คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #186 : Shalala☆Summertime | Chapter 1
ภาพที่หันไปเห็นตอนที่หมุนตัวละจากตู้ปลาที่เอาแต่ยืนมองเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยลอยไปลอยมาด้วยความสนใจอยู่นานสองนานนั้น พลันเรียกใบหน้ายิ้มแย้มจนถึงก่อนหน้าให้ระบายกว้างขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ ของหนึ่งสาวที่ถือแก้วเครื่องดื่มเฟรบเป้รสโปรดอย่างวานิลลาครีมเฟรปปูชิโน่ หลังจากที่คงจะลับฝีปากกับหนึ่งหนุ่มไม้เบื่อไม้เมาซึ่งทำหน้าเซ็งคู่กันมาตลอดทาง สมกับเป็นโมเมนต์ระหว่างซาโอโตเมะ อิจิโกะกับทานากะ จูริที่เขาคุ้นเคยดี กระทั่งจะย่ำรองเท้าผ้าใบหนักๆ มาพร้อมกับเสียงถอนหายใจดังเฮ้อ ทิ้งตัวลงนั่งบนกระเป๋าเดินทางสีชมพูอ่อนด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย อย่างไม่ทันได้พักให้หายใจหายคอดี ก็จะถูกมือบางข้างที่ว่างจากแก้วเครื่องดื่มเย็นกึ่งผลักกึ่งตี ส่งเสียงโวยวาย “หนอยแน่ะพี่จูริ! ลุกเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่มันกระเป๋าของฉัน!” ที่ก็ไม่ยักให้เจ้าตัวได้รู้สึกรู้สาอะไรนอกไปจากความรำคาญใจ หากวันนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเกินกว่าจะหาเรื่องลับฝีปากกับยัยเด็กที่สวยแต่รูปนี่ได้ จึงบุ้ยใบ้ให้เพื่อนซี้ที่ยืนแกร่วอยู่แถวตู้ปลาเขตร้อนไม่ไกล เข้ามาจัดการยัยตัวปัญหาขี้โวยวายด้วยการแตะไหล่เล็กเบาๆ แค่เพียงเท่านั้น แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่ายัยเด็กดื้อคนนี้ยอมให้แค่กับเคียวโมโตะ ไทกะคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนรู้ดี...แม้กระทั่งเจ้าตัวก็รู้ดี ว่าเจ้าหล่อนตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำมาตั้งแต่แรกพบ หากสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ได้ก็คือมิตรภาพของพี่ชายน้องสาวที่อายุห่างกันห้าปีเพียงเท่านั้น ถึงเธอจะยังไม่ยอมรับคำปฏิเสธนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ แต่ไทกะก็คิดว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว เขายังคงปฏิบัติตัวต่อเธอเช่นเดิม ไม่มีการให้ความหวัง ไม่ข้ามเส้นขีดกางกีดกั้น และการมางานแต่งงานของรุ่นพี่ที่รู้จักกันไกลถึงโอกินาวะแบบสองหนุ่มหนึ่งสาวเช่นนี้ ก็เป็นความต้องการติดสอยห้อยตามมาด้วยของตัวเธอเอง ซึ่งหาได้ข้องเกี่ยวกับเจตนาเริ่มของเขา ที่อย่างไรก็แน่ใจว่าจะไม่มีสถานการณ์ที่เรียกว่าบรรยากาศพาไปกับสาวน้อยน่ารัก — หากเขาให้ได้มากสุดแค่เพียงฐานะน้องสาว — อย่างแน่นอน
เน้นตัวหนาไว้ที่คำว่า อย่างแน่นอน ได้เลย
“ไหวหรือเปล่า?”
เขาเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีของคนที่นั่งอยู่บนกระเป๋าเดินทาง ซึ่งสั่นหัวแทนคำตอบรับ “น่าจะไม่รอด กินยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“นี่พี่จูริจะให้พี่ไทกะลากกระเป๋าเดินทางของฉันคนเดียวไม่ได้นะ!”
“สั้นๆ นะอิจิโกะ มีมือก็ลากไป” ปากบอกว่าสั้น แต่กลับสานต่อประโยคถัดมาเสียยืดยาวว่า “แล้วที่ฉันช่วยเธอก่อนหน้านี้ก็เพราะเห็นว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงหรอก หอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังอย่างนั้นเดี๋ยวก็มาบ่นกระปอดกระแปดอีก ฉันรำคาญ แถมช่วยแล้วยังไม่มีการขอบคุณสักคำอีก เด็กประสาอะไรก็ไม่รู้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนถูกต่อว่าเลยถลึงตาโต กัดหลอดเครื่องดื่มจนแน่ใจได้เลยว่ามันคงจะบูดเบี้ยวเสียรูปทรงไปแล้วเป็นแน่ ตอนที่กำลังจะอ้าปากต่อว่าเพื่อนสนิทของพี่ชายที่เธอไม่เคารพผู้นี้เอาเสียเลย เพราะเขาคอยแต่ต่อว่าเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็เป็นอันถูกขัดจังหวะเสียก่อนจากไทกะ ผู้มักจะเป็นฝ่ายห้ามทัพระหว่างพวกเขาทั้งสองเสมอ ก็ใช่ว่านึกรำคาญอะไร ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วย แต่การจะให้จูริต่อล้อต่อเถียงและฟังเสียงแหลมเล็กของอิจิโกะผ่านโสตประสาทก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์สำหรับคนป่วย หลังลงจากเครื่อง จูริก็ชี้เป้าและนัดแนะที่หมายอย่างคนแวดไปมาระหว่างโตเกียว-โอกินาวะเสียบ่อยให้แก่เขาที่เพิ่งจะเคยมาเหยียบย่างเป็นครั้งแรก แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ชนิดที่เรียกได้ว่าโซซัดโซเซ แต่ไม่ยอมเสียล่ะที่จะให้ไทกะต้องมาเป็นห่วง จากนั้นก็ไล่ให้เขากับอิจิโกะช่วยกันลากกระเป๋าเดินทางสองใบที่ไม่มีใบใดเป็นทรัพย์สมบัติของเขาเหมือนคนบ้าหอบฟางเลย เช่นนั้นแล้วเขาจึงสั่นหัว แทรกเสียงเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร พี่ไหว เดี๋ยวพี่ลากไปให้เอง แต่อิจิโกะช่วยดูแลจูริมันหน่อยนะ” หากสีหน้าบูดเบี้ยวนั้นก็ทำให้ไทกะต้องเปลี่ยนไปส่งเสียงหนัก แม้ว่าจะมาจากคำพูดเชิงร้องของก็ตามทีว่า “ถือว่าพี่ขอ”
อย่างกับว่าอิจิโกะจะกล้าขัดใจ
“เดินไหวแน่นะ”
“แกก็เว่อร์ไป ไอ้บ้า!” จูริหัวเราะ ลุกขึ้นยืนพลางเอื้อมมือจะไปจับแฮนด์กระเป๋าใบที่เขาใช้แทนที่นั่ง แต่ก็ถูกมือเอื้อมตัดหน้าไปเสียก่อน
“แค่นี้ฉันช่วยได้น่า”
กระนั้น เพื่อนซี้ก็ทำหูทวนลม ลากกระเป๋าทั้งสองใบเดินลิ่วๆ นำสองไม้เบื่อไม้เมาที่หญิงสาวมีท่าทีฮึดฮัด กระแทกน้ำเสียงใส่อารมณ์ “เพราะพี่คนเดียวเลย ถึงได้วุ่นวายกันไปหมด จะมาป่วยไข้บ้าอะไรเอาวันนี้ก็ไม่รู้!” เรียกน้ำเสียงหึในลำคอของคนป่วยไข้ออกมา มองดูแผ่นหลังในชุดเดรสกระโปรงยาวของยัยเด็กถือดี ก่อนจะรีบเดินเร่งฝีเท้าฉับๆ ผ่านไปพร้อมรอยยิ้มหยันเมื่อจงใจหันขวับไปยียวน เมื่อได้เห็นเธอเลิกนัยน์ตาโตไม่พอใจแล้ว ริมฝีปากก็ยิ่งขยับกว้างขึ้น ถึงจะไม่มีแก่ใจอ้าปากต่อคำกับเธอแล้ว แต่กับเรื่องท่าที...ไม่มีคำว่าไม่ไหว!
“ถ้าพี่เป็นลมเป็นแล้งไปซะตอนนี้ ฉันจะดีใจมาก”
เธอก้าวฝีเท้ายาวๆ เพื่อพยายามเดินตีคู่ทัดเทียมกับเขาไปให้ได้ เห็นดังนั้น จูริก็ผ่อนฝีเท้าของตัวเองกลับมาอยู่ในจังหวะปกติ ที่ออกจะเฉื่อยชากว่าเดิมเพราะอาการไม่ค่อยดีที่แล่นปลาบขึ้นมาเป็นระยะอีกครั้ง
“เออ ถ้าฉันเป็นอะไรไปก็ปล่อยฉันทิ้งไว้ตรงนั้นเลย ไม่ต้องมาช่วย”
“อยู่แล้ว”
“ถือว่าพี่ขอ”
อิจิโกะกัดริมฝีปากข่มกลั้นความโกรธขึ้งอีตาคนกวนประสาท ที่เลียนทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเพื่อนสนิทตัวเองออกมาได้ราวกับถอดแบบ กระทืบรองเท้าส้นเตารีดแบรนด์เดียวกับชุดเดรสสำหรับหาดทรายโอกินาวะอันเจิดจ้าระยิบระยับ ก่อนวิ่งปึงปังตามหลังไวๆ ของไทกะที่ปะปนกับฝูงชนนักท่องเที่ยวในสนามบินนาฮาไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะชอบใจของจูริ และอาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่ทำเอาปวดเมื่อยข้อมือข้อแขนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนต้องทิ้งลงข้างลำตัวอย่างนั้น
อาการของคนป่วยไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งหลังจากนั่งรถตู้ของบริษัทรับเช่ารถมาจนถึงออฟฟิศบริษัทนี้ก็อีก ไม่ใช่อาการอาการไม่ดีจากภายในจนนึกอยากขย้อนเอาของเก่าออกมา แต่เป็นภายนอกต่างหาก มือของเขาปวดแปลบจนขนาดจะจับกระชับกระเป๋าเป้ให้มั่นก็ยังสั่นเทา ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องขับรถเลย ทั้งที่อุตส่าห์หมายมั่นว่าจะอาสาเป็นสารถีให้แก่หนุ่มสาวทั้งสอง หากอาการที่ย่ำแย่ลงไปทุกขณะ จนแม้แต่การสูดอากาศปลอดโปร่งภายใต้ท้องฟ้าสว่างใสของเกาะโอกินาวะเช่นนี้ก็ไม่อาจช่วยอะไร
ไทกะจึงเป็นฝ่ายเข้าไปติดต่อเช่ารถกับเคาน์เตอร์แทนที่เขาให้ ซ้ำยังอาสาจะเป็นสารถีจำเป็นแทนผู้เสนอตัวแต่แรกเริ่มโดยไม่เกี่ยงงอนอะไร ที่จริงจูริให้ข้อเสนอว่าควรขึ้นแท็กซี่หรือบัสไปจะดีกว่า แต่ไทกะคิดว่านั่นคือปัญหา เพราะเขาไม่คิดว่าจะปักหลักพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ตหรูเพียงแห่งเดียวตลอดการเดินทางที่ยังไม่มีกำหนดกลับของตนเอง อีกทั้งการขับรถติดต่อกันนานสามชั่วโมงไปถึงไพรเวทรีสอร์ตที่รุ่นพี่อาเบะนัดแนะไว้ ถึงจะไม่ชำนาญเส้นทางนัก แต่แค่จับจีพีเอสไปให้ถึงก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร เห็นจะมีก็แต่อิจิโกะที่ถึงจะสงบเสงี่ยม ไม่ได้ขยับริมฝีปากส่งคำพูดอันใดออกมา แต่สีหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ และการที่ตามหลังไทกะเข้าไปข้างในไม่ยอมแยกจาก ก็บอกเล่าทุกความรู้สึกห่วงใยต่อเขาได้เป็นอย่างดี จูริไม่ได้นึกต่อว่าอะไร ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้นึกเป็นห่วงเป็นใยหรือใส่ใจเธอในฐานะน้องสาวอยู่แล้ว ทั้งนิสัยเย่อหยิ่ง ถือตัวเองเป็นหลัก คิดว่าหน้าตาน่ารักเข้าหน่อยแล้วจะทำอะไรก็ได้ ถ้าอยู่ในชั้นเรียน เขาคงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่ปรายตามอง เพราะเธอเป็นประเภทยอมรับความจริงไม่ได้ ถึงได้จงเกลียดจงชังสายตาที่มองอย่างกับทะลุปรุโปร่งและเหยียดหยันของเขา ถ้าเขาไม่ใช่เพื่อนสนิทของผู้ชายที่เจ้าหล่อนแอบรักก็คงจะแตกหักกันไปนานแล้ว เช่นเดียวกับถ้าเธอไม่ใช่น้องสาวของเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของเขาด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
อันที่จริง เขาคัดค้านไม่ให้ไทกะพายัยเด็กนี่มาที่โอกินาวะด้วยตั้งแต่แรก ไม่ต้องให้เซนส์สังหรณ์หรือใครมาบอกก็รู้ว่ามันคงจะเป็นทริปสุดกร่อย หากเพื่อนซี้คนดีก็พร่ำบอกแต่ว่า “ไม่เป็นไรหรอก อิจิโกะเขาก็แค่อยากมาเที่ยวโอกินาวะเอง” ทั้งที่ยัยนี่ไม่ได้รู้จักมักจี่รุ่นพี่อาเบะ หรือเจ้าบ่าวในงานแต่งที่คอยช่วยเหลือพวกเขาตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยังจะตามตื๊อขอเข้าร่วมเป็นคู่ควงของหนึ่งในแขกงานแต่งงานให้ได้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รุ่นพี่อาเบะไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังชอบใจที่รุ่นน้องมีสาวควงมาด้วยเสียอีก เขารู้ว่ายัยเด็กนี่อาจคิดว่าการควงไทกะไปงานแต่งอาจทำให้มันนึกสนใจหันมามองเธอบ้าง แต่เชื่อเถอะ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบร้อยปี ไอ้หมอนี่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนสถานะให้เจ้าหล่อนอย่างที่ฝันแน่!
ยิ่งคิด หัวสมองก็ยิ่งหนักอึ้ง สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือการนอนพัก แต่ม้านั่งหน้าออฟฟิศก็ไม่เรียกว่าเป็นใจเอาเสียเลย ไม่เป็นไร เขาจะอดทนรอจนกว่าจะได้ขึ้นไปทิ้งตัวลงนอนในรถเช่าขนาดกลาง จะเป็นสีอะไร ยี่ห้ออะไรก็ได้
เลยก้มหน้าลงหลบแสงแดดแยงตา แต่หากน้ำเสียงละล้าละลังที่ดังอยู่ข้างหูเขาที่ก็ทำให้ต้องเงยมอง
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
สบนัยน์ตาใสแจ๋วของหญิงสาวผมบ็อบที่ก้มตัวมองตรงมาอยู่ไม่ห่าง สีหน้าของเธอแสดงความกังวลใจออกมา เหมือนว่าอยากจะทำอะไรได้มากกว่านี้ หากลังเลใจตราบเจ้าตัวไม่อนุญาต
“ไม่เป็นไรครับ พักสักเดี๋ยวก็หายแล้ว ขอบคุณมากครับ” เขาโป้ปด ส่งยิ้มจางๆ ไปให้แก่หญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้นที่คิ้วยังคงขมวดมุ่นเข้าหากันอยู่
“แน่ใจนะคะ? ต้องการยาหรืออะไรไหม? ฉันพอมี”
“ครับ ไม่เป็นไร เพื่อนผมกำลังทำเรื่องเช่ารถอยู่ข้างใน” เขาหันกลับเข้าไปมองผ่านบานกระจกทึบ “ถึงคิวมันพอดีเลย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เมื่อนั้น เธอจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าโล่งอก วาดทับด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากบางได้รูป กลับมายืดตัวตรง เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงตะโกนจากคนที่ยืนอยู่ข้างรถเช่าคันหนึ่งร้องเรียก “โซระจัง ไปกันเถอะ” เขาไม่ได้ชะเง้อไปหาต้นเสียงนั้น ต่างจากเธอที่หันไปตอบรับเสียงดังฟังชัด “โอเค” แล้วหันกลับมาหาเขาอีกครั้งเพื่อผงกหัวส่ง เอ่ยคำลาด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนวิ่งกลับไปหาเพื่อนชายหญิงของเธอ จูริไม่ได้มองตามผู้ปรารถนาดีไปจนลับตาอย่างเช่นในภาพยนตร์รักโรแมนติก หน้าตาเธอจะเป็นอย่างไรเขาก็แทบจำจดไม่ได้ด้วยซ้ำ จากนั้นเปลี่ยนมาพิงศีรษะกับกำแพงแข็งๆ ซึ่งไม่สบายหัวเอาเสียเลย บดปิดเปลือกตาลง กระทั่งน้ำเสียงที่แว่วผ่านเข้ามาในใบหูและแรงเขย่าที่แขนของเขาเบาๆ เรียกภาพที่มืดมิดให้กลับคืนมามีสีสันสดใส ผิดคาดที่เป็นอิจิโกะ หน้าตาเธอไม่ได้แสดงความไม่พอใจ ดูเหมือนจะเข้าใจว่าสถานการณ์ของจูรินั้นแย่เกินกว่าจะมาโต้วาทีกันอย่างเผ็ดร้อนเช่นปกติได้อีก
“พี่เดินคนเดียวไหวนะ ฉันพยุงพี่ไปไม่ไหวแน่ บอกไว้เลย”
“ไหวสิ” เขาพาตัวเองลุกขึ้นยืนหยัดตรง เดินตามอิจิโกะที่เดินช้ากว่าจังหวะปกติของตนเองไปถึงรถเช่าขนาดกลางที่ไทกะขนข้าวของของทุกคนเข้าไปเก็บไว้เรียบร้อย ตั้งแต่ตอนที่เขาเผลอหลับไปไม่รู้ตัว
จูริทิ้งทั้งตัวลงนอนตะแคง ยึดครองพื้นที่บนเบาะหลังซึ่งไม่ใช่เป้าหมายแรกเริ่มในการกันท่าอิจิโกะให้ห่างจากไทกะ แต่เขาอ่อนล้าและหมดแรงเกินกว่าจะทำสิ่งใดได้อีก นอกจากนอนนิ่งๆ ให้เหมือนขอนไม้ได้เลยยิ่งดี ขึ้นรถปุ๊บชนิดที่ยังไม่ทันให้อีกสองคนได้คาดเข็มขัด จัดเตรียมตัวเองดี คนป่วยก็ม่อยหลับต่อจากที่ค้างคาไว้ไปก่อนแล้ว
และคงจะหลับไปตลอดสามชั่วโมงถึงเจเอแอล ไพรเวต รีสอร์ตโอคุมะโน่นอย่างไม่ต้องสงสัย
บัดนี้ ในรถมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศหึ่งๆ และเสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงาน ไทกะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุฟังคลื่นท้องถิ่น บทเพลงภาษาอังกฤษของวงดนตรีแนวเซิร์ฟมิวสิคละล่องไป จูรินอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้วต่อให้เขาเร่งระดับเสียงจนสุดก็ตาม อิจิโกะเองก็ไม่ได้มีปากเสียงอะไร เธอไม่มีรสนิยมทางดนตรีเป็นพิเศษ ฟังได้เรื่อย ไม่ค่อยเรื่องมากในเรื่องแนวเพลง
รถอีโค่คันสีบรอนซ์เงินแล่นผ่านไปตามท้องถนนที่ทอดยาวเหมาะแก่การขับรถเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน อากาศเย็นสบายแม้จะเป็นช่วงซัมเมอร์เพราะเป็นพื้นที่ติดกับฝั่งทะเล ไทกะจดจ้องผ่านกระจกมองหลัง สังเกตการณ์เพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแลเหลือบสายตาหันไปหาอิจิโกะที่นั่งเท้าแขนหันมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างอารมณ์ดี เห็นเป็นการดีจึงกดปุ่มเลื่อนกระจกฝั่งของเขาและเธอลงอัตโนมัติ ลมที่จู่ๆ ก็พัดต้องเข้ามาทำเอาหญิงสาวตกใจไปหน่อยหนึ่ง
“อากาศดีแบบนี้เปิดกระจกน่าจะดีกว่านะ”
“อื้อ”
อิจิโกะหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ไทกะที่ก็ส่งรอยยิ้มอบอุ่นเฉกเช่นตัวเขาคืนกลับมา ไทกะสลับสายตากับทั้งทางตรงและมุมด้านข้างภายนอกบานกระจกที่ถูกเลื่อนจนสุด นานครั้งก็หันมองจูริและอิจิโกะที่ไม่ได้อ้าปากพูดอะไรกันบ้าง
เป็นปกติวิสัยของอิจิโกะเมื่ออยู่กับเขา ที่แตกต่างจากบรรยากาศระหว่างจูริโดยสิ้นเชิง
สำหรับเขาแล้ว ซาโอโตเมะ อิจิโกะก็แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าเหลือรับอะไร เขาเคยเจอที่เลวร้ายกว่านี้มาแล้วในช่วงไฮสคูล ไทกะจึงไม่เคยนึกรำคาญใจ หรือถึงขั้นตัดสัมพันธ์เพราะไม่อาจตอบรับรัก ต่อให้ไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ เหมือนอย่างแต่ก่อน ถึงแม้ว่าจะมีจูริคอยเป็นฝ่ายสนับสนุนหลักอยู่เนืองๆ ในทุกคราวที่ปะทะกับเธอก็ตาม
ก็เป็นสีสันดี ในชีวิตที่ราบเรียบเกินไปหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอาโอยามะกักคุอิน
หลังเรียนจบ เขาเข้าทำงานขายนาฬิกาแบรนด์เนมในห้างเดียวกันกับที่อิจิโกะทำเนลสปา ก่อนจะลาออกมาได้ครึ่งปีแล้วด้วยเหตุผลที่ไม่มีเป็นพิเศษ ก็แค่รู้สึกเบื่อ ทำงานมาเป็นปีโดยไม่มีอะไรก้าวหน้า ถึงจะลาออกมาแล้วก็เอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ที่บ้านกับแถวๆ ชิบุยะละแวกบ้านเพียงเท่านั้น พ่อแม่เองก็ไม่ได้ว่า โชคดีที่มีเงินเก็บมากพอเลยไม่ได้เป็นปัญหาเดือดร้อนอะไร จนถึงตอนนี้ ไทกะก็ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ไม่เหมือนอิจิโกะที่มีความสุขกับงานด้านความสวยความงาม หรือจูริที่ชอบเรื่องดนตรีและเอาดีทางด้านนี้จริงจังอย่างที่พวกเขาร่ำเรียนมา การที่รุ่นพี่อาเบะชักชวนมางานแต่งงานที่โอกินาวะเลยถือเอาว่าเป็นโอกาสเปิดหูเปิดตาตัวเอง ก็อย่างที่เขาว่ากันว่าการท่องเที่ยวนำพามาซึ่งสิ่งใหม่ๆ มิใช่หรอกหรือ? แล้วเขาก็รู้สึกปลอดโปร่งจากท้องฟ้าสีฟ้าสดใสที่กว้างไกลไปสุดลูกหูลูกตา สมดั่งคำโอ้อวดของจูริ — ซึ่งลุ่มหลงโอกินาวะเหมือนบ้านหลังที่สองเป็นนักเป็นหนา
“แกจะต้องชอบที่นี่แน่ๆ”
อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
_______________
ความคิดเห็น