คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Stage 1 - บทเพลงแห่งความตาย(version2.5)
Stage 1 – บทเพลงแห่งความตาย
เสียงเพลงประหลาดดังแว่วออกมาจากโบสถ์หลังนั้น สิ่งนั้นเองที่ทำให้ขาของเด็กชายเคลื่อนไหวเข้าไปหา มันช่างดึงดูดเขาได้อย่างลึกล้ำราวต้องมนตร์สะกด บทเพลงอันแสนเศร้าและท่วงทำนองช้าๆนั่นกำลังหลอกหลอนอยู่ในจิตใจของเขา ราวกับจะย้ำว่ายังไงๆก็ห้ามลืมเพลงนี้ไปเด็ดขาด
หญิงสาวคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางโบสถ์นั้น เธอนั่นเองที่เป็นคนร้องเพลง เด็กชายก้าวเท้าเข้าไปหาหวังจะได้ยินเสียงเพลงชัดๆ เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าคนอื่นๆที่อยู่ในโบสถ์นั้นมีสภาพเป็นเช่นไร บ้างก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง บ้างก็เอาแต่สวดอ้อนวอนอย่างไม่ลืมหูลืมตา หลายคนที่พร่ำร้องไห้ระงม หลายคนที่ทะเลาะกันอย่างป่าเถื่อน และอีกหลายคน... ที่อยู่ในสภาพจมกองเลือด
เสียงเพลงได้หยุดไปเมื่อเด็กชายเข้ามาในระยะประชิด หญิงสาวก้มลงมายืนยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นช่างอบอุ่นน่าถวิลหาอย่างที่ทำให้โลกทั้งใบของเขาสว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเป็นมา อบอุ่น...อย่างที่เด็กกำพร้าระเหเร่ร่อนอย่างเขาไม่เคยได้รับ
มือของเธอลูบหัวเขาช้าๆ สัมผัสหนึ่งที่หล่อนได้หยิบยื่นให้ชวนให้เด็กชายนึกถึงบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตที่เรียกกันว่าพ่อแม่ แต่ทำไมสิ่งที่เขาได้รับจากพวกเขากลับเป็นความกระด้างเย็นชาไม่มีเหลียวแล และทำไมความอบอุ่นที่เขาได้รับไม่ได้มาจากพวกเขาแต่มาจากหญิงคนนี้กัน
“เพลงนี้ชื่อว่าอะไรเหรอ” เด็กชายถามอย่างใคร่รู้และเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา นัยน์ตากลมโตของเขาเป็นประกายสดใสสมวัย คนโดนถามยิ้มน้อยๆก่อนจะกอดเขาเข้าเต็มอก มือเรียวยังคงลูบหัวเด็กน้อยตรงหน้าไม่วาง
“เพลงนี้ไม่มีชื่อ...หนุ่มน้อยจะตั้งชื่อให้เพลงนี้ได้ไหม”
“ให้ฉันตั้งให้เหรอ?”
คำตอบมีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อย เด็กชายแย้มรอยยิ้มก่อนหันไปมามองสภาพรอบตัวแล้วเอ่ยปาก
“ชื่อ...ชื่อเหรอ...งั้นเพลงนี้ชื่อว่า...อืม...ดิแอนเดอทัสเป็นไงล่ะ”
“ดิแอนเดอทัส? แปลว่าอะไรเหรอจ๊ะหนุ่มน้อย ฟังดูแปลกจังเลย”
“ภาษาเซเรโทน่ะ แปลว่า...” ไม่ทันขาดคำ แสงหนึ่งก็แผ่มายังประตูโบสถ์ ก่อนที่เสียงแห่งความพินาศอันสนั่นหวั่นไหวจะตามมาทีหลัง
“...ความตาย”
ตูมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!
สิ้นสรรพเสียงนั้นเอง สติของเด็กชายก็ดับวูบไป
“ไม่อ๊าวววว!!!!! ยังไงๆฉันก็ไม่ไปบ้านเจ๊เด็ดขาดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!” เสียงแหลมตะโกนก้องถึงความต้องการของตัวเอง เสียงนั้นดังก็ดัง แหลมก็แหลม ทั้งดังทั้งแหลมอย่างที่เพียงพยางค์แรกก็เล่นเอาทุกคนที่ได้ยินต้องพากันปิดหูไปเป็นแถบ
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!! จะแหกปากอะไรนักหนายะ หนวกหู!!!!!!!!!” และอีกเสียงที่แปดหลอดไม่แพ้กัน แหลมและดังอย่างที่ยากหาไหนต่อกรได้ทัดเทียม
“พอซะทีได้มั้ย!!! สงสารหูชาวบ้านเค้ามั่ง!!” เสียงที่สามที่ดังขึ้นเพิ่มอีก และคราวนี้เอาทั้งสองเสียงแรกอยู่หมัด คนหนึ่งลูบหัวป้อยๆ ส่วนอีกคนหันมามองอย่างอารมณ์เสียด้วยสิ่งที่คุค้างอยู่เมื่อครู่
“ว่าฉันก็ไม่ได้นะจูปิไต ก็ไอ้ลิงเกย์นี่มันแหกปากมันก่อน”แอมเบอร์ อิลเลนนอยส์ สาวน้อยจากตระกูลมาเฟียใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด เส้นอารมณ์ของเจ้าหล่อนเต้นปุดๆอย่างน่ากลัวว่ามันจะแตกออกมาในไม่ช้าไม่นานนี้ คนห้ามเพียงถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนโบกมือลาแล้วหันกลับไปนั่งที่เหมือนเก่า
“เจ๊ก็...ฉันไม่อยากไปบ้านเจ๊นี่นา เอลไลย่าต่างหากบอกแต่ว่าจะไปๆไม่ฟัง ฉันก็เลยต้องเพิ่มระดับเสียงกันหน่อย ถ้าจะโทษก็ไปโทษเอลไลย่าโน่น” เคอัส เฟลมไมร์ เจ้าคนจอมกวนที่จริงๆแล้วเป็นถึงรัชทายาทเมืองไฮยาซินท์ บัดนี้เอ่ยเสียงแผ่วพร้อมเอานิ้วชี้จิ้มกันจึ้กๆอย่างน่ารักน่าถีบเป็นยิ่งนัก
“อ้าว?!” คนถูกโบ้ยความผิดให้อ้าปากหวอพลางทำตาโต “ไหงโบ้ยมาให้ฉันซะล่ะเคเค นายเองไม่ใช่เหรอที่เอาแต่บ่นว่าเบื่อน่ะ”
เจ้าลิงน้อยที่ถูกว่าแยกเขี้ยวงุดก่อนสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง ดวงเนตรสีเพลิงสบเข้ากับนัยน์ตาสีอเมธิสต์คู่สวยอย่างขอความช่วยเหลือ คนโดนขอให้ช่วยจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างเหนื่อยหน่ายกับเซนต์ธอร์ หมาป่าเพื่อนยากในอ้อมแขนและพยักหน้ารับ
“เอาน่า ปิดเทอมทั้งทีนี่นา เที่ยวไปหลายๆที่ก็ดีนะจะได้เห็นอะไรเยอะแยะหน่อย อีกอย่างเราเองก็มารบกวนอยู่ที่นี่นานแล้ว ฉันว่าไม่ค่อยดีนักหรอก” ‘ที่นี่’ ที่นาธานพูดถึงนั้นไม่ใช่ที่ไหน หากแต่เป็นเมืองเดอะฟิฟท์มูน บ้านเกิดของเจมิไน ที่พวกเขาได้มาเที่ยวใหม่อีกครั้งตามคำเชิญชวนของบารอน แอชเชอร์ ผู้เป็นทั้งบุคคลที่ร่ำรวยและทรงอำนาจอันดับต้นๆของดาว อีกทั้งยังเป็นพ่อของเจมิไน แอชเชอร์ เจ้าชายแสนสงัดของกลุ่ม
“มันก็จริงน่ะนะ แล้วยังอีตาจาร็อดอะไรนั่นอีก มองมาแต่ละทีเอาแต่จงเกลียดจงชังอยู่ได้ อึดอัดเต็มทน” แอมเบอร์บ่นเสริม ในมือของเจ้าหล่อนยังใช้สิ่งที่เคอัสเรียกว่า ‘ไม้ไอติม’ ขัดเล็บสุดรักสุดหวงอย่างขะมักเขม้น หารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นทำให้เด็กสาวผู้เรียบร้อยที่อยู่ข้างๆนามเมอร์ลินด้าออกอาการ
“แอมเบอร์จ๊ะ อย่าพูดอย่างนั้นสิ เจ้าบ้านเขาได้ยินเข้าจะเสียใจเอานะ” สิ้นคำพูด นัยน์ตาของแอมเบอร์เบิกกว้างก่อนตวัดฉับไปมองบุคคลเจ้าบ้านตามคำบอก เธอละการขัดเล็บลง ก่อนเดินเข้าไปหาอย่างสำนึกผิด
“ขอโทษนะจ๊ะเจมิไน... แอมเบอร์ไม่ได้ตั้งใจ...” เด็กหนุ่มอมยิ้มน้อยๆก่อนส่ายหน้าไปมาเมื่อได้ฟังคำขอโทษที่ฟังดูจริงใจเป็นที่สุด
“ไม่เป็นไร ก็จาร็อดอยากมองอย่างนั้นเอง” คำพูดประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างจากสาวเจ้า ก่อนที่คุณเธอจะเดินร่ากลับไปขัดเล็บเหมือนเก่าอย่างอารมณ์ดี
“ปัญหาอยู่ที่ว่าแล้วเราจะไปที่ไหน” คนที่เงียบมาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยขึ้น หนังสือเล่มหนาถูกวางไว้ข้างกายเมื่อผู้อ่านอ่านจบแล้ว มือหนาขยับแว่นสายตากรอบดำให้เข้าที่ อีกไม่นานเขาก็คงต้องลามันทีเพราะจะได้ทำเลสิคด้วยวิทยาการล่าสุดของเดอะฟิฟท์มูนแล้ว ที่เหลือก็คือเวลา มีคนมากมายทีต้องรอการทำเลสิคนั่น แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น จะใช้เส้นพ่อเพื่อนก็ไม่ใช่นิสัยของเขาซะด้วยสิ
“ฉันว่าต้องไปบ้านเพื่อนเราคนใดคนหนึ่ง จะได้กินฟรีอยู่ฟรี!” เคอัสออกความเห็นเสียงดังลั่น นั่นเองที่ทำให้เขาโดนมาดามเขกหัวเข้าให้ข้อหาพูดเสียงปกติธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขาไม่เป็น
“คิดแต่เรื่องแบบนี้นะยะนายน่ะ”
อาหารมื้อค่ำสุดหรูถูกจัดการเรียบภายในเวลาไม่กี่นาที โดยมีผู้นำใหญ่ที่คงใช่ใครอื่นไม่ได้นอกจากเคอัสซึ่งโดนตามสวดจากแอมเบอร์เสมอตลอดระยะการกิน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังขึ้นไม่ขาดสายตลอดเวลาชวนให้ครึกครื้น จนเมื่อมาถึงคราวเหมาะสมแล้ว พวกเด็กๆจึงขอตัวไปจัดการสัมภาระเพื่อการเดินทางครั้งต่อไป
หลังจากปรึกษากันมาได้พักหนึ่งก่อนเวลารับประทานอาหารค่ำ พวกเด็กๆตัดสินใจกันได้แล้วว่าคราวนี้จะไปทัวร์บ้านของนาธานกัน ซึ่งเจ้าบ้านเองก็ออกปากรับคำว่าจะบริการทุกคนอย่างดี โดยการหารือเริ่มต้นที่เคอัสอยากกินแซลมอนอบซอสฝีมือแม่นาธานที่เฮียท่านบอกว่านาธานเล่าให้ฟังว่าอร่อยมากเมื่อนานมาแล้ว ส่วนจูปิไตก็เห็นด้วยเพราะอยากไปสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ของเทือกเขาเปอร์ซิอุสที่ร่ำลือกันว่าหนาวที่สุดของดาว ในขณะที่เอลไลย่าอยากเห็นมีขาว แอมเบอร์อยากเห็นออโรร่า ส่วนเมอร์ลินด้าเสนอไอเดียว่าน่าจะเอาเซนต์ธอร์ไปฝากกับครอบครัวมาทอร่า เพราะการเลี้ยงสัตว์ในโรงเรียนคงไม่ดีต่อส่วนรวมเท่าไรนัก
“ถ้าได้ไปดูพร้อมกับเจมิไนล่ะก็....” คุณเธอเปรยพร้อมทำหน้าฝันหวาน สักพักก็หันมากรี๊ดกร๊าดเขินอายยกใหญ่ ซึ่งตามมาด้วยเสียงแขวะของเจ้าลิงกังปากไม่มีหูรูดเจ้าเก่า
“ก็อะไรล่ะเจ๊ อย่าบอกนะว่าจะฉวยโอกาสตอนเจมิไนเผลอจับปล้ำทำเมีย?”
พลันนั้นเองที่เจ้าหล่อนหน้าแดงจัดด้วยความโมโห ฝ่ามือขาวยกขึ้นข้างกายก่อนจะรวบรวมพลังไฟฟ้าให้กลายเป็นลูกบอลแล้วขว้างใส่เคอัสเต็มแรง!!
บอลลูกกลมๆขนาดกลางพุ่งเข้าใส่ตรงเป้า โดยหามีผู้ใดปัดป้องหรือทำลายบอลลูกนั้นให้สลายไปไม่!
“จ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง ก่อนที่เจ้าตัวจะลงไปชักแด่วอยู่บนพื้นพร้อมสภาพควันไหม้ลอยขึ้นจากตัวจางๆ
และแล้ววาระการหารือก็จบลงที่เด็กๆตกลงกันว่าจะไปบ้านนาธานกัน
“ไปนะครับ/ค่ะ” เด็กๆกล่าวลากับทางตระกูลแอชเชอร์ ก่อนที่จะทยอยกันขึ้นยานขับเคลื่อนทางอากาศ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกขายเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มีเพียงเจมิไนที่รอขึ้นยานช้ากว่าใครเพื่อน เพราะมัวร่ำลากับทางครอบครัวอยู่
“เที่ยวให้สนุกนะลูก แล้วอย่าทำให้บ้านเพื่อนเดือดร้อนล่ะ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยซะนะจ๊ะ” ผู้เป็นแม่สั่งเสียพร้อมกับลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ครับ” เจมิไนเอ่ยรับสั้นๆ
“เจอของดีก็หอบกลับมาฝากด้วยล่ะ” จินไนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี
“ไม่ต้องกลับมาเลยก็ดี” จาร็อดลอบพูดด้วยเสียงเบา แต่ดูเหมือนไลเดียที่ยืนอยู่ข้างๆกันนั้นจะได้ยิน เลยไม่วายปราดสายตาดุๆมาให้
นายบารอนผู้พ่อซึ่งยืนเงียบมาตลอดนั้น บัดนี้ก็ได้โอกาสเดินออกมาข้างหน้าเพื่อกล่าวทิ้งท้ายกับลูกชาย
“โชคดี” แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆเพียงสองพยางค์ แต่คนฟังก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของคนเป็นพ่อที่เจือผ่านมาทางน้ำเสียงทุ้มที่พูดออกมาอย่างชัดเจน
“ครับ ไปนะครับ” พูดจบ เจ้าชายแห่งเสียงสงัดก็ขึ้นยานตามคนอื่นๆไป ภาพสุดท้ายที่เห็นของครอบครัว คือภาพที่ทุกคนยืนส่งเขาจนลับสายตา
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะ” เอลไลย่าถามเมื่อเดินทางมาได้พักหนึ่งแล้ว แม้จะฆ่าเวลาด้วยการเล่นกับเซนต์ธอร์ก็ตาม แต่เพราะอยากเห็นบ้านนาธานเร็วๆ อะไรๆเลยดูน่าเบื่อไปหมด
“ก็อีกไม่นานหรอกมั้ง จากจุดนี้ไปถึงนั้นก็ 10,235 กิโลเมตร 36 เมตร 14 เซน...” ทั้งที่ห้องสมุดเคลื่อนที่ยังตอบไม่จบก็โดนเบรกไว้ก่อน
“นายเนี่ยน้า ช่วยตอบอะไรที่มันไม่ใช่วิชาการกว่านี้ได้มั้ย” เคอัสกล่าวอย่างเหลืออด “อย่าลืมสิว่าฉันกับเอลี่ไอคิวต่ำ”
คนถูกหางเลขมองไปยังเจ้าคนปากพล่อยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะได้แต่ถอนหายใจ เพราะที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเรื่องจริง
“ถูกของนายเคอัส”
“ว่าแต่ฉันชักหิวแล้วแฮะ” เคอัสบ่น ทันใดนั้นสายตาของเจ้าลิงกังก็สว่างพรึ่บราวเปิดหลอดไฟพานาโซนิคที่ได้พลังงานจากกระแสไฟฟ้าหลายล้านโวลต์ บ่งบอกถึงแผนชั่วที่จะเริ่มใช้ป่วนมาดามจอมจุ้นของเขาให้ฮาเล่น ว่าแล้วเจ้าตัวก็เล่นละครสวมบทนางเอกสำออยก่อนหนีไปซบอกเจมิไน
“สามีขาาาาาาาาา ภรรยาหิวข้าวแล้วค่ะ กระซิกๆ”
คนทั้งยานอึ้งอยู่เพียงครู่ ก่อนที่เอลไลย่าและนาธานจะเริ่มยิ้มเพราะขำ ส่วนแอมเบอร์ก็โกรธจัดตามระเบียบ
“เนี่ยดูสิคะ ลูกของเราก็หิวแล้วเหมือนกัน” เจ้าตัวยุ่งยังพล่ามต่อ ไม่ว่าเปล่ายังหยิบมือของเจมิไนที่เบิกตาด้วยความแปลกใจตั้งแต่เมื่อครู่มาลูบท้องตัวเองเล่น
“เดี๋ยวก่อนนะยะไอ้ลิงเกย์สมองไข่มด!!! ไม่ทราบว่าไปทำกับเจมิไนของฉันตอนไหน!!!”
“อุ๊ย ตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้วฮ่า ก็สามีอะฮั้นน่ะเค้าบอกว่าอยากได้ทายาทเร็วๆ ก็เลยมากดอะฮั้นถึงห้องแล้วก็...แล้วก็...อ๊ายยยยยยยยย!!!!!!!!” เคอัสตีบทแตกที่ขนาดเอลไลย่าเองยังนึกในใจว่าถ้าเจ้าเพื่อนคนนี้ไปเป็นดาราตลกแทนอาชีพเจ้าชายคงรุ่งไม่เลวเลยทีเดียว
“หุบ-ปาก-พล่อย-พล่อย-ของ-แก-นะ-ยะ” มาดามแห่งสายฟ้าตะโกนลั่นชัดถ้อยชัดคำ พลันทันใดที่บอลพลังไฟฟ้าเริ่มก่อตัวขึ้นบนมือคุณเธออีกครั้ง เจ้าชายแสนสงัดที่ลิงกังเคยไปซบอกเล่นมุขก็ถีบส่งมาให้ถึงที่ด้วยความยินดี
“จ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!”
เอลไลย่าและนาธานขำก๊ากขึ้นมาอีกระลอก แอมเบอร์พ่นลมออกมาทางจมูกด้วยความโกรธจัด เจมิไนนั่งนิ่งแต่นัยน์ตาบอกถึงอารมณ์มาคุ จูปิไตส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย ส่วนเมอลินด้าได้แต่นั่งปิดตาเพราะทนดูสภาพของเพื่อนเธอไม่ได้
เอาเถอะ ยังไงก็เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน!
“ฉันว่าเราน่าจะปรับอุณหภูมิให้ลดลงกว่านี้อีกนะ” จูปิไตเอ่ยท่ามกลางความเงียบ เนื่องจากทุกคนนั่งบนยานมาได้นานมากพักหนึ่งแล้ว หลายคนก็เริ่มเบื่อแล้วหาอะไรทำ พอมีอะไรทำก็ทำจนเบื่อ พอเบื่อก็กลับสู่ภาวะไม่มีอะไรทำอีกครั้ง และพอไม่มีอะไรทำจึงลงท้ายด้วยการ ‘นอน’
“อย่า...ฮัดชิ้ว!...เลยน่า แค่นี้ฉันก็..ฮัด!...หนาวจนจะแข็งตายแล้ว” เจ้าลิงกังประจำกลุ่มว่าพลางปากสั่น ในขณะที่จมูกก็จามเอาๆ แต่คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อจูปิไตกดรีโมตปรับอุณหภูมิอีกครั้ง เห็นดังนั้นแล้ว เคอัสจึงฉวยโอกาสแย่งผ้าห่มของนาธานที่อยู่ข้างๆมาห่มซ้อนทับอีกเป็นชั้นที่สอง
“ฉันไม่เข้าใจเลยจูปิไต เมื่อกี้อยู่อุ่นๆก็ดีแล้วแท้ๆ จะมาทำให้เย็นลงทำไม” เอลไลย่าว่าบ้างพลางซุกตัวลงไปในผ้าห่ม พร้อมกอดตัวเองแน่น
ห้องสมุดเคลื่อนที่ไม่ได้ตอบอะไรทันที มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ จูปิไตเดินกลับมายังที่นั่งเพื่ออ่านหนังสือเล่มหนาที่พกติดตัวต่ออีกครั้ง เรียกเสียงประท้วงให้กลับไปปรับอุณหภูมิให้เป็นเหมือนเดิมจากทั้งเอลไลย่าและเคอัส
“เอาอุ่นๆเหมือนเดิมเถอะน่า”
“ใช่ ฉันเกลียดหวัดรู้มั้ย”
“...ก็ได้” คำอนุญาตที่ออกมาเรียกรอยยิ้มได้จากคนประท้วงทั้งสอง “ถ้านายอยากลงจากยานปุ๊บแล้วตายปั๊บน่ะนะ”
เมื่อนั้นเองที่เสียงประท้วงขาดหายไป
“เค...เค...อัส...เค...อัส...เค...”
หือ
“เคอัส”
ใครเรียก
“ตาบ้าเคอัส!! เจ้าลิงเกย์สมองไข่มด! เจ้าลิงทึ่ม! บอกมาซิว่าปลุกตั้งนานแล้วเมื่อไหร่จะตื่นซะที!!!”
มาดาม!!
พรวด!!!!
เคอัสรีบลุกขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่น พลันทันใดที่มองสบสายตาอันลุกพรึ่บดังไฟเผาของมาดาม ตัวเขาก็ต้องล้มลงไปนอนกับโซฟาใหม่
“จ๋าเจ๊ ก็ตื่นให้เจ๊แล้วไงล่ะ ว่าแต่ที่นี่...” เสียงหัวเราะแหบแห้ง ในขณะที่สายตาก็มองไปทั่ว เมื่อตัดสินใจในอีก 10 นาทีให้หลัง (แอมเบอร์หนีไปขัดเล็บแล้ว) ได้ว่าที่ที่ตนอยู่ไม่ใช่ในยาน เจ้าลิงก็ร้องดัง
“เจ๊!! ที่นี่มันที่ไหนน่ะ ไม่ใช่ยานเรานี่!! อย่าบอกนะว่าระหว่างทางยานเราตก ฉันกับเจ๊เลยถูกใครที่ไหนไม่รู้ช่วยกลับมา แต่จริงๆแล้วเขาช่วยเรามาเพื่อจะจับต้มกิน!!!!” ข้อสันนิษฐานมั่วๆจากเจ้าลิงบ้าทำให้เธอแทบกรี๊ดแตก แอมเบอร์ละจากการขัดเล็บสุดรักสุดหวงแล้วย่างก้าวด้วยท่วงท่านางงามมาฟาดหัวบุคคลไอคิวต่ำ ก่อนจะเท้าสะเอวแล้วแจกแจง
“เงียบเลยย่ะ ฟังให้ดีนะ พวกเรามาถึงบ้านนาธานตั้งแต่ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่รู้ลิงที่ไหนเอาแต่หลับอุตุ ของก็ไม่ช่วยขน แถมยังเป็นภาระให้คนอื่นมาแบกเข้าบ้านอีก”
ลิงกังพยักหน้า ก่อนจะ(เพิ่ง)บิดขี้เกียจช้าๆ เพื่อทำลายบรรยากาศมาคุระหว่างเขากับเจ๊ ระหว่างที่บิดโน่นบิดนี่จึงถามอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วใครแบกมาล่ะเจ๊”
แอมเบอร์ทำสีหน้าลำบากใจที่จะอธิบายเล็กน้อย แต่เมื่อนั้นที่สายตาสบเข้ากับร่างของคำตอบที่นอกหน้าต่าง เธอจึงบอกให้เคอัสหันไปดูกลุ่มคนที่ผ่าฟืนกลางทุ่งหิมะด้านนอก
“โน่น คนโน้น แต่ฉันไม่รู้ชื่อเขาหรอกนะ”
“เสื้อเขียวเหรอเจ๊”
“เปล่า นั่นต่างหาก เสื้อดำที่อยู่ข้างๆกันน่ะ”
พลันทันใดที่เคอัสได้ร้องจ๊ากจนสลบเหมือดไปอีกรอบ แอมเบอร์จึงกลับไปนั่งขัดเล็บต่อที่เก้าอี้บุกำมะหยี่ตัวนุ่ม
จะอะไรซะอีก ก็ในเมื่อคนที่อุ้มเจ้าลิงเป็นบุคคลที่หุ่นล่ำบึ้กปลาบึกเรียกพี่ ผิวดำกรำแดด แผลเต็มเต็มตัว แต่กลับนุ่งน้อยห่มน้อยยังกับดาราคาเฟ่ยังไงยังงั้น!
...แต่จะมีใครรู้หรือไม่
ลำนำใหม่จะเกิดขึ้นที่ทุ่งหิมะแห่งนี้!!!
ของแถม
COMIC VERSION p.1
___________________________________________________________
สวัสดีครับ The World ครับ (ขอเรียกตัวเองสั้นๆว่านาย w แล้วกันนะครับ)
ก็จบแล้วนะครับสำหรับตอนที่หนึ่ง หวังว่าจะได้รับความสนใจจากทุกท่านครับ (แต่งตั้งแต่ปีที่แล้ว เพิ่งจะจบตอนที่หนึ่งปีนี้...)
ขอแจ้งกับทุกท่านเลยนะครับว่าการที่ผมอัพแต่ละเวอร์ชั่น ไม่ใช่แค่เอามาลงเพิ่มเท่านั้น แต่ผมยังตรวจทานและแก้ไขบางส่วนด้วย
(แต่ก็ไม่ได้กระทบกับเนื้อหาหลักมาก) และทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงจะเห็นของแถมกันแล้วนะครับ (อับอาย)
เพิ่งคิดได้ว่าใช้ดินสอมันไม่เวิร์คจริงๆครับ คราวหลังจะลองตัดเส้นกับถมดำดูแล้วกันครับ
ใครมีอะไรแนะนำเชิญคอมเมนต์บอกได้ตามสบายครับ หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับฟิคเรื่องนี้ครับ แล้วเจอกันครับ
ความคิดเห็น