ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [Feel The Love] Chapter 2
[Feel The Love] 2
ความรักคือสิ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัส....
มันคือความรู้สึกที่ผมมองข้ามมันหรือเปล่า????
เช้าวันใหม่...วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตารางงานของเหล่าสมาชิก Super Junior แน่นเอี้ยด แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าสมาชิกก็ยังนอนตื่นสายกันอยู่ดี....
"ตื่นๆๆๆ สายโด่งขนาดนี้แล้ว ยังนอนเป็นลิงสันหลังยาวอยู่ได้ตื่นๆๆๆ" ลีดเดอร์ของวงตะโกนเสียงดังพลางเคาะประตูตามห้องนอนของคนอื่นๆ ด้วยความรีบร้อน ก็วันนี้เล่นมีงานกันตั้งแต่เช้า สมาชิกบางคนก็ยังตื่นสายอีก มันน่านัก!!!
"ตื่นแล้วล่ะน่า โวยวายไปได้" คังอินเอ่ยเสียงงัวเงียพลางจ้องมองใบหน้าอีทึกอย่างพินิจ
"มองหน้าฉันทำไม ไปเลยไอ้หมี ไปอาบน้ำเลยไป!!!" อีทึกตวาดกลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนคังอินก็ได้แต่มองตาละห้อย สงสัยแผนการอ้อนด้วยสายตาของคังอินมันคงขวางหูขวางตาของลีดเดอร์คนนี้มากเกินไปซะแล้วล่ะ
"คยูฮยอน มานอนที่ห้องรับแขกได้ไงฮะนาย" อีทึกร้องโวยวายขึ้นอีกเมื่อเห็นน้องเล็กของวงนอนขดอยู่บนโซฟายาว
"คือว่า...พี่ไปทำงานเถอะอย่าห่วงผมเลย" คยูฮยอนเอ่ยอย่างระวังเพราะกลัวเรื่องที่ซองมินนอนกรนแล้วเขาเกิดทนฟังเสียงนั้นไม่ได้ต้องถูกแพร่ออกไป และนี้มันก็อาจทำให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
"ไปๆๆ ไปนอนในห้องซะ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกรอบหรอก"
ขณะที่คยูฮยอนกำลังเดินผ่านห้องนอนของฮีชอลนั้น สายตาของเขาก็หันไปเจอะกับฮีชอลกำลังถือกระจกบานเล็กอยู่ และดูเหมือนฮีชอลเองจะดูรักดูหวงกระจกนั้นเป็นพิเศษ แผนการต่างๆของเขาจึงค่อยๆผุดขึ้นมาทีละนิด
"พวกฉันไปทำงานก่อนล่ะ ฮันคยองนายก็ไม่ได้ไปทำงานหนิ อยู่ดูแลคยูฮยอนด้วยล่ะกัน" สิ้นเสียงของอีทึกคยูฮยอนตกใจเล็กน้อย แต่พอคิดดูดีๆ รายการที่เหล่าสมาชิกจะไปถ่ายนั้น ทางรายการจำกัดให้เพียงคนที่เป็นคนเกาหลีขึ้นเท่านั้น โดยฮันคยองเป็นคนจีนจึงไม่มีสิทธิอัดรายการนี้ไปโดยปริยาย
"ฉันไปนอนต่อล่ะ" ฮันคยองเอ่ยพลางเดินเข้าห้องนอนของตัวเองอย่างไม่สนใจคำสั่งของอีทึกที่สั่งให้ดูแลคยูฮยอนเลย
"นอนยังไม่พออีกหรือไง" คยูฮยอนสบถอย่างหน่ายๆ ฮันคยองหันกลับมาชายตามองเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับไป
....ว่างจัด
คยูฮยอนคิดในใจพลางกวาดสายตามองไปรอบๆบ้าน มันดูเงียบมากๆ เมื่อเหล่าพี่ๆทั้งหลายไม่อยู่ แต่ทั้งๆที่ในบ้านนี้มีคนอยู่กัน 2 คน คือ เขา และ ฮันคยอง แต่ร่างบางกลับรู้สึกว่าเขาอยู่บ้านคนเดียวซะมากกว่า...
ร่างบางเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมายในบริเวณบ้าน แต่เมื่อเดินผ่านห้องนอนของฮีชอลอีกครั้ง เขาก็นึกถึงแผนที่เขาคิดไว้ตั้งแต่เช้าได้ เมื่อเดินเข้ามาในห้อง ร่างบางกวาดสายตามองหากระจกบานเล็กที่ฮีชอลส่องในตอนเช้า และเจ้ากระจกนั้นก็ว่างอยู่บ้านโต๊ะเล็กๆ ถึงจะกล้าๆกลัวๆกับการกระทำครั้งนี้สักหน่อยแต่...มันคือแผนที่ดีที่สุดล่ะกัน
....หายไปไหน????
ฮันคยองคิดพลางเดินออกมาจากห้องนอน สายตาเริ่มมองหาร่างบางจอมอวดดีที่ตอนนี้ไม่รู้ไปเล่นแผลงๆอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเดินผ่านที่ห้องของฮีชอล เขาก็ถึงกับสะดุดกับอะไรแปลกๆ ก่อนจะแง้มประตูแอบดูสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านในห้องนอนของฮีชอลอย่างเงียบๆ
...................................................................
“กระจกฉันหายไปไหน” ฮีชอลแผดเสียงลั่นบ้านพลางหากระจกใบเล็กด้วยท่าทางหงุดหงิด สายตากวาดไปทั่วห้องแต่ก็ไม่เจอ ....มันคือกระจกที่เพื่อนรักของฉันซื้อให้นะ!!! คิดไปก็โวยวายไปจนทุกๆคนเป็นเดือดเป็นร้อนต้องมากันช่วยหากระจกเจ้าปัญหากันวุ่น
“พี่หาดูดีๆสิ” ดงเฮเอ่ยอย่างหน่ายๆ
“หาดูดีแล้ว ก็มันไม่มีหนิ” ฮีชอลหันมาตะคอกกลับพลางหากระจกตาลีตาเหลือก
“ผมว่าพี่ลองไปหาดูในห้องของแต่ละคนดีกว่า” คยูฮยอนเสมอความคิด ถึงจะสงสารฮีชอลยังไง แต่ตอนนี้เขาต้องการเพียงเล่นงานฮันคยองเท่านั้น
ว่าแล้วฮีชอลก็พรวดพราดก้าวออกจากห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปหากระจกเจ้ากรรมของตัวเองในห้องของสมาชิกแต่ละคน สมาชิกคนอื่นๆมองอย่างอึ้งๆ แค่กระจกบานเดียวก็ทำเอาฮีชอลถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ????
“อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าใครเอาไป มันตายแน่!!!” ฮีชอลเอ่ยคำประกาศิตก่อนจะเข้าไปหากระจกด้วยท่าทางโมโห สมาชิกทุกคนเป็นที่รู้กันว่าเวลาฮีชอลอาละวาดมันจะน่ากลัวแค่ไหน ฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้ายุ่งกับของรักของห่วงของเขา จนมาถึงวันนี้....กระจกแสนรักของฮีชอลก็ถูกเด็กเจ้าปัญหาเอาไปใช้เป็นเครื่องมือแก้เผ็ดคนอื่นจนได้...
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮีชอลและคนอื่นๆต่างพากันค้นห้องกันวุ่นวายแต่ก็ยังหากระจกนั้นไม่เจออยู่ดี จนเหลือเพียงห้องนอนของสมาชิกอีก 2 ห้อง เท่านั้น
“เหลืออยู่สองห้อง ห้องของฮันคยองและก็ของซองมินกับคยูฮยอน” คังอินเอ่ยก่อนจะหันมามองที่ฮีชอล เป็นสัญญาณว่าจะให้เขาเข้าไปค้นห้องไหนก่อน
“ไปห้องของฮันคยองก่อน” ฮีชอลเอ่ยเสียงเย็นทำเอาสมาชิกทุกคนถึงกับขนลุก มันดูน่ากลัวเสียจริง คังอินช่วยฮีชอลค้นหากระจกของฮีชอล แต่ว่าหายังไงก็หาไม่เจอ...หาทุกซอกทุกมุมก็ไม่เจอ คยูฮยอนได้แต่อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก ก็ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่เตียงของฮันคยองแล้วมันไปอยู่ที่ไหนล่ะ
“ไปห้องซองมินกับคยูฮยอน” ว่าแล้วเหมือนความโมโหของฮีชอลมันจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ หน้าของเขามันดูไม่รับแขกเอาซะเลย คยูฮยอนมองหน้าของฮีชอลอย่างกลัวๆ แต่พอเดินผ่านฮันคยองที่ยืนพิงประตูห้องของตัวเอง ร่างบางก็ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นรอยยิ้มและท่าทางเจ้าเล่ห์ของร่างสูงตรงหน้า หรือว่าร่างสูงจะรู้ทัน...
“โจคยูฮยอน!!!!!!!!!!!” ฮีชอลตะโกนลั่นพลางก้าวฉับๆมาหาคยูฮยอนที่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องนอน
“เออ...ฮะ...พี่ฮีชอล” คยูฮยอนขานรับด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนพลางหลบสายตาของฮีชอลที่จ้องเขาเขม็ง
“ทำไมกระจกของฉันมันถึงมาอยู่ที่เตียงของนาย” ฮีชอลขบฟันพูดพลางชูกระจกในมือขึ้น
“ผมไม่รู้....” คยูฮยอนปฏิเสธพลางส่ายหัวดิกๆ
“ไอ้เด็กบ้า แกอยากเข้าโรงพยาบาลอีกรอบหรือไง!!!~~~” สิ้นเสียงของฮีชอล ขาสองข้างของคยูฮยอนก็ทำงานแบบอัตโนมัติ ฮีชอลวิ่งไล่คยูฮยอนรอบบ้าน ถึงคยูฮยอนจะยังไม่หายดี แต่เขาก็กลับมาแรงวิ่งหนีฮีชอลอย่างเหลือเฟือ แต่ทว่าคยูฮยอนก็ต้องหยุดวิ่งกะทันหันเมื่อแขนของใครบางคนเอื้อมมาขวางร่างบางเอาไว้...
“พี่ฮันคยองถอยไป” คยูฮยอนตะโกนพลางผลักฮันคยองที่ยืนขวางเขาอยู่ ร่างสูงเลิกคิ้วให้เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้ร่างบาง
“ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ คยูฮยอน” ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ คยูฮยอนมองจ้องอย่างคาดโทษ พลางเม้นริมฝีปากด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“ใครผิด” ร่างบางเถียงกลับอย่างไม่ลดละ
“นายไง”
“โจคยูฮยอนมานี่เดี๋ยวนี้!!!!” ฮีชอลแผดเสียงลั่นพลางเดินมาลากคอเสื้อของคยูฮยอนไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะเทศนาใส่คยูฮยอนหลายชุด คยูฮยอนก้มหน้าก้มตารับฟังเพราะความจำนนท์ต่อชะตากรรม ฮันคยองยิ้มกริ่มพลางมองคยูฮยอนอย่างขำๆ
....โดนซะบ้างก็ดี เจ้าเด็กหัวรั้น
วันนี้คือวันแรกที่เหล่าสมาชิกทุกคนจะต้องไปอัดเสียงในอัลบั้มใหม่ ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น และคนที่ตื่นเต้นมากที่สุดคงไม่ใช่ที่ไหน คยูฮยอนดูตื่นเต้นกับการอัดเสียงครั้งนี้มากเป็นพิเศษเขาแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ทั้งหน้าตา แววตาที่ดูมุ่งมั่น และร่างกายที่ดูจะตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมด...
“ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรือไง” ฮันคยองเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบพลางเลิกคิ้วท่าทางกวนประสาท คยูฮยอนมองก่อนจะเบ้ปากไม่สบอารมณ์
“ตื่นเต้นยังไง ผมก็ได้ร้องเยอะกว่าพี่อยู่ดี” คยูฮยอนเอ่ยก่อนจะเดินขึ้นรถแวนไปอย่างรวดเร็ว ฮันคยองมองตามด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะเดินตามไปติดๆ
......................................................................
- ที่ห้องอัดเสียง ตึกทำการ SM -
“สวัสดีครับ!!!~~” ทุกคนต่างพากันเอ่ยทักทายคนในบริษัทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาต่างเป็นที่รักของคนใน SM ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร คนในเอสเอ็มก็จะค่อยส่งเสริมและให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอด พวกเขาเหล่า ซูเปอร์จูเนียร์ จึงคิดอยู่เสมอว่า เอสเอ็มก็เปรียบเสมือนครอบครัวของพวกเขาเอง
“คยูฮยอน ไหวนะ” ชายวัยกลางคนผู้ควบคุมการอัดเสียงเอ่ยถามคยูฮยอนด้วยความเป็นห่วง คยูฮยอนพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านเนื้อเพลงต่อไป
“อย่าฝืนจนมากเกินไปล่ะ” ซีวอนเอ่ยกับคยูฮยอนพลางเอามือหัวหัวคยูฮยอนเบาๆด้วยความเอ็นดู ในสายตาของซีวอนแล้ว คยูฮยอนก็คือเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นที่สุดในทีมคนหนึ่ง แต่ความมุ่งมั่นของคยูฮยอน บางทีมันอาจทำให้คยูฮยอนยิ่งอาการแย่ไปกว่าเดิม
“ครับ” คยูฮยอนขานรับพลางยิ้มบางๆให้ซีวอน
“ปล่อยเขาไปเถอะซีวอน คงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” ฮันคยองเอ่ยขึ้นมาลอยๆ คยูฮยอนที่ตอนแรกอารมณ์ดีกับการที่ได้อ่านเนื้อเพลง ตอนนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ร่างบางหันขวับมาจ้องร่างสูงตาเขม็งพลางกัดริมฝีปากแน่น เพราะความโกรธ
“เงียบไปเลย!!!” คยูฮยอนหันไปตวาดใส่ฮันคยอง เท่าเอาคนทั้งห้องอัดถึงกับเงียบกริบ ก็นานๆทีจะเห็นคยูฮยอนโวยวายหนักขนาดนี้
“เฮ้~~ พวกนายมาอัดเสียงไม่ได้มากัดกัน” ลีดเดอร์ของวงเอ่ยขึ้นพลางจ้องไปยังฮันคยองที่เป็นคนเปิดหัวข้อสนทนาแย่ๆจนคยูฮยอนต้องโมโห
“ไปอัดเสียงได้แล้ว” ชายวัยกลางคนที่ถามอาการของคยูฮยอนในตอนแรก เอ่ยเรียกสมาชิกซูเปอร์จูเนียร์ทุกๆคนให้เข้าไปอัดเสียง ต่างคนต่างก็พากันเดินเข้าห้องอัดเสียงไปด้วยท่าทางตื่นเต้น คยูฮยอนลุกขึ้นแต่เพราะการที่อาการต่างๆยังไม่หายดีจึงทำให้เขาหน้ามืดไปชั่ววูบ ฮันคยองที่เดินตามหลังมาจึงพยุงร่างของคยูฮยอนเอาไว้ ร่างบางช้อนสายตามองเล็กน้อยก่อนจะสะบัดตัวออกแล้วเดินหนีไปโดยไม่มีคำกล่าวขอบคุณออกมาจากปาก ร่างสูงมองตามด้วยสายตาว่างเปล่า
....คงเกลียดฉันมากล่ะสิ คยูฮยอน
ผ่านไปทั้งวัน จนกระทั่งตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว การอัดเสียงของพวกเขาก็เสร็จสิ้น ทุกคนพากันเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับคยูฮยอนแล้ว เหนื่อยแค่นี้ไม่มีผลกับเขาสักเท่าไร แต่การร้องเพลงนั้นแหละ มันคือยาที่จะทำให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บเร็วที่สุด ลีดเดอร์อย่างอีทึก เรียกตัวน้องๆให้มาอยู่ร่วมกันก่อนจะบอกให้สมาชิกไปขึ้นรถแวนที่จอดรออยู่หน้าบริษัท....
“คยูฮยอนไปขึ้นรถสิ” อีทึกเอ่ยเรียกคยูฮยอนที่กำลังทำท่าจะวิ่งกลับไปที่ห้องอัดเสียง
“คือผมลืมของไว้ที่ห้องอัดน่ะ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาแป็บนะ” คยูฮยอนเอ่ยอย่างเร่งรีบจนไม่ได้ฟังคำเตือนของลีดเดอร์
“ไปเร็วๆล่ะ ห้องอัดมันจะล๊อคอัตโนมัติตอน 5 ทุ่มนะ” อีทึกตะโกนไล่หลังคยูฮยอนพลางมองนาฬิกาที่ตอนนี้เวลา 4 ทุ่ม 55 นาที ด้วยความเป็นห่วงอีทึกจึงจะเดินตามขึ้นไป แต่ฮันคยองก็รั้งอีทึกเอาไว้ก่อนจะรับอาสาแทน
“นายอยู่นี้แหละ เดี๋ยวฉันตามคยูฮยอนไปเอง” ฮันคยองกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง อีทึกจึงตบไหล่ฮันคยองเบาๆเป็นเชิงอนุญาติ
....สร้อยข้อมือนั้นมันหายไปไหนเนี่ย
คยูฮยอนเอ่ยกับตัวเองพลางหาสร้อยข้อมือของเขาที่เมื่อตอนนี้เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนเอามันมาใส่ไว้ที่ข้อมือของเขาโดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาให้ พอถามพี่ๆในวง ทุกคนก็ต่างพากันส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น คยูฮยอนก็จะสร้อยข้อมือนี้อยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นกำลังใจอะไรบางอย่าง... วันนี้ก็เช่นกัน เขาก็ใส่มันมาแต่พอก้าวออกจากห้องอัดเสียง สร้อยข้อมือนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่ข้อมือของเขาแล้ว
“อ๊ะ!! เจอแล้ว” คยูฮยอนร้องด้วยความดีใจ พลางยื่นมือเข้าไปหยิบสร้อยข้อมือที่ใต้เก้าอี้ตัวที่เข้านั่งอ่านเนื้อเพลงในตอนแรก แต่สงสัยคงเป็นจังหวะที่เขาหน้ามืดละมั้ง สร้อยข้อมือถึงได้หลุดออดมา
“ไปขึ้นรถได้แล้ว” ฮันคยองเอ่ยพลางเดินเข้ามาหาคยูฮยอนที่กำลังก้มหน้าก้มตาใส่สร้อยข้อมืออยู่ ฮันคยองมองคยูฮยอนพลางยิ้มพอใจ ก่อนจะดึงมือของคยูฮยอนออกจากห้องอัดเสียงแต่ทว่า...
แกร๊ก แกร๊ก!!!~~
ฮันคยองเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู แต่กลับเปิดไม่ออก คยูฮยอนมองอย่างอึ้งๆก่อนจะผลักฮันคยองออก แล้วมาเปิดประตูซะเอง แต่เปิดเท่าไรก็เปิดไม่ออก ร่างบางจึงได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์และเริ่มคิดหาวิธีออกจากห้องอัดเสียง มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจะโทร.หาลีดเดอร์แต่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อไม่มีสัญญาณเสียนี้
“ทำไมเปิดไม่ออก” คยูฮยอนสบถพลางนั่งลงที่โซฟาตัวยาวในห้องอัด
“ดูนาฬิกาซะบ้างสิ มันกี่โมงแล้ว” ฮันคยองเลิกคิ้วก่อนจะชี้ที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของเขา คยูฮยอนมองอย่างไม่เข้าใจ ฮันคยองจึงต้องอธิบายความหมายที่เขาเองต้องการจะบอกให้คยูฮยอนรู้
“นี้มัน 5 ทุ่มกว่าแล้ว ที่นี้ประตูจะล๊อคอัตโนมัติตอน 5 ทุ่ม” เมื่อได้ฟังคำพูดของฮันคยอง คยูฮยอนถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะยิ่งคำถามใส่ฮันคยองหลายชุด
“มีอย่างนี้ด้วยหรอ อะไรกัน ทำไมผมไม่รู้เรื่อง” คยูฮยอนโวยวายเสียงดังแสดงอาการถึงความเป็นเด็กเอาแต่ใจ ฮันคยองมองยิ้มๆก่อนจะนั่งลงข้างๆคยูฮยอน
“ก็เขาเพิ่งเปลี่ยนระบบใหม่ตอนนายอยู่โรงพยาบาลนั้นแหละ” ฮันคยองกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมาส่งยิ้มยียวนให้คยูฮยอน ที่ตอนแรกแค่หงุดหงิดแต่ตอนนี้กลับรู้สึกโมโหจนแทบจะบีบคอใครก็ได้
“ออกไปห่างๆเลยไป” คยูฮยอนว่าพลางดันตัวของฮันคยองออกห่าง แต่ฮันคยองก็ยังไม่ลุกหนีไปอยู่ดี
“ฉันพอใจจะนั่งตรงนี้” ฮันคยองเอ่ยพลางขยับตัวไปหาคยูฮยอน ร่างบางจึงลุกขึ้นเดินหนี แต่มือแข็งแรงของร่างสูงก็ฉุดให้นั่งลง
“แล้วนี้ประตูมันจะเปิดตอนกี่โมง” คยูฮยอนถามแบบไม่มองหน้าฮันคยองพลางทำหน้ามุ่ย
“เช้า...” ฮันคยองตอบกลับก่อนจะดึงคยูฮยอนให้เข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ร่างบางหันมาจ้องเอาเรื่องแต่ก็ไม่เป็นผล ร่างสูงยังคงโอบเอวของเขาเอาไว้แน่นเหมือนเดิม
“จะโอบทำไมเหล่า....ปล่อย!!!”
“จะดิ้นไปไหนเหล่า...มันหนาวนะ”
คยูฮยอนดิ้นเต็มแรงแต่ฮันคยองกลับยิ่งโอบแน่นขึ้น เมื่อดิ้นไม่หลุด ร่างบางจึงได้แค่ยอมให้ร่างสูงโอบตัวเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเผลอหลับไป
“คังอิน ปล่อยสองคนนั้นไว้จะดีหรอ” อีทึกกล่าวด้วยท่าทางกังวลพลางมองเข้าไปในห้องอัดเสียงผ่านกระจกบานเล็กๆที่ประตู ภาพที่เห็นคือคยูฮยอนกำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของฮันคยอง โดยที่ฮันคยองก็หลับอยู่เช่นกัน มันจะดีหรอที่ปล่อยในน้องทั้งสองนอนอยู่ในห้องอัดเสียง
“เอ่อน่า...ไม่มีอะไรหรอก” คังอินเอ่ยอย่างไม่สนใจ ก่อนจะดึงอีทึกให้กลับไปขึ้นรถกลับบ้าน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น