คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : Bayou Country | Episode 01 - I'm Just a Lucky So-and-So
โฮป คารีน่า นั่งเท้าคาง เหม่อมองออกไปนอกบานกระจกมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว อย่างน้อยๆ ก็นานพอที่น้ำแข็งในแก้วเครื่องดื่มสีน้ำตาลเข้มซึ่งไร้การแตะต้องจะละลายหายไปจนหมด มั่นใจได้ว่ารสชาติจะต้องเจื่อนจางในตอนที่เธอตระหนักถึง แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนเก็บมาใส่ใจ ตราบใดที่เธอจะยังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองเช่นนี้
ผ่านมากว่าหกเดือนได้แล้วที่โฮปจากบ้านเกิดในนิวยอร์ก — หรือจริงๆ อาจควรใช้คำว่า ‘หนี’ — ตามผู้ชายที่ตกหลุมรักนับแต่แรกพบในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างอิซเซย์ คานาซาชิ มาเดินขบวนเคลื่อนไหว เรียกร้องสันติภาพและความสงบสุข เพราะความเบื่อหน่ายต่อสงครามคนละฝั่งซีกโลกที่ทั้งไร้ค่าและเปลืองเปล่าสำหรับชาวอเมริกัน พี่ชายข้างบ้านของอิซเซย์ที่ถูกส่งไปรบไม่ได้หวนคืนสู่มาตุภูมิพร้อมลมหายใจ มีเพียงเสียงร่ำร้องไห้ปิ่มจะขาดใจของมารดาและพี่สาวหลังได้รู้ข่าว เป็นอิซเซย์ที่ประคองร่างหมดสติของหญิงชราไปวางลงบนเตียง และนั่นเองคือตัวจุดชนวนให้เขาละทิ้งทุกสิ่งอย่างในชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อและสุขสบาย หากก็น่าเบื่อหน่ายอย่างสุดแสน ไปสุมหัวอยู่ในแคมเปอร์แวนกับเพื่อนร่วมสาขาศิลปะเดียวกัน มีใจร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เหมือนกับที่โฮปจะเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ร่วมกับหนุ่มสาวอีกสามชีวิตที่ต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตากัน ก่อนพวกเขาจะมุ่งหน้าไปรวมพลกับหนุ่มสาวที่มีใจเดียวกัน ณ ซานฟรานซิสโกอย่างฉิวเฉียด
นั่นไม่รวมถึงโฮปผู้ไม่เคยมองเห็นปัญหาที่ไกลเกินกว่าปลายจมูกของตัวเอง เธอพอใจกับชีวิตในครอบครัวชนชั้นกลางอย่างที่เป็นอยู่ดี ในที่นี้หมายถึงทางด้านวัตถุนิยมมากกว่าความสัมพันธ์แบบค่อนข้างจะเหินห่างของพ่อ แม่ พี่สาว และน้องสาว อาจเพราะอย่างนั้นโฮปถึงไม่ได้นึกอาลัยอาวรณ์เมื่อต้องจากมันมา นอกจากความประหลาดใจที่ว่าตัวเองกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้เพียงเพราะผู้ชายที่ตกหลุมรักหัวปักหัวปำเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ เท่านั้นน่ะหรือ
แต่โฮปก็ทำลงไปแล้ว และการตัดสินใจในวันนั้นก็คือหนึ่งในสิ่งที่เธอไม่เคยนึกเสียใจแม้เมื่อมองย้อนกลับไปเลยสักนิด
พวกเขาจอดรถตั้งวงล้อมรอบกองไฟเมื่อแสงอาทิตย์หมดลง พักเอาแรงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกลกันต่อในเช้าวันพรุ่งนี้ หลังอิ่มหนำกับพิซซ่าแช่แข็งที่อุ่นเป็นมื้อค่ำง่ายๆ แล้วก็เคลิบเคลิ้มไปกับมวนกัญชาชนิดทำกันเองในครัวเรือนต่อ ริวกะกับเล็ตตี้นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้วบนเสื่อที่เอาออกมาปู ด้วยความที่ยังไม่คุ้นชินกับมันมากนัก อิซเซย์จึงช่วยแบ่งปันมันให้กับเธอ ส่วนเธอก็แบ่งปันโคล่าเย็นๆ ให้กับเขา มันคือจูบทางอ้อมที่โฮปหวัง และเขาก็ทำความปรารถนาของเธอให้เป็นจริงเมื่อดัสตี้ สปริงฟิลด์เริ่มต้นขับขานบทเพลง ‘เดอะ ลุค ออฟ เลิฟ’ จากวิทยุ
“นายชอบเพลงนี้มาก แต่เกลียดเรื่อง ‘คาสิโน รอแยล’ สุดๆ” โฮปหัวเราะ ไม่ยอมบอกต่อว่าเขาได้ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในบทเพลงโปรดของเธอเช่นเดียวกัน ก่อนเปลี่ยนไปเกยคางกับเข่าสองข้างที่ชันขึ้นแล้วร้องตามเนื้อเพลงท่อนที่ว่า ‘หน้าตาของความรัก’ ที่เธอยังไม่ทันได้มองเข้าไปในแววตาของเขาเลยด้วยซ้ำ เมื่อจู่ๆ อิซเซย์ก็จะโน้มใบหน้าลงมาจูบเธออย่างรวดเร็ว เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาถอนริมฝีปากออกไปแล้วพูดว่า “เข้าไปข้างในได้ไหม?” ใบหน้าขาวของเธอขึ้นสีแดงก่ำแค่เพียงได้จับกับฝ่ามือของอิซเซย์ที่ลุกขึ้นก่อน แล้วใช้ให้เธอเป็นหลักยึดขึ้นตาม
แผ่นหลังในชุดแซกแขนกุดตัวบางทาบลงบนโซฟาที่ปูผืนผ้าหนานุ่มเป็นลวดลายและสีสันละลานตาชวนให้หัวสมองของเธอมึนงง หากโฮปก็รู้สึกถึงความจริงแท้ที่สุดในตอนที่อิซเซย์เริ่มต้นจูบเธออีกครั้ง มันไม่ใช่แค่การแตะประทับริมฝีปากเหมือนอย่างก่อนหน้า แม้จะอย่างเนิ่นช้า หากก็ทำให้อุณหภูมิร่างกายที่แนบแน่นทั้งที่มีเนื้อผ้ากีดกั้นของพวกเขาพุ่งสูง โฮปรู้สึกได้ว่าทั่วทุกตารางนิ้วที่ปลายนิ้วของอิซเซย์แตะสัมผัสกำลังจะมอดไหม้ บทเพลงที่แว่วดังมาจากข้างนอกกำลังพูดแทนริมฝีปากของเธอที่ถูกบดคลึงจากจังหวะที่เปลี่ยนเป็นเร่งเร้าจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจหรือแม้แต่จะมีน้ำเสียงใดเล็ดลอดออกมา โฮปไม่ได้อยากกดกลั้น แต่เธอจำต้องกลับกลืนทุกอย่างลงไปเมื่อไร้ซึ่งทางออกจนได้แต่กอดรัดเขาเอาไว้ มันเป็นความทรมานที่ผสานไปกับความสุขสมจนทำให้เธอแทบจะกระอัก เช่นเดียวกับชิ้นส่วนที่ถูกปลดเปลื้องอยู่เบื้องล่างให้ปลายนิ้วของเขาเข้าไป
“ฉันรักนายนะ อิซเซย์”
“ฉันก็รักเธอ”
แล้วโฮปก็ได้เข้าใจถึงความหมายอันหนักแน่นในคำพูดของเขา ผ่านการกระทำและจุมพิตนับไม่ถ้วนที่มอมเมาเธอได้มากกว่ากัญชาจำนวนน้อยนิดที่สูบมันเข้าไปตลอดทั้งค่ำคืน
นับเป็นช่วงเวลาที่โฮปได้มีความสุขอย่างแท้จริง เธอรักการได้อยู่กับอิซเซย์ รักการได้สวมมินิเดรสพิมพ์ลวดลายสวยๆ งามๆ รักการได้ใส่สร้อยประคำไม่ก็เครื่องประดับรุ่มร่ามกรุยกราย รักการได้สวมมงกุฎดอกไม้กลิ่นหอมระรื่น หรือบางครั้งอิซเซย์ก็จะเอาดอกไม้มาทัดข้างใบหูเธอ เพียงสัมผัสอันแผ่วเบาของเขาก็ทำให้โฮปยอมแลกได้ทุกอย่าง กระทั่งการต้องอยู่ร่วมกับคนหมู่มากในไฮต์-แอชบิวรีซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา ย่อมแน่นอนว่าหมายรวมถึงเหล่าฮิปปี้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ต่อต้านสงครามเช่นเดียวกัน กิจวัตรที่แทบไม่แตกต่างในทุกๆ วันคือการเดินประท้วง ร้องรำทำเพลง สูบกัญชา หรือเล่นแอซิด ฟังดูไร้แก่นสาร ขณะเดียวกันมันก็แสดงเป้าหมายถึงการเรียกร้องอิสรภาพและไม่ยึดติดกับวัตถุเงินทองได้ชัดเจนดี หากทั้งหมดเหล่านั้นคือสิ่งที่โฮปโหยหาเมื่อนานวันเข้า ไม่ว่าจะเป็นการได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย รับประทานอาหารในภัตตาคารตามใจอยาก ดื่มด่ำกับบรรยากาศของตัวเมืองที่สงบเงียบกว่านี้มากบนยวดยานดีๆ สักคันในยามที่แสงธรรมชาติถูกแทนที่ด้วยแสงสังเคราะห์อย่างที่เคยเพลิดเพลินกับมันมาตลอด โฮปยอมรับว่าเธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตหลักลอยและได้อยู่กับคนที่รักแบบนี้ไปทุกวัน แต่สุดท้ายความจำเจก็เปลี่ยนกลายเป็นความเบื่อหน่าย เซ็กซ์กลายเป็นแค่การระบายความใคร่ของพวกเขาทั้งสองฝ่าย หาใช่สิ่งที่เคยเต็มไปด้วยความรักอันมากล้นอีกต่อไป
ดูเหมือนว่าฤดูร้อนแห่งความรักของพวกเขาจะจบสิ้นลงไปอย่างง่ายดายแบบนั้นเอง
ในที่สุดโฮปก็ตัดสินใจจากอิซเซย์มาโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา เธอเพียงแค่ออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ คิดว่าถ้ามืดเมื่อไหร่ค่อยโบกรถสักคันที่ผ่านไปมา อย่างน้อยก็ขอให้ได้มีที่ซุกหัวนอนสำหรับค่ำคืนก็พอ
โชคดีที่โฮปไม่ต้องรอนานขนาดนั้น เธอได้รู้จักกับหญิงแก่ร่างเล็กแต่ดูเทอะทะและทะมัดทะแมงด้วยเสื้อกั๊กกับกางเกงตัวหนาแบบผู้ชายในร้านอาหารข้างปั๊มน้ำมัน หล่อนนั่งถัดจากเธอบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ไปหนึ่งที่ ถามว่าเธอเป็นหนุ่มสาวที่มาเคลื่อนไหวที่ไฮต์-แอชบิวรีหรือเปล่า โฮปหัวเราะ ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าการเคลื่อนไหวของเธอจบลงแล้ว แต่ยังมีเพื่อนๆ อยู่ที่นั่นและเธอก็นับถือในอุดมการณ์อันแรงกล้าของพวกเขา...ซึ่งเธอมีไม่มากพอ อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้หล่อนอนุญาตให้เธอติดรถบรรทุกเที่ยวกลับจากส่งของมาด้วย หล่อนถามว่าอยากให้แวะส่งที่ไหน โฮปที่ไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอน (ตัดนิวยอร์กไปได้เลย) จึงตกลงใจตามหญิงแก่วัยหกสิบห้าที่แนะนำตัวว่าชื่อแอนนี่มายังเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในรัฐหลุยเซียนา คลาคล่ำไปด้วยบทเพลงจากวงดนตรีสดที่อวลไปทั่วชั้นบรรยากาศ ฟังดูน่าตื่นตาจนโฮปแทบรอคอยที่จะได้เห็นเมืองบ้านเกิดของหล่อนที่ชื่อนิวบอร์โดซ์กับตาตัวเองไม่ไหว
โฮปแยกจากแอนนี่ที่เฟรนช์วอร์ดอันเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ และมันก็สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเธอได้ตั้งแต่แรกพบทันทีแม้จะเป็นแค่ช่วงสาย แน่ใจเลยว่าถ้าล่วงดึกมันจะต้องยิ่งสว่างไสว เธอพกเงินสดหอบหนึ่งออกจากบ้านมาด้วยโดยใช้วิธีซุกเอาไว้ใต้พรมที่ปูรองบนแคมเปอร์แวนของอิซเซย์ เนื่องจากวิถีชีวิตแบบฮิปปี้ห่างไกลจากเรื่องวัตถุเงินทอง โฮปเลยไม่มีโอกาสได้หยิบมันออกมาใช้มากนัก นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้เธอเตรียมความพร้อมเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้จะไม่ได้อยู่ในความคิดของเธอมาก่อนเลยก็ตามแต่ เธอเลือกเช่าโรงแรมสองชั้นแห่งแรกที่พบ สิ่งแรกที่ทำคือเข้าไปนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ เปิดวิทยุเป็นเพื่อนร่วมห้องไม่ให้เงียบเหงาจนเกินไป ก่อนเปลี่ยนไปเป็นจอโทรทัศน์ในตอนที่ออกมานั่งเช็ดผมด้วยผ้าเช็ดตัวบนเตียงนอนกว้างแล้วเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อความมืดมิดปรากฏอยู่ภายนอกบานหน้าต่างแล้ว
นิวบอร์โดซ์ครึกครื้นสมคำอ้างของแอนนี่จนน่าทึ่งใจ แค่เดินลงมาเธอก็แทบยิ้มไม่หุบจากแสง สี ดนตรี ผู้คน ประกอบรวมกันเป็นบรรยากาศอันน่าบันเทิงเริงใจ แต่หญิงสาวจากต่างเมืองจะยังไม่ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวช่างเสาะสำรวจในวันแรกเนื่องจากกระเพาะที่เริ่มจะประท้วงหลังจากไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากแซนด์วิชง่ายๆ ก่อนออกจากโมเต็ลในช่วงรุ่งสาง เลยเพียงแค่เดินข้ามถนนเลยไปอีกนิดที่ภัตตาคารตรงหัวมุม สั่งหอยนางรมอบเนยและสมุนไพรที่ทำให้เธอเจริญอาหารเป็นอย่างมาก พออิ่มแล้วก็สั่งเบอร์เบินโคล่ามาอีกแก้ว ทว่าสุดท้ายก็ไม่ทันได้ดื่มเพราะเอาแต่นั่งเหม่อลอยคิดถึงอดีตคนรักที่เธอเป็นฝ่ายหนีมาเอง โฮปเชื่อว่าหน้าตาและคารมอย่างอิซเซย์คงจะมีสาวคนใหม่ในอ้อมกอดไปแล้ว ซึ่งก็ดี สาวฮิปปี้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันย่อมเหมาะสมกับเขามากกว่าคนจอมปลอมอย่างเธอที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากมันเพียงเพื่อจะได้เข้าใกล้เขาเป็นไหนๆ
เหมือนที่โฮปก็แอบหวังว่าเธอจะได้พบกับผู้ชายที่มีใจเดียวกันบ้างในเมืองที่เธอแน่ใจแล้วว่า...ตกหลุมรัก
คิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมา หยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาแตะขอบปาก ก่อนต้องเบ้หน้าเพราะรสชาติที่เจื่อนจางลงไป ในตอนที่ยืดตัวพยายามหันมองซ้ายขวาหาพนักงานเสิร์ฟ นัยน์ตาสีเข้มของเธอก็จะบังเอิญสบเข้าให้กับชายที่กำลังผลักบานประตูเข้ามาในร้าน มือไม้ของเธอโบกไหวไปมาเป็นเชิงทักทาย
“โฮปเหรอ?”
“สวัสดีค่ะ พี่นาโอกิ” ด้วยรอยยิ้มกว้างจากอารามตื่นเต้นเป็นที่สุด!
ฮอลลิเดย์ กลินน์ ได้ยินเสียงกดกริ่งประตูหนึ่งครั้ง ขณะที่เธอเพิ่งจะนั่งดู ‘เดอะ ไวลด์ ไวลด์ เวสต์’ ไปได้ไม่ถึงห้านาทีดี ด้วยความที่ไม่ได้นิยมซีรีส์แนวเวสเทิร์นสักเท่าใดนัก แค่เปิดฆ่าเวลาระหว่างรอ เธอจึงไม่มัวอ้อยอิ่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์หรือตะโกนบอกให้แขกคนที่เธอก็รู้ว่าใครเข้ามานั่งเป็นเพื่อนด้วยกันก่อน นอกจากรีบร้อนกระเด้งตัวผลุง ลุกจากโซฟาไปกดปุ่มปิด แล้ววิ่งทั่กๆ ไปสวมรองเท้าแมรี่เจนสีเหลืองที่เข้าคู่กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกระโปรงลายตารางหมากรุกสีเดียวกันตัดสลับขาว ทั้งที่ยังไม่เสร็จดี มือเรียวบางก็จะเอื้อมไปจับลูกบิดประตู เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเผล่ให้กับชายหนุ่มที่เป็นต้องส่ายหัวกับการกระทำแบบปุบปับของเธอ แทนที่จะก้มลงไปรัดสายรองเท้าดีๆ กลับยืนกระต่ายขาเดียวจนซวนเซ ถ้าเกิดเธอล้มหน้าคะมำขึ้นมา เขาจะเบี่ยงตัวหลบโดยไม่ช่วยเสียให้เข็ด!
ทั้งอย่างนั้น เมื่อหญิงสาวสวมรองเท้าทั้งสองข้างเสร็จดีแล้วเดินพ้นบานประตูออกมา ล็อกกุญแจบ้านเป็นการปิดท้าย ไทโช อิวาซากิ ก็กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวเราะขันเบาๆ ขณะเดินเคียงคู่นำเธอไปยังรถกระบะที่จอดรอโดยไม่ดับเครื่องอยู่หน้าบ้าน
“จะรีบอะไรนักหนาแม่คุณ!”
“ไม่ได้สิ” เธอแย้ง “ฉันเพิ่งจะได้มีโอกาสเข้าเมืองเป็นครั้งแรกทั้งที”
“ฉันพาไปเมื่อไหร่ก็ได้ อย่าเว่อร์นักเลยน่า”
“เมื่อไหร่ก็ได้ที่หมายถึงถ้านายว่างจากงาน ไม่ใช่เมื่อไหร่ก็ได้ที่หมายถึงเมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันอยากไป” และเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นของเขาก็ทำให้ฮอลลิเดย์ต้องกลอกตามองบน
รถสีเหลืองมัสตาร์ดของเขาอยู่ในสภาพเก่ากึ๊กเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน ต้องใช้ความพยายามเล็กน้อยในตอนกระชากบานประตูรถฝั่งข้างคนขับให้เปิดออก ครั้งแรกสุดที่ได้โดยสารติดไปกับรถคันนี้ เธอแทบไม่กล้าแตะต้องถึงเขาจะบอกให้กระชากมันแรงๆ พอขึ้นไปแล้วก็ดึงมันปิดดังๆ ได้เลย กว่าที่ฮอลลิเดย์จะทำใจให้ชินกับมันได้ก็เป็นเวลาอีกสามวันหลังจากนั้น เมื่อเธอเริ่มสนิทสนมกับลูกชายของเพื่อนสนิทบ้านเดวิสซึ่งหญิงสาวมาอาศัยอยู่ด้วยเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ได้แล้ว
ไทโชทำงานขับรถบรรทุกให้กับบริษัทขนส่งสินค้าทั่วสหรัฐฯ เหมือนอย่างพ่อและคุณยายแอนนี่ของเขา ฮอลลิเดย์ได้พบไทโชเป็นครั้งแรกในตอนที่บ้านเดวิสจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวแทนการเลี้ยงต้อนรับหลานสาวจากเมืองหลวง โดยเชื้อเชิญคนรู้จักที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงให้มาสนุกด้วยกัน อาจด้วยความที่เธอไม่ค่อยเจอคนอายุไล่เลี่ยกันมากนักในชุมชนชนบทเล็กๆ แห่งนี้ แม้ไทโชจะเป็นฝ่ายเข้ามาทักเธออยู่หน้าเตาว่า “คุณหนูจากนิวยอร์กทำบาร์บีคิวไม่เป็นหรือไง?” เพราะมัวแต่เหม่อลอยตามบทเพลงที่ส่งต่อมาจากลำโพงจนลืมพลิกไม้กลับด้านทั้งที่ไฟยังแรงอยู่ ถึงคำพูดคำจาจะคล้ายการยั่วเย้าชวนให้โมโห แต่ความตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนใหม่วัยเดียวกัน ก็มากพอให้เธอลืมความไม่พอใจไปเสียสนิท
เขาทำให้ซินแคลร์ แพริชที่เธอชื่นชมในความน่าอยู่นับตั้งแต่แรกพบเป็นมิตรขึ้นมามากเลยทีเดียว
เมื่อไหร่ที่ว่างเว้นจากงาน ไทโชก็จะแวะมารับเธอไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารจานเนื้อโรเบอร์โดซึ่งคุณน้าของเธอทำงานอยู่ บางวันก็พาไปดื่มที่บาร์หรือฟังเพลงเต้นรำกันสนุกๆ ที่แดนซ์ฮอลล์จนถึงสองยาม ถึงชีวิตที่นี่จะไม่ได้หรูหราหรือว่าสุขสบายเหมือนอย่างที่เธอเคยมีในนิวยอร์ก หากความสุขกับอิสรภาพที่ได้รับนั้นมากกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด
ฮอลลิเดย์ถูกระเห็จจากนิวยอร์กที่อาศัยอยู่มากว่าครึ่งชีวิต หลังจากที่แม่เปิดห้องมาเห็นเธอกับน้องชายแต่ในนามนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว หล่อนไม่ยอมฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น ถึงคำแก้ตัวเดียวที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยก็คือเธอชวนฮิดากะที่แวะมาเอาของให้ดื่มเป็นเพื่อนด้วยกัน พอเริ่มกึ่มขึ้นมาเลยปล่อยให้อารมณ์พาไปโดยไม่มีใครคิดจะหยุด หล่อนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตบหน้าลูกสาวในไส้พร้อมกับคำผรุสวาทเป็นภาษาบ้านเกิดซ้ำๆ จำพวกผู้หญิงไร้ราคา ทำตัวหน้าไม่อาย จะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้น้องสาวอายุสิบสอง จนพ่อเลี้ยงต้องเข้ามาปรามด้วยการพาตัวหล่อนที่พยายามยื้อยุดออกไปสงบสติอารมณ์ ถึงหล่อนจะปลูกฝังค่านิยมการรักนวลสงวนตัวแบบไทยให้เธอยึดถือมาตลอด ฮอลลิเดย์ก็ไม่เคยมองเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องใหญ่ เว้นแต่ถ้าหล่อนจะหยิบยกเรื่องการหลับนอนกับน้องชายต่างสายเลือดขึ้นมานั่นก็อีกเรื่อง ฮอลลิเดย์จึงรู้สึกลิงโลดมากกว่าเสียใจ เมื่อแม่บอกว่าเธอจะต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองแปลกหน้าซึ่งเธอเคยได้ยินแค่เพียงผ่านหู กับโปสต์การ์ดที่ถูกส่งมาแค่เพียงผ่านตานานๆ ครั้ง จากคุณน้าที่ย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามีที่เป็นนายอำเภอตั้งแต่ห้าปีก่อน โดยไม่มีการส่งเสียเลี้ยงดูมากไปกว่าเงินรายเดือนไม่กี่ร้อยที่จะส่งผ่านผู้ปกครองคนใหม่ไปให้เท่านั้น
น้าเจนและลุงจิมเต็มอกเต็มใจให้เธอมาอยู่ด้วย แถมไม่ได้ต่อว่า ‘เด็กใจแตก’ อย่างที่แม่ใส่ไข่อย่างฉุนเฉียวผ่านคลื่นโทรศัพท์ทางไกลให้น้องสาวฟัง เป็นแม่ของเธอเองต่างหากที่จะถูกน้าเจนบ่นใส่เรื่องการเลี้ยงดูแบบผิดๆ ปิดกั้นเรื่องเพศทั้งที่เธอโตพอจะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ไหนจะไม่ยอมให้เธอออกไปหางานทำสักทีทั้งที่เรียนจบมาแล้วตั้งหลายเดือน ฮอลลิเดย์หัวเราะคิกคัก ผสมโรงไปด้วย ไม่แปลกใจที่เธอนึกชอบน้าเจนที่มีความคิดแบบอเมริกันชนและดูเข้าอกเข้าใจวัยรุ่นมากกว่าแม่มาตลอด
ซินแคลร์เป็นชุมชนเล็กๆ ที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย หากฮอลลิเดย์ไม่คิดว่าอยากทำปศุสัตว์หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟรับเงินเดือนและค่าทิปจำนวนน้อยนิดอย่างน้าเจน เธอแน่ใจว่าถ้าข้ามสะพานไปยังเมืองท่าสำคัญที่มีชื่อว่านิวบอร์โดซ์แล้วล่ะก็ จะต้องมีโอกาสมากมายคอยท่าอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
แต่ยังก่อน ฮอลลิเดย์คิด เธอจะรอให้งานมาร์ดิกราส์ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ตามคำบอกเล่าของไทโชผ่านพ้นไปก่อนแล้วค่อยเริ่มต้นหางานและที่พัก แม้ว่าครอบครัวเดวิสจะเมตตาเธอราวครอบครัวเดียวกัน ฮอลลิเดย์ก็ไม่เห็นว่าควรทำตัวเป็นภาระให้พวกเขาที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่ในอีกไม่ถึงเจ็ดเดือน บ้านของพวกเขาไม่ได้ใหญ่โตเหมือนคฤหาสน์กลินน์ซึ่งนายธนาคารเสกสรรบันดาลให้ที่นิวยอร์ก การอยู่อาศัยรวมกันสี่คนจะก่อให้เกิดความแออัดในภายหลัง เธอปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ไม่คัดค้านหากว่าเธออยากจะออกไปอยู่คนเดียวขึ้นมา
เพราะอย่างนั้นคุณน้าก็เลยจัดแจงให้ไทโชเป็นธุระพาหลานสาวไปเปิดหูเปิดตาที่นิวบอร์โดซ์ล่วงหน้า โดยไม่มีอาการหวงหรือว่าห่วงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังแอบกระซิบคุยกับเธอเป็นภาษาไทยเสียอีกว่า “จะกลับตอนเช้าก็ได้นะ” ที่ทำเอาฮอลลิเดย์สำลักสเต๊กเนื้อที่เพิ่งจะผ่านลงคอไปเป็นการใหญ่ ด้วยเข้าใจในความหมายของหล่อนดี
“น้าเจน!”
มือที่เงื้อง่าไม่ทันหล่อนที่เดินหัวเราะกลับเข้าไปหลังร้านแล้ว
คงเพราะคำพูดของคุณน้า ฮอลลิเดย์เลยอดไม่ได้ที่จะเผลอลอบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มหลังพวงมาลัย ซึ่งกำลังฮัมตามบทเพลงป็อปและคันทรีที่เล่นอยู่ในคลื่น WBYU ที่พวกเขาต่างก็นิยม บางครั้งก็จะเคาะนิ้วหรือโยกตัวอยู่หลังพวงมาลัยด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ไทโชที่ฮอลลิเดย์รู้จักก็เป็นแบบนี้ ถึงจะทำงานหนักเขาก็ไม่เคยแสดงความเหนื่อยล้าหรือเบื่อหน่ายออกมาให้ได้เห็นเลยสักครั้ง อย่างเช่นสองสามวันก่อนที่เขาต้องไปส่งของไกลถึงโคโลราโด กลับถึงบ้านเอาก็ตอนเกือบๆ รุ่งสางของวันนี้ ฮอลลิเดย์เกรงอกเกรงใจเขาจนคิดว่าเปลี่ยนแผนการเที่ยวเป็นวันอื่นที่สะดวกกว่านี้ก็ได้ แต่ไทโชก็บอกว่าไม่เป็นไร เอาตามนัดหมายเดิมนั่นแหละ
“นิวบอร์โดซ์จะยิ่งมีเสน่ห์ในตอนกลางคืน” เขาว่ามาอย่างนั้น
การได้นั่งกินลมชมวิว รับลมเย็นสบายในยามค่ำคืน เคล้าคลอไปกับบทเพลงแนวที่ชอบและคนที่รู้ใจถือเป็นความฝันของหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในกรงทองมาตั้งแต่ยังจำความแทบไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นาน ฮอลลิเดย์ก็สามารถเรียกไทโชว่าเป็น ‘เพื่อน’ ได้อย่างเต็มปาก
แต่หากจะให้ขยับไปเป็น ‘แฟน’ อย่างที่น้าเจนแอบเชียร์อยู่ก็ดูจะเป็นไปได้ยาก...ไม่หน่อย!
จริงอยู่ว่าไทโชเป็นผู้ชายรูปหล่อ หน้าตาดี นิสัยดี พูดจาก็สนุก มีมุกตลกมาเต็มกระเป๋า ขนาดรสนิยมด้านดนตรีก็ยังตรงต้องกับเธอจนไม่มีอะไรให้ต่อว่าได้ ถึงเขาอาจเป็นพวกพูดจาห่ามๆ จนดูเหมือนไม่ค่อยได้กลั่นกรองไปบ้าง แต่เธอจะไม่ตัดสินเขาในเรื่องนั้นเมื่อดูกันที่เจตนา อีกทั้งอาชีพคนขับรถบรรทุกที่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย เทียบกับครอบครัวของฮอลลิเดย์ที่นิวยอร์กยิ่งแล้วใหญ่ แม้ลองบวกลบกันแล้วก็ยังถือว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือฮอลลิเดย์ยังไม่เกิดความรู้สึกที่เรียกว่าชอบในแบบของคนรัก ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นรัวแรง อยากอยู่ใกล้ชิด หรือว่าสัมผัสเขาให้มากกว่านี้
“จะจ้องกันอีกนานไหม?”
คนที่เชื่อว่าตัวเองแนบเนียนดีเลยสะดุ้งเฮือกจนตัวโยนเมื่อถูกจับได้
“ป...เปล่าสักหน่อย!”
ทำทีเป็นกลบเกลื่อนด้วยการเปลี่ยนเป็นเท้าศอกข้างหนึ่งกับขอบหน้าต่างที่บานกระจกถูกหมุนลงจนสุด ปล่อยให้สายลมเย็นจากริมแม่น้ำที่รถกำลังขับเลียบผ่านพัดโพยเข้ามา อากาศก็ดี บรรยากาศก็เป็นใจ เมื่อเพลง ‘เดอะ เซอร์เคิล เกม’ ของบัฟฟี เซนต์-มารีกำลังเริ่มต้นเล่นจากวิทยุ เธอก็ผสานเสียงหัวเราะและขับขานมันไปกับไทโชด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
_______________
ความคิดเห็น