกแท้ๆอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ แต่เพราะหน้าที่การงานของจองซูทำให้หลังๆมานี้แม้แต่แม่แท้ๆอย่างคุณนายปาร์ค จะเจอจองซูยังนับครั้งได้
“เรื่องไม่สบายนี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะแต่ก็ยังมีบ้าง จองซูเวลาทำงานแล้วไม่ค่อยจะนึกห่วงตัวเองเท่าไหร่ ยังดีที่ว่าได้ผู้จัดการเขาช่วยๆคอยดูแล ไม่งั้นก็คงแย่ค่ะ ”
“แต่หลังจากนี้ป้าคงต้องฝากซีวอนดูแลจองซูแทนป้าด้วยนะ” รอยยิ้มที่คาดหวังจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ถูกส่งมาพร้อมกับประโยคเชิงขอร้อง
“ครับ” คนที่ถูกฝากฝังได้แต่ตอบรับสั้นๆพร้อมรอยยิ้มส่งกลับไปให้
ถ้าถามว่าตอนนี้ชเว ซีวอนคนนี้พร้อมที่จะดูแลใครไหม คำตอบคือ ‘ไม่’ แต่ในเมื่อต่อจากนี้ไปทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความต้องการของผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยเลยสักนิด แต่เพียงเพื่อแม่คนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในชีวิตของเขา ถึงจะลำบากใจแค่ไหน เขาก็จะทำ
-+- So We Can Love -+-
หลังจากจองซูมาถึงและทำการทักทายคุณนายชเวและกอดคุณนายปาร์คผู้เป็นแม่ให้หายคิดถึงแล้ว ก็หันมาทักทายชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ในห้อง ไม่ใช่ว่าจองซูไม่เห็นซีวอน แต่เขาไม่รู้จะเริ่มทักทายอย่างไรมากกว่า จึงเลือกที่จะพูดคุยกับผู้ใหญ่ทั้ง 2 ไปก่อนสักพัก แต่พอมาถึงตอนนี้การที่จะไม่ทักทายซีวอนก็เห็นว่าจะดูไร้มารยาทเกินไป
“สวัสดีซีวอน ไม่เจอกันตั้งนานสบายดีไหม?” เอ่ยทักทายพร้อมกับหันไปมองอีกคนให้เต็มตา
2 ปีกว่าๆ ที่ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มตรงหน้า ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้นะ จากเด็กหนุ่มร่าเริงที่ชอบกวนประสาทในสายตาเขาตอนนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่ดูสุขุมขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลิกนิสัยชอบกวนประสาทไปหรือยังนะ
“สบายดีครับ ดูจองซูเองก็คงสบายดีใช่ไหม?” ถามคนที่ตั้งคำถามมาให้กลับ พลางมองสำรวจอีกฝ่าย
ถึงแม้ตอนนี้อีกคนจะเป็นนักร้องดังแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่จากเมื่อก่อนเลยสักนิด จองซูก็ยังคงเป็นจองซูที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในจิตใจนั้นเปราะบาง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจริงๆจองซูก็ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นักหรอก ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองด้วยที่เมื่อก่อนเห็นคนๆนี้ ทีไรก็อยากจะทำให้อีกคนโมโหเล่น แถมไม่เคยจะเรียกจองซูว่าพี่ ก็เลยพาลทำให้จองซูไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นัก แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาทีไรคนที่ไม่ชอบหน้าเขาก็กลับเป็นคนที่มาร้องไห้เพื่อเขาได้ตลอดเช่นกัน
“อือ” พยักหน้าตอบรับและก็ต้องหลบสายตาที่ใครอีกคนส่งไม่ให้ สายตาที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
“แล้วมีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ ถึงตามผมมาที่นี่” หันไปมองหน้าผู้ใหญ่ทั้ง 2 แล้วถามในเรื่องที่ตนเองสงสัย
“คือน้าอยากจะให้จองซู ช่วยถ่ายภาพนิ่งโปรโมทงานการกุศลของมูลนิธิกับเด็กๆให้น้าหน่อยนะจ๊ะ ได้ไหมเอ่ย”
“ได้สิครับแค่นี้เอง”
ตอบรับคำขอทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก พร้อมกับพูดคุยรายละเอียดต่างๆที่ต้องจองซูต้องทำ การถ่ายทำโปสเตอร์ในครั้งนี้จะไปถ่ายกันที่ทะเล โดยคนที่จะดูแลงานทั้งหมดในครั้งนี้คือซีวอน แถมในเรื่องการเดินทางทั้งๆที่เขาบอกจะไปกันเองกับฮีชอลก็กลายเป็นโดนมัดมือชกให้ซีวอนคอยไปรับไปส่งเสร็จสรรพ
“จองซู ” เสียงเรียกของคุณนายปาร์คที่อยู่ดีๆก็จริงจังขึ้นมา ทำให้จองซูต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกแปลกใจ
สีหน้ากระอักกระอ่วนของทั้งคุณนายปาร์คและคุณนายชเวที่จ้องไปจ้องกันมาสลับกับมองหน้าเขา ทำให้ยิ่งรู้สึกสงสัย ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็ได้แต่ทำหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ กลับยิ่งทำให้จองซูรู้สึกกังวล
“คือแม่มีเรื่องสำคัญที่จะบอกลูก” น้ำเสียงสั่นไหวนิดๆของคุณนายปาร์ค จองซูรับรู้ได้ไม่ยากนักว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ
“แม่มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ” ถึงจะกลัวในเรื่องที่ผู้เป็นแม่จะบอก แต่ในเมื่อยังไงสุดท้ายก็ต้องรู้อยู่ดี ก็รู้ตอนนี้ไปเลยดีกว่า
“แม่กับคุณน้าจะให้ซีวอนกับลูกแต่งงานกัน”
“แต่งงาน !!”
-+- So We Can Love -+-
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่หลังจากที่บอกถึงการแต่งงานจองซูได้แต่นั่งเงียบ จนคุณนายปาร์คต้องพาจองซูออกมาคุยกันที่สนามหน้าบ้านกัน 2 คน
“จองซู” น้ำเสียงที่เป็นห่วงเรียกชื่อลูกชายคนเล็กของตนพลางลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดที่เริ่มร้องไห้ออกมา
“ทำไมครับ ทำไมถึงต้องให้จองซูแต่งงาน” คำถามที่สงสัยพร้อมสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตนเองเปลี่ยนไปเวลาอยู่กับแม่เพียง 2 คน ถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่น
“จองซูฟังแม่นะ” กอดคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น และเริ่มเล่าในสิ่งที่คนในอ้อมกอดถาม
“จองซูรู้ใช่ไหม ตั้งแต่คุณชเวเสียไป คุณน้ากับซีวอนก็เหลือกันอยู่แค่ 2 คน จากที่ซีวอนเคยเป็นเด็กร่าเริง เคยแหย่จองซูเล่นต่างๆนานา ก็เปลี่ยนเป็นคนที่เงียบขรึมขึ้น วันๆก็ทำแต่งานและคอยดูแลคุณน้าอย่างเดียว ถึงแม้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ ซีวอนจะยิ้มแย้ม เหมือนที่จองซูพูดกับแม่อยู่บ่อยๆว่าซีวอนยิ้มแบบนี้ดูดีกว่าตอนทำหน้าโหดคอยแกล้งจองซูซะอีก แต่จริงๆแล้ว ซีวอนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เมื่อกี้ลูกก็เห็นแล้วใช่ไหม ”
เสียงสั่นๆ ที่รับรู้ถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ตอบรับสั้นๆ ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเริ่มเล่าต่อ
“และตอนนี้คุณน้ากำลังไม่สบาย.... และอาจมีชีวิตอยู่ได้แค่อีก... 2-4 ปี” เสียงเล่าที่เริ่มขาดหายของผู้เป็นแม่พร้อมกับความตกใจของคนร่างบางที่ผละจากอ้อมกอดผู้เป็นแม่
“อะไรนะครับ” ถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาที่เกือบจะหยุดไหล ตอนนี้กับไหลลงมาเต็มใบหน้าหวานอีกครั้ง
“คุณน้าเป็นโรค ALS หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ตอนนี้คุณน้าเริ่มมีอาการหยิบจับสิ่งของไม่ค่อยสะดวก ยิ่งนานวันเข้าอาการก็จะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ และอาจอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี ตอนนี้ซีวอนก็พยายามถึงที่สุดที่จะรักษาคุณน้า แต่โรคนี้ทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ตอนนี้เรื่องเดียวที่คุณน้ายังห่วง ก็คือเรื่องของซีวอน”
“คุณน้ากลัวว่าถ้าคุณน้าเกิดเป็นอะไรไปมากกว่านี้ซีวอนจะเป็นยังไงในเมื่อไม่มีใครอยู่ข้างๆ และความหวังสุดท้ายของคุณน้าก็คืออยากเห็นซีวอนกลับมายิ้มได้อีกครั้งเหมือนก่อน และทั้งแม่และก็คุณน้าก็คิดกันแล้วว่า คนๆนั้นมีลูกเพียงคนเดียวที่จะอยู่ข้างๆและช่วยซีวอนได้”
มองสบตาลูกชายคนเล็ก ก่อนเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้าที่เริ่มหยุดร้องไห้ พลางพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากไป
“จองซูลองเอาไปคิดดูนะ ถึงแม้ตัวลูกจะไม่มั่นใจว่าลูกจะสามารถอยู่ข้างๆซีวอนได้ แต่สำหรับแม่ แม่เชื่อว่าลูกคนนี้ของแม่ต้องทำได้”
-+- So We Can Love -+-
หลังจากผู้เป็นแม่เดินจากไป ร่างบางก็ได้แต่นั่งคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อก่อนซีวอนเด็กหนุ่มที่เขารู้จักเป็นคนยิ้มง่าย ร่าเริงต่อหน้าทุกคน แต่จะมีแค่กับเขาเองเท่านั้นล่ะ ที่ซีวอนชอบมาทำหน้าโหดใส่ คอยแกล้ง คอยทำให้เขาโมโหอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อกี้แม้แต่ต่อหน้าคุณน้าเองซีวอนก็ยังไม่สามารถยิ้มได้ แล้วนี่เขาควรจะทำยังไงดี ตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน อีกอย่างจะมีใครรับรองได้ไหมว่าเวลาอยู่ตามลำพังกับซีวอนเขาจะไม่โดนแกล้ง โดนยั่วโมโหอีก ถ้าจะต้องอยู่กับคนแบบนี้ทุกวัน สู้ให้เขาโดนฮีชอลบ่นจนหูชายังดีกว่าซะอีก
ได้แต่ถอนหายใจคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าแผดเสียงดังลั่นให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัว
“ว่าไงฮีชอล” กรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ ด้วยเสียงที่ยังติดสั่นเครือเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่าจองซู เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงเหมือนคนร้องไห้แบบนั้น” เสียงโวยวายที่ถามกลับมาของปลายสาย ถ้าเป็นทุกครั้งจองซูจะแกล้งโวยวายฮีชอลกลับ ว่าเป็นผู้จัดการตื่นตูม แต่กลับครั้งนี้ แม้แต่จะคิดแกล้งจองซูก็ยังไม่นึกถึง
“อือ นิดหน่อยนะ เดียวเจอหน้าแล้วจะเล่าให้ฟังนะ แล้วนี่โทรมามีเรื่องอะไร”
ก็ไหนบอกเขาว่าไม่มีงาน 1 อาทิตย์แล้วจะโทรมาหาทำไม ทุกครั้งถ้าฮีชอลรู้ว่าจองซูอยู่กับแม่นั้นจะไม่โทรหาเด็ดขาดถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เพราะถือเป็นเวลาของครอบครัว
“ท่านประธานเรียกเข้าบริษัทด่วนนะ มาได้ไหม”
“อือ ได้ งั้นเดียวเจอกันที่บริษัทนะ”
หลังจากวางสายจากฮีชอล จองซูก็เข้าไปขอโทษผู้ใหญ่ทั้ง 2 ที่ต้องกลับก่อน ส่วนเรื่องที่คุยกันไว้เขาจะให้คำตอบทีหลัง
“งั้นเดียวแม่ให้แทฮวานไปส่งลูกนะ” เอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าจะเรียกคนสนิทให้ขับรถไปส่ง แต่เสียงใสๆก็ขัดขึ้นซะก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับ เดียวผมนั่งแท๊กซี่ไปเอง ถ้าแม่ให้คุณแทฮวานไปส่งผม แล้วแม่จะกลับยังไงล่ะครับ”
“ไม่ได้นะ จองซูจะนั่งแท๊กซี่ไปได้ยังไงล่ะคนเดียว อันตราย น้าไม่ให้ไปแน่ๆ” คราวนี้เป็นคุณนายชเวที่ขัดขึ้นบ้าง
“เดียวผมไปส่งเองครับ”
หลังจากนั่งเงียบมานานซีวอนก็เอ่ยขึ้นมา เรียกความแปลกใจให้กับร่างบางที่ต้องหันไปมองคนพูดว่าที่เมื่อกี้ได้ยินนะหูไม่ได้ฝาด ร่างสูงที่กำลังลุกจากโซฟาทันทีที่พูดจบก็ย้ำให้รู้ว่าที่ได้ยินนะคือเรื่องจริง
“ไม่เป็นไรหรอกซีวอน พี่ไปเองได้” ปฎิเสธออกไปอีกครั้ง เพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับร่างสูงเพียงลำพัง
“ไปเถอะ ไปคนเดียวมันอันตราย ผมไปส่งเองนะดีแล้ว จองซูรีบไม่ใช่หรือไง” ไม่รอให้ร่างบางปฎิเสธซ้ำสาม ซีวอนเดินเข้ามาจูงมือร่างบางและพาเดินออกไปทันที
ซีวอนที่เขาเห็นตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรอ? เด็กชายที่เมื่อก่อนเคยเอาแต่พูดจาไม่เข้าหู และยังรังแกเขาด้วยมือคู่นี้ แต่ทำไมตอนนี้มาพูดจาเป็นห่วงเขา และยังมือคู่นี้ที่กำลังจูงเขาอยู่ทำไมถึงรับรู้ได้แต่ความอบอุ่นที่อีกคนมีให้
ได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของร่างสูง ที่จูงมือเดินออกมาที่รถอย่างพยายามจะค้นหาบางสิ่งที่ร่างสูงพยายามปกปิดซ่อนไว้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ร่างสูงจะปฎิบัติต่อเขาคงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย หวังว่าเขาคงจะคิดไม่ผิดนะ
-+- So We Can Love -+-
ทันทีเข้ามาอยู่ในรถกัน 2 คนความอึดอัดก็ก่อตัวขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากความเงียบ จนจองซูเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเอ่ยทำลายความเงียบ
“พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” เมื่อเห็นร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต คำถามที่คาใจก็ถูกถามออกไปทันที
“ทำไมถึงยอมที่จะแต่งงานกับพี่ล่ะ” คำถามที่ไม่คิดว่าอีกคนจะถาม ก็ทำให้ร่างสูงแปลกใจไม่น้อย
“ทำไมนะหรอครับ” หันมาสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันทีที่รถติดไฟแดง
“เพราะผมอยากทำทุกๆอย่างที่ทำให้แม่มีความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต” น้ำเสียงและแววตาเศร้าๆ ที่กำลังสบตาด้วยอยู่นั้น กำลังทำให้จองซูคนนี้หวั่นไหว
“แค่นี้นะหรอ เหตุผลของนายนะ” ได้แต่สบตาร่างสูงกลับและถามต่อในสิ่งที่ยังไม่หายสงสัย
“ทำไมครับ ก็มีแค่นี้แหละ” จากนำเสียงและแววตาเศร้าๆเมื่อกี้นี้ แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่จองซูคิดว่ามันกวนโมโหเขาที่สุดและยังยื่นหน้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“หรือจองซูหวังอะไร หวังให้ผมบอกว่าผมอยากแต่งงานกับจองซู ผมรักจองซูนะหรอ?” ได้แต่เอียงใบหน้าหลบใบหน้าคมที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อย พลางดันอกร่างสูงไว้ไม่ให้ใกล้เข้ามามากกว่านี้
“ฝันไปหรือเปล่าครับจองซู”
ปิดท้ายด้วยน้ำเสียงกวนโมโหและแววตาเจ้าเล่ห์ที่เมื่อก่อนเคยมีให้เขาให้ยังไง ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ก่อนที่จะผละจากเขาหันไปขับรถต่อทันทีที่สัญญาณไฟแสดงสีเขียว
นี่เขาคิดผิดใช่ไหม? หวังมากไปรึเปล่าที่คนๆนี้ เวลาอยู่กับเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพียงแค่คิดน้ำตาก็พากันมาคลอที่นัยน์ตาสวย
“แต่พี่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน” เสียงสั่นเล็กๆที่เอ่ยบอกความต้องการนั้น ทำให้ร่างสูงที่กำลังขับรถหันมามองคนข้างกายที่นั่งก้มหน้านิ่งหลังจากเอ่ยในสิ่งที่ต้องการ
“ทำไมครับ กลัวอะไรอยู่รึไง” ถึงแม้จะรู้ว่าร่างบางกำลังจะร้องไห้ แต่ซีวอนก็ไม่คิดจะปลอบใจ เพราะเขารู้ว่ายิ่งปลอบจองซูก็มีแต่จะยิ่งร้อง เถียงกันไปแบบนี้นะดีแล้ว เพราะนิสัยแบบจองซูนะถึงจะยอมอ่อนให้ใครต่อใคร แต่กับผู้ชายอย่างเขา จองซูไม่เคยยอมเลยสักครั้ง
“เอ๊ะ กลัวอะไร หมายความยังไงฮะ ซีวอน ” เงยหน้ามาสบตาคนที่ถามคำถามได้กำกวมอย่างนึกโมโห น้ำตาที่เริ่มไหลลงมานิด ถูกเช็ดออกอย่างไม่ต้องการให้คนตรงหน้าได้เห็นน้ำตาของตัวเอง
“ก็กลัวว่าถ้าแต่งงานไป จองซูจะรักผมนะสิ” ส่งสายตากวนๆให้ร่างบางอีกครั้งก่อนจะหันไปขับรถต่อทันที
“ไม่มีทาง พี่ไม่มีทางรักนายหรอกซีวอน”
เถียงกลับอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอย่างนึกโมโหหลงตัวเองมากไปหรือเปล่า ชเว ซีวอน ปาร์ค จองซูคนนี้ไม่หลงรักนายง่ายๆหรอก
“งั้นกล้าไหมล่ะครับ ว่าถ้าแต่งงานไป จองซูจะไม่รักคนอย่างผม” ท้าทายร่างบางกลับไปอย่างคนที่อยากจะเอาชนะ
“ตกลง! พี่จะแต่งงานกับนายชเว ซีวอน”
To Be Con.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น