ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูล

    ลำดับตอนที่ #67 : วิเคราะห์นิยาย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 32
      0
      31 ม.ค. 56




    การวิจารณ์หรือการสับนิยายน้น มีหลายคนชื่นชอบการสับนิยายกัน แต่ส่วนใหญ่เท่าที่อ่านยังสับได้ไม่ถูกวิธี
    หรือไม่ก็เข้าไปสับเพราะเกิดหมั่นไส้ จงใจเข้าไปด่า เข้าไปหาเรื่องทำให้เจ้าของนิยายเสียหายมากกว่า
    และก็มีอีกหลายต่อหลายคนที่อยากสับนิยายบ้าง แต่ไม่รู้จะสับอย่างไรดี เพราะไม่มีพื้นฐาน หรือไม่กล้าสับ
    ผมมีวิธีการสับนิยายอย่างง่ายๆ ใครก็ทำได้มาสอนเล็กน้อย เพื่อให้ทุกคนอ่านนิยายกันอย่างได้อรรถรส ได้ประโยชน์ และเป็นการพัฒนาฝีมือ
    เพราะการสับนิยายก็คือการฝึกเทคนิคการแต่งนิยายของเราเอง เพื่อให้การแต่งของเราเฉียบคมยิ่งขึ้น ปิดจุดบกพร่องในตัวนิยายของเรา
    ซึ่งมีความจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ผ่านการพิจารณาแล้ว แต่บก.ยังให้เรากลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ เป็นต้น

    อันดับแรก เรามาทำความเข้าใจก่อนว่า การสับ(วิจารณ์)นิยายนั้น สำคัญมากที่ผู้สับต้อง

    1. วิจารณ์อย่างไม่มีอคติเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง ไม่ว่าจะเป็นฉันทคติ (ลำเอียงเพราะรักใคร่)  โมหคติ (ด้วยความโกรธแค้น) อันเป็นไปในลักษณะการก่อเพื่อทำลาย
    2. ต้องไม่ยึดมั่นต่อสิ่งใดมากเกินไป ควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
    3. วิจารณ์โดยไม่ใช้ภาษาที่โอ้อวด หยิ่งลำพอง
    4. พึงระลึกไว้ว่าการวิจารณ์คือการชี้จุดเด่นจุดด้อยของเจ้าของผลงาน เพื่อช่วยยกระดับนิยายให้มีคุณภาพมากขึ้น

    วิธีการสับ

    ก่อน อื่นต้องหัดอ่านนิยายอย่างละเอียดใคร่ครวญ สังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตั้งคำถามกับเนื้อเรื่องได้  การวิจารณ์คือการเพิ่มเวลาในการอ่านอย่างมีวิจารณญานนั่นเอง

    ที่ สำคัญการอ่านต้องไม่ปล่อยตัวไปกับตัวบทวรรณกรรม จนถูกครอบงำหรือถูกชักจูงจากผู้แต่ง เคลิบเคลิ้มไปกับตัวบท คือเราการอ่านแบบถอยออกมาเพื่อเพ่งพินิจ (Perceptive) ไม่ให้ตกหลุมพรางแห่งความเวทนา (Pathelic Fallacy) คือการที่ผู้อ่านเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับตัวละครหรือเนื้อเรื่อง จนเกิดความหลงใหลและขาดความเป็นกลาง

    การสับที่ดีต้องรู้จักแยกนิยายออกเป็นส่วนๆ สำหรับการพินิจพิจารณา เพื่อให้ง่ายต่อการวิจารณ์และวิจารณ์อย่างมีหลักเกณฑ์
    องค์ประกอบของนิยายรวมถึงการวิจารณ์ในแต่ละส่วนนั้นมีดังนี้

    ชื่อเรื่อง (Name)
    ชื่อ มีความสำคัญไม่แพ้เนื้อเรื่อง เพราะมันคือด่านแรกที่ทำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับนิยาย การสับนั้น เราต้องดูว่าชื่อเรื่องน่าสนใจ จำง่าย ชวนให้ติดตามอ่านเนื้อในหรือไม่ ชื่อเรื่องควรเป็นอะไรที่แปลก ท้าทาย มีปริศนาอยู่ในที ชื่อเรื่องจะมีความสัมพันธ์กับการเปิดเรื่องหรือปุริมบทและมีผลต่อเนื้อ เรื่อง

    โครงเรื่อง (Plot)
    โครงเรื่องเปรียบเหมือนกระดูกสันหลัง คือเหตุการณ์ของการทำให้เกิดเรื่องขึ้นและดำเนินไปจนจบ การสับต้องสังเกตดูว่าผูกเรื่องได้ดีหรือไม่ สมเหตุสมผลไหม ที่ประกอบกันเป็นเนื้อหา เช่น เรื่องราว บรรยากาศ เวลา ปัญหาข้อขัดแย้ง และข้อคิดมีความน่าสนใจหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องสอดคล้องมีไหม

    ฉาก (Setting)
    สิ่ง แวดล้อม  เวลา และสถานที่ในเรื่อง เวลาสับดูว่าเกิดขึ้นที่ไหน ระยะเวลาฤดูกาลใด บรรยากาศพาให้เกิดความรู้สึกเช่นไร มีการพรรณนาฉากผู้แต่งบรรยายได้ชัดเจนหรือไม่ ฉากใดบ้างที่ทำได้ดี ประทับใจเพียงใด หรือการสร้างฉาก คนแต่งได้เตรียมอารมณ์ให้ผู้อ่านเข้ากับเหตุการณ์ที่ปรากฎขึ้นดีเพียงไหน

    ตัวละคร (Character)
    ดู ว่าในเรื่องนั้นมีตัวละครสำคัญๆ กี่ตัว ตัวประกอบกี่ตัว แต่ละตัวอยู่ในวัยไหน คนแต่งแสดงบุคลิกลักษณะของตัวละครออกมาได้เด่นชัดหรือไม่ มีลักษณะรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัยอย่างไร สมจริงเหมือนคนทั่วๆ ไปหรือไม่ ตัวละครแต่ละตัวมีบทบาทต่อเนื้อเรื่องมากน้อยเพียงไหน

    บทสนทนา (Dialouge)
    บท พูดนั้นถูกวางน้ำหนักความสำคัญสำหรับการเคลื่อนหรือดำเนินเรื่องโดย ผ่านกระแสสำนึก เราต้องพิจารณาว่าบทพูดคุยทำให้ผู้อ่านรู้สึกสมจริงสมจังเหมือนได้ร่วมฟัง ด้วยหรือไม่ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเป็นความจริงหรือไม่ บทสนทนามีความน่าเบื่อหน่ายหรือไม่ การสนทนาได้ให้ข้อมูลทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมถึง ทัศนคติ ความสนใจ รวมถึงปฏิกิริยาต่อเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ หรือไม่
    สรุปคือ บทพูดน่าสนใจ น่าติดตาม มีประโยชน์มีจุดประสงค์ชัดเจนหรือไม่ มิใช่นึกอะไรได้ก็ใส่ๆ ไป ทำให้ซ้ำซากวกวนจนเป็นขยะรุงรังในเนื้อเรื่อง

    กลวิธีการดำเนินเรื่อง (Point of View)
    ก่อนอื่นต้องตั้งคำถามว่า เรื่องนี้ใครเป็นผู้เล่าเรื่อง นักเขียนเล่าเอง(มุมมองที่ 3) หรือตัวละครเป็นผุ้เล่า (มุมมองที่ 1)
    ถ้านักเขียนเล่าเอง คือใช้มุมมองสายตาพระเจ้า ซึ่งรู้เรื่องทั้งหมดทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเหตุการณ์ ทุกความคิดของตัวละคร
    ถ้าเป็นตัวละครเล่า จะต้องจำกัดแต่ความคิด และเห็นเท่าที่ตัวละครเห็น เล่าเท่าที่ตัวละครรู้ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขัดแย้งต่อตัวเอง
    การสับ เราต้องดูว่าผู้แต่งเลือกใช้กลวธีการเล่าให้เกิดประโยชน์มากแค่ไหน มองเหตุการณ์จากจุดใด เล่าอย่างเป็นกลางแค่ไหน เสนอเรื่องแบบไหน เช่น การดำเนินเรื่องตามปฏิทิน แบบเล่าย้อน แบบต่างสถานที่สลับไปมา เป็นต้น
    กลวิธี การดำเนินเรื่องนั้นๆ ได้เปิดเผยให้ผู้อ่านทราบแค่ไหน สมจริงสมจังเข้มข้นแค่ไหน และที่สำคัญมีความสอดคล้องกลมกลืนกันหรือไม่ การเล่ามุมมองหนึ่งโดยที่ไม่เผลอหลุดไปใช้อีกมุมมองหนึ่งหรือไม่
    พึงระลึกไว้ว่า การดำเนินเรื่องที่ดีจะทำให้นิยายของคุณดูเป็นมืออาชีพมากแม้ว่าส่วนอื่นจะอ่อนด้อยก็ตาม!

    การเปิดเรื่องหรือปุริมบท (Opening หรือ Exposition)
    การ เปิดเรื่องเป็นสิ่งสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง ดูว่าผู้แต่งใช้วิธีใดในการเปิดเรื่อง เช่น เปิดด้วยบทสนทนา เปิดด้วยการวางฉาก เปิดด้วยการบรรยายตัวละคร เปิดด้วยพฤติกรรมของตัวละคร
    ดูว่าเปิดเรื่องได้มีเสน่ห์หรือน่าสนใจชวนให้ติดตามหรือไม่ เกิดความกระหายที่จะอ่านต่อหรือไม่อย่างไร มีปมอะไรซ่อนอยู่หรือไม่

    การดำเนินเรื่อง (Movement of the Story)
    การสับ ต้องสังเกตดูว่าผู้แต่งใช้ตัวละครใดเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง มีการโยงเรื่องติดต่อไปเป็นลำดับๆ เร้าใจหรือไม่ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญรออยู่ข้างหน้าหรือไม่ อืดอาดยืดยาดหรือไม่ มีสัมพันธภาพไหม เหตุการณ์ที่ดำเนินมีความยาวเหมาะสมกับเนื้อหาที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอหรือ ไม่
    การดำเนินเรื่องต้องมีเงื่อนงำ ความขัดแย้ง และขัอขัดแย้งได้ทวีซับซ้อนมากขึ้นๆ จนดำเนินไปถึงจุดที่เขม็งเกลียวที่สุด จนกระทั้งแตกหัก เกิดความเปลี่ยนแปลก แล้วผ่านไปให้ได้ซึ่งเรียกว่า จุดไคลแม็กซ์ (Climax) ซึงจะเป็นช่วงน่าติดตามที่สุด ทำให้อยากรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร
    ความสนุกของเรื่องอยู่ที่ วิธีหน่วงเหนียว (Suspense) อย่าเปิดให้ผู้อ่านรูปไปเสียหมด ต้องให้รู้สึกพิศวงว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อนำไปสู่ภาวะคลี่คลายของเรื่อง (Falling Action)


    การปิดเรื่อง (Ending)
    ต้องดูว่าผู้แต่งมีเจตนาให้จบเรื่องโดยให้ผู้อ่านรุ้สึกอย่างไร เช่น
    ให้ข้อคิด จบแบบทิ้งให้คิดที่ไม่มีข้อยุติชัดเจน หรือไปคิดต่อเอาเองตามสภาพพื้นฐานชีวิต
    จบแบบพลิกความคาดหมาย
    จบแบบเศร้า
    จบแบบมีความสุข
    หรือจบแบบเสียดสีเย้ยหยัน เป็นต้น
    ไม่ว่าจะจบแบบไหน ให้ดูว่าจบมีความน่าประทับใจ ให้จดจำเพียงใด

    แก่นเรื่อง (Theme)
    สารัตถะ ของเรื่อง คือศูนย์รวม ที่สุดของเนื้อหา คือเป้าหมายหลักที่ผู้แต่งต้องการสำเสนอ ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นจุดที่วิเคราะห์วิจารณ์ยากที่สุด
    ต้องดูว่านับ ตั้งแต่การเปิดเรื่อง ดำเนินเรื่อง จนกระทั่งจบเรื่อง ผู้แต่งควบคุมเรื่องราวเพื่อต้องการแสดงให้เห็นในสิ่งที่ต้องการนำเสนอต่อ ผู้อ่านหรือไม่
    บรรลุเป้าหมายชัดเจนไหม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์ และสังคมได้กว้างขวางลึกซึ้งหรือไม่ เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ยกระดับจิตใจ ให้ผู้อ่านเกิดสติปัญญาหรือไม่
    หรือผู้อ่านสามารถสรุปเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นแนวความคิดรวบยอดได้ตรงตามที่ผู้แต่งต้องการสื่อมากแค่ไหน



    ทั้งหมดที่กล่าวมาคือการสับนิยายอย่างง่ายๆ หรือก็คือพื้นฐานการวิจารณ์วรรณกรรม
    การสับนิยายแต่ละเรื่องอยู่ที่ลีลาของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องตายตัว การจบการสับที่ดีคือ สอดแทรกหรือเสนอแนะความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย

    งาน เขียนไม่ใช่สิ่งที่ควรอ่านเพื่อฆ่าเวลาหรือหาความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว การอ่านแบบนั้นเป็นเสมือนเลือกกินแต่น้ำมะพร้าวเท่านั้น และทิ้งเนื้ออันอ่อนนุ่มและหวานละมุนไปเสีย..

    เรื่องที่อ่านทุก เรื่องไม่ว่าดีหรือแย่ ได้ให้ประโยชน์แก่ทุกคนไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม เรื่องแย่จะให้เราได้สังเกตเห็นข้อบกพร่อง เรื่องดีคือตัวอย่างที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×