ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #192 : star train, moon town 「スタートレイン・ムーンタウン」

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 66


    star train, moon town 「スタートレイン・ムーンタウン
    Playlist: Utada Hikaru – Keep Tryin'











    .

    เหตุผลที่คามิชิราอิชิ อุมิ ชอบการโดยสารรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายก็คือเหตุผลเดียวกับที่เธอเลือกทำพาร์ทไทม์ในร้านขายเทียนเล็กๆ บนตรอกถนนไม่พลุกพล่านตลอดทั้งหกวัน เธอไม่ชอบสังคม ไม่ได้ว่าเกลียดชังหรือต่อต้าน แต่เป็นเพราะการต้องพาตัวเองเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่ไม่ถนัดเอาเสียเลยนั้นต่างหาก คนที่อุมิสามารถพูดคุยได้อย่างสนิทใจทุกวันนี้มีไม่เกินนับนิ้วมือหนึ่งข้างเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งไม่นับเป็นปัญหา แค่มีหูฟัง โทรศัพท์มือถือ หรือหนังสือดีๆ สักเล่มก็เพียงพอแล้ว และอย่างเป็นแบบแผนเช่นเดียวกันกับทุกครั้งคราว อุมิจะเลือกจับจองที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับบานประตูใดก็ตามที่เดินเข้ามาเสมอ ขณะท่วงทำนองไหลล่องอยู่ในโสตสดับ นัยน์ตาสีเข้มก็จะมองออกไปนอกบานกระจกที่ส่องสะท้อนภาพเงาของตัวเองผ่านทิวทัศน์ภายนอกอย่างเลื่อนลอย ผู้คนจำนวนน้อยนิดในที่นี้ต่างก็จมจ่อมอยู่กับโลกใบเล็กของตัวเองไม่แตกต่าง สถานีแล้วสถานีเล่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ครั้นเบื่อหน่าย เธอก็จะเปลี่ยนสายตาจับจ้องมองดูผู้โดยสารคนอื่นๆ ฝั่งเดียวกับเธอมีพนักงานบริษัทผู้อิดโรยนอนกอดอกแล้วสัปหงกไปทั้งอย่างนั้น ท้ายขบวนมีคู่รักหนุ่มสาวจุมพิตโอบกอด กระทั่งโทรศัพท์ที่วางอยู่บนกระโปรงสีกรมของเธอสั่น จึงก้มลงไปเปิดอ่านและตอบข้อความของแม่เกี่ยวกับของแห้งที่ส่งมาให้จากฟุกุโอกะบ้านเกิด

    สิ้นสุดเสียงประกาศซึ่งไม่ได้ผ่านเข้ามายังความสนใจของเธอเลยสักเสี้ยวเศษ บานประตูที่เปิดอ้าในสถานีระหว่างทางก็จะค่อยๆ เลื่อนปิดลง พร้อมกับร่างของชายหนุ่มผู้โดยสารรายเดียวที่เดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนเบาะที่นั่งเยื้องๆ กันกับเธอ นากามูระ ไคโตะ ขยับตัวหามุมเหมาะเจาะ ถอดเคสเครื่องดนตรีที่สะพายพาดไหล่วางลงข้างตัว แล้วจึงล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงซึ่งมีสายเชื่อมอินเอียร์อยู่ก่อนแล้วขึ้นมาเสียบกับรูหู จมสู่โลกของตนเองเฉกเช่นผู้โดยสารรายอื่นๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใส่ใจใคร

    ขณะที่อุมิเพิ่งละสายตาออกจากมือถือขึ้นแหงนเงยได้เพียงครู่ แรงสั่นสะเทือนเพราะข้อความเข้าอีกครั้งก็ถูกส่งมา ดึงความสนใจกลับคืนไปอีกครั้ง ไม่ใช่แม่ แต่มาจากแชทไลน์ของเพื่อนสนิทคนเดียวตั้งแต่สมัยไฮสคูลซึ่งชักชวนเธอไปหามื้อค่ำและที่นั่งคุยเกี่ยวกับเรื่องของรายงานจับคู่วิชาดาราศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายเมื่อสองวันที่แล้วในภัตตาคารครอบครัวด้วยกัน เธอไม่เห็นเหตุผลที่ควรปฏิเสธและตอนนี้ก็ชักจะเริ่มหิวท้องกิ่วขึ้นมาแล้วด้วย รถไฟชะลอสาย เสียงประกาศของสถานีถัดไปไม่ได้ลอดเล็ดหากเป็นตัวอักษรเหนือศีรษะ พิมพ์ข้อความบอกคนทางโน้นว่าอีกสักประมาณยี่สิบนาทีก็น่าจะไปถึง เขาตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์กระต่ายสีขาวชูป้ายคำว่า โอเค ซึ่งก็น่ารักสมกับเป็นเขาดีแล้ว เธอระบายรอยยิ้ม ค่อยผุดลุกขึ้นยืนเพื่อสวมเป้สะพายไหล่ เมื่อสาวฝีก้าวจากบู๊ตสีขาวไปยังประตู มือบางก็หย่อนมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเดียวกัน

    อุมิไม่ได้หยุดฝีเท้าหรือเหลียวมองไปทางใดแม้ยามพ้นจากประตูเลื่อนของขบวนรถไฟออกไป เช่นกันกับไคโตะที่นั่งจดจ่ออยู่กับเกมเจอาร์พีจีในมือถือด้วยความเขม้น บานประตูขยับกลับเข้าหากันก่อนเริ่มเตรียมพร้อมจะแล่นไปบนรางจนสุดสาย เธอสวนเส้นทางไปในสถานีที่เงียบเหงาเหมือนกระทำทุกค่ำคืน อุณหภูมิน่าจะลดลงไปอีก เธอคิด จากนั้นกระชับเสื้อโค้ต

     

     

    ในสวนสาธารณะระหว่างเส้นทางสัญจรกลับอพาร์ตเมนต์มีศาลานั่งเล่นตั้งเด่นอยู่ นอกจากจะเป็นสีขาวสะอาดตัดกับสีเขียวของเหล่าต้นไม้ใบหญ้าแล้วยังเงียบสงบดีอีกด้วย ทาเตชินะ ทสึคิ ค้นพบที่นี่ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชีวิตเมืองหลวงของเธอกำลังเริ่มเข้ารูปเข้ารอย แม้อะไรๆ อาจจะผิดไปจากแผนแรกสุดที่เธอวางไว้นับตั้งแต่จับรถไฟจากฮกไกโดลงมาก็ตามที กระทั่งการถูกเลิกจ้างเมื่อไม่ผ่านช่วงทดลองงานในบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ารายย่อยซึ่งแม่เลี้ยงจะเจ้ากี้เจ้าการเป็นธุระให้ทั้งที่ไม่ต้องการไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของทสึคิอีกต่อไป เมื่อการทำงานเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดเล็กๆ ที่มีเจ้าของเป็นคุณลุงใจดีอย่างทุกวันนี้ดีกว่าการต้องถูกซุบซิบนินทาหรือต้องเผชิญกับปัญหาการคุกคามทางเพศที่แม่เลี้ยงใจร้ายไม่ยอมเข้าใจเป็นไหนๆ ซึ่งก็เอาเถอะ เธอไม่ได้คาดหวังอะไรจากความสัมพันธ์ฉาบฉวยของครอบครัวจอมปลอมอยู่แล้ว เพราะสิ่งที่เป็นจริงในตอนนี้คือมื้อค่ำและกาแฟจากร้านสะดวกซื้อแสนอร่อย เฉกเช่นอุณหภูมิที่กดต่ำลงจนท้องฟ้าถูกระบายเป็นสีน้ำเงินเข้มตั้งแต่หัวค่ำเมื่อฤดูหนาวหวนมาเยือน กาแฟกระป๋องอุ่นๆ ช่วยให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง และเมื่ออึกสุดท้ายไหลผ่านลำคอลงไป เธอก็รีบเก็บขยะลงไปในถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อ ลุกขึ้น หิ้วมันติดกับแฮนด์จักรยานคันสีเหลืองอ่อนไปด้วย

    กระทั่งล้อจักรยานขับเคลื่อนออกไปในทิศทางเดียวกับสายลมเย็นที่โบกโบย มัตสึดะ เก็นตะ ที่เพิ่งจะกดกระป๋องช็อกโกแลตร้อนจากตู้ที่อยู่เลยจากสวนสาธารณะไม่ไกลก็จะเดินเข้ามาในสวน ทิ้งตัวลงไปบนม้านั่งยาว มือเปิดฝากระป๋อง ยกขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นเหลือบสายตาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือข้างซ้าย ครั้นเมื่อเห็นว่ายังพอถมเถที่จะไปให้ทันนัดหมาย ด้วยรู้จากระยะทางและสภาพอากาศที่เธอไม่ถูกด้วยว่าน่าจะเกินยี่สิบนาทีตามการคาดคะเนของเจ้าตัวแน่นอนอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้แสดงทีท่าว่ารีบร้อนอะไร

    แต่ในระหว่างที่เขาเพียงนั่งเหม่อมองท้องถนนไร้ผู้คนจากเสาไฟที่ส่องสว่างสลับกับยกกระป๋องขึ้นจ่อปากเป็นระยะ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น เก็นตะหลุดจากภวังค์รู้สึกตัว เมื่อล้วงหยิบมันขึ้นมาดูชื่อของปลายสายก็เป็นต้องประหลาดใจ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นความตื่นตกใจ ในตอนที่เธอโทรมาบอกว่าประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนและขณะนี้มีพลเมืองดีพามาส่งที่โรงพยาบาลประจำเขต หากจะให้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลตามคำพูดของเธอก็ทำไม่ได้ ช็อกโกแลตอุ่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ในกระป๋องกระฉอกหกไปตามแรงวิ่งของเขา ขณะเป็นอีกครั้งที่เธอปั่นจักรยานด้วยความกระหืดกระหอบกลับมายังศาลานั่งเล่นที่เพิ่งจะจากไป ทสึคิปล่อยจักรยานล้มลงไปกับพื้นแล้วรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือหุ้มเคสสีเหลืองอ่อนของตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่ามันร่วงตกลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หากก็พรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะเหนื่อยล้าจากการเร่งปั่นจักรยานกลับมาทันทีที่รู้ตัวจึงทรุดตัวนั่งพักลงไปในตำแหน่งเดิมกับขาก่อนจากมา เพราะเหงื่อที่ไหลซึมเลยไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวอย่างที่ควรจะเป็น ก็ไม่เลว เธอคิด จากนั้นหลับตาลง












    2022年02月20日
    _______________
     ต้องลงฟิคให้ได้สักเรื่องในวันนี้เพราะเลขสวยมาก แม้ตัวเราจะไม่ได้ชอบเลขนี้อะไรมากมายเลยก็ตาม / มันเกิดจากที่ว่าวันหนึ่งกูนั่งฟังเพลงวันลาสต์คิส แล้วอะไรไม่รู้ จู่ๆ กูก็คิดถึงฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่ไม่คิดว่าอยากแปลงเพราะยังไงก็ไม่ได้เขียนชื่อตัวละคร แต่เพราะบรรยากาศของเรื่องนี้มันก็มาแนวอนิเมะไม่ใช่หรือไงนะ ในเมื่อแรงบันดาลใจมาจากงานของชิงไค ต้องย้ำว่าแต่งไว้ตั้งแต่สมัยเพิ่งประกาศว่าคามิคิจะได้พากย์เป็นพระเอก ซึ่งก็ผ่านมานานเป็นชาติเศษ ละพอดังมากกูก็รำคาญกระแสและยังไม่ได้ดูมาจนบัดนี้ (แต่เรื่องอื่นของชิงไคก็ดูปกตินะ ยังไปดูเตงคิ โนะ โกะในโรงอยู่เลย คนนิดเดียว เพราะไม่มีกระแสแล้ว U_U) แต่พระเอกทั้งสองคนในเวอร์ต้นฉบับคือฮนโงกับทามะ อ้าว ไหนคามิคิ จากนั้นพอลองเลือกเพลงของอุทาดะมาประกอบแล้วก็ตบเข่าป้าบ! ใช่! ได้! แน่นอนว่ากูเก๊าะต้องเลือกแคสต์จากเรื่องเพอร์เฟคฯมาน่ะสิ ดูซะ หัวฟ้าหัวส้ม (แต่คนปากดีแบบกูเก๊าะต้องเป็นอาสึกะที่รักของอุมิเท่านั้นจ้า >_<) ยังไงก็ยังอยากแต่งฟิคจากเพลงอุทาดะให้ได้จริงๆ ในสักวันหนึ่ง แต่ก็ยังคิดพล็อตที่เปิงใจไม่ออกสักที ยากจังแย่จัง
     และบังเอิญมากที่ชื่อนางเอกยังเนียนกับชื่อเรื่องได้อยู่เว้ยเฮ้ย! ทั้งอุมิที่มาจากคำว่าอุจู ส่วนทสึคิก็ตรงตัวตามนั้น (โอ๊ยขอเล่าหน่อย คือกูชินกับคำว่าทสึคิเพราะเราอ่านแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทีนี้พอตามบิลลี่แล้วเค้าเรียกสึกิกันกูก็แบบโอ๊ย! ไม่ชิน! ชินคำนี้ที่อ่านว่าคิมากกว่ากิ หลักกอคอในญี่ปุ่นทำอะไรกูไม่ได้ ฉะนั้นกูก็จะขออยู่กับคิต่อไป T_T) ละพอมาสังเกตดูคันจิทั้งสี่คนคือเขียนง่ายหมดเลย
     อุมิจะได้รู้จักไคโตะตอนไปทำงานร้านขายเทียนด้วยกัน เพราะอุมิขาหัก ไคโตะที่เป็นญาติกับไทปี้ (ซึ่งเป็นเจ้าของร้านตั้งแต่เวอร์ต้นฉบับ) ก็เลยจะมาช่วยงาน ที่เป็นรถไฟเพราะสองคนนี้เวลากลับบ้านจะขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน ส่วนเก็นตะกับทสึคิจนถึงตอนนี้กูก็ยังจำไม่ได้ แต่คงได้เจอกันบ่อยๆ ตรงศาลาแล้วก็ในห้องสมุดที่ทสึคิทำงานแหละมั้ง เพราะกูก็ไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องเล่นๆ ไหมล่ะ >_< / ปล. ว่าไปกูไม่ได้แต่งให้ตัวละครเป็นเซย์ยู เป็นวัยซนคนการ์ตูนมานานละเนาะ แต่ในจานี่ก็ต้อง พี่ คุ น่ะ สิ วะ กุ นิ ไค่ หัว
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×