ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #83 : Dream Wild

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 65


    Dream Wild
    Inspiration: The Colors of Deserts: The Gray Mojave (Documentary, 2012)
    Playlist: The fin. – Pale Blue












    .

    1

    แม้จะหัวถึงหมอนเอาตั้งแต่ตอนหัวค่ำของเมื่อเย็นวาน ก่อนตื่นนอนเมื่อคนข้างนอกจะผลักประตูเปิดผัวะ คงเห็นว่าหลับสบายดีเลยได้ทีเคาะประตูรัวแล้วตะโกนปลุกเสียงดังอย่างกับว่ามีไฟไหม้ ชนิดที่ต่อให้หลับลึกแค่ไหนก็คงต้องสะดุ้งลุกพรวดพราดกันบ้างเหมือนอย่างเธอนั่นล่ะ ครั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลาก็เห็นว่าเลยแปดโมงเช้ามานิดๆ แต่หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว กระทั่งเดินหัวเปียกมาถึงห้องอาหาร เธอก็ยังจะหาวออกมาอีกหวอดใหญ่ๆ จนเขาที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักถั่วเข้าปากและนั่งหมุนรูบิค 4x4 เมื่อเคี้ยวเป็นต้องเงยมอง เหยียดรอยยิ้มอันไร้ซึ่งเจตนาแล้วพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเธอทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เยื้องไปจากเขา เขม้นจ้องกองถั่วกับแท่งไส้กรอกในซอสมะเขือเทศบนจานลึกอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันใบหน้าขวับไปหาเขาแล้วขยับริมฝีปากสีอ่อนถาม

    “ปกติกินแต่อาหารกระป๋องแบบนี้เหรอคะ?”

    “เปล่า” เขาสวน น้ำเสียงออกห้วน “เดี๋ยวเราจะเข้าเมืองกัน เธอเองก็รีบๆ กินซะ”

    หากวิสัยของเธอก็ยังจดค้างอยู่ที่เดิม อันที่จริง เธอกำลังนึกซาบซึ้งใจที่เขาให้ถั่วอบกับไส้กรอกในซอสมะเขือเทศแก่เธอ ส่วนตัวเองจ้วงกินแค่ถั่วอบในซอสมะเขือเทศธรรมดาเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะโปรดปรานรสดั้งเดิมอยู่แล้วหรือไม่ อย่างไรเธอก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจในสิ่งพิเศษเล็กๆ น้อยๆ จากชายผู้ไม่น่าจะมีแง่มุมน่ารักเช่นนี้อยู่ดี หรือบางทีอาจแค่เพราะเธอยังไม่ได้รู้จักเขาดีนักก็ได้ เธอเพิ่งจะรู้จักเขาผ่านการติดต่อแค่ทางอีเมล หัวข้อเรื่องการหาเพื่อนร่วมเดินทางมายังซัลเวชั่น เมานท์เท่นช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เธอทิ้งข้อความไว้ในเว็บบล็อกส่วนตัวที่แทบจะไม่ค่อยมีใครเข้าดูด้วยความหวังอันริบหรี่ เขาบอกว่าเป็นชาวญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันให้ได้มาเที่ยวในสถานที่อันแสนวิเศษนี้จึงรับอาสาจะเป็นไกด์นำทางให้ โดยขอให้ช่วยแชร์แค่ค่าน้ำมันและค่าอาหารจำนวนน้อยนิดเพียงเท่านั้น ส่วนที่อยู่อาศัยเขามีทั้งเทรเลอร์เก่าๆ ในทะเลซัลตัน และพาหนะเป็นกระบะสี่ประตู เธอเห็นว่าน่าจะช่วยประหยัดงบไปได้มาก แถมยังสะดวกสบายกว่าแผนแรกที่น่าจะไม่พ้นเขตแคลิฟอร์เนีย ไม่ก็จบลงแค่ที่ลาสเวกัส จึงไม่ลังเลใจในการตอบตกลงถึงจะไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่ายใบหน้าของเขาเลยก็ตาม ใครต่อใครต่างพากันเอ็ดอึงว่าเธอกล้าไว้ใจคนแปลกหน้ามาถึงอีกซีกโลกหนึ่งได้อย่างไร แต่ชายผู้นั้นที่มีชื่อว่าอิวาโมโตะ ฮิคารุ ก็ไม่ได้มีรายชื่อขึ้นบัญชีดำหรืออยู่ในหน้าข่าวสารอาชญากรรมให้ต้องตื่นตระหนกแต่อย่างใด เธอตั้งใจแน่วแน่แล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจแค่เพราะลมปากของพวกกบในกะลาที่แสร้งทำเป็นห่วงใยเหล่านั้นหรอก ถ้าเกิดว่าสุดท้ายเธอโง่ไว้ใจคนผิดเอง ถึงตอนนั้นเธอก็จะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยดุษฎี

    แรกสุดเลย คาตาโยเสะ ยูคาริ วาดภาพชายที่มีวาจาไม่ค่อยสุภาพนักไม่ว่าจะทางตัวอักษรหรือยามพบหน้ากันเป็นครั้งแรกเมื่อวานในมโนนึก ว่าเขาคงจะเป็นผู้ชายห่ามๆ ไว้หนวดเครายาวเฟื้อยเหมือนพวกฮิปปี้ ไม่ก็โฮมเลสผู้มีจิตวิญญาณเสรีสมกับที่ละทิ้งสังคมศิวิไลซ์จากบ้านเกิดเดียวกันกับเธอมาอยู่ในทะเลทรายรกร้างได้ ปรากฏว่าอิวาโมโตะ ฮิคารุคือชายหนุ่มตัวสูงมาก หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ถึงผมเผ้าของเขาจะกระเซิงไปสักหน่อย ไหนจะการแต่งตัวแบบที่หยิบจับโน่นนี่มาประโคมใส่เต็มตัวไปหมด อีกทั้งบุคลิกและวิธีการพูดแบบเนือยๆ ชวนให้รู้สึกถึงความผิดประหลาด แต่ทั้งหมดนั้นกลับเข้ากันกับเขาจนน่าทึ่งใจ ยูคาริไม่เคยพบเจอใครที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แปลก...แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์น่าประทับใจแรกก่อนเดินทางเข้าเขตทะเลทรายโมฮาวีดี

    เขาที่จัดการถั่วใกล้จะเกลี้ยงชามแล้วเห็นเธอนั่งนิ่งไม่ยอมแตะต้องอาหาร จึงเอ่ย

    “จะกินรองท้องไปก่อน หรือทนหิวท้องกิ่วไปสามสี่ชั่วโมงก็แล้วแต่เธอ”

    “อ๊ะ! กินค่ะ กินๆ!

    เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว จึงรีบกระวีกระวาดหยิบช้อนแล้วตักถั่วเข้าปากไปคำเล็กๆ ความนิ่มเหลวและรสชาติของซอสมะเขือเทศให้สัมผัสน่าพะอืดพะอมอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด แต่เธอหิวมากจากการไม่มีอะไรตกถึงท้องเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง และไม่อยากทำลายทั้งน้ำใจของเขา และเจ้าถั่วกระป๋องที่เขาต้องขับรถเข้าเมืองไปตั้งไกลเพียงเพื่อให้มันลงไปอยู่ก้นถังขยะ จึงคิดหาวิธีด้วยการหั่นไส้กรอกรวบกินพร้อมกับเม็ดถั่วไปทีละนิด...ทีละนิด กลายเป็นว่าพอกินไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้แย่จนนึกอยากขยักขย้อนออกมา แม้จะไม่สามารถตักจนพูนช้อนแล้วส่งเข้าไปเต็มปากเต็มคำเหมือนอย่างที่เขากำลังทำอยู่ก็ตามที เมื่อชามของเขาว่างเปล่าแล้วจึงเหลือบสายตาขึ้นมองเธอ สีหน้าไม่สื่อความหมายใด จากนั้น กลับไปสนใจจัดการรูบิคในมือต่อ

    “จะเข้าเมืองไปซื้อของเหรอคะ?”

    “ไปรับน้องสาว”

    “มีน้องสาวด้วยเหรอคะ?” เธอทำตาโต แสดงความสนใจ

    “น้องสาวคนละแม่ เค้ามาทำงานที่แคลิฟอร์เนียพอดีก็เลยแวะมาเยี่ยม แต่คงอยู่ไม่นานนักหรอก คิดว่านะ” ก่อนค่อยขยับมุมที่นั่งหันมาทางเธอ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชัน วางรูบิคที่ยังแก้ปริศนาไม่เสร็จลงบนโต๊ะแล้วหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม “โทษทีที่เพิ่งมาบอก เผอิญฉันก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนี่เอง ยัยนั่นชอบทำอะไรปุบปับแบบนี้อยู่เรื่อย เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่สะดวกใจจะไปเที่ยวในเมืองก่อน แล้วค่อยให้ฉันไปรับเธอหลังยัยนั่นกลับก็ได้” ที่จะทำให้ยูคาริรีบสั่นหัวรัว ยกมือโบกปัด “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ได้” แม้อยากเสริมประโยคให้สมบูรณ์ว่ามีผู้หญิงมาอยู่ด้วยอีกคนน่าจะอุ่นใจกว่าอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองมิใช่หรอกหรือ? หากยูคาริก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ และฉีกยิ้มกว้างๆ ให้กับฮิคารุแทน เป็นรอยยิ้มที่โง่เง่าสิ้นดีจนเขาต้องส่งเสียงหึออกมา

    เมื่อเขาดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว เธอก็ส่งไส้กรอกชิ้นสุดท้ายเข้าปากไปเช่นกัน ถั่วยังเหลืออยู่ เขารู้ว่าเธอคงจะต้องฝืนใจกินเพื่อรักษาน้ำใจของเขาจนหมดทั้งน้ำตาตกในอย่างแน่นอน จึงผุดลุกขึ้นแล้วฉวยเอาจานไปกวาดเศษอาหารลงถังขยะโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันได้ส่งเสียงเลยด้วยซ้ำ เธอรีบกลืนอาหารลงคอก่อนยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มตามไปรวดเร็ว พุ่งตัวเข้าไปแทรกกลางระหว่างร่างสูงของเขากับอ่างล้างจาน

    “ฉันล้างให้เอง”

    เขาก้มลงมองเธอที่เข้ามาอยู่ในระยะประชิดแค่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอยออกมา ขณะคุ้ยคว้ากุญแจรถที่อยู่ในกล่องเล็กๆ บนชั้นวางพลางพูดบอกเธอโดยไม่หันไปมองว่า “งั้นฉันออกไปรอข้างนอกนะ รีบๆ ด้วยล่ะ” ยูคาริพยักหน้าหงึกหงัก รับคำเสียงใส ทันทีที่บานประตูปิดลงจึงค่อยหมุนตัวหันไปเปิดก๊อกน้ำ มองลอดมู่ลี่ออกไปเห็นเทรเลอร์หลายต่อหลายคันกับทะเลทรายกว้างไกลแล้วก็ถอนหายใจออกมา เธอไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของการมาที่นี่ ไว้ใจอยู่ร่วมกับชายแปลกหน้าผู้นี้ที่แทบไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเลยว่ามันคืออะไรกันแน่ เริ่มจากเดือนก่อนที่เธอรู้สึกหดหู่กับชีวิตจนน่าจะถึงขั้นขีดสุด งานขายเสื้อผ้าในฮาราจูกุไม่อาจสร้างความสนใจให้ทุกๆ วันได้อีกแล้ว เธอไม่อาลัยอาวรณ์เพื่อนร่วมงานโง่เง่าที่สรรหาทุกเรื่องมาแขวะหยันซ้ำเติมเลยแม้แต่คนเดียว จึงตัดสินใจลาออกและใช้ชีวิตอยู่กับเงินเก็บจำนวนมากพอให้เธอบินมาเปิดหูเปิดตาถึงสหรัฐอเมริกานี้ได้ กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ ไม่สนใจหาข้อมูลของทะเลทรายซึ่งเธอไม่เคยพิสมัยเลยด้วย นอกจากแค่อยากได้มาเห็นซัลเวชั่น เมานท์เท่นอันลือชื่อกับตาตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต และไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องพระเจ้าที่เธอนับถือแต่ไม่ขนาดศรัทธา ถ้าฮิคารุไม่เสนอนำทางตลอดเส้นทางสายโมฮาวีให้ เธอก็ไม่คิดว่าอยากจะอยู่นานนัก

     

    2

    เขาที่นั่งเท้าศอกพลางบังคับพวงมาลัยรถด้วยแขนอีกข้างหนึ่งในท่าทีเบาสบาย หลังจากมีเพียงความเงียบงันในคำพูดเว้นก็แต่บทเพลงอินดี้ร็อคจากศิลปินชาติเดียวกันที่เปิดคลอจากเครื่องเล่นซีดีในรถ ปล่อยให้กระบะสี่ประตูขับเคลื่อนไปบนท้องถนนที่ขนาบด้วยทิวทัศน์ทะเลทรายตลอดสองข้างทางสุดลูกหูลูกตา แล้วจู่ๆ ก็พลันโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เธอน่ะ ทำไมถึงมาที่นี่?” เรียกใบหน้าของเธอที่ทอดมองออกไปภายนอกอยู่นานสองนานให้ขวับกลับมา แสดงความประหลาดใจ ด้วยไม่คาดคิดว่าเขาอยากสนทนากับเธอนัก เพราะไม่ว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร ก็ดูเหมือนมันจะโง่เง่าไปเสียหมด และฮิคารุที่มักแสดงสีหน้าคล้ายรำคาญก็คงจะคิดเช่นนั้นแน่ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเธออึดอัดใจที่ต้องอยู่ร่วมกับเขาเลย กลับกัน ยูคาริไม่อยากให้เขาต้องอึดอัดใจที่อยู่ร่วมกับเธอมากกว่า จึงเลือกจะปิดปากเงียบทั้งที่ก็อยากจะเป็นฝ่ายถามไถ่ใคร่รู้ในเรื่องต่างๆ ของเขาตั้งแต่แรกจะแย่ เธอทำงานบริการและสามารถพูดคุยยิ้มแย้มกับลูกค้าได้แสนจะเป็นธรรมชาติ ทว่าธรรมชาติของเธอกลับไม่สามารถสร้างบรรยากาศสนุกสนานและคบหาระยะยาวกับคนรอบข้างได้เลย เธอเป็นพวกไม่ชอบถามไถ่ ออกความเห็น หรือเออออในเรื่องที่ตนไม่สนใจ พวกเขาจึงคิดว่าเธอเฉยเมย ซึ่งก็ใช่...เพราะเธอไม่สนใจพวกเขา เลยเฉยเมยต่อพวกเขา มันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง ทว่ากับคนที่เธอรู้สึกชอบพอขึ้นมาอย่างฮิคารุในตอนนี้ ก็กลับกลายเป็นเอาแต่คิดหาวิธีว่าจะพูดอย่างไรให้พวกเขาไม่นึกเกลียดชังเธอดี สุดท้ายจึงมีแต่เดดแอร์อบอวลอยู่ทั่วชั้นบรรยากาศ กระทั่งบัดนี้ เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง

    “ฉันถามก็ยังจะเงียบอีก”

    “เดี๋ยวสิคะ!” เธอรีบโวย กระแอมไอหนึ่งครั้งพอเป็นพิธีก่อนขยับหันมานั่งตัวตรง “อืม จะเอาคำตอบแบบไหนดี สั้นๆ ยาวๆ หรือกลางๆ”

    “อยากจะเล่ายาวไปสามสี่ชั่วโมงก็แล้วแต่เธอเถอะ ฉันมีเวลาเหลือเฟือ”

    “ได้เลย ฉันเล่าอะไรอาจจะน่าเบื่อหน่อยนะคะ แต่...”

    “แต่คงไม่น่าเบื่อไปกว่านิสัยคิดเองเออเองของเธอหรอก”

    เขาพูดต่อประโยคที่เธอคงไม่คิดจะพูดแทงใจตัวเองแน่ๆ มาเรียบๆ ทั้งที่ควรจะทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายลงคอ หากยูคาริกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมาได้ “นั่นสินะคะ ขอโทษด้วย งั้นฉันจะเล่าไปเรื่อยๆ แล้วกัน ไม่ยาวนักหรอก เอาเป็นว่าเรื่องมันเริ่มจากว่าฉันถูกทิ้ง...”

    “อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องรักหนุ่มสาว” เขาเยาะ “เรื่องพรรค์นี้ใครเล่าก็น่าเบื่อทั้งนั้นแหละ” แล้วพอเธอปิดปากที่อ้าค้างฉับกลับลงไป ฮิคารุก็เหลือบสายตามองแล้วส่งเสียงรำคาญ “อะไร ฉันก็ไม่ได้บอกให้เธอเงียบนี่ ไหนๆ ฉันก็อุตส่าห์ถามแล้วก็เล่าๆ ไปเถอะ อย่างที่บอก เวลาเหลือเฟือ ฉันเองก็ไม่ได้ฟังปัญหางี่เง่าของพวกมนุษย์มานานแล้วด้วย”

    “สงสัยมาอยู่แถวนี้ก็เลยได้ฟังแต่ปัญหามนุษย์ต่างดาวแทน”  เธอก็เลยยวน ซึ่งเรียกสายตาและรอยยิ้มที่มุมปากจนยูคาริค่อยผ่อนคลายขึ้นมาได้ ส่งน้ำเสียงกระตือรือร้น “นี่ๆ! เมื่อวานฉันเห็นป้ายที่จอดยูเอฟโอด้วยล่ะค่ะ ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องที่นี่เท่าไหร่แต่แถวนี้คงเป็นแหล่งรวมเรื่องเหลือเชื่ออะไรแบบนั้นสินะ ก็ทะเลทรายออกจะเวิ้งว้างขนาดนี้ ว่าแต่คุณอิวาโมโตะก็อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ได้เคยเจอพวกมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆ กับเขาบ้างไหมคะ?”

    เขาอดไม่ได้ที่จะหันมาจ้องหน้าเธอที่ทำตาแป๋วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบคำถาม

    “อ๋อ เคยสิ ฉันเคยถูกมันจับไปทดลองด้วย”

    “เอ๋! ไม่จริงน่า!

    “ก็ไม่จริงน่ะสิ ยัยโง่!” เขาสวนทันควัน น้ำเสียงบ่งบอกความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง “ฉันไม่เชื่อเรื่องงมงายไร้สาระอย่างมนุษย์ต่างดาวหรอก ไอ้พวกดิเอ็กซ์ไฟล์อะไรพรรค์นั้นก็ด้วย อะไรนะ ผี? เอเลี่ยน? เพ้อเจ้อทั้งนั้น พนันเลยว่าเธอคงเชื่อเรื่องคร็อปเซอร์เคิล ทฤษฎีสมคบคิด ไม่ก็แอเรีย 51 เป็นตุเป็นตะ” คราวนี้ ปากของเธออ้าพะงาบเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรเปล่งออกมาหลังคำพูดราวรู้เท่าทันของเขา จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ครั้นจะด่าก็ไม่กล้า เขาจึงได้ทีแสดงสีหน้าเสียดเย้ยให้เธอได้รู้สึกพ่ายแพ้และอับอายใจจนหมดรูป กระทั่งเขาอิ่มเอมกับนาทีแห่งชัยชนะนี้แล้วจึงค่อยส่งเสียงเรียกเธอที่กำลังอยู่ในภาวะจุกอก เพื่อย้ำถึงหัวข้อสนทนาก่อนหน้าซึ่งถูกข่าวด่วนจากนอกโลกคั่นเวลาไปเสียก่อนว่า “ฉันว่าฉันกำลังถามเธออยู่ ไม่ใช่ให้เธอมาถามฉัน ทีนี้ก็เล่าเรื่องตัวเองได้แล้ว”

    และแม้ยูคาริจะเริ่มตระหนักได้ว่าถ้าเล่าเหตุการณ์น่าอดสูในชีวิตของตัวเองให้คนอย่างเขาฟัง คงไม่แคล้วเป็นต้องถูกสมเพชในความโง่งมงายซ้ำสอง ขนาดตัวเองก็ยังคิดว่ายัยคาตาโยเสะ ยูคาริ คือผู้หญิงที่ช่างน่าสมเพชสิ้นดี หากความที่อยากเล่าให้ใครสักคนได้ฟังเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ในใจคนเดียวตลอดมาเป็นนักหนานั้นมีมากกว่า เธอจึงเริ่มเปิดปากอีกครั้ง

    “ฉันเรียบเรียงประโยคยาวๆ ไม่ค่อยเก่ง เอาเป็นว่าถ้าคุณอิวาโมโตะรู้สึกติดขัดตรงไหนก็ถามได้ทุกเมื่อเลยนะคะ อืม...เริ่มจากตอนก่อนที่จะถูกทิ้งก็แล้วกัน” เธอเว้นระยะไปราววินาทีหนึ่ง “ฉันน่ะเคยคบหากับผู้ชายอยู่คนหนึ่ง เค้าเป็นนักดนตรี ไม่ได้โด่งดังอะไรนัก ต่อให้คุณอิวาโมโตะยังอยู่ที่ญี่ปุ่นก็อาจจะไม่รู้จักเค้าหรอก เค้าเป็นนักร้องนำวงใต้ดินที่ร้องเพลงในไลฟ์เฮาส์รอเข้าตาค่ายเพลงไปวันๆ อย่างนั้นแหละ เราคบกันได้สองปี ก็ไม่ได้เป็นการคบหาที่ราบรื่นสักเท่าไหร่หรอก ทะเลาะกันบ่อยเลยล่ะ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วฉันว่าเราสองคนก็มีความสุขกันดี กลายเป็นว่าที่แท้มีแต่ฉันที่คิดแบบนั้นไปคนเดียว หลังเลิกงานวันหนึ่งเค้าก็บอกว่าอยากให้ฉันมีอนาคตที่ดีกว่านี้ เขาพูดแค่นี้จริงๆ นะ ไม่อธิบายอะไรต่อด้วย ฉันน่ะช็อกไปเลยล่ะ อนาคตที่ดีกว่านี้อะไรกัน ฉันได้เคยบอกเหรอว่าอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้ งี่เง่าชะมัด ฉันพูดอะไรไม่ออก น้ำตาก็ไม่ไหล จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ไหลออกมาสักหยด เค้าไม่ติดต่อมา ฉันเองก็ไม่ได้ติดต่อเค้าด้วย ทุกอย่างกลวงเปล่าไปหมด ฉันเหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่สมองมันคงรับรู้ได้เอง ตอนนั้นฉันถึงได้เห็นความมืดมิดชัดเจน พอถึงขีดสุดที่ฉันคิดว่าไม่ไหวกับทุกอย่างรอบข้างอีกต่อไปแล้ว ฉันก็เลยลาออกแล้วมาที่นี่”

    ตลอดหลายนาที ฮิคารุไม่ได้พูดหรือขานรับเป็นระยะเพื่อแสดงออกว่ารับฟังแต่อย่างใด สายตาเขาไม่ได้ละจากท้องถนนที่แทบไม่มีรถราสัญจรเบื้องหน้าเลยด้วยซ้ำ ยูคาริที่ระบายความนัยออกมายาวเหยียดโดยใส่อารมณ์เพียงน้อยนิดเป็นครั้งแรกชนิดที่คนเคยรู้จักเธอเป็นอันต้องอ้าปากค้างโดยแทบไม่มองหน้าคนข้างๆ ก็เช่นกัน ความเงียบกลับมาก่อตัว เหมือนต่างฝ่ายต่ายรั้งรอให้ใครสักคนเปิดปากพูดขึ้นก่อน ไม่ใช่เธอ ฮิคารุค่อนข้างแน่ใจ

    “เธอยังไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมถึงมาที่นี่?”

    “คะ?”

    “จุดมุ่งหมายแรกไม่ใช่ที่อเมริกา ที่โมฮาวี แต่เจาะจงเป็นที่ซัลเวชั่น เมานท์เท่นนี่” เขารับรู้ได้ว่าเธอกำลังจับจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอยู่ จะด้วยความรู้สึกเช่นใดก็ช่าง หากเขาก็ไม่สนใจจะหันไปมองสบด้วย “เพราะแฟนเก่าสินะ” ที่แม้จะเกริ่นลอยๆ ไปเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้มีทีท่าใคร่สนใจเมื่อเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเป็นการตัดบทว่า “ช่างเถอะ เล่าแค่นี้ก็พอ”

    ยูคาริพยักหน้ารับ สักพักจึงย้อนกลับไปด้วยคำถามใกล้เคียงกันว่า

    “แล้วคุณอิวาโมโตะล่ะคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

    “ฉันฆ่าคนตาย ก็เลยหนีความผิดมาอยู่ที่นี่”

    “ล้อกันเล่นอีกแล้ว”

    เธอหัวเราะรวนไปกับเรื่องขำขันนี้ หากทว่าเขาไม่ได้ตอบปฏิเสธเป็นคำพูด หรือยิ้ม หรือหัวเราะขบขัน จนยูคาริเองก็ชักไม่แน่ใจในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ขึ้นมาเสียแล้ว ด้วยรู้ว่าเธอจะถามอะไรจึงชิงแทรกขึ้นว่า “แต่ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ไม่ต้องห่วง” ทั้งที่นั่นหาใช่คำถามค้างคาใจของเธอเสียที่ไหน แต่เขาก็กลับเพียงเอื้อมมือไปเพิ่มเครื่องเสียงในรถเมื่อขึ้นแทร็คใหม่ ไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดอะไรอีก ไม่เช่นนั้นก็เห็นต้องตะโกนกันจนเสียงแหบคอแห้ง เธอจึงเปลี่ยนความสนใจ จำได้ว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นี้มีชื่อว่า เพล บลู ของเดอะ ฟิน. เธอหันไปวางแขนทั้งสองข้างลงบนขอบหน้าต่างรถและวางใบหน้าลงไป ลมร้อนพัดปลิวมาพร้อมกับเศษทรายเล็กจิ๋วเป็นบางขณะ ผมที่เปียกหมาดๆ ของเธอแห้งไปตั้งนานแล้ว หากก็ยังให้ความรู้สึกเย็นสบายดีอยู่ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เธอจะนึกชอบทะเลทรายเพียงชั่วข้ามคืน แต่ชายคนข้างกายที่เธอรู้สึกถูกชะตาแต่พบหน้ากลับทำให้เธอรู้สึกสดชื่นราวกับอยู่ในโอเอซิส ไม่ใช่แห้งผากกลางทะเลทราย ขณะรับฟังบทเพลงซึ่งเคยได้ฟังร่วมกับเขาที่โตเกียว ยูคาริก็คิดถึงว่าตอนนี้...หลังจากครึ่งปีที่ผ่าน เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?




    3

    เขาเพิ่งจะหย่อนเครื่องมือสื่อสารเก็บกลับลงในกระเป๋ากางเกงพอดี ในตอนที่ชายร่างสูงชาวเอเชียเช่นเดียวกันจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เอ่ยปากถามว่ามีอะไรหรือ เมื่อได้มองเห็นสีหน้าซึ่งเปลี่ยนไปเพียงนิดอย่างที่คนรอบข้างไม่ทันสังเกตต่อเขาซึ่งมักจะแสดงสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาเสมอ จึงไม่แปลกเลยที่เขา...เจสซี่ ลูอิส จะเป็นมนุษย์จำพวกที่ไม่มีเพื่อนคบค้า ซึ่งก็หาใช่ปัญหาอะไรเมื่อเจ้าตัวเองก็ไม่ได้อยากคบค้ากลมกลืนกับใคร เขาใช้ชีวิตตามใจตัวเองโดยแทบไม่สนใจว่าอนาคตข้างหน้าเกินกว่าหนึ่งนาทีนี้จะเป็นเช่นไร แตกต่างจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิตที่คบค้ากันมาเกินยี่สิบเจ็ดปีเกือบจะเท่าอายุตัวอย่างเมกุโระ เร็น ผู้เป็นที่รักของคนรอบข้างแม้ในแบบที่ไม่ต้องพยายาม หรือถึงต่อให้พยายามทำตัวเหลวไหล ก็ไม่มีใครด่าทอเด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักได้ลง พวกเลือกที่รักเหล่านั้นเอาแต่โทษกันว่าต้นเหตุคือเพื่อนไม่เอาไหนอย่างเขาต่างหาก ทำให้เจสซี่อดระลึกไม่ได้ว่านั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมเขาให้เป็นคนไม่แยแสสังคมอย่างในทุกวันนี้ ครั้งหนึ่ง มีใครบางคนเคยพูด (ที่เขาเห็นใกล้เคียงกับพร่ำ) ว่าแค่มีเร็นหายใจอยู่ร่วมโลกเดียวกันก็ดีมากแล้ว เขาหัวเราะท้องคัดท้องแข็งที่สุดในชีวิตโดยไม่สนใจกับคำค่อนขอดเป็นพะเรอเกวียน ขณะเร็นผู้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ณ ขณะนั้นกลับพูดบอกเขาในภายหลังด้วยอารมณ์กระฟัดกระเฟียดว่าโลกนี้มีคนบ้าอยู่เยอะเกินไปแล้ว! เขาเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งแน่นอนที่สุด หมอนั่นไม่เคยนึกยินดีกับพรสวรรค์บ้าบอนี่ที่พระเจ้ามอบให้เลยมาแต่ไหนแต่ไร ก่นด่าว่ามันคือคำสาป หาใช่พรประทาน ที่ทำให้ชีวิตของตัวต้องหนักอึ้งเหมือนแบกก้อนหินที่สลักคำว่า ความคาดหวังอยู่บนบ่า แล้วเจสซี่จึงได้พบว่าตนเองโชคดีแค่ไหนกับชีวิตที่พระเจ้าแทบไม่เหลียวแล

    เขาไม่เห็นว่ามีอะไรต้องปกปิดสำหรับเพื่อนสนิท จึงตอบไปตามตรง

    “เรื่องยูซึกิ”

    “ก็กะไว้อยู่แล้ว” อีกฝ่ายไม่แสดงความแปลกใจ ตักออมเล็ตที่ยังกรุ่นๆ เข้าปาก “ก่อนมาที่นี่ พวกนายน่าจะเคลียร์กันให้เรียบร้อยก่อน แบบ...เคลียร์จบเลยไม่มีอะไรติดค้างกัน”

    “ฉันก็เคลียร์จบแล้วไง”

    “และนายก็น่าจะรู้ว่าเธอไม่”

    เมื่อถูกสวนกลับ เขาก็จะเพียงแค่ไหวไหล่

    เหตุผลที่ตอนนี้เขากำลังนั่งกินมื้อกลางวันอยู่อีกซีกโลกหนึ่งซึ่งห่างไกลจากอดีตคนรักนั่นก็เพราะปัญหาคาราคาซัง ที่เขารังเห็นว่ามันคงยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้นถ้าไม่ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เขารู้ว่าเขารักเธอ และยังรักอยู่ เธอเองก็รู้ว่าเขารักเธอ ต่อให้ใครจะพากันพูดว่าเขามันพวกไร้หัวใจและรักใครนอกจากตัวเองไม่เป็น พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้แน่กันอยู่แก่ใจตลอดช่วงหนึ่งปีที่คบหากันมา แต่เธอที่เริ่มเรียกร้องจากเขามากเกินไปมากจนเกินกว่าผู้ชายอย่างเขาจะมอบให้เธอได้ ทั้งที่ควรจะเข้าใจว่าเขาใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้มากกว่าวันพรุ่งที่ยังมองไม่เห็น อนาคตคือสิ่งที่เขาไม่เคยก่อตั้งขึ้นมาโดยมีรากฐานจากความมั่นคงเหมือนอย่างเธอ เขายอมรับความผิดข้อนี้ต่อเธอที่หวังอยากให้ครอบครัวไม่ต้องกรำลำบากในสังคมทุนนิยมปัจจุบันโดยไม่มีข้อแม้ จึงเลือกที่จะถอยหลังจากมาเมื่อได้เข้าใจว่าบางครั้ง ความรักกับความเป็นจริงก็ไม่อาจเดินไปด้วยกันได้ แต่เธอกลับไม่ยอมรับ เช่นเดียวกับที่เจสซี่ก็ไม่อาจยอมรับว่าเขาจะสร้างวิมานในอากาศให้เธอได้ ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหานี้ก็จะย้อนกลับมาเป็นเรื่องถกเถียงระหว่างพวกเขาอีกครั้ง เธอเป็นคนสวย หน้าที่การงานในบริษัทเครื่องสำอางก็กำลังก้าวหน้าเกินกว่าจะมาจมปลักอยู่กับช่างซ่อมเครื่องดนตรีธรรมดาๆ อีกไม่นานเธอก็จะได้พบผู้ชายที่ดีซึ่งสามารถมอบอนาคตอย่างที่เธอวาดหวังมาตลอดให้ เขามั่นใจ

    “นายคิดว่าตัวเองกำลังหนีปัญหาอยู่หรือเปล่า?”

    เขาส่ายหัวไม่เห็นด้วย “มันคือการจบปัญหาทุกเรื่องต่างหาก”

    “จะไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?”

    “ตอนนี้ฉันก็เสียใจอยู่”

    “แต่นายไม่ได้เสียใจในการตัดสินใจของตัวเองอย่างที่ฉันหมายถึงนี่หว่า” เร็นแย้งกลั้วเสียงหัวเราะขันๆ “ถึงยังไง ไอ้การที่นายเล่นหนีมาโคตรไกลแบบนี้ก็ออกจะใจร้ายกับยูซึกิไปหน่อยนะ”

    คราวนี้ เขาไม่ได้ตอบโต้ออกไปว่าก็เพราะนายชวนมาที่สหรัฐอเมริกานี่เองมิใช่หรอกหรือยังไง? หลังจากเขาโทร.ไปหาหมอนี่เพราะอยากหาคนไปนั่งกินเหล้ารับฟังปัญหาหนักอกด้วยกันสักคืน เป็นที่แน่นอนว่ามีแค่หมอนี่คนเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถระบายทุกอย่างให้ฟังได้ ไม่ว่าจะเรื่องเล่า หรือเรื่องลับ การณ์กลับกลายเป็นว่าหมอนี่ลาออกจากงานแบบเงียบๆ ก่อนออกไปโร้ดทริปลุยเดี่ยวกับรถบ้านที่ยืมจากคุณลุงซึ่งมาลงหลักปักฐานที่วอชิงตัน ดี.ซี. ได้เกือบสัปดาห์แล้ว เขาไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากเล่าให้ฟังสั้นๆ แค่ว่ามีปัญหากับยูซึกิ จากนั้นหมอนี่ก็ชักชวนให้เขาบินมาลงที่แคลิฟอร์เนียแล้วตระเวนโร้ดทริปเที่ยวทะเลทรายด้วยกันพร้อมเหตุผลง่ายๆ แค่ว่า “คิดซะว่าทิ้งโลกไว้ข้างหลัง” เขาเองก็เห็นว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าที่สุด ณ เวลานั้น มันคงดีกว่าถ้าจะได้หนีไปสุดขอบหล้าอย่างที่คนรักไม่มีทางจะออกตามหาเขาพบ ทิ้งคนรัก ทิ้งเรื่องราว ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง

    น่าแปลกที่เขาไม่ได้เจ็บปวดใจมากขนาดนั้น เขายังคงคิดถึงเธอ คิดถึงว่าถ้าเธอร่วมเดินทางเคียงข้างมาด้วยกัน แต่มันไม่ได้ทำให้เขาเศร้าใจกับความคำนึงลมๆ แล้งๆ เลย เหมือนสายลมที่พัดเข้ามา แม้จะพัดผ่านไป ก็ยังหลงเหลือความรู้สึกอบอุ่นเกาะกุมอยู่ข้างในใจ

    และยูซึกิจะเป็นเช่นนั้นสำหรับเขาเสมอ

    “โธ่เอ๊ย ยูซึกิผู้น่าสงสาร”

    “และไอ้งั่งเจสซี่กับไอ้โง่เร็นเพื่อนรักผู้น่าสมเพช” เขายกแก้วรูทเบียร์ขึ้นชูเสริมถ้อย ทำให้เร็นต้องหลุดหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ เจสซี่ดีใจที่ตอนนี้เขามีเร็นอยู่เป็นเพื่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดปลอบใจ เห็นใจ หรือทำทีเป็นว่าเข้าใจทั้งที่ความจริงหรือก็ไม่ เจสซี่เรียนรู้ว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะเข้าอกเข้าใจกันอยู่แล้วแม้แต่ฝาแฝดตัวติดกัน และสำหรับเขากับเร็น มิตรภาพก็คือสิ่งเรียบง่ายเช่นนี้นี่เอง

    “แล้วนี่ตั้งใจจะกลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่?”

    “คงสักพักแหละ” เมื่อตอบคำถามแล้วจึงเสนอความเห็นเชิงแนะให้กับเพื่อนสนิทไปด้วยว่า “ยูซึกิต้องกำลังตามหานายอยู่แน่ๆ เพราะงั้นฉันว่านายเองก็ไม่ต้องรีบกลับนักหรอก อยู่เที่ยวกับฉันไปเรื่อยๆ แบบนี้ก่อน ยังมีอีกตั้งหลายที่ที่เราน่าจะไปทิ้งโลกข้างหลังเอาไว้ด้วยกัน และถ้าฉันไปคนเดียว ก็คงจะไม่สนุกเท่าไปกับนายอยู่แล้ว”

    “ฉันไม่อยากจะรบกวนนายมาก”

    เขาหมายถึงเรื่องเงิน ที่แม้ตอนนี้จะพอมีให้ใช้สุรุ่ยสุร่ายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขั้นจะตระเวนเที่ยวเป็นเดือนๆ แบบสบายๆ โดยไม่ต้องทำงานทำการเหมือนอย่างหมอนี่ เขาเป็นแค่ช่างซ่อมเครื่องดนตรี ไม่ใช่ช่างภาพฝีมือดีในบริษัทชั้นแนวหน้าอย่างที่จะช่วยเติมเต็มความฝันให้แก่คนรักเก่าของเขาได้จนเกินพอ ทว่าเร็นไม่ใส่ใจ เขาไม่เห็นว่ามิตรภาพควรจะวัดกันด้วยเรื่องเงินทอง ในเมื่อเจสซี่ได้เคยช่วยเหลือเขาจากสถานการณ์ตกต่ำจนเกือบจะถึงแก่ชีวิตครั้งสมัยเรียน มันมีค่ามากกว่าเงินทองที่เป็นเพียงของนอกกายอย่างเทียบกันไม่ได้

    และเพราะพวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดเลยว่าดีมากกว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกันของตัวเองเสียอีก เจสซี่จึงไม่ต่อปากต่อคำ เพียงพยักหน้ารับข้อเสนอง่ายๆ ของเพื่อนผู้ดื้อรั้นในเรื่องนี้แต่โดยดี

    เขากินเอลค์เบอร์เกอร์จนหมดในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนหมอนั่นที่กินออมเล็ตกับเฟรนช์ดิปไปเรื่อยๆ คงจะตบท้ายด้วยของหวานที่เขาไม่พิสมัยเลยเป็นแน่ ระหว่างดื่มรูทเบียร์รีฟิลเป็นหนที่สาม เขาก็พลันโพล่งถามเหมือนหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า

    “ว่าแต่นายยังไม่ได้เล่าเลยว่าทำไมถึงลาออกจากงานมา งานนายก็ดูไปได้สวยดีออก”

    เร็นก้มหน้าก้มตากินต่อไปเหมือนไม่สนใจ ขณะบอกปัด “เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะเล่า”

    “เอ๊า ไอ้เวร! ทีให้ฉันเล่านี่จะเอาซะทุกซอกทุกมุม พอเรื่องตัวเองล่ะปิดปากเงียบเชียว ฉันว่าสั่งเบียร์กันหน่อยดีกว่า เผื่อบางคนจะได้มีอารมณ์พล่ามเรื่องตัวเองมั่ง”

    “ไม่ล่ะ ต้องขับรถ”

    “เดี๋ยวฉันขับให้เองก็ได้”

    “วะ! ใครเค้าดื่มเบียร์ตั้งแต่หัววันกัน! เสียมู้ดกว่าเก่าอีก เอาเป็นว่าไว้มีอารมณ์ฉันจะเล่าเอง ตอนนี้อารมณ์ดี ยังไม่อยากเสียอารมณ์ โอเค จบเรื่อง”

    เขาเลยสบถด่าท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของคนถูกด่าไปอีกชุดหนึ่ง เห็นว่าหมอนี่ที่กำลังดื่มด่ำกับมื้อกลางวันของตัวเองไม่น่าจะเสร็จสิ้นง่ายๆ แน่ จึงขอตัวออกไปเดินเล่นย่อยอาหารแถวนี้สักหน่อย เร็นพยักหน้า บอกว่าเขาต้องชอบรถเก่าๆ พวกนั้นแน่และกล่าวอำลาว่าขอให้สนุก

    ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว หมอนี่มักจะถือโอกาสมาเที่ยวที่อเมริกาตามคำชวนของคุณลุงซึ่งรักหลานชายผู้นี้ยิ่งกว่าลูกในไส้ทุกซัมเมอร์เสมอ แม้จะล่วงวัยทำงานแล้วก็ยังขวนขวายหาวันหยุดยาวมาเที่ยวให้ได้ทุกปี เจสซี่เชื่อว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง หมอนี่จะต้องยอมละทิ้งความน่าเบื่อหน่ายในมหานครโตเกียว มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ซึ่งเจ้าตัวชื่นชมเป็นนักหนาตามคุณลุงที่วอชิงตัน ดี.ซี.อย่างแน่นอน น่าแปลกเหมือนกันที่เขาไม่ได้นึกอิจฉาชีวิตที่ดีกว่าของเพื่อนสนิทมากเท่าที่ตัวเองน่าจะรู้สึก ขณะผลักบานประตูออกไปข้างนอกคาเฟ่เพื่อเผชิญกับสายลมร้อนและแสงแดดจ้าบนทางหลวงสายรูธ 66 เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูจำนวนสายที่ไม่ได้รับและข้อความทั้งในอีเมลและแชตไลน์จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งมาจากเธอ เขาสูดหายใจ ก่อนตัดสินใจกดปิดเครื่องแล้วจับมันยัดกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง เขาจะไม่โทร.กลับหรือว่าอ่านมันแม้แต่ตัวอักษรเดียว ไม่ว่าตอนนี้ หรือตอนไหนๆ

     

    เขากลับมาที่โมบิลโฮมซึ่งจอดทิ้งไว้ในพาร์คหลังเดินดูรถคลาสสิกซึ่งน่าประทับใจอย่างที่เขาคิดจริงๆ ลูกหลงของบ้านลูอิสอายุห่างจากพี่ชายคนโตอย่างเขาถึงสิบปี เจ้าถั่วนั่นชอบการ์ตูนเรื่อง คาร์สและมักจะขอให้เขานั่งดูเป็นเพื่อนก่อนเข้านอนบ่อยๆ เมืองเซลิกแมนในแอริโซนาอันเป็นเมืองต้นกำเนิดของถนนประวัติศาสตร์สายรูธ 66 นี้ ก็นับเป็นเมืองต้นกำเนิดของเรื่อง คาร์สได้เช่นเดียวกัน รถเก่าๆ หลายต่อหลายคันมีการวาดลูกตาเติมลงไปจนชวนให้เขานึกถึงเหล่าเจ้ารถพูดได้ในหนังภาพยนตร์ชุดนั้นไม่หยอก เขาย้อนกลับเข้าไปยืมมือถือของเร็นในโร้ดคิล คาเฟ่ที่มีโลโก้เป็นรูปเจ้านกแร้งหน้าตาชวนขันเพื่อถ่ายรูปไปฝากเจ้าถั่ว หมอนั่นกำลังนั่งอ่านเมนูซึ่งไม่ทำให้เขานึกแปลกใจเลย ที่จริงเขาไม่ชอบการบันทึกความทรงจำผ่านกล้องนัก เมื่อการได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นลึกล้ำและสำคัญกว่า แต่จะให้พาเจ้าถั่วมาดูกับตาตัวเองก็เห็นว่าออกจะเกินปัญญาของพี่ชายไปสักหน่อย เขาคำนวณเวลาให้น่าจะพอดีกับเร็นขณะแวดดูสิ่งก่อสร้างตั้งแต่ยุคคลาสสิกจนครบรอบเมือง แทบไม่ต้องเสียเวลามากหากเขาก็เลือกที่จะดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ เขาชอบบรรยากาศความเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาประปรายแห่งนี้เหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องหวือหวาหรือตะเกียกตะกายเพื่อชีวิตบนยอดหอคอยเพื่ออยู่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกันอย่างที่เขาต้องเผชิญ หากนั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาเกลียดชังชีวิตในมหานครที่จากมาแต่อย่างใด แม้เขาจะไม่ผูกพันกับสถานที่ หรือผู้คน หรือสิ่งใดทั้งนั้นเลยก็ตาม ส่วนบ้านนั้นหรือ? เขาให้คำนิยามว่าบ้านคือที่ที่สุขใจ แต่หัวใจเขายังไม่พบสิ่งนั้น หรือคนที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น นับจากค้นพบว่าอนาคตของเขาและยูซึกิเป็นเพียงเส้นขนานอันยากจะเดินร่วมทาง เขาแวะเข้าไปในร้านกิฟต์ช็อปและเพลิดเพลินกับหลากหลายสิ่งในนั้นด้วยความสงบเป็นกิจกรรมสุดท้ายในเซลิกแมน ซื้อกริ่งมอเตอร์ไซค์ให้ตัวเอง ถุงเท้ากับเซตสติกเกอร์หลายๆ แบบไปฝากเจ้าถั่ว และคอลเลคเตอร์การ์ดของร้านตัดผมติดมือไปด้วย ยูซึกิชอบรูปวาดสวยๆ แบบนั้น จนได้ที่เขายังเอาแต่คิดถึงเธอถึงรู้ดีว่าไม่มีวันหวนกลับไปอีกแล้ว เมื่อนึกเย้ยหยันความน่าสมเพชของตนเองไปจนสุดทาง ก็เห็นเร็นกำลังยืนพิงตัวรถพลางอมลูกอมล้างปาก ขณะเหม่อมองออกไปบนท้องถนนที่ทอดยาวไกลอย่างไม่มีจุดหมาย หากก็รู้สึกตัวได้ในทันทีเมื่อเพื่อนซี้ก้าวเท้าหนักๆ มาถึง

    “ฉันซื้อเบอร์เกอร์ติดมาด้วย เผื่อหิว”

    “แน่ใจว่าเผื่อ?”

    ให้เร็นได้หัวเราะร่วน เปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับตามหลังเขาที่ขึ้นไปอยู่หลังพวงมาลัยแล้ว

    “เออสิวะ! ฉันถึงได้ซื้อบัฟฟาโลเบอร์เกอร์มาให้นายไง เพราะฉันไม่กินเนื้อควาย”

    “พลาดของอร่อยๆ นี่ เสียชื่อเมกุโระ เร็นหมด ควายมันคงร้องไห้แน่ๆ ที่คนอย่างนายเกลียดมัน”

    “ไอ้เวรนี่! ฉันกินเพื่อให้อิ่มท้อง ไม่ใช่เป็นพวกนักชิมที่ต้องขวนขวายกินทุกอย่างบนโลกเว้ย!

    “ถ้าเราหลงอยู่กลางทะเลทรายแล้วไม่มีอะไรกิน หวังว่านายคงจะไม่กินเนื้อฉัน”

    เร็นเหลือบแลสายตาไปยังเจสซี่แล้วหัวเราะหึในลำคอ “นายจะงัดแม่ไม้มวยไทยมาซัดจนฉันซี้ก่อนสิไม่ว่า ฝีมือนายใส่ฉันทีเดียวนี่ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้วมั้ง บอกไว้ก่อนว่าหนังฉันเหนียวนะเว้ย กินไปก็ไม่อร่อยหรอก นายไปขุดแมงป่องกินยังจะอร่อยกว่า”

    เขาก็เลยระเบิดหัวเราะออกมาได้บ้าง แล้วต่างก็ขันกันใหญ่จนแทบจะกลบเสียงเพลงร็อคจากแผ่นซีดีของศิลปินวงบ้านเกิด หากออกผลงานเพลงภาษาอังกฤษหลายต่อหลายชุดอย่างที่หลานชายเจ้าของรถบ้านนิยมจนหอบหิ้วข้ามทวีปติดกระเป๋ามาด้วย ขณะที่เจสซี่ซึ่งเล่นกีต้าร์ได้ และเก่งกว่าคนข้างๆ ไปไกลโขชนิดที่เทียบกันไม่เห็นฝุ่น กลับไม่มีวงดนตรีที่นิยมหรือแรงบันดาลใจใดเป็นพิเศษ เขาฟังเพลงได้ทุกแนว ให้แกะเพลงอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะเจาะจงถามว่าเขาชอบเพลงอะไรให้ถามว่าเขาชอบกินอะไรยังจะตอบได้ง่ายกว่า ที่เขาเล่นมันเพราะเมื่อได้ลองดีดมันเป็นครั้งแรกจึงพลันรู้สึกถึงความสงบเป็นครั้งแรกเฉกเช่นเดียวกัน เหมือนได้หลุดพ้นจากโลกที่เกลียดชังเขาใบนี้อย่างเหลือแสนแม้เป็นเพียงชั่วขณะสั้นๆ ความรู้สึกแบบนั้นไม่ปรากฏเมื่อเขาดีดมันต่อหน้าคนอื่น เขาจึงเลือกที่จะเป็นแค่ช่างซ่อมเครื่องดนตรีในร้านควบที่พักอาศัยของครอบครัวคิตาจิมะบนชั้นสองของห้องแถวเก่าๆ นอกจากเพื่อนสนิทคนเดียว คุณลุงกับลูกสาววัยใกล้เคียงกันของบ้านคิตาจิมะ และอดีตคนรัก...ที่เคยคะยั้นคะยอขอให้เขาเล่นเพลงโปรดของเธอเป็นของขวัญแล้ว ทุกวันนี้ แทบไม่เคยมีใครระแคะระคายด้วยซ้ำว่าคนเฉยชาอย่างเขาจะสามารถในเครื่องดนตรีหรือมีสุนทรียภาพอะไรกับเขาเป็น

    แต่อย่างกับว่าเขาเคยสน

    “พูดแล้วหิวเลยว่ะ”

    “ถ้าฉันต้องกลายเป็นคานนิบาลฉันจะกินนายชัวร์ อย่างน้อยฉันก็รู้อย่างหนึ่งว่าเนื้อนายเยอะกว่าแมงป่องแน่นอน”

    นอกจากเสียงหัวเราะต่อเนื่องยาวนานของคนทั้งคู่ พอๆ กับการถกเถียงเรื่องบ้าบอที่ไม่ว่าใครในโลกก็สนทนาเช่นนี้กับเจสซี่ไม่ได้แล้ว ก็จะตามมาด้วยเสียงตะโกนด่าทอของคนที่ผละขึ้นไปเปิดตู้เย็นทางด้านหลัง ทั้งอย่างนั้น คนหิวท้องกลับเพียงหยิบโค้กแช่เย็นขึ้นมาสองกระป๋อง ก่อนหมุนตัวหันขวับเพื่อจะกลับลงไปนั่งยังตำแหน่งข้างคนขับเดิม แต่กลายเป็นว่าความสนใจทั้งมวลของเขาจะหยุดชะงักไปเช่นร่างกายที่นิ่งค้างเมื่อนัยน์ตากำลังสบประสานเข้ากับคนที่กำลังรูดม่านที่นอนเหนือที่นั่งคนขับให้ขยายกว้างออก พร้อมกับน้ำเสียงขาดๆ หายๆ อันเป็นปกติของคนเพิ่งหลุดจากภวังค์ ทว่าแจ่มชัดอยู่ในโสตประสาทของเขายิ่งกว่าดนตรีที่ครอบครองพื้นที่ทั่วโมบิลโฮมขณะนี้เสียอีกว่า “ข้างบนนี้แคบจัง ขอลงไปยืดเส้นยืดสายข้างล่างหน่อยจะได้ไหมคะ?” ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษอย่างคนท้องถิ่น ซึ่งแตกต่างจากใบหน้าแบบชาวเอเชียที่อาจจะเป็นชนชาติเดียวกันกับเขาซึ่งกระโดดผลุงลงมาแทนที่จะปีนบันไดหรือรอคำตอบรับ และกำลังส่งยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้

    ขณะเร็นที่ได้ยินเสียงตึงตังหลังจากนั้นก็จะรีบหักเลี้ยวจอดรถเข้าข้างทาง ตะโกนถามว่า “มีอะไร?” ก่อนจะปลดเข็มขัดและตั้งท่าจะเผ่นพรวดขึ้นมา ก็พอดีกับที่เธอขยับหมุนตัวจนเส้นผมสีทองยุ่งเหยิงพลิ้วไสว ให้สารถีต้องนิ่งค้างไปอีกคน หนึ่งคำถามเปล่งจากริมฝีปากสีแดงสดอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อปฏิกิริยาของชายหนุ่มรอบข้างทั้งสองคนเลยว่า

    “ถ้าไม่รบกวนอะไร ช่วยไปส่งที่แคลิหน่อยจะได้ไหมคะ?”

     











    2021年05月18日
    _______________
     นางเอกในฟิคเรื่องนี้ยิบยืมมาจากฟิคโอกินาวะที่ยังไม่ได้แปลงสักที ขอชื่อไว้ตั้งแต่ฟรอมิสยังออกเพลงฟีลกู๊ดเมื่อแปดเดือนก่อน ว่าบาป ลืมแปลงจริง ที่ให้บังเอิญเพลงวีโกคือมาแนวท่องเที่ยวพอดี ฉะนั้นก็เลยขอหยิบมาลงฟิคท่องเที่ยวด้วยกันแบบนี้แหละ (เออ เห็นคำว่าวีโกแล้วนึกถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่สโตนส์เคยเป็นพรีเซนเตอร์เลยเว้ยเฮ้ย) อีกครั้งที่อิวาโมโตะ เจ้าของวันเกิดเมื่อวานได้รับบทหนุ่มเซอร์ไปครองโดยไม่ต้องแย่งกับใคร เพราะต้นฉบับคือสุดะตอนหัวฟูๆ น่ะ ส่วนบทแฟนเก่าของยูคาริเดิมคือโคเฮย์ อาเมะพาเระ ที่โอ้โห กูเคยชอบเค้าขนาดนั้นเลยว่ะ ส่วนบทเจสซี่กับเร็นเดิมทีคือพี่ซาโต้กับโซตะตามลำดับ ที่พอเอามาแปลงใหม่ก็ไม่คิดถึงใครเลยนอกจากคู่เพื่อนซี้คู่นี้ว่ะเพื่อน ที่จริงควรสลับบทเร็นกับเจสซี่ไหมวะ แต่กูพอใจจะแต่งให้เจสซี่เป็นฝรั่งปลอม ใครจะทำไมเอ่ย เดิมทีแต่งไว้ปี 2016 ช่วงที่ได้แปลสารคดีเรื่องนี้แหละแล้วชอบมาก กูไปชอบอะไรทะเลทรายนักหนาวะงง แต่ก็เป็นเรื่องที่ชอบอยู่นะถึงพล็อตจะไม่ค่อยดี เพราะหาข้อมูลสนุกมาก ชอบภาษามากเพราะบรรยายเยอะจริง ม่วนๆ แต่คงไม่แต่งต่อแล้ว ถึงอย่างนั้นก็จะเล่าพล็อตให้ฟัง
     พาร์ทแรก: อาคาเนะจัง น้องของฮิคารุจังจะมาเที่ยวที่นี่กับแฟนใหม่ แล้วก็บังเอิญที่เแฟนใหม่คือไทกะ ซึ่งก็เป็นแฟนเก่าของยูคาริ ที่บอกเลิกคือเพราะตอนนั้นตัวเองไม่มีอนาคตจริง ส่วนอิวะเคยฆ่าคนตายจริง อันนี้ไม่เล่น แบบว่าพลั้งมือฆ่าเลยหนีมาจริง ตอนจบยูคาริที่โกรธไทกะมาตลอดในที่สุดก็จะเข้าใจและจากลากันด้วยดี ยูคาริก็จะอยู่กับฮิคารุที่นี่ต่อ แต่ยังไม่ได้คบกันนะเพราะทั้งทริปเหมือนจะเป็นเรื่องของยูคาริกับไทกะมากกว่า แต่พี่เค้าน่ะชอบยูคาริแน่นอน ก็เอาเป็นว่าจากนี้ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ลืมเล่าว่าที่ยูคาริเจาะจงมาซัลเวชั่นเพราะไทกะเคยบอกว่าอยากจะมา / พาร์ทสอง: มาโซระอยากอยู่แคลิฟอร์เนีย แต่ครอบครัวไม่ยอม ด้วยความรำคาญ ตอนจอดที่จุดแวะพักเลยแอบหนีขึ้นมานอนบนรถของพวกนี้แล้วก็เผลอหลับไป พอให้ไปส่งที่แคลิ พวกนี้ก็ไม่ยอมกลับไป ก็เลยติดสอยไปโร้ดทริปด้วยกันหมดสามคน เอาจริงๆ เลยก็คือผู้ชายทั้งสองคนจะชอบมาโซระหมด แต่คนที่ควรได้คู่กับมาโซระจริงๆ น่าจะเป็นเร็นไหมวะ เพราะมาโซระอยากอยู่อเมริกามากกว่า และเร็นจะมาอยู่ที่นี่แหละ แน่นอน (แต่อย่าถามว่าเร็นลาออกจากงานทำไม เพราะกูก็จำไม่ได้ สวัสดี) แต่มึงคงเลือกพี่เจสซี่ต่อให้อยู่โตเกียวนั่นแหละ กูรู้กูเห็น ส่วนที่เลือกเมืองดีซีให้เมกุโระเพราะที่ตอบว่าเมืองหลวงของเมกาคืออะไรในอาเบะจังเซนเซเฉยๆ ที่ย้อนไปดูแล้วฮาจริง ตอบผิดหมดยกเว้นโมโตดากะแห่งควิซคลับ สมควร 55555 ส่วนอาชีพช่างซ่อมเครื่องดนตรีเอามาจากเรื่อง Monsterz ที่พี่ทากายูกิเล่นกับทัตจังจ้า
     เพลงประกอบตอนแรกคืออินดี้ฝรั่งที่มาย้อนฟังตอนนี้แล้วไม่ไหวจริง เบื่อ เลยเปลี่ยนมาเป็นวงญี่ปุ่นแทน แต่แปลกว่ะ พอเป็นแนวอินดี้หรือชูเกซญี่ปุ่นนี่ยังไงก็ฟังไม่เบื่อ คือมันก็มีช่วงที่เบื่อแหละแต่ก็กลับมาฟังได้ ทั้งที่ทำแนวฝรั่งด้วย ไม่เข้าใจ / ส่วนเพลงบนรถของพวกเจสซี่คือวันโอคุตั้งแต่ต้นฉบับแล้วนะ แต่ไหนๆ เคนชินก็จะเข้าแล้ว ก็เอ้า! ขอเสียงหน่อยครับพี่น้องครับ!
    double_B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×