ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #227 : Tokyo Rendez-Vous

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 65


    Tokyo Rendez-Vous
    Playlist: EXILE – Lovers Again / FIVE NEW OLD – Melt











    .

    แม้ว่าแสงสียามค่ำคืนที่เธอพิสมัยเป็นนักหนาของเขตเมืองเก่าจะพริบพราวอยู่ในดวงตาสีเข้มของเธอที่กำลังนั่งจับเจ่าบนม้านั่งในจัตุรัสซวิเอตนี อันรายล้อมด้วยแผงดอกไม้ที่ร้างผู้คนลงไปแล้ว เช่นเดียวกับคาเฟ่ ศูนย์การค้า และอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสวยงามอันเชียบงันด้วยเวลาล่วงดึกตลอดทั้งสี่ทิศ หากกลับไม่มีสิ่งใดปรากฏแจ่มชัดอยู่ในแววตาว่างเปล่าที่อาจโพ้นถึงจักรวาลอันไกลห่างคู่นั้นเลย ถึงนับตั้งแต่ได้รู้จักประเทศโครเอเชียเป็นครั้งแรกจากรายการสารคดีท่องไปกับเรือสำราญสมัยชั้นไฮสคูล และที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นประเทศในฝันของหญิงสาวช่างเพ้ออย่างอาสึดะ คาโยโกะก็ตาม หากความฝันอันงดงามตลอดสองวันก็กลับผันเปลี่ยนไปเป็นความจริงแท้ในเวลาอันแสนใกล้อย่างที่เธอไม่เคยคาดถึง ความสุขเมื่อแรกเริ่มพลันสลายหายวับ แทนที่ด้วยความหน้าชื่นอกตรมจากชายคนเดียวกันกับที่ทำให้เธอได้แต่กล้ำกลืนลำพังในโมงยามนี้

    งานถ่ายมิวสิควิดีโอให้แก่นักร้องหญิงเดี่ยวลูกครึ่งญี่ปุ่น-ฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นที่นี่เมื่อสามวันก่อน และเพิ่งจะเสร็จสิ้นลงเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา บุญพาวาสนาส่งให้เธอได้ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคนหนึ่งในฐานะ ผู้ช่วยของผู้กำกับมิวสิควิดีโอคู่บุญของเจ้าหล่อน ที่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีหน้าที่อะไรให้หยิบจับมากมายนัก เมื่อเป็นที่รู้กันดีว่าหัวหน้าของเธอสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวจนอาจเรียกได้ว่าน่าทึ่งใจ มีหลายต่อหลายครั้งที่คาโยโกะคิดว่าตัวเองไม่สมควรเป็นภาระให้เขากระเตงพามาทำงานนอกสถานที่ด้วย เมื่อการเสนอหน้าไปวันๆ ในออฟฟิศก็ถมถืดพอแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นใกล้หรือไกล เขาก็ดึงดันที่จะพาผู้ช่วยอย่างเป็นทางการเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ให้ปุเลงๆ ไปไหนต่อไหนถึงแม้ไม่จำเป็นเลยอยู่เสมอ ถึงตอนนี้ก็นับเป็นเวลาเจ็ดเดือนเต็มกับตำแหน่งงานที่เธอก็เรียกตัวเองว่าใช่ได้ไม่เต็มปาก ที่เมื่อย้อนคิดไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย

    เริ่มต้นจากการที่เธอบังเอิญได้ดูมิวสิควิดีโอของศิลปินหญิงเดี่ยวคนเดิมคนเดียวกับงานคนละซีกโลกนี้ที่ยูทูบแนะนำมาแล้วเกิดประทับใจกับสิ่งที่ได้เห็นมาก จนต้องรีบไปเสิร์ชหาข้อมูลของผู้กำกับเป็นการใหญ่ ยิ่งเมื่อได้เห็นผลงานอื่นๆ ทั้งในฐานะผู้กำกับมิวสิควิดีโอและช่างภาพในเว็บไซต์ส่วนตัวของเขาก็ยิ่งรู้สึกประทับใจ แม้จนบัดนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความใจกล้าหน้าด้านในการร่อนใบสมัครผ่านที่อยู่อีเมลในตอนนั้นมาจากไหน โดยไม่มีทั้งผลงานหรือประสบการณ์ในด้านนี้เลยแม้แต่อย่างเดียว นอกจากความตั้งใจอันแรงกล้า เรียงความร่ายถึงความประทับใจในผลงานอันยาวเหยียด และรูปภาพที่เคยถ่ายไว้แนบไปด้วยจำนวนหนึ่ง

    ช่วงนั้นเธอเพิ่งจะถูกบีบให้ออกจากงานคอลัมนิสต์ในนิตยสารแฟชั่นที่แม่บ.ก.ตัวแสบดันเด็กเส้นของตัวเองขึ้นมาแล้วเขี่ยเธอทิ้งไปให้พ้นทาง จนต้องออกมานั่งๆ นอนๆ กินเงินเก็บและเงินที่ทางบ้านส่งมาให้จากบ้านเกิดไปวันๆ บางครั้งก็เอาไปต่อยอดที่ปาจิงโกะตามคำชักชวนของคุณลุงเจ้าของหอพักที่หาลู่ทางรวยเพราะเธอตกงานให้บ้างถึงเปอร์เซ็นต์การได้คืนแทบจะเป็นศูนย์ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องร้อนใจอะไร ไม่ได้คิดรีบร้อนหางานใหม่ด้วยถ้ายังไม่เจองานที่ใช่ หากทำไมถึงใจเร็วด่วนได้แบบนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้ อันที่จริง...หลังจากส่งอีเมลไปเสร็จสรรพเธอก็ดันนึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมาว่าทำบ้าอะไรลงไป และได้แต่สะกดจิตตัวเองให้ทำลืมๆ ไปซะ เพราะผู้กำกับที่มีผลงานในระดับหนึ่งอย่างเขาคงไม่มอบโอกาสให้กับคนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเธออยู่แล้ว ดังนั้นคาโยโกะจึงรู้สึกตกอกตกใจเป็นอย่างยิ่งที่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา เขาจะส่งอีเมลนัดพบพร้อมที่อยู่ของออฟฟิศสตูดิโอในเอบิสึเป็นการตอบกลับ

    ครั้นได้พบหน้าผู้กำกับฟุคาซาวะ ทัตสึยะผู้นี้เป็นครั้งแรกเข้าจริงๆ คาโยโกะก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่าเขาจะล่วงวัยสามสิบห้าเข้าไปแล้ว แต่เรื่องที่ทำให้เธอต้องอึ้งยิ่งกว่าคือการที่เขาตกลงรับเธอเข้าทำงานทันทีที่เจอกันโดยไม่มีบทสัมภาษณ์อย่างที่อุตส่าห์เตรียมตัวจนนอนแทบไม่หลับมาตลอดทั้งคืน ด้วยเหตุผลสั้นๆ เพียงข้อเดียวว่า “ฉันเห็นรูปในอินสตาแกรมเธอแล้วสวยดี” ที่ต้องขอเสริมให้ชัดเจนว่าคาโยโกะไม่ได้แนบที่อยู่ในอินสตาแกรมไปให้เขา! แต่เรื่องที่ร้ายกว่านั้นคือการที่เธอมารู้จากเด็กหนุ่มผู้ช่วยนานๆ ทีในภายหลังว่า “พี่ทัตสึยะเขาไม่ได้ชมภาพเธอหรอกนะ แต่เขาหมายถึงเธอต่างหาก” ที่จะทำให้คาโยโกะต้องระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ไม่ได้ยึดถือคำพูดนั้นเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเป็นที่รู้กันดีในออฟฟิศที่มีพนักงานรวมทั้งหมดสามชีวิตว่าเขามีแฟนสาวที่สวยและรวยมากในลอสแอนเจลิสอยู่แล้วทั้งคน

    หัวหน้าฟุคาซาวะ ทัตสึยะเมื่อแรกรู้จักในสายตาของคาโยโกะไม่ใช่คนช่างจาเลย เขาไม่ค่อยเปิดปากพูดเรื่องไร้สาระทั่วไปนอกจากเรื่องงาน จนบางทีเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ช่างน่าเบื่ออะไรเช่นนี้ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่หน่วงหนักจนตัวเกร็ง คาโยโกะสามารถอยู่ใกล้เขาได้แม้ด้วยบรรยากาศความเงียบที่รายล้อม ส่วนใหญ่เธอมักใช้เวลาพูดคุยกับเด็กหนุ่มผู้ช่วยนานๆ ทีอย่างนากามูระ ไคโตะ ซึ่งมักเข้าออฟฟิศช่วงสุดสัปดาห์หรือเมื่อว่างเว้นจากการเรียนอาทิตย์ละสามสี่คราวตามแต่ว่าจะถูกเรียกหาหรือเปล่ามากกว่าหัวหน้าที่เจอกันแทบทุกวันเสียอีก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกม การ์ตูน หรือการถ่ายรูป ขณะที่เรื่องภาพยนตร์และดนตรีนั้นไม่มีความชอบที่ต้องตรงกันเลย หากในบางทีก็ด้วยเรื่องที่ไร้สาระสุดๆ จนกลบช่องว่างระหว่างวัยห้าปีของพวกเขาทั้งสองคนอย่างที่คาโยโกะทำกับหัวหน้าฟุคาซาวะไม่ได้ไปเสียสนิท

    นั่นรวมถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเคยพูดเย้าแหย่เธอตอนไม่มีบุคคลที่สามรายนั้นว่า “เธอน่ะ ระวังเอาไว้ให้ดีๆ เถอะ”

    ครั้นพอถามกลับไปว่าให้ระวังอะไรเล่า เด็กหนุ่มผู้ที่ร่าเริงอยู่เสมอก็จะตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง จนคาโยโกะไม่รู้ว่าควรหัวเราะลั่นเหมือนอย่างเคยเมื่อได้ยินเรื่องราวประเภทนี้ หรือตีหน้าขรึมและเชื่อเขาดี

    “ระวังอย่าตกหลุมรักพี่ทัตสึยะน่ะสิ ไม่อย่างนั้นน้ำตาเช็ดหัวเข่าไม่รู้ด้วย จะบอกให้ว่าชาตินี้ทั้งชาติเขาก็ไม่มีวันเลิกกับคนรักสิบปีหรอก”

    “ไปบอกพี่ทัตสึยะของนายดีกว่าเถอะว่าอย่ามาตกหลุมรักฉัน”

    เมื่อคาโยโกะเลือกไม่ถือคำพูดนั้นเป็นจริงเป็นจัง เธอจึงแกล้งรวนคืนพลางหัวเราะน้อยๆ ก่อนเป็นต้องสำลักไก่ทอดในร้านสะดวกซื้อที่ออกมานั่งหาอะไรกินด้วยกันหลังเลิกงานให้ได้ไอค่อกแค่กเมื่อเขาเอ่ยต่อ

    “ไม่ทันแล้ว” สีหน้าของเด็กหนุ่มยังนิ่งสนิท ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว “ฉันถึงได้มาเตือนเธอแทนไงล่ะ นี่ จะบอกอะไรให้เอาบุญนะคาโยโกะ ถ้าเขาไม่ชอบเธอคงไม่มีทางจ้างคนไร้ประสบการณ์แถมยังเป็นผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นผู้ช่วยหรอก ปกติเคยอยากมีผู้ช่วยกับใครเขาที่ไหน อารมณ์ติสท์ซะขนาดนั้น อย่างฉันที่ได้มาเป็นผู้ช่วยก็แค่เพราะว่าสนิทกัน มาช่วยงานบ้างนานๆ ที คงเห็นว่าเอื้อประโยชน์ต่อการเรียน พี่เขาก็พลอยได้มีคนช่วยใช้แรงงานด้วยอีกต่อหนึ่ง แต่ถ้าให้ทำเต็มเวลารับรองเลยว่าไม่มีทางรับ”

    เธอหลุดอุทานออกมาเล็กน้อย ทว่านัยน์ตากลับเลิกกว้างด้วยเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องข้างบ้านกัน ถึงอายุห่างกันสิบห้าปีแต่ก็สนิทกันดีถึงขนาดเล่นหัวหรือพูดจาหยาบคายใส่กันได้ เพราะพ่อแม่มักจะพาไปเยี่ยมเยือนครอบครัวของเพื่อนบ้านและเพื่อนคนสนิทนับตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนตามคำชวนทุกปีที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งครอบครัวฟุคาซาวะย้ายไปตั้งรกรากที่โน่นเป็นการถาวรเพราะอาชีพนักแสดงของฝ่ายบิดาเมื่อลูกชายอายุได้หกขวบ  ทันทีที่เธอหายสำลักได้ด้วยน้ำอัดลมที่ไหลลงคอเข้าไปแล้ว คำถามต่อมาจึงถูกหยิบยกขึ้น

    “บ้า! แล้วแฟนพี่เขาล่ะ!

    “แฟนพี่เขาก็อยู่แอลเอไง”

    แต่สาวเจ้ากลับไม่ยอมหัวเราะร่าไปด้วย นอกจากทุ่มแรงตีไหล่ของคนยียวนแล้วจึ๊ปากแสดงความรำคาญให้รู้ว่าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่น เด็กหนุ่มจึงยกมือปรามเป็นเชิงยอมแพ้แม้จะยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าครื้นเครง เขาดูดกาแฟเย็นจากส่วนคาเฟ่ในร้านสะดวกซื้อแห่งนั้นไปอีกอึกใหญ่ๆ ท่ามากจนคาโยโกะต้องทำหน้าเซ็งและเริ่มต้นกินไก่ทอดในกล่องอีกครั้ง นัยน์ตาของเขามองเลยออกไปนอกบานกระจกใสที่ฉายภาพความมืดมิดกับผู้คนที่บางตา ก่อนอ้าปากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เรื่องราวเชื่อมโยง หากประโยคไม่ได้เชื่อมต่อ

    “ที่จริงตั้งแต่พี่เขาย้ายกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นเมื่อสองปีก่อน ฉันก็ไม่เคยเห็นเขานอกลู่นอกทางจริงๆ หรอก แต่...ไม่รู้สิ ฉันว่าเขาไม่ได้มองเธอเป็นแค่ผู้ช่วยธรรมดาๆ”

    “แล้วฉันพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน?”

    เขาไหวไหล่ “ไม่รู้สิ ตรงไทป์เข้าอย่างจังเลยมั้ง”

    คาโยโกะไม่ได้ถามอะไรต่อหรือปัดปฏิเสธความคิดของผู้ช่วยอีกคนหนึ่งแต่อย่างใด หากนับจากวันนั้น ความรู้สึกของเธอที่มีต่อหัวหน้าก็จะพลันเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าไคโตะเป็นคนมาเขี่ยถ่านที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนมันลุกโชนสว่างวาบขึ้นมาไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ทุกครั้งที่ได้พบหน้าเขา หัวใจเธอจะเต้นแรง คำพูดที่น่าเบื่อกลับดูน่าฟังยิ่งกว่าเรื่องราวและกิจกรรมบันเทิงไหนๆ และไม่ว่าเขาจะตกหลุมรักเธออย่างที่ได้ยินมาแน่แท้หรือไม่ คาโยโกะก็ต้องยอมรับว่าเขาเก็บความรู้สึกได้แนบเนียนมากทีเดียว

    เธอจำคำพูดของไคโตะได้ แล้วรู้ดีว่าต้องหักห้ามใจ

    จวบกระทั่งคืนหนึ่ง หลังเรื่องราวในร้านสะดวกซื้อหนึ่งเดือน เทียบเท่ากับระยะเวลาเข้าทำงานได้สามเดือนกว่าๆ ในออฟฟิศสตูดิโอที่เธออยู่ล่วงเวลาเป็นเพื่อนหัวหน้าซึ่งกำลังตัดต่อมิวสิควิดีโอที่ไปถ่ายในสตูดิโอละแวกนี้เมื่อวันสองวันก่อน ถึงเขาจะบอกให้เธอกลับบ้านไปก่อนได้เลย แต่คาโยโกะที่ไม่อยากทำตัวไร้ค่ารับเงินเดือนฟรีไปวันๆ ก็เต็มใจจะเป็นม้าเร็วไปซื้อข้าวของหรืออาหารยามดึกที่จำเป็นมาให้เขาแทนอย่างไม่เกี่ยงงอน แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งคือเธออยากอยู่ใกล้ชิดกับเขาไปนานๆ ขณะนั้นน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้ว เธอจำได้ดีว่าผล็อยหลับไปบนโซฟาอเนกประสงค์ตัวสีขาวขณะกำลังนั่งอ่านนิยายรักติดอันดับขายดีเพราะผลพวงจากภาพยนตร์ถล่มบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศที่เพิ่งซื้อมา สลับกับลอบมองเขาที่คร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราว เมื่อรู้สึกถึงผ้าห่มผืนบางที่กำลังทาบทับลำตัวซึ่งปลุกเธอให้หลุดจากห้วงภวังค์ละลอยล่อง หญิงสาวจึงขยับตัวและเตรียมจะกล่าวขอโทษกับความเผอเรอนี้ แต่ก็กลับต้องชะงักงันเมื่อใบหน้าของเขาที่กำลังโน้มตัวลงมา ยันมือทั้งสองข้างกับโซฟาจนเธออยู่ระหว่างกึ่งกลางนั้นจะอยู่ห่างแค่เพียงคืบ เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์พาไปหรือเพราะความต้องการลึกๆ ในหัวใจของใครเฝ้าปรารถนา หากภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟลิบๆ ที่โต๊ะทำงานของเขาและพระจันทร์ที่แหวกผ่านรอยต่อของผ้าม่านสาดทอเข้ามา เงาร่างที่ปรากฎของพวกเขาก็ทาบทับสนิทกันจนเป็นหนึ่งเดียว

    คาโยโกะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ต่อหญิงสาวอีกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ไคโตะที่มองปราดเดียวก็เห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น แค่มองอดีตพี่ชายที่เคารพและเพื่อนที่รักด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างที่สุดและไม่ยอมมาเหยียบที่ออฟฟิศอีกนับแต่นั้น ทัตสึยะเองต่างหากที่น่าจะเป็นผู้ที่ยับยั้งความผิดชอบชั่วดีของตนเองให้ดีที่สุด ทว่าเรื่องราวเดิมๆ ก็ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายังคงคบหาทางไกลกับคนรักที่ลอสแอนเจลิสโดยที่ชู้รักลับๆ อย่างเธอก็ไม่เคยเข้าไปหึงหวงหรือก้าวก่าย ถึงด้วยสถานะของคนคั่นเวลาเพียงชิดใกล้ก็ไม่เป็นไร เธอเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นและมัวเมาไปกับความใคร่ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ความรักของฝ่ายเดียวให้ได้ตระหนัก

    แต่เมื่อได้มาเห็นหญิงคนรักชาวญี่ปุ่น-อเมริกันของเขาที่บินมาหาถึงซาเกร็บหลังเสร็จงานถ่ายแบบที่ลอสแอนเจลิสเมื่อเย็นวันนี้เข้ากับตา คาโยโกะก็กลับทำใจไม่ได้เลย

    เธออ้างกับทีมงานคนอื่นๆ ที่มีจำนวนน้อยนิดซึ่งชวนกันไปสังสรรค์หลังเสร็จสิ้นงานว่าอยากเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กระบวนการเหล่านี้ไม่ผ่านหูหรือตาของหัวหน้าที่แยกตัวไปกับแฟนสาวของเขาตั้งแต่แรกโดยไม่เห็นค่ากันเลยแม้แต่น้อย

    คนรักชาวญี่ปุ่น-อเมริกันของเขาไม่มีอะไรที่เหมือนกับเธอสักอย่าง ผมสั้นประบ่าสีทองหม่นตัดกับใบหน้าขาว แต้มแต่งเมคอัพบางเบาจนทำให้ใบหน้าน่าจะดูอ่อนเยาว์กว่าวัยสามสิบห้าเฉกเช่นคนรักของเขา สวมเสื้อผ้าเรียบๆ อย่างแจ็คเก็ตสีดำทับเสื้อคอเต่าสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงบอยเฟรนด์ ถึงความสูงน่าจะไล่ๆ กับเธอ หล่อนอาจไม่ใช่เจ้าหญิงกระโปรงบานแบบพิมพ์นิยมที่เดินเคียงคู่ไปกับเจ้าชายรูปงาม หากมาดของหล่อนก็ยูนีคสุดๆ แบบไม่ต้องพยายาม อาจเรียกได้ว่าทั้งสวยและเท่จนน่าประทับใจดีทีเดียว สมแล้วที่เป็นดีไซเนอร์และนางแบบที่มีชื่อเสียงพอตัวคนหนึ่งของที่โน่น ตรงกันข้ามกับเธอที่โหมประโคมทุกอย่างจนล้น ไม่ว่าจะเรือนผมดัดเป็นลอนสีน้ำตาลยาวระหน้าอก เครื่องสำอางหนาเตอะจนเห็นกลิตเตอร์สีทองบนเปลือกตาและริมฝีปากสีแดงอิฐได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับเดรสพิมพ์ลายดอกไม้ที่เจ้าหล่อนยังอุตส่าห์เอ่ยปากชมว่าสวยด้วยความชื่นชมจากใจจริง ตอกย้ำความด้อยค่าและพยายามจะเป็นยิ่งขึ้นไปอีก แต่ครั้นได้พบหน้าหญิงสาวซึ่งคาโยโกะเคยพร่ำขอโทษข้างในใจต่อการกระทำของตัวเองเสมอมา มันก็กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกผิดอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น

    เมื่อพยายามข่มตานอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ เพราะในหัวมีแต่เรื่องราวประดังประเดเข้ามาได้ไม่หยุดหย่อน ที่สุดแล้วคาโยโกะจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว คว้าสเวตเตอร์โอเวอร์ไซส์สีขาวมาสวมกับกระโปรงหนังสีดำ เธอชอบแฟชั่นฉูดฉาดของตัวเองอย่างนี้และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนกับใคร

    อากาศช่วงต้นเดือนตุลาคมในยามค่ำคืนของที่นี่ค่อนข้างหนาว แต่ไม่แน่ว่าข้างในใจของเธออาจจะเยียบเย็นกว่า รองเท้าบู๊ตหนังกลับสีดำยาวถึงเข่าลากพาฝีก้าวให้ออกห่างจากโรงแรมที่มีแค่เธอและเขาพักแยกห้องกันมาไกลเรื่อยๆ นอกจากเปอร์เซ็นต์การเกิดอาชญากรรมของโครเอเชียที่อยู่ในระดับต่ำมากจนไม่น่ากังวลใจแล้ว หญิงสาวก็มั่นใจพอควรว่าจะไม่เจอคนรู้จักที่นี่เพราะโรงแรมที่พักและร้านอาหารที่ทุกคนไปสังสรรค์กันนั้นอยู่คนละฝั่งกับจัตุรัส ทั้งที่คิดว่าแสงสียามราตรีกับผู้คนมากหน้าที่ขวักไขว่จะช่วยบรรเทาความว้าวุ่นลงไปได้บ้างแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้มันยิ่งคับแน่นอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดแบบนี้ด้วย เหตุผลข้อหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะน้ำตาซึ่งไม่ได้ไหลหลั่งลงมาอย่างที่ควรจะเป็น

    ป่านนี้พวกเขาจะกำลังทำอะไรอยู่ คาโยโกะไม่อยากที่จะนึกไปถึง หากก็หยุดความคิดที่ตีรวนอยู่ในหัวสมองเอาไว้ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมือหนาที่คอยตระกองกอดคู่นั้น สัมผัสที่ทำให้ใจเต้นรัว หรือจุมพิตที่มีรสของลูกอมรสมินต์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ ของเขา เธอก็ยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดี

    เธอเกลียดหล่อนที่ได้ครอบครองทุกอย่างนั้นไว้คนเดียวในเวลานี้ เธอเกลียดเขาที่มองข้ามหัวเธอราวกับเป็นแค่ของไร้ราคาที่เมื่อหมดค่าแล้วก็โยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี และแน่นอนที่สุด...เธอเกลียดตัวเองที่โง่งมงายกับความรักเพ้อฝันถึงแม้ว่าจะโดนย่ำยีความรู้สึกไม่มีชิ้นดีกระทั่งบัดนี้เหลือเกิน



    ไม่บ่อยนักที่คาโยโกะจะมานั่งแกร่วอยู่ในอิซากายะที่มีเสียงโหวกเหวกของผู้คนหลังเลิกงานกับรสชาติของเบียร์ที่เธอไม่ค่อยนิยมนักเป็นฉากหลัง ขนาดนั่งอยู่ในมุมลึกสุดของร้านก็ยังไม่วาย ที่จริงเธออยากจะไปที่ที่สงบเงียบกว่านี้หน่อย จะเป็นบาร์หรือร้านอาหารครอบครัวที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ยังได้ แต่คู่นัดของเธอก็ดักทางเลือกทุกข้อแล้วชวนมากินดื่มแบบง่ายๆ แถมสบายกระเป๋าที่นี่แทน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือร้านของคุณลุงนากามูระที่หลานชายเริ่มเข้ามาช่วยงานอย่างเต็มตัวในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง แน่นอนว่านากามูระที่คาโยโกะรู้จักถึงขั้นมักจี่มาตลอดทั้งชีวิตก็มีแค่ครอบครัวเดียว ฉะนั้นหลายชายของคุณลุงนากามูระที่เธอหมายความถึงจะเป็นใครไปได้นอกจากเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่านากามูระ ไคโตะ

    และใช่...พวกเขาเพิ่งจะคืนดีกันสักอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว

    ด้วยเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือคนที่ตัดขาดกลับเป็นฝ่ายเริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างกันอีกครั้ง มันเกิดขึ้นหลังเธอบินกลับจากซาเกร็บก่อนกำหนด เพราะหมดสนุกจนไม่มีแก่ใจจะอยู่เที่ยวต่ออีกสามวันตามกำหนดการเดิมแล้ว ขณะที่หัวหน้าของเธอจะอยู่หลังกำหนดไปอีกหลายวัน แถมรวดเลยบินไปลอสแอนเจลิสกับคนรักด้วยอีกพักใหญ่ๆ ไม่รู้กำหนดกลับที่แน่นอน ให้คาโยโกะเป็นต้องแอบเบ้หน้าตอนที่เขาไม่ได้หันมอง

    “ฉันกะจะทำงานให้เสร็จที่โน่นเลย ระหว่างนี้เธอพักได้ตามสบาย ไว้ฉันกลับเมื่อไหร่แล้วจะติดต่อไป”

    “ได้ค่ะ”

    “หรืออยากเที่ยวที่นี่ต่ออีกก็ได้นะ”

    เธอรู้สึกเหมือนอยากจะเหวี่ยงใส่หน้าเขาให้สุดเป็นบ้า! แต่ถ้อยคำที่เขาเอ่ยต่อว่า “เธอฝันอยากมาโครเอเชียตลอดเลยนี่นา” ด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำที่แสดงความใส่ใจก็แทบทำเอาเสียศูนย์ไปเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอตีตั๋วกลับมาโดยไม่ใยดีต่อประเทศในฝันของตนเองอีกต่อไป พร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำแล้วเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ใช้เวลาไปกับการนอนหลับ ครุ่นคิด เช็กมือถือ โดยเลี่ยงไม่เข้าไปส่องอินสตาแกรมแฟนสาวของเขาซึ่งอัปโหลดรูปภาพและสตอรี่บ่อยกว่าคนรักที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากเรื่องงานเป็นปกติ จากนั้นกินข้าว อาบน้ำ แล้วก็กลับมานอนให้ผ่านพ้นไปอีกวันหนึ่ง วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่ได้สามวัน เธอไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เว้นแต่บางครั้งจู่ๆ มันก็จะไหลออกมาเอง หากเพียงชั่วระยะสั้นๆ แล้วก็หยุดไป แต่ไอ้อาการตายซากจนไม่อยากทำอะไรนั้นต่างหากที่แสดงออกว่าเธอไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิด คาโยโกะแน่ใจเลยทีเดียวว่าตัวเองรักเขามาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมข้ามเส้นศีลธรรมที่เคยสาปแช่งและสัตย์สาบานว่าไม่มีทางจะเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกับคนที่เคยหน้าด้านแย่งคนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอได้ หากก็ไม่ได้ฟูมฟายจะเป็นจะตายเหมือนความรักครั้งที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว อาจเป็นเพราะเธอโตขึ้น มองโลกในแง่ของความเป็นจริงมากขึ้น ผ่านเรื่องราวและความผิดหวังมาเยอะจนควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น แค่ขอเวลาให้เธอจมจ่อมอยู่กับตัวเองลำพังสักหน่อย ก่อนต้องออกไปเผชิญกับโลกความเป็นจริงอีกครั้ง แค่นั้นก็พอ

    กระทั่งบ่ายของวันที่สาม ขณะที่เธอกำลังนอนหลับไม่เป็นเวล่ำเวลาอยู่เป็นปกติ เสียงกริ่งประตูก็จะดังขึ้น ปลุกเธอตื่นจากความฝันที่ยุ่งเหยิง เมื่อเดินสะลึมสะลือออกไปเปิดประตูขานรับงัวเงียก็แทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง หลังจากได้เห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอในขณะนี้นั้นคือใคร

    “เข้าไปนะ”

    “อ...อื้อ” เธอรีบพยักหน้า ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ฝืดเฝือ

    ทันทีที่ประตูห้องพักปิดลง ไคโตะก็จะตรงดิ่งเข้ามาสวมกอดเธอโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ

    เท่านั้นเอง น้ำตาที่กักเก็บไว้ก็ไหลพรูพร่างลงมาอย่างกับมีใครมาหมุนเปิดก๊อก การได้รับไออุ่นจากใครสักคน ทำให้หญิงสาวได้ตระหนักว่าสิ่งที่เธอต้องการอาจจะแค่เพียงใครสักคนที่ห่วงใย

    “เป็นไง เชื่อที่ฉันพูดแล้วหรือยังล่ะ” แม้คำพูดของเขาอาจเหมือนเย้ยหยันด้วยความอดปากไม่อยู่ กระนั้นมันก็จัดเจือไปด้วยความห่วงใย และน้ำหน้าอย่างเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถือโทษโกรธเคือง อันที่จริงถึงต่อให้เขาจะด่าเธอแรงๆ ก็ไม่เป็นไรเลยด้วยซ้ำ เพราะมันก็สาสมดีแล้ว

    “ฉันขอโทษ”

    “ช่างเถอะ” เขายกมือขึ้นบอกปัด “ว่าแต่สภาพดูไม่ได้แบบนี้ น้ำตาเช็ดหัวเข่ามาจริงล่ะสิท่า”

    “ถ้าบอกว่าไม่จะเชื่อไหมล่ะ”

    สีหน้าของเขาแสดงความหมายชัดเจนเสียจนทำให้คาโยโกะหลุดหัวเราะออกมา ทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำอยู่จากน้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหล

    “จริงๆ นะ” เธอว่าต่อ “มันเหมือนกับความรู้สึกโหวงเหวงมากกว่า ทั้งที่ฉันว่าฉันรักเขามากจริงๆ”

    ไคโตะบีบบ่าเธอเบาๆ เป็นการปลอบใจ

    “อย่ามีความรักที่ต้องทำร้ายคนอื่นเลย คาโยโกะ”

    “ฉันรู้”

     

    คิดถึงตรงนี้แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา ไม่รู้อาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่คิดว่าตัวเองเอาแต่นั่งเหม่อลอยไม่ทำอะไร แล้วป้องปากตะโกนสั่งยากิโทริกับคุณลุงที่รีบกุลีกุจอนำมาเสิร์ฟพร้อมกับบ่นว่าเจ้าหลานชายตัวดีที่ปล่อยให้เธอต้องมาแกร่วรออยู่นานสองนานได้ นั่นทำให้คาโยโกะได้ทีเออออไปด้วยแถมยังบ่นเสริมไปอีกกระบุงโกย ชนิดที่แน่ใจได้เลยว่าถ้าเจ้าหลานชายตัวดีมาถึงเป็นต้องถูกคุณลุงบ่นจนหูชา ให้เธอได้หัวเราะสะอกสะใจอย่างแน่นอน การพูดคุยกับคุณลุงนากามูระช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นมาอีกหน่อย คาโยโกะจึงเลิกคิดฟุ้งซ่าน มองไปรอบๆ ร้านที่คึกคักและวุ่นวายเป็นปกติ พลางหยิบยากิโทริขึ้นงับไม้แล้วไม้เล่า แกล้มไปกับเบียร์ที่ไม่ค่อยพร่องลงไปนัก

    ในตอนที่บานประตูไม้ของร้านเลื่อนเปิดออก ขณะนั้นเธอกำลังยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมองอยู่ก่อนแล้วเผื่อว่าจะใช่เจ้าของนัดที่รอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยแฉล้มเข้ามาพร้อมเสียงร้องทักคุณลุงเจ้าของร้านก็ให้นึกตื่นเต้นดีใจ หากก่อนที่คาโยโกะจะได้โบกไม้โบกมือหรือตะโกนเรียกเขาจากมุมไกลๆ กลับเป็นนัยน์ตาของเธอที่เลิกกว้างอย่างตกตะลึงที่สุด!

    ใจคอแกจะให้หนูคาโยโกะรอจนรากงอกเลยหรือไงฮะ!

    “อะไรเล่าลุง! ผมนัดเวลานี้ ไม่ได้มาสายเลยด้วยซ้ำ อยากรีบร้อนมารอเองใครจะไปช่วยได้”

    “บ๊ะ! ไอ้หลานคนนี้ พูดจาถึงหนูคาโยโกะให้มันดีๆ หน่อย” คุณลุงขึ้นเสียง เงื้อมือออกไปไม่ทันได้ทำอะไร เจ้าหลานชายตัวดีที่อ่านเกมออกก็จะรีบก้าวเท้าเร็วๆ มาหาเธอ เล่นเอาคนสูงวัยโวยลั่น “ปากคอแบบนี้ก็สมควรแล้วที่หนูคาโยโกะเขาจะไม่สนใจแก!

    “ผมต่างหากที่ไม่สนใจยัยนั่น!” ไคโตะตะโกนกลับไปเป็นการทิ้งท้าย จากนั้นทิ้งตัวลงบนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ ไม่ให้ความสนใจใดๆ อีก

    หากการโต้เถียงของตาและหลานซึ่งมักจะยืดเยื้ออยู่เสมอกลับจบลงได้อย่างรวดเร็วในวันนี้ เมื่อเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามไคโตะเข้ามาจะเป็นฝ่ายดึงความสนใจของคนสูงวัยช่างบ่นไปจนหมดสิ้น เสียงของคุณลุงไม่เบาเลยจนคาโยโกะสามารถจับใจความของประโยคสนทนาระหว่างกันได้อย่างชัดแจ้ง ถึงของเด็กหนุ่มจะขาดๆ หายๆ เพราะวอลุ่มที่เบามากก็ตามที

    ส่วนสมองของเธอก็พลันตื้อไปหมดหลังจากคำพูดของไคโตะที่ว่า

    “อ้อคาโยโกะ หมอนั่นแหละ ลูกพี่ลูกน้องฉันที่เพิ่งมาจากแอลเอ”

     

    คาโยโกะยังคงจดจำเรื่องราวของค่ำคืนนั้นในซาเกร็บซึ่งผ่านมาเพียงแค่สองสัปดาห์ได้เป็นอย่างดี

    “เป็นผู้หญิงมานั่งคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้มันอันตรายนะครับ”

    เธอเงยหน้าขึ้น รู้สึกตกใจไปไม่น้อยอันไม่ได้มาจากสำเนียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกันของเขาที่ชัดเจนมากถึงจะมีเค้าหน้าแบบคนเอเชียเหมือนกันกับเธอ คาโยโกะได้แต่กลืนน้ำลายฝืดคอกลับลงไป อารมณ์ที่ตีรวนเหมือนพายุบ้าคลั่งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจใครอีกคนหนึ่งในขณะนี้ ทำให้เธออ้าปากตอบคำถามเขาไปด้วยภาษาเดียวกัน หากห้วน มีแววสะบัด และไม่คล่องปากนักเหมือนอย่างทักษะการฟังของหญิงสาวที่เติบโตมาในโอกินาวะโดยมีพ่อเลี้ยงเป็นทหารจีไอเมื่ออายุสิบสามว่า

    “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกอย่าง ฉันรู้ว่าที่นี่มีอัตราอาชญากรรมต่ำ” โดยลืมมารยาทอันดีที่พึงมีต่อคนแปลกหน้าผู้แสดงความห่วงใย แม้แต่คำขอบคุณง่ายๆ ไปเสียสนิท และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้เขาหัวเสียขึ้นมาเล็กน้อย คาโยโกะจับแววนั้นได้จากคำพูดที่ว่า “ก็แล้วแต่คุณเถอะ” ก่อนเขาจะหมุนตัวจากไป

    ขณะที่เธอยังคงนั่งจมจ่อมอยู่กับที่ และเมื่อแหงนเงยมองท้องฟ้าสีกำมะหยี่ไร้ดาวและไร้จันทร์เหมือนกับเธอที่ว้าเหว่ลำพัง ถึงจุดหนึ่ง มันก็เกิดขึ้นมาเอง เมื่อขอบตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวและมัวพร่า จากนั้นจึงรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหลอาบพวงแก้มทั้งสองข้าง แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์จะถูกพาดคลุมไหล่ลงมาให้เธอต้องรีบปาดน้ำตา หันขวับไปหาชายหนุ่มคนที่ทิ้งตัวลงบนม้านั่งข้างกันกับเธอ ในเสื้อยืดสีขาวธรรมดา ท่ามกลางอุณหภูมิตัวเลขหลักเดียวที่ถึงอาจไม่หนาวเหน็บ แต่ก็คงไม่มีใครอุตริใส่เสื้อตัวบางเช่นนี้แล้วนั่งอยู่ในสวนสาธารณะโดยไม่มีเหตุผลเป็นแน่

    ด้วยเพราะตระหนักได้ว่าตนเองหักหาญน้ำใจของเขาเมื่อก่อนหน้า จึงไม่ใจไม้ไส้ระกำพอที่จะปล่อยให้เขาต้องหนาวอยู่คนเดียวเช่นนี้ได้ เธอพยายามที่จะถอดมันเพื่อส่งกลับคืนให้แก่เขาที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนซ้ำถือวิสาสะโอบบ่าแล้วกดไหล่ลาดผ่านเสื้อกันหนาวของตัวเองบนร่างหญิงสาวไม่ให้ขยับตัวทำอะไรได้อีก น่าแปลกที่คาโยโกะไม่พยายามขืนขัดนอกจากเขม้นจ้องชายแปลกหน้าที่เข้ามายุ่มย่ามกับเธอเป็นหนที่สองผู้นี้อย่างเต็มตา ด้วยความตั้งใจเป็นครั้งแรก

    “นึกว่าคุณกลับไปแล้ว”

    “กลับไปแล้วก็กลับมาใหม่” เขาตอบสั้นๆ ไม่ขยายความ “เห็นคุณยังอยู่เลยคิดว่าจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะกลับที่พัก ถึงที่นี่จะมีอัตราอาชญากรรมต่ำและคุณจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”

    ความรู้สึกบางอย่างพลันแล่นปราดเข้ามา เหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉาเพราะเจ้าของใจร้ายปล่อยปละละเลยได้รับน้ำหล่อเลี้ยงที่มีชื่อว่าความใส่ใจ น้ำตาของเธอเริ่มต้นไหลรินลงมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้าม คำพูดที่เกลือกกลิ้งออกจากริมฝีปากสีแดงระเรื่อต่อจากนี้คล้ายไม่ใช่ตัวของตัวเอง

    “ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับไปกับคุณได้หรือเปล่า?”

    ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นมีสีหน้าตกใจไปไม่น้อยทั้งจากคำขอและน้ำตาของเธอที่ไม่รู้ว่าทะลักลงมาจากไหนอีก หากเมื่อจ้องสบเข้าตรงๆ ถึงแน่ใจว่าดวงตาสีเข้มคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่น เช่นนั้นแล้วเขาจึงลุกขึ้น “งั้นก็กลับกันเดี๋ยวนี้เลย ข้างนอกนี่หนาวจะแย่อยู่แล้ว” ให้เธอได้รีบลุกพรวดพราดตามไป ไม่ลืมถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่คลุมพาดอยู่ส่งคืนเจ้าของด้วยความยัดเยียดจนเจ้าตัวต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ สวมมันกลับคืนแล้วก้าวฉับๆ นำไปเงียบๆ ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรสักคำระหว่างนั้น นอกจากเสียงสะอื้นของเธอเป็นครั้งคราว

    คาโยโกะไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วหรือแม้กระทั่งว่ากำลังเดินไปที่ไหน เธอทำตัวเป็นผู้ตามที่ดีแม้ด้วยดวงตาที่พร่าพราย จนเมื่อเขาเลี้ยวเข้าหัวมุม เลื่อนประตูเหล็กสีดำให้เปิดกว้างออก เดินต่อไปจากจุดนั้นอีกแค่นิดเดียวก็หยุดไขกุญแจที่หน้าอาคารขนาดประมาณราวหนึ่งคูหา หากไม่รู้สึกว่าคับแคบนักเพราะมีสองชั้น โดยมีห้องพักอีกสองห้องอยู่ถัดไป และคาโยโกะก็คิดว่ามันน่ารักดี ความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ความเศร้าโศกก่อนหน้าแทบจะทันที ดูเพล็กซ์อพาร์ตเมนต์เล็กๆ แต่เก๋ไก๋นี้ เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอกับห้องอเนกประสงค์ที่เป็นทั้งห้องครัว ห้องกินข้าว และห้องนั่งเล่นย่อมๆ ซึ่งมีโซฟาและโทรทัศน์ติดผนังไว้ให้นั่งพักผ่อนสบาย เฟอร์นิเจอร์และผนังล้วนเป็นสีขาวสะอาดสบายตา เว้นแต่เก้าอี้และเชิงเทียนบนโต๊ะสีแดงที่ตัดกันลงตัวเข้ากันดี ในซอกเล็กๆ ข้างบันไดวนที่ตีโค้งขึ้นไปยังชั้นสองมีตู้เก็บรองเท้าและห้องน้ำแคบๆ แต่มีฝักบัว ชักโครก และอ่างล้างหน้าอำนวยความสะดวกได้ถือว่าครบครัน ส่วนห้องนอนนั้นคงอยู่บนชั้นสอง เธออดคิดไม่ได้ว่าคงจะเล็กน่าดู ด้วยความเกรงใจที่แล่นริ้วขึ้นมาเลยโพล่งขึ้นเป็นประโยคแรกหลังความเงียบงันอันยาวนานว่า

    “ฉันนอนที่โซฟานี้ก็ได้ค่ะ”

    หากในตอนที่กำลังจะทิ้งตัวลงไปนั้นเอง ร่างแบบบางก็จะถูกเจ้าของห้องพักที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงเมื่อจับไหล่ รุนเธอขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสอง ที่ชั้นนี้มีแค่ตู้เสื้อผ้า โต้ะข้างเตียงเล็กๆ และทวินเบดที่นำมาต่อกันเท่านั้น ไม่ได้เล็กจนอึดอัดอย่างที่เธอนึกภาพเอาไว้ก่อนหน้า คาโยโกะไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์เมื่อได้เห็นขนาดเตียงเข้าจริงๆ เพราะเขาไม่ใช่คนตัวสูงใหญ่ ดังนั้นพวกเขาก็สามารถนอนด้วยกันได้สบายๆ

    “คุณนอนที่นี่แหละ ผมจะนอนที่โซฟาเอง”

    “ไม่!” เธอหมุนตัวกลับมา แผดเสียงลั่นเพียงหนึ่งคำเมื่อจับท่อนแขนหนาของเขาเอาไว้แน่น วินาทีถัดมา ริมฝีปากสีระเรื่อนั้นก็เอ่ยถ้อยคำที่เหมือนไม่ใช่ตัวเองออกมาอีกครั้งหนึ่ง “คุณกับฉัน”

    ถึงจะดูเหมือนเธอเป็นฝ่ายให้ท่าก่อนตั้งแต่ขอมาพักกับชายแปลกหน้าที่จัตุรัส แต่คาโยโกะไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ็กซ์อย่างจริงจังมาตั้งแต่แรก บางทีความรู้สึกฉับพลันนี้อาจเป็นเพราะเธอเกิดไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวลำพังในค่ำคืนที่เปลี่ยวเหงานี้ก็ได้ แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไป เขาผลักเธอลงบนเตียง กดจูบอย่างหนักหน่วงมากเช่นเดียวกับสัมผัสที่ประทับลงมาจนคาโยโกะไม่สามารถคิดอะไรได้อีกและลืมเลือนเรื่องของผู้ชายอีกคนหนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง น่าแปลกที่เธอไม่ได้มองเห็นเขาเป็นตัวแทนของผู้ชายใจร้ายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย และผู้ชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้แม้แต่ชื่อคนนั้นก็เติมเต็มเธอได้อย่างหมดจดในค่ำคืนเดียว

    เมื่อตื่นนอนเอาตอนสายๆ ของวันถัดมา คาโยโกะก็ไม่พบเขาแล้ว บางทีบนโต๊ะข้างเตียงอาจจะมีโน้ตทิ้งไว้ แต่เธอไม่สนใจเสาะสำรวจ เพียงแค่ล้างหน้าแต่งตัวเร็วๆ แล้วรีบร้อนออกจากอพาร์ตเมนต์น่ารักที่ทำให้เธอตกหลุมรักได้ตั้งแต่วินาทีแรก คิดว่าถ้าได้กลับมาอีกจะต้องเข้าพักที่นี่อย่างแน่นอน เธอไม่ได้เขินอายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แค่คิดว่าไม่อยากเจอหน้าคนที่มีความสัมพันธ์กันแค่ชั่วคืน เพราะมันคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนน่าดู ไม่รู้ว่าเขาเองก็คิดเหมือนกันหรือเปล่าถึงได้หายตัวไปเลย แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ช่าง อย่างไรคาโยโกะก็มั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกแล้วอย่างแน่นอน

    เธอไม่เคยเชื่อเรื่องน้ำเน่าพรรค์นั้น เพราะตั้งแต่เกิดมาจะยี่สิบห้าปีก็ไม่เคยพบเคยเจอ

    มารู้ซึ้งเอาวินาทีนี้เองว่าไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่มี!

     

    ลูกพี่ลูกน้องจากแอลเอของไคโตะคนนั้นกำลังกุลีกุจอถือแก้วเบียร์มาให้ ทั้งของตัวเองและหลานชายเจ้าของร้านที่ล่วงหน้ามาสวาปามยากิโทริของเธอไปก่อนแล้วเรียบร้อย แม้เมื่อได้มองเห็นหญิงสาวร่วมโต๊ะ สีหน้าของเขาก็ยังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ โดยไม่มีท่าทีของความตกใจหรือพิรุธใดๆ ให้คนข้างตัวจับสังเกตได้เลยแม้แต่น้อย

    “แนะนำตัวกันเองนะ” ไคโตะปล่อยเกาะ คนแปลกหน้าทั้งสอง ก่อนคว้าแก้วเบียร์มากระดกไปอึกๆ เพราะอย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวขึ้นก่อนเสียเองว่า

    “มัตสึดะ เก็นตะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    ด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับภาษาอังกฤษของเขาไม่มีเพี้ยนผิด!

    “เอ่อ...อา...อาสึดะ คาโยโกะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เธอแนะนำตัวเองกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วค่อย แถมยังตะกุกตะกักอย่างกับลืมภาษาบ้านเกิดของตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ไม่ยอมสบตา หากยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเป็นการกลบเกลื่อนเหมือนกับลืมไปว่าตัวเองไม่ชอบได้

    “หมอนี่เป็นน้องชายของพี่ทัตสึยะ แต่พี่มันใช้นามสกุลพ่อ ส่วนมันใช้นามสกุลแม่หลังจากหย่ากัน”

    ไคโตะขยายความเรื่องราวต่อให้ แถมเป็นเรื่องราวที่สำคัญมากถึงมากที่สุด ขนาดเล่นเอาหญิงสาวมือไม้อ่อนจนเกือบจะเผลอทำแก้วเบียร์ที่ถืออยู่หล่นกระจาย โชคดีที่ยังพอมีสติสตังวางมันกลับลงไปบนโต๊ะไม้ด้วยมือที่สั่นเทาได้ แม้คิดว่าอยากจะเอามันมาฟาดสมองกลวงๆ ของตัวเองให้แตกกันไปข้างซะเดี๋ยวนี้มากกว่า!

    “ส่วนยัยนี่ทำงานเป็นผู้ช่วยของพี่นาย”

    “อ้อ มิน่าถึงได้เจอกันที่ซาเกร็บ”

    หัวใจของคาโยโกะแทบกระตุกวูบ เธอจะให้ไคโตะรู้เรื่องที่ว่าเธอไปหลับนอนกับคนอื่นเพราะช้ำรักจากพี่ทัตสึยะไม่ได้เด็ดขาด! ขณะที่สาวเจ้ากำลังจะอ้าปากเพื่อชิงตัดหน้านั้นเอง เก็นตะก็จะพลันโพล่งขึ้นราวกับรู้งาน “ที่แท้คุณก็ไปทำงานกับพี่นี่เอง เผอิญผมไปเที่ยวที่นั่นพอดี ตั้งใจว่าจะไปหาพี่เหมือนกัน แต่มัวยุ่งๆ อยู่” เขาว่ายิ้มๆ “ไม่แน่ใจว่าเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่าเลยพูดภาษาอังกฤษกับคุณอยู่ซะนาน ต้องขอโทษด้วย”

    “ไม่เป็นไรเลยค่ะ!

    “แล้วนี่สองคนไปเจอกันได้ยังไง?”

    “เห็นเขามานั่งดึกๆ ดื่นๆ ที่จัตุรัสอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทักน่ะ”

    “อื้อ ใช่แล้ว  คุณมัตสึดะเขาก็แค่มาเตือนฉันเท่านั้นเอง ใช่ไหมคะ?” คนร้อนตัวได้ทีรีบเสริมเติมประโยครวมถึงตัดบทเรื่องราวให้ออกมาสั้นที่สุด ซ้ำยังยิ้มแฉล้มไปให้เด็กหนุ่มฝั่งตรงกันข้ามที่รับมุก ส่งยิ้มให้เธอจนตาปิดเมื่อตอบรับเพียงสั้นๆ แค่ว่า “ครับ”

    ก่อนที่เธอจะรีบเปิดหัวข้อสนทนาเรื่องใหม่โดยเร็วที่สุดว่า “ว่าแต่คุณมัตสึดะมาทำอะไรที่ญี่ปุ่นเหรอคะ?”

    “ทำงานครับ”

    “งาน?”

    “ผมเซ็นสัญญาเข้าวงการที่นี่แล้ว” เขาตอบด้วยท่าทีเบาสบาย ไม่ได้แฝงความอวดโอ่เลยแม้แต่นิดเดียว “พูดตรงๆ ผมอยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูด แต่พ่อบอกว่าถ้าอยากเป็นนักแสดงให้เริ่มต้นจากที่นี่ก่อน ผมก็เลยลองมาดู”

    และเมื่อเขาเอ่ยชื่อในวงการของผู้พ่อให้ฟัง คาโยโกะก็ร้องอ๋อออกมาในทันที เธอรู้จักพ่อของเขาในฐานะนักแสดงฮอลลีวูดชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังมากเรื่องศิลปะการป้องกันตัว ขนาดไม่ใช่คอหนังแอคชั่น คาโยโกะก็ยังเคยผ่านตาผลงานของเขาอยู่ไม่น้อย

    คาโยโกะเหลือบแลสายตาไปทางเขาซึ่งหันไปสนทนากับไคโตะแทนแล้วแอบพินิจอยู่ในใจ สองพี่น้องคู่นี้ดูไม่มีอะไรเหมือนกันเลยทั้งภายนอกและภายใน มัตสึดะคนน้องดูท่าทางเป็นคนสนุกสนาน พูดจาฉะฉาน น่าฟัง ยิ้มง่าย หัวเราะก็ง่าย จะบอกว่าเป็นเพราะช่วงวัยที่ต่างกันก็ไม่น่าจะใช่แค่นั้น เพราะคาโยโกะค่อนข้างแน่ใจว่าถึงต่อให้ทัตสึยะจะอายุเท่ากับน้องชายของตนในเวลานี้ เขาก็คงไม่ใช่คนที่มีออร่าแห่งความสุขเปล่งประกายสักเท่าใดนัก ถึงความสุขของเขาจะเรียบง่ายเอามากๆ อย่างการถ่ายรูป ขับรถเล่น รวมไปถึงการได้ใช้เวลากับคนรักตัวจริงของเขาก็ตาม

    คงเพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่มีข่าวคราวจากฝ่ายโน้นเลยสักอย่าง และเธอก็ไม่คิดว่าอยากจะถามไถ่อะไรเป็นการขัดจังหวะช่วงเวลาอันแสนสุขของคู่รักด้วย คาโยโกะไม่ได้เข้าออฟฟิศมาเป็นสัปดาห์แล้ว จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากให้เขาอยู่ที่โน่นตลอดไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยเหมือนกัน แน่นอนว่าเธอยังคงรู้สึกถึงความเบาโหวงในตัวอยู่เหมือนมีบางสิ่งที่ขาดหาย แต่ไม่ได้เจ็บช้ำเจียนตายจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไคโตะที่คอยแวะมาปลอบใจด้วยการพาไปหาของกินอร่อยๆ อย่างที่เธอชอบแทบทุกวัน และอีกส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะลึกๆ เธอเตรียมใจไว้ตั้งแต่วินาทีแรกแล้วถึงความรักที่เป็นไปไม่ได้

    ไคโตะแนะนำให้เธอมีคนรักเป็นตัวเป็นตนสักคน และคาโยโกะเองก็คิดเช่นนั้น

    ฉับพลัน ความคิดที่หวนย้อนไปถึงค่ำคืนนั้นก็ทำให้คาโยโกะรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะทนร่วมโต๊ะกับเขาต่อ เธอขอตัวกลับบ้านก่อนโดยอ้างเหตุผลว่าอยากให้เด็กหนุ่มทั้งสองสังสรรค์กันเองมากกว่า หากคุณลุงนากามูระต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ถึงขนาดว่าจะแถมยากิโทริให้เธอกินไม่อั้นตลอดทั้งคืนด้วยอีกต่างหาก เธอพยายามปฏิเสธด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างเต็มที่ จนคุณป้าต้องเยี่ยมหน้าออกจากครัวมาต่อว่าสามีและเป็นฝ่ายขอโทษขอโพยแทน ให้เธอต้องรีบส่ายหัวโบกมือปัดป่ายพร้อมเสียงหัวเราะสดใสว่าไม่เป็นไร โดยไม่ยอมหันไปมองโต๊ะของสองหนุ่มที่เพิ่งจะลุกจากมาเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ครั้นออกมาสูดอากาศเย็นของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงได้รอยยิ้มก็หุบฉับ ดูเหมือนว่าเธอคงต้องนัดพบกับไคโตะให้น้อยลงหน่อยแล้ว หากจะเอาข้ออ้างอะไรมาใช้ในการหลบหน้าดี เมื่อเขารู้ว่าเธอไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้วไหนในโตเกียว ไม่แน่ว่าบางที นี่อาจถึงเวลามีคนรักเป็นตัวเป็นตนอย่างที่เขาว่าไว้แล้วก็ได้

    ถ้าเพียงแต่คนรักจะหาง่ายนักเหมือนคู่นอนก็คงดี


     










    2021年02月04日
    _______________
     คอมมิชชั่นจากคุณ beli ส่งท้ายปีอีสแบค (ชุดสอง) ที่ลืมไปว่าจริงๆ สีตาต้องเป็นสีฟ้าไหมเพราะเก็นตะคือพระเอกตัวจริง แต่ภาพจำของมึงคือฟุกกะ งั้นก็โอเค ฟุกกะก็ฟุกกะ แต่ก็ดีใจที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ด้วยการเลือกสีตามใจฉันสักที เพราะไปเห็นลิส้าใส่ชุดสีชมพู (จำไม่ได้ว่าแมกไหน) ก็คิดว่าอยากได้จัง เรามันก็ประเภทอยากได้ก็ต้องได้! ที่ก็แน่นอนว่าขอให้เค้าดัดแปลงได้ตามใจชอบ ส่วนต่างหูเค้าออกแบบให้ โบว์ที่คอเหมือนตอนแรกจะเป็นโชคเกอร์เค้าก็ปรับมาเป็นแบบนี้ให้ ที่สีสวยมาก เข้าคู่กับต่างหูเลย ชอบดีเทลยิบย่อยมากๆ ประทับใจสุดไรสุด เช่นเดียวกับท่าโพสที่กูให้เค้าฟรีสไตล์ได้เลย บอกไปแค่ว่าขอแนวแฟชั่นก็ได้มาแบบนี้ ปาดน้ำตาก่อนนะ (จริงๆ ตอนจ้างคุณเบลี นอกจากรูปบิ๊กแบงสวีทที่จ้างเป็นรูปแรกแล้ว หลังจากนั้นกูก็ให้เค้าคิดท่าเองทุกครั้งเลย เพราะนี่ว่าเค้าออกแบบได้ดูมีอะไร) กับสีชมพูในหลากหลายเฉด และเมคอัพที่สวยมาก ดูสีอายชาโดว์กับสีลิปนั่นสิ โอ้โห เริ่ดขนาดนี้มันจะเป็นรูปสุดท้ายได้ยังไงล่ะวะ!
     เป็นเรื่องที่ก็คิดว่ายังไงต้องแปลงในสักวันหนึ่ง เพราะถึงมันจะค่อนข้างเห่ย น้ำเน่า มีความดัดจริตอยู่ในฟิคอินดี้ที่กูแต่งช่วงนั้นหมดเลย พล็อตก็ตอแล๊ตอแหล ดูเรื่องอินไซด์ก็พอกัน (เฮ้ย! ลืมว่าต้องเอาเดย์ดรีมมาลงด้วยให้ครบในเซ็ต คัมแบคใหม่พร้อมอุมิจ้า โฮคุโตะอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะมันจะมีฉากที่กูวางให้พระเอกเล่นมอนฮัน ฮ่าๆๆ) แต่ก็มีเนื้อหาและภาษาที่ชอบบางส่วน เวลาบรรยายเยอะๆ นี่มันสนุกจริงๆ ให้ตายเถอะ (มึงเล้าหลือให้เอาเรื่องนี้มาลงใหม่มาก แต่มึงไม่ได้ชอบเรื่องนี้หรอก มึงแค่ชอบบทพี่ฟุกกะกับพล็อตชู้แค่นั้นแหละ) / แรงบันดาลใจที่ทำให้กลับมาแปลงคือตอนเห็นทราวิสไปเอ็มสเตแล้วมีเพลงเอ็กไซล์คือสนุกกันมากเว่อร์ (หมายถึงจากะจัง 55555) กูเลยแบบ ไม่ได้ละ ต้องประกาศศักดาว่าเราก็มีฟิคที่ใช้เพลงเอ็กไซล์เหมือนกันนะโว้ย! เดิมทีมันเป็นเพลง Ti Amo แต่พอมึงบอกว่าชอบ Lovers Again มากกว่า กูเลยทำเพื่อมึงกับฟุกกะจังได้เสมอ และรวดเอาตอนต่อ...ที่ห่วยกว่าตอนแรกมาลงด้วย แต่ก็สัญญาแล้วว่าจะเอามาลงเพื่อโชว์บทพระเอกตัวจริง และเมื่อเรากลับมาแปลงฟิคเรื่องนี้เพราะทราวิส พระเอกตัวจริงเลยมาจากทราวิสยังไงล่ะ! ลาแล้วเจสซี่แก้วตา (ลาไปไกลๆ เลย) ส่วนอุมิเป็นตัวสมทบที่จริงๆ มีแฟนแล้วแบบไม่เปิดเผยคือกูเองแหละ แต่โอ๊ยอีเหี้ย ในบทมีฉากอุมิกอดคาโยโกะ (สิล้า) ด้วยเหรอวะ U_U แต่เอาเถอะ เวอร์แรกสุดเป็นอุมิก็เอาไว้แบบนี้แหละ กูก็ไม่ได้หึงไปเรื่อยไหมนะ (ล้มโต๊ะ ต่อยประตูพังไปสองบาน)
     ชื่อเรื่องได้มาจากชื่อเพลงของคิงนู (จริงๆ น่าเอามาสคาร่ามาประกอบแล้วเปลี่ยนบทชู้เป็นเจสซี่นะ แต่เอาเถอะ ให้พี่ฟุกกะได้เกิดบ้าง สงสารมึง) บทของฟุกกะได้มาจากคุณ Mitch Nakano ที่กำกับเอ็มวีหลายตัวให้อาเมะพาเระ นักร้องลูกครึ่งญี่ปุ่น-ฝรั่งเศสได้แรงบันดาลใจมาจาก Maika Loubté ที่รัก และแน่นอนว่าโครเอเชียที่ยังคงติดอยู่ในใจเรามาตั้งแต่สมัยกดโบดานูน่าที่มึงแนะนำ ขอโทษด้วยละกันที่ชอบแต่งแนวชู้รักเพราะอ่านการ์ตูน ดูหนังดูละคร ฟังเพลงญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาแนวนี้เยอะแยะ (Ti Amo ไปก่อนเลยครับพี่) แต่ก็ไม่ได้เทิดทูนความสัมพันธ์แบบนี้ ชีวิตจริงก็กูนี่แหละแอบชอบแต่คนมีแฟนมาทั้งชีวิตยังไม่เคยคิดจะแย่งมาสักครั้งถึงเขาจะมีใจให้ ขนาดดาราที่ชอบมีชู้ยังเลิกติดตามแล้วด่ายับเป็นสิบทวิตมาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดว่าการแต่งฟิคผิดศีลธรรมหรือแนวดาร์กอะไรก็ตามแต่ควรจะต้องมีบทเรียนทุกเรื่องไหมนะ
     ตอนอ่านทวนถึงจำได้ว่าตั้งใจแต่งเรื่องนี้ให้มัคเคนจริงๆ ด้วยว่ะ เพราะตอนที่เขียนว่าพ่อเป็นนักแสดงอยู่เมกาคือใช่เลย ตอนที่พูดปะกิตฟุดฟิดฟอไฟนี่เป๊ะสุดละ ส่วนที่ไม่มีกอร์ดอนเพราะสมัยนั้นยังไม่เข้าวงการ (ช่วงแรกๆ ก็ไม่ใช่หล่อเน้อ มีแต่คนอวยพี่ ไม่ใช่จะมีคนชอบน้อง สมัยมีไอจีคนตามยังน้อยเลย) บทพี่ฟุกกะคือพี่ยูกิ (ที่เมื่อก่อนหล่อมาก บทแส้บๆ ก็ต้องพี่เค้าไหมวะ พอยซั่นเบอร์รี่กับไรจิฮิคาริคลับคือที่สุดแล้ว ตำนาน พอมาริสกี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ละ บทกระจอกด้วย จากะดีกว่า) / ไคโตะก็โฮคุโตะรัมเป (สมัยนั้นไม่ต้องถามถึงจอนนี่ ไม่มีเลยสักคนนะพี่นะ)
    ★ ปล. เพิ่งรู้ว่าเอ็กไซล์ครบรอบ 20 ปีแล้วว่ะ ตายๆ เกิดไม่ทัน กูเพิ่งมาทันรุ่นบัลลิสติก >_< / เฮ้อออ ละได้ใช้เพลงอินดี้มาประกอบตอนของเก็นตะแล้วชื่นใจ บ่าวเก้าศูนย์อินดี้ของเราที่แท้ / ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไฟว์นิวโอลด์แต่งเพลงเทคส์ทูให้สโตนส์โว้ย!!!!!
    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×