คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #189 : She is inside, He is outside
อาการปวดหัวรุมเร้าเริ่มกลับมาเยือนเป็นเพื่อนเธออีกครั้ง หลังจากการต้องเร่งทำงานเขียนบทละครหามรุ่งหามค่ำอย่างหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวสำหรับเซระ ไคริ ผู้ยึดอาชีพนักเขียนบทถึงกว่าสองปีเข้าไปแล้ว แต่กลับยังไม่มีผลงานไหนเข้าตากรรมการให้ได้ชื่นใจเลยกระทั่งบทละครสั้นสักเรื่องเดียว ฟังคล้ายอาจเป็นเรื่องเศร้า หากกระนั้นเรื่องปากท้องก็ดูจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธอ ถึงส่วนหนึ่งจะมาจากการส่งเสียของแม่ที่แม้จะบ่นกระปอดกระแปดเรื่องความฝันลมๆ แล้งๆ ของลูกสาวคนกลาง แต่ก็คอยส่งเงินและอาหารมาให้จากฮาวายที่ย้ายไปตั้งหลักแหล่งพร้อมกับพี่สาวคนโตทีละเล็กละน้อยในทุกๆ เดือน แม้เธอจะปฏิเสธความช่วยเหลือหลังเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ สาขาการเขียนเชิงสร้างสรรค์จากมหาวิทยาลัยโทไค ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังทำงานแปลรวบกับงานคอลัมนิสต์อิสระเท่าที่พอจะมีคนจ้างไปด้วย หากก็ทำให้เธอมีเงินเก็บพอที่จะกินอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่ได้สักหนึ่งปี เป็นระยะเวลาที่เธอกำหนดเส้นตายให้แก่ตัวเองว่าจะลองพยายามกับเส้นทางอาชีพที่ได้วาดหวังไว้ดูสักตั้ง ถ้าหลังจากนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จ เธอก็จะตัดสินใจยอมแพ้แล้วไปหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งในบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์อย่างที่ได้ร่ำเรียนมา ด้วยเหตุฉะนี้เอง เวลาเกือบหนึ่งปีที่เธอหมายมั่นไว้จึงดำเนินไปอย่างไม่ขัดสน อันที่จริงมันควรจะมั่นคงด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะความโง่เขลาของตัวเองเหลือเกินในตอนนั้น
และถ้าไม่ใช่เพราะความโง่งมต่อผู้ชายคนนั้น
มันไม่ใช่การพบกันครั้งแรก แต่เธอได้ทำความรู้จักกับเขาครั้งแรกเป็นเวลาราวๆ หนึ่งปีครึ่งแล้วจากร้านเดนนีส์ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไอเดียของเธอตัน ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก จนต้องมานั่งหาแรงบันดาลใจบนชั้นสอง พลางทอดมองออกไปยังท้องถนนเบื้องล่างภายนอกซึ่งไม่ใคร่จะมีผู้คนสัญจรกันคลาคล่ำนัก จนล่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ฉายแสงจึงจะขึ้นรถไฟกลับไปยังอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ในเซตะกายะเพื่อพักผ่อน นอกจากเหล่าพนักงานเสิร์ฟที่กลายเป็นคนคุ้นหน้าจากกิจวัตรหลายสัปดาห์ของเธอแล้วนั้น ไคริก็ไม่นึกว่าจะได้รับปฏิสัมพันธ์จากผู้คนที่ผ่านมาและผ่านไปคนไหนอีก กระทั่งเขาที่กำลังเดินตามพนักงานเสิร์ฟไปยังโต๊ะว่างด้านในของร้านจะร้องเรียกชื่อของเธอในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวันกลางสัปดาห์อันเงียบเหงา จากเสี้ยวหน้าที่ผินออกไปด้วยความไม่แน่ใจ แล้วจึงแปรเปลี่ยนเป็นความยินดียิ่งทันทีที่นัยน์ตาจ้องสบกัน รีบกล่าวแนะนำตัวเองว่าชื่อมัตสึมูระ โฮคุโตะ ทำงานอยู่ที่นิตสารสำหรับผู้หญิงหัวเล็กๆ ซึ่งเธอเคยเขียนคอลัมน์เล็กๆ ให้ในช่วงหนึ่ง แน่นอนว่าเธอจำเขาไม่ได้ จะคลับคล้ายคลับคลาหรือก็ไม่เลยด้วยซ้ำ อาจเพราะเมื่อเธอแวะเข้าไปก็มักจะตรงดิ่งไปหาหัวหน้างานแล้วรีบเร่งจากไปเสมอ กระนั้นก็ไม่รังเกียจที่จะได้ร่วมโต๊ะกับเพื่อนใหม่ในโลกเก่า เขาอายุมากกว่าเธอห้าปี แต่ท่าทีของเขาไม่ทำให้เธอรู้สึกเกร็งเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน เขาคอยใส่ใจถามไถ่เรื่องราวของเธอและเป็นผู้ฟังที่ดีมาก กระทั่งไคริไม่เคยคาดคิดเลยว่าเพียงค่ำคืนเดียวที่ได้มีคนรับฟังปัญหาชีวิตของตัวเองที่กดเก็บไว้ซึ่งไหลเรื่อยออกมาไม่รู้จบ จะไปจบลงที่อพาร์ตเมนต์ของเธออย่างง่ายดายเช่นนั้นเอง
สำหรับไคริ มันไม่ใช่ความรักในช่วงแรกเริ่ม เธอมั่นใจ เมื่อสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดก็แค่ใครสักคนที่คอยรับฟังเคียงข้าง และทำทีเหมือนว่าเข้าใจอย่างที่โฮคุโตะเป็น...หรือไม่ก็แสร้งเป็น เพียงเพื่อจะได้สมประสงค์กับหญิงผู้เป็นรักแรกพบ หากเมื่อเวลาผันผ่านไปไม่ทันวงโคจร เธอก็กลับใจเต้นระรัวกับสัมผัสเพียงแผ่วที่ริมฝีปากเท่านั้น ทว่าในห้วงขณะที่เธอผู้เริ่มจากศูนย์ตกหลุมรักเขาจนถึงร้อย ความจริงก็จะพลันโถมกระหน่ำเข้าใส่
เขาคนที่คอยเป็นกำลังใจในทุกวินาทีตั้งแต่เธอเริ่มลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘อีกฟากของพระจันทร์’ เรื่องรักสามเส้าแนวอีโรติกเสียดสีสังคมระหว่างพนักงานหนุ่มประจำโรงละคร นักแสดงสาววัยดึก และนักศึกษาสาวผู้ต่อต้านสังคม อันเป็นผลงานสะท้อนชีวิตจริงของเธอเองในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงเกลียดชังสังคมเนื่องจากปัญหาเรื่องเพื่อนในคณะจนมักหนีจากแคมปัสในโชนันไปแกร่วอยู่ที่โรงละครในคาบุกิโจบ่อยๆ พนักงานหนุ่มประจำโรงละครที่ชื่อจุนก็คือชายขายตั๋วรอบดึกผู้เป็นรักข้างเดียวของเธอ ส่วนนักแสดงสาววัยดึกในชีวิตจริงก็คือป้าแม่บ้านที่มักจะมานั่งเอกเขนกดูหนัง (หรือไม่ก็คงหลับ) อยู่แถวหน้าเสมอ เธอทุ่มเทแรงใจให้กับผลงานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง ก่อนจะถูกแต้มแต่งสีสันลงไป จนแทบไม่มีเค้าโครงความเป็นจริงหลงเหลืออยู่ให้ได้ระแคะระคายเลย อีกทั้งเรื่องราวในช่วงชีวิตสั้นๆ ของไคริก็ถือเป็นความลับที่เธอไม่เคยปริปากบอกใครเว้นก็แต่โฮคุโตะในอีกห้าปีให้หลังนี้คนเดียว ในตอนนั้น เขาคนที่กดจูบเธอเพราะอิทธิพลของความรักในอดีตช่างเปี่ยมไปด้วยความรักและความใคร่ที่อัดแน่นอย่างล้นเอ่อ จนไคริไม่เคยนึกฝันเลยว่าชายคนที่รักเธอสุดหัวใจผู้นี้ จะกล้าขโมยบทภาพยนตร์ที่มาจากมันสมองของเธอไปเสนอให้กับค่ายหนังที่เคยเปรยๆ ถึงบ่อยๆ และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการสร้างทันทีที่ทีมงานอ่านบทเรื่องนี้จบ การที่เขาคอยบอกให้เธอแก้บทละครในหลายๆ จุดทั้งที่เคยว่ามันสมบูรณ์ดีอยู่แล้วก็คงจะเป็นการถ่วงเวลารอขั้นตอนการดำเนินงานนั่นเอง เธอได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดในตอนที่รู้สึกถึงความเหินห่างจากชายคนรัก และความจริงที่ไขขานหลังแอบสะกดรอยตามเขาไปยังกองถ่ายภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกับบทดั้งเดิมซึ่งเธอรู้จักดี โดยผู้กำกับที่เคยผ่านงานภาพยนตร์เรื่องโปรดของเธอซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความรักของผู้คนในสถานเริงรมย์ของคาบุกิโจอันลวงตา คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่เธออาละวาดด่าทอใส่โฮคุโตะพร้อมกับเขื่อนน้ำตาจากความพยายามที่อีกไม่นานคงพรั่งพรูเป็นสายเลือด บางทีถ้าเขาเข้ามาโอบกอดเธอไว้แน่นๆ และประทับริมฝีปากพร้อมกับความรู้สึกข้างในใจเหมือนอย่างที่เป็นมา ไคริก็คิดว่าจะยกโทษให้กับความเลวร้ายทุกอย่างของเขา
แต่กลับมีเพียงคำพูดประโยคเดียวให้เธอได้สดับ
“ความรักมันกินไม่ได้หรอก”
ทำลายหัวใจอันร้าวรานของเธอจนยับเยินไม่เหลือชิ้นดี
เธอได้แต่จมจ่อมอยู่กับความรักและความฝันที่ถูกช่วงชิงไปพร้อมๆ กัน ระยะเวลาหนึ่งปีที่ตั้งมั่นแต่เดิมถูกเหยียดขยายออกไปก็เพราะโฮคุโตะเป็นเหตุผลนั้น เธอไม่อยากยอมแพ้ให้กับคนสารเลวที่ได้กลายเป็นนักเขียนบทละครและภาพยนตร์แนวดราม่าสะท้อนสังคมด้านมืดที่ได้รับความนิยมมากมายภายในเวลาแค่หนึ่งปีครึ่ง ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่าในคอนโดสูงที่รปปงงิ ซึ่งมันควรจะเป็นชีวิตของเธอ หากแต่เหตุผลที่ทำให้ไคริเจ็บใจมากที่สุดก็คือบทละครเรื่องอื่นหลังจากนั้นที่เขาเป็นคนเขียนมันขึ้นเองจริงๆ กลับออกมาดีกว่า ‘อีกฟากของพระจันทร์’ ชนิดคนละขุม จากความรัก ความเสียใจที่ท่วมท้น ได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความแค้นจนเกินหยั่ง ไคริตั้งมั่นว่าจะต้องขึ้นไปอยู่เหนือกว่าเขาให้ได้ในสักวันหนึ่ง แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมากเพียงไร ก็ไม่มีผลงานอะไรดีๆ ออกมาสักเรื่องเดียว เหมือนกับว่ายิ่งกดดันตัวเองเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งกดตัวเองจมลงไปเท่านั้น จนแม้แต่บทละครสั้นสักตอนก็ยังต้องขยำเป็นก้อนกลม แล้วโยนลงถังขยะไปด้วยความหงุดหงิดใจอันเหลือแสน อาการปวดหัวรุมเร้าเข้ากลืนกินอยู่เกือบหนึ่งปีกว่าที่จะทุเลาจนหายดี ขณะที่เขาก้าวนำหน้าไปไกลโข เธอกลับยังย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน
กระทั่งเธอจะได้พบกับโปรดิวเซอร์ละครหนุ่ม พร้อมกับบทละครแนวทริลเลอร์ ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องการล้างแค้นชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกซึ่งพรากทุกอย่างไปจากชีวิตของเธอ โดยมีหญิงปริศนาให้ความร่วมมือด้วย เธอแค่ลองแต่งมันคร่าวๆ ด้วยความคับข้อง หลังจากได้ดูตอนหนึ่งของภาพยนตร์ทีวีซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายทริลเลอร์รวมเรื่องสั้นชื่อดัง โดยมีชื่อของมัตสึมูระ โฮคุโตะ เป็นคนเขียนบทตอนที่เธอชอบที่สุด ด้วยเพราะไม่อยากยอมรับ เธอจึงเลือกระบายมันออกมาเป็นบทละครไปได้หนึ่งตอน แต่เมื่อลองเอาไปนั่งอ่านที่ร้านอาหารยี่สิบสี่ชั่วโมงในวันถัดมา ก็รู้สึกว่ามันช่างกลวงเปล่าและงี่เง่าสิ้นดี หากในตอนที่กลับเข้ามาในร้านจากการคุยโทรศัพท์ทางไกลกับพี่สาวอีกที เธอก็เป็นต้องงุนงงและประหลาดใจอย่างล้นพ้น เมื่อได้เห็นชายผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านบทบนโต๊ะของเธออย่างตั้งใจ
เขาแนะนำตัวว่าชื่ออาเบะ เรียวเฮ เป็นโปรดิวเซอร์ละครของช่องเจแปนเทเรบิที่บทภาพยนตร์ของโฮคุโตะเพิ่งจะผ่านตาเธอไปเมื่อคืนนี้เอง เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่ด้วยอาชีพการงานที่เมื่อเห็นว่าปึกกระดาษเหล่านี้เป็นบทละครก็อดที่จะกวาดตามองไม่ได้ ก่อนจะเห็นว่าตัวบทของเธอนั้นน่าสนใจดีทีเดียว เขาอยากให้เธอลองเขียนผังตัวละคร เรื่องย่อ และบทละครเรื่องนี้เป็นละครสั้นห้าตอนมานำเสนอให้แก่เขา นั่นเป็นครั้งแรกที่ไคริรู้สึกเหมือนกับได้มองเห็นแสงอาทิตย์ส่องสว่างหลังจากเมฆหมอกที่บดบังในเงามืดอยู่แสนนาน เธอตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ จากคนที่เคยเฉื่อยแฉะก็กลายมาเร่งปั่นงานหนักจนแทบไม่ได้กินได้นอน เธอแทนตัวเองลงไปเป็นตัวละครหญิงในเรื่อง ยิ่งเมื่อคิดถึงคนรักสารเลวเท่าไหร่ พล็อตก็ยิ่งพร่างพรูออกมาเท่านั้น จริงอยู่ที่เธอทุ่มเทให้กับบทละครสั้นเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากก็ต้องขอสารภาพว่าแม้แต่ตอนที่อ่านทวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเส้นตายหนึ่งวัน เธอก็ยังคิดว่านี่ช่างเป็นพล็อตเรื่องที่โง่เง่าสิ้นดี มันแทบไม่มีแก่นสารอะไรเลยนอกจากความแค้นแบบโง่ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่นก็คือเธอ แต่ถ้าบทละครเรื่องนี้จะทำให้พอมีโอกาสก้าวขึ้นไปหาโฮคุโตะได้เพียงนิดแล้วล่ะก็...ไคริก็ยอม
แต่ในวันที่เธอเดินตัวเกร็งเข้าไปในตึกของช่องเจแปนเทเรบิเป็นครั้งแรก ก็กลับต้องผิดหวังเมื่ออาเบะจะออกจากห้องประชุมมาหาเธอที่ยืนรออยู่กับเลขาฯสาว เอาแต่ก้มหัวขอโทษปะหลกๆ บอกว่าวันนี้มีธุระด่วนเข้ามา แต่สัญญาว่าจะรีบอ่านบทละครของเธอแล้วนำเสนอให้กับหัวหน้าอย่างเร็วที่สุด ทั้งสีหน้าและท่าทีของเขาแสดงความรู้สึกผิดอย่างมากเสียจนไคริต้องเป็นฝ่ายเกรงอกเกรงใจแทนและรีบละล่ำละลักบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ ที่เมื่อเดินคอตกจากมาและสวนทางกับชายผู้หนึ่ง เธอถึงได้เข้าใจ
ระหว่างนักเขียนบทคนดังกับนักเขียนบทโนเนมอย่างเธอ มันย่อมเทียบกันไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาซึ่งกำลังแนบหูโทรศัพท์อยู่เลือนหายไปทันทีที่ได้จ้องสบสายตากับเธอ สีหน้าของเขาแสดงความตกใจพร้อมกับริมฝีปากที่อ้าขึ้นเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง หากไคริจะเพียงรีบก้าวฝีเท้าบนรองเท้ารัดส้นจากไปให้เร็วที่สุดโดยไม่หันไปมอง
เธอแปลกใจอยู่เหมือนกันที่น้ำตาไม่ไหล นึกเกลียดชังตัวเองที่ในใจยังเต้นรัวทั้งที่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนาน และไม่เคยคิดว่าจะมีความรักใดๆ หลงเหลืออยู่ให้กับเขาอีกแม้เพียงเศษเสี้ยว หากเมื่อได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เธอก็ต้องยอมรับความจริงว่าแท้จริงแล้วไม่มีวันไหนเลยที่จะลืมผู้ชายใจร้ายคนนั้นได้ลง
หัวสมองของเธอปวดหนึบ หากก็หยุดครุ่นคิดถึงเรื่องของเขาตลอดเส้นทางโดยสารไม่ได้ กระทั่งเมื่อก้าวพ้นชั้นใต้ดินออกจากสถานีรถไฟถึงได้รู้ว่าฝนตก เพราะมัวแต่ตื่นเต้น แถมยังเหนื่อยอ่อนทั้งคืน จนลืมใส่ใจพยากรณ์อากาศจากช่องข่าวตอนเช้าที่มักเปิดทิ้งไว้ไม่ให้ต้องเงียบเหงาอยู่เสมอ เธอไม่อยากยืนแกร่วรอฝนที่ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อไหร่ สิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือการพักผ่อนเพราะอาการปวดหัวตุบๆ ไม่ยอมหยุด ที่พักของเธออยู่ห่างจากสถานีอีกไม่ไกล แล้วจึงตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน ก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไปโดยไม่ใส่ใจว่าเนื้อตัวจะต้องเปียกปอน
สภาพของเธอเปียกโชกไปหมดเมื่อมาถึงอพาร์ตเมนต์ จนในใจนึกรู้สึกผิดอยู่ครามครันที่ทำให้น้ำหยดเป็นสายขณะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักบนชั้นสองจนถึงทางเดินแคบๆ แต่เมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุมเข้าไป เธอก็จะได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่หน้าห้องข้างเคียง เขากำลังยกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม ทั้งเนื้อตัวที่ก็กำลังเปียกปอนเช่นเดียวกัน ไคริจำได้ว่านั่นเป็นห้องของผู้เช่ารายใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเพราะนั่นคือช่วงที่เธอกำลังปั่นผลงานชิ้นความหวังนี้อย่างทรหด แต่รู้จากผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ตอนลงไปซื้อข้าวกินในเย็นวันหนึ่งว่าเป็นผู้หญิง ฉะนั้นผู้ชายที่มานั่งรออยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นคนรัก เธอมองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาครู่หนึ่งในตอนที่กำลังไขกุญแจห้อง และทันทีที่เขาหันใบหน้ามาสบตากับเธอ ส่งรอยยิ้มกว้างพร้อมค้อมหัวส่งให้เป็นเชิงทักทาย นั่นจะเหมือนกับปฏิกิริยาเร่งเร้าที่ทำให้เธอเดินตรงไปหาเขาแล้วเอ่ยออกมาว่า “ไปเช็ดตัวที่ห้องฉันก่อนไหม?” อย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าเชิญชวนผู้ชายแปลกหน้าเข้าห้องแบบนี้
แถมเขายังอาจจะเป็นคนรักของสาวห้องข้างๆ ด้วยอีก
ไคริคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธ ทว่าชายหนุ่มกลับลุกขึ้นยืนพร้อมกับถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อและกระป๋องเบียร์ในมือ ส่งน้ำเสียงสดใสอย่างแข็งขันพร้อมกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างกล่าว “ขอบคุณมากครับ” ขณะเดินตามเธอที่สภาพม่อลอกม่อแลกไม่ต่างกันเข้าไปในห้อง
“ช่วยเข้าไปรอในห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้”
เขาวางข้าวของลงบนพื้นทางเดิน แล้วทำตามที่เจ้าของห้องบอกอย่างว่าง่าย
ขณะที่เธอก็เดินออกไปเอาผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ตรงระเบียงเข้ามา เขาควรจะได้เปลี่ยนชุดใหม่ด้วย พลันนั้นที่เธอจะระลึกบางอย่างขึ้นได้ เมื่อเดินไปเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มของโฮคุโตะที่เขาไม่ได้เก็บกลับไปด้วยออกมา ข้างในอกของเธอก็เต้นรัวไม่หยุด
ในตอนที่ผลักบานประตูห้องน้ำเข้าไป ชายหนุ่มที่มองเห็นเงาร่างของเธออยู่แล้วจากบานกระจกซึ่งกำลังส่องอยู่ก็จะหมุนตัวขวับกลับมา เอ่ยคำว่า “ขอบคุณครั...” ที่ยังไม่ทันจบประโยคดี เธอก็จะกระทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือโผเข้ามาสวมกอดจากด้านหน้า ร่างที่บอบบางและเนื้อตัวที่ยังคงเปียกปอนนั้นสั่นเทา เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น และเมื่อหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผะแผ่วว่า “กอดฉันที” พร้อมกับลมหายใจที่รดรินผ่านเสื้อยืดตัวบางกับความสั่นไหวภายใต้เสื้อกล้ามสีขาวของเธอ สติของเขาก็พลันแตกกระเจิง รสชาติของเบียร์อาซาฮีที่เป็นจูบแรกของเธอกับโฮคุโตะในคืนนั้นกำลังถูกเล่นซ้ำใหม่กับชายแปลกหน้าในวันนี้ ยิ่งเมื่อเขามอบความชื้นแฉะผ่านปลายลิ้นเข้ามาที่ทำให้เธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่ถ้าอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นไม่ได้ตระกองกอดเธอไว้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีต่อเด็กสาวข้างห้องที่อาจจะเป็นคนรักของชายผู้นี้ก็พลันมลายหายไป อุณหภูมิในตัวของเธอพุ่งสูงจนแทบจะระเบิดเช่นเดียวกับการตอบสนองที่อ่อนไหวขึ้นทุกขณะเมื่อคิดว่าเขาคืออดีตชายคนรักของเธอ
______________
ความคิดเห็น