ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #210 : The Fall of the Damned

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 65


    The Fall of the Damned
    Inspiration: Homeroom 「ホームルーム (Drama, 2020)
    Playlist: Cö shu Nie – undress me (Onna no Sensou ~Bachelor Satsujin Jiken~ Theme Song) / SHE'S – Unforgive (Homeroom Opening Theme Song)


    คำเตือน: ฟิคนี้ได้อินสไปร์มาจากละคร (และมังงะ) ที่จัดว่าครีปมาก เหี้ยมาก บ้ามาก ประสาทแดกมาก แน่นอนว่าฟิคนี้ก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากัน
    ครูจะได้กับนักเรียนไหมไม่รู้ แต่ที่รู้คือไม่มีคนจิตปกติในฟิคนี้ ไม่เกี่ยวกับการหลอกลวงหรือแสดงสถานะทางอำนาจอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมาสู่รู้จ้า
    * แต่ฟิคนี้เบามากเหมือนปุยนุ่น ตั้งใจแต่งให้เหมือนละครฉายช่วงเที่ยงคืน ไม่ใช่นิยายคุณมินาโตะ ไม่ใช่หนังของชิอง หรือฟีลวิชวลเคย์ใดๆ *










    .

    ฮิบิ ฮิมิโกะ เกลียดที่ต้องย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รักมาตลอดสิบเจ็ดปีทางตอนใต้ขึ้นมายังเมืองแปลกหน้าที่ไม่เคยคุ้น เพื่อใช้ชีวิตที่ไม่มีวันจะคุ้นเคยกับบ้านใหม่ ครอบครัวใหม่ เพื่อนใหม่ และโรงเรียนใหม่ในโตเกียว ที่เด็กสาวในวัยต่อต้านเองก็ไม่เคยคิดปิดบังความโกรธเกลียดต่อทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นผ่านสีหน้า ท่าทาง รวมถึงการแสดงออก กระทั่งความอดทนของพวกเขามาถึงจุดสิ้นสุด แม่กับพ่อเลี้ยงตอบแทนมันด้วยการให้เธอย้ายออกไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์คนเดียว แทนที่จะสร้างบรรยากาศขุ่นข้องให้แก่น้องสาวต่างพ่อที่เพิ่งจะเข้าวัยประถม ส่วนเพื่อนในห้องก็เลิกพยายามเข้ามาสุงสิงพูดคุยด้วยทั้งที่เคยตื่นเต้นเพราะฐานะที่ร่ำรวยกับหน้าตาที่สะสวย หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นต่างหากคือทั้งหมดที่ฮิมิโกะต้องการ

    หรือไม่...เธอก็เคยคิดว่าแบบนั้น

     

    ตอนขึ้นชั้นไฮสคูลปีที่สาม ห้องเรียนปี 3-3 ของเธอก็ได้ครูประจำชั้นคนใหม่เป็นครูสอนศิลปะที่ก็เพิ่งจะบรรจุใหม่ นากามูระ ไคโตะเป็นครูหนุ่มที่ทั้งรูปหล่อ ใจดี และร่าเริง เข้ามาได้ไม่ทันไร พวกเด็กนักเรียนก็ตั้งชื่อเล่นให้อย่างสนิทสนมว่าอุมินจู ภาพที่เห็นจนชินตาคือเขาที่มักจะถูกรุมล้อมอยู่เสมอไม่มีว่างเว้น ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าที่ปั่นจักรยานฝ่าวงล้อมเข้ามาแล้วป่าวทักทายทุกคนที่ก็จะตะโกนตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงเริงร่า ตอนพักเที่ยงที่จะพูดคุยเรื่องวงไอดอล รายการวาไรตี้ หรือละครทีวีกับพวกเด็กนักเรียนอย่างสนุกสนานไม่มีติดขัด หรือตอนเย็นที่กลุ่มสาวเฮี้ยวจะออกปากชวนเขาไปร้องคาราโอเกะไม่ก็เที่ยวเล่นด้วยกันแบบทีเล่นทีจริง ไม่ใช่แค่เด็กนักเรียนที่พากันหลงใหลได้ปลื้ม แต่ยังมีครูชิราอิชิห้องพยาบาลที่พยายามจะจับเขาอย่างออกนอกหน้าให้ได้อีกคน

    ฮิมิโกะจะไม่ปฏิเสธว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นครูนากามูระเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโพเดียม เอ่ยแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มกว้างที่แสนจะสดใส ไม่ต่างอะไรจากท้องทะเลที่ส่องประกายวิบวับ ณ โอกินาวะของเธอ แต่ฮิมิโกะก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่กระโจนลงไปให้ได้กระอัก ผืนน้ำที่ดูไม่มีพิษภัยใช่ว่าจะไม่มีภยันตราย เธอยังจำความรู้สึกตอนที่ลมหายใจเกือบถูกพรากไปจากความประมาทนั้นได้ แค่เพียงได้มองดูความเจิดจ้าของครูนากามูระจากที่ไกลๆ ก็เพียงพอแล้ว

    ถ้าไม่ใช่เพราะ การกลั่นแกล้งภายในห้องเรียนจะเริ่มต้นขึ้น

     

    อันที่จริง เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับฮิมิโกะ ตอนที่เพื่อนร่วมห้องเดิมตัดสินใจว่าจะไม่ผูกมิตรกับเธออีกต่อไปแล้วก็เปลี่ยนกลายมาเป็นศัตรูในชั่วข้ามคืน หากวิธีการเล็กๆ น้อยๆ จำพวกเอากระเป๋านักเรียนไปซ่อน เอาขยะมาใส่ในล็อกเกอร์ วางดอกเบญจมาศแล้วขีดเขียนคำด่าทอต่างๆ นานาไว้บนโต๊ะเหล่านั้นทำอะไรเธอไม่ได้ มันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สองอาทิตย์ เมื่อทุกคนเริ่มเบื่อหน่ายกับปฏิกิริยาโต้ตอบที่เท่ากับศูนย์แล้วจึงเลิกให้ความสนใจไปเอง เหมือนกับตอนที่เธอจะเลื่อนบานประตูเปิดเข้ามาก่อนคาบโฮมรูมในเช้าวันจันทร์และพบว่าที่นั่งแถวสามริมหน้าต่างของตัวเองหายไป แน่นอนว่าอีกเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังคงไม่ทำให้ฮิมิโกะรู้สึกระคาย แต่สิ่งที่ทำให้เธอรำคาญใจคือการต้องไปขนโต๊ะเก้าอี้มาจากห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ห่างจากตึกเรียนตั้งไกลนั้นต่างหาก ขณะลอบถอนหายใจออกมาโดยพยายามไม่เปลี่ยนสีหน้าที่ทุกคนกำลังจดจ้องมองอยู่พร้อมกับเสียงซุบซิบ ก่อนหมุนตัวเพื่อกลับออกจากห้องไปอีกหน ร่างของเธอก็เกือบชนเข้าให้กับใครอีกคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ไม่เพียงอุทานว่า “โอ๊ะๆ! ระวังหน่อยฮิบิ!” แต่ครูนากามูระยังช่วยจับท่อนแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้เพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้ด้วย

    “แล้วนี่จะไปไหน? เสียงกริ่งเข้าเรียนดังแล้วนะ”

    ฮิมิโกะไม่คิดว่าจะปริปากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับครูประจำชั้นเมื่อไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อะไร แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยร้องแรกขอความช่วยเหลือจากใครถึงต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ใหญ่ การเริ่มต้นใช้ชีวิตลำพังถึงจะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน ก็มากพอที่จะทำให้ฮิมิโกะมั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะรับมือหรือว่าเอาตัวรอดกับเรื่องทุกอย่างได้

    แต่ยังไม่ทันที่หัวสมองของเธอจะได้นึกหาข้ออ้าง ครูนากามูระที่ตัวสูงกว่าก็จะได้พบคำตอบนั้นเองเมื่อมองเลยผ่านศีรษะของเธอไป เสียงจ้อกแจ้กจอแจในห้องเรียนถึงก่อนหน้าพลันเงียบลงราวกับมีใครกดปิดสวิตช์ หลังจากเขาตะโกนถามว่า “ที่นั่งของฮิบิล่ะ!”

    ฮิมิโกะไม่แปลกใจที่ไม่มีใครตอบคำถามนั้น คนที่ไม่ได้ทำย่อมไม่รู้ ส่วนคนที่ทำก็ย่อมไม่มีทางสารภาพออกมาง่ายๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอ — รวมถึงนักเรียนคนอื่นๆ — แปลกใจได้ คือความเคร่งเครียดผ่านน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนจากครูหนุ่มที่มีแต่รัศมีของความสดใสเปล่งประกายออกมา ครูนากามูระบอกให้เธอยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนปล่อยมือออกจากท่อนแขน เดินไปวางแฟ้มที่ถือมาลงบนโพเดียมด้วยสีหน้าที่แตกต่างจากทุกวันเพราะรอยยิ้มที่เลือนหายไป จากนั้นเริ่มต้นพูดเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อมสักนิดว่า “ตอนนี้ครูยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮิบิ แต่หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ครูคิด เพราะไม่อย่างนั้นครูคงจะผิดหวังในตัวพวกเธอมาก”

    “ครูคะ...” และเสียงแผ่วค่อยของฮิมิโกะที่พยายามบอกว่าเธอไม่เป็นไรก็จะถูกกลบหาย เมื่อเขาเปลี่ยนไปตะโกนเรียกชื่อหัวหน้าห้องเพื่อขอให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยในคาบโฮมรูมแทน ก่อนเดินกลับมาใช้มือแตะไหล่เธอนิดหนึ่งเป็นสัญญาณให้เดินตามออกไปข้างนอก

    ระหว่างที่เดินลงบันไดไปด้วยกัน ฮิมิโกะที่ทำท่าว่าจะหาข้อแก้ตัว หลบเลี่ยงเหตุผลอะไรก็ตามที่สื่อถึงการกลั่นแกล้งกลับเชื่องช้ากว่าครูนากามูระที่เดินผ่อนจังหวะอยู่ข้างๆ เอ่ยปากถามไถ่เธอด้วยความเป็นห่วงว่า “ไม่เป็นไรนะฮิบิ

    “ค่ะ! ไม่เป็นไรเลยค่ะ!” เธอรีบสั่นหัว ยกมือขึ้นโบกปัดเสริมรับคำพูดของตัวเองที่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเลยอย่างเร็วรี่

    “ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม?”

    “คะ?”

    “ครูได้ยินมาว่าเธอเคยถูกแกล้งมาก่อนตอนเข้าเรียนใหม่ๆ”

    “อ๋อ ไม่ใช่เรี่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ” ว่าแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะน้อยๆ ออกมา “ถ้าทำเป็นไม่สนใจซะอย่าง เดี๋ยวคนทำก็เลิกไปเองนั่นแหละค่ะ” ครั้นพูดจบประโยค ฮิมิโกะก็จะได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาเต็มแรงของครูนากามูระตอนที่เขาหยุดเดินเมื่อลงมาถึงทางเชื่อมบันได พลอยให้เธอต้องชะงักฝีก้าวตามไปด้วย

     “นับจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกครูได้ตลอดนะฮิบิ ไม่ต้องกลัว” เป็นครั้งแรกที่ฮิมิโกะได้ประสานสายตากับครูนากามูระในระยะที่เรียกได้ว่าประชิดมากเมื่อเขาก้มตัวลงมา ใกล้เสียจนเธอแน่ใจว่าตัวเองถึงกับลืมหายใจไปครู่ขณะ “เพราะว่าครูจะคอยปกป้องเธอเอง” และทันทีที่มือของเขาวางลงบนศีรษะของเธอเพื่อลูบมันเบาๆ อย่างอบอุ่นและอ่อนโยน พร้อมกับรอยยิ้มกว้างจากทั้งริมฝีปากและดวงตาแบบที่กลับมาเป็นครูนากามูระคนเดิมของพวกเธออีกครั้ง ฮิมิโกะก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเธอจะกำลังกระโจนลงไปยังท้องทะเลที่ลึกสุดหยั่งเพียงไร เพราะสิ่งที่เธอต้องการในเวลานี้คือแสงสว่างของครูนากามูระที่กลับมาส่องประกายให้เธออีกครั้งในโลกใบที่หมองหม่น คือความใจดีของครูนากามูระซึ่งมีเพียงเธอที่ได้รับมันกับคำสัญญาที่ว่าจะคอยปกป้อง ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งเธอจะเคยไม่ต้องการสิ่งนี้จากใครทั้งนั้น แต่ไม่อีกต่อไปแล้ว เธอจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาและครอบครองแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่แสนสำคัญในชีวิตนี้ไว้ ต่อให้จะต้องจมดิ่งลงไปโดยไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก ฮิมิโกะก็ยินยอมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อครูนากามูระนับจากนี้ไป

     

     

    ผ่านมาสามวันแล้วที่สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นภายในห้องเรียนชั้นปี 3-3 อีก อาจเว้นก็แต่ความคิดที่มีต่อครูนากามูระของฮิมิโกะที่เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความหมกมุ่น ถึงครูนากามูระจะยังคงเรียกชื่อเธอให้ตอบคำถามเรื่องศิลปะยากๆ ในคาบ ส่งยิ้มให้ และเอ่ยชื่นชมเมื่อเธอตอบถูกทุกครั้งเหมือนอย่างที่เป็นมาจนทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้นได้ แต่แสงที่ส่องสว่างมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราวยังไม่มากพอ เธอต้องการช่วงเวลาที่พิเศษ ความรู้สึกที่ตัวเองได้เป็นเพียงคนเดียวที่พิเศษอยู่ในสายตาของครูนากามูระเหมือนบนทางเชื่อมบันไดอย่างตอนเช้าวันนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฮิมิโกะต้องการเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างอย่างแรงกล้าขนาดนั้น ก่อนที่เธอจะถูกปลุกให้ตื่นจากฝันกลางวันด้วยความปวดแสบจากการสะดุดตะแกรงที่หลังตึกเรียนระหว่างเอาขยะไปทิ้ง แล้วล้มเอาเข่าข้างขวาลงไปทับซี่ของมันอย่างแรงมากจนทิ้งร่องรอยเอาไว้ เช่นเดียวกับเลือดสีแดงฉานที่เริ่มต้นไหลซึมออกมาดูน่าหวาดเสียว ฮิมิโกะจำต้องค่อยๆ ลากขากะเผลกๆ ข้ามตึกเรียนไป พยายามไม่แสดงสีหน้าออกมาแม้อยากจะนิ่วหน้าในทุกครั้งคราวที่ขยับเคลื่อนไหวมากแค่ไหน โชคดีที่ห้องพยาบาลอยู่ไม่ไกล เธอเลยไม่ต้องทนกับสายตาและคำพูดซุบซิบนินทาเมื่อสายตาของพวกเขาจะเลื่อนต่ำลงมานานนัก

    “ตายแล้วฮิบิ! ไปโดนอะไรมาจ๊ะเนี่ย!

    ครูชิราอิชิที่กำลังยืนพิงสะโพกอยู่กับโต๊ะทำงานหันมาหาเธอที่เลื่อนบานประตูห้องพยาบาลเข้ามา ฮิมิโกะสามารถใช้คำว่ารู้จักมักคุ้นกับครูชิราอิชิได้จากการแวะเวียนมาบ่อยๆ ในช่วงชั้นปีที่สองด้วยเหตุผลว่าป่วยจริงบ้าง (แต่ก็แค่เล็กๆ น้อยๆ) ขณะที่ส่วนใหญ่คือป่วยการเมืองเพื่อหาเรื่องโดดร่มมากกว่า ทั้งที่เป็นครูห้องพยาบาลแท้ๆ แต่เสียงร้องของหล่อนกลับแหลมสูงมากจนทำให้คนเจ็บอย่างเธอต้องเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง

    หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะการได้เห็นครูนากามูระนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนตรงหน้าหล่อนด้วยท่าทีเบาสบาย เหมือนว่าพวกเขากำลังสนทนากันด้วยเรื่องสนุกสนาน...แบบผู้ใหญ่ ความเจ็บปวดจากบาดแผลภายนอกใดๆ ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับความเจ็บปวดที่บีบรัดอยู่ข้างในอก ฮิมิโกะได้แต่ก้มหน้างุด พึมพำตอบกลับไปว่า “หนูสะดุดล้มตะแกรงที่หลังตึกเรียนมาค่ะ” ที่จะตามมาด้วยเสียงอุทานทั้งจากความตื่นเต้น ตระหนก และตกใจเป็นการใหญ่จากครูชิราอิชิ ซึ่งจะบอกให้เธอเดินไปนั่งรอบนเตียงก่อน ขณะรีบผละไปหยิบขวดยาจากในตู้ให้ แต่เพราะงอขาไม่ได้เลยต้องยื่นมันออกไป และฮิมิโกะก็คิดว่าท่านั่งแบบเก้งก้างของเธอมันดูน่าอายมากเสียจนไม่กล้าหันไปมองหน้าครูนากามูระซึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ตามครูชิราอิชิแล้ว หรือแม้แต่จะตั้งใจรับฟังเสียงพูดคุยซึ่งดังแว่วมาของพวกเขาทั้งสอง เพราะฉะนั้นเด็กสาวเลยเผลอลืมตัวหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เมื่อได้เห็นว่าเป็นใครที่กำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับเครื่องมือปฐมพยาบาลอยู่ตรงหน้า

    “ไม่ระวังตัวเลยนะฮิบิ”

    “น...หนูไม่เป็นไรค่ะ!”

    ท่าทีลนลานของเธอทำให้ครูนากามูระแปลเจตนาผิดไปตอนที่ว่า “ไม่ต้องกลัวหรอกนะฮิบิ ถึงครูจะเป็นผู้ชายแต่ก็มือเบากว่าครูชิราอิชิเยอะเลย” ด้วยรอยยิ้มกว้างกลั้วไปกับเสียงหัวเราะขบขัน ที่จะเรียกเสียงหัวเราะอย่างมีจริตจากครูชิราอิชิที่ยืนกอดอกดูอยู่ไม่ห่างได้เฉกเช่นกัน

    “แหม ครูนากามูระก็พูดไป!

    ตลอดช่วงเวลานับตั้งแต่ครูนากามูระจะเริ่มต้นล้างแผลให้เธอด้วยน้ำเกลือ ทายาฆ่าเชื้อ และปิดปากแผลวงใหญ่กว่าที่คิดด้วยผ้าก๊อซ ฮิมิโกะก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นใดอีกเลยนอกจากจังหวะหัวใจที่เต้นรัวแรงมากของตัวเองจนน่ากลัวว่าเขาจะได้ยินมัน ครั้นเสร็จสิ้นกระบวนการปฐมพยาบาลอย่างสมบูรณ์ดีแล้ว ครูนากามูระก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอที่พยายามรักษาความนิ่งสนิทนั้นไว้โดยไม่คิดจะเบือนหลบไป แล้วว่า “เอาล่ะ! ไม่เป็นไรแล้วนะ!” ขณะวางมือแปะลงบนศีรษะของเธออีกครั้ง...เหมือนกับตอนเช้าวันนั้น

    กระทั่งเสียงกระแอมของครูชิราอิชิที่ช่วยรั้งเรียกสติหลุดลอยของฮิมิโกะให้หวนกลับคืนมา ละล่ำละลักไปว่า “ข...ขอบคุณครูมากเลยนะคะ!”

    “น่าอิจฉาฮิบิจังเลยน้าที่ได้ความใจดีของครูนากามูระไปคนเดียวแบบนี้”

    “ผมก็ใจดีกับนักเรียนทุกคนแหละครับ” ครูนากามูระหัวเราะไปกับคำหยอกเย้าของครูชิราอิชิที่พลันโพล่งขึ้น ไม่วายที่หล่อนจะทำเป็นพูดจากระเง้ากระงอดบอกว่า ครู ก็อยากได้ความใจดีบ้างเหมือนกัน เมื่อเดินตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ เขาที่ลุกขึ้นไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าตู้แล้ว ฮิมิโกะควรที่จะรู้สึกหึงหวงหรือไม่พอใจทั้งจากคำพูดของเขาหรือท่าทีของหล่อน แต่เมื่อก้มลงมองดูผ้าก๊อซที่คลี่คลุมทับปากแผลที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากมือคู่นั้น มือของครูนากามูระที่ให้สัญญาว่าจะคอยปกป้องเธอ ฮิมิโกะก็ราวกับได้มองเห็นแสงสว่างที่โชติช่วงอยู่ในแววตา เธอไม่อาจหยุดรอยยิ้มที่กระตุกอยู่บนใบหน้าซึ่งคงกำลังบิดเบี้ยวจากความคิดที่จุดประกายอยู่ในหัวสมองได้เลย

    ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้น...ถ้าหากว่าทำให้มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนอย่างอุบัติเหตุในวันนี้ เธอก็จะได้รับความห่วงใยทั้งหมดของครูนากามูระไปแต่เพียงผู้เดียว

     

    เนื้อตัวของเธอทั้งสั่นเทาและเปียกปอนจากน้ำก๊อกเฉียบเย็นที่หยดลงมาตั้งแต่เส้นผมจนเปียกลู่ไปถึงรองเท้า รวมถึงอุณหภูมิของวันกลางฤดูที่อากาศยังคงเรียกได้ว่าหนาวเหน็บ ก่อนที่ครูนากามูระจะวิ่งฝ่ากลุ่มเด็กนักเรียนที่พากันชะเง้อชะแง้เข้ามาในห้องน้ำหญิง ซึ่งคณะกรรมการนักเรียนหญิงสองคนจะกำลังช่วยกันใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กซับหยดน้ำให้ พลางสอบทานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่บนพื้น และเมื่อฮิมิโกะแหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง แสงสว่างที่เจิดจ้าก็กำลังสาดส่องมาที่เธอ

    “ครูคะ...”

    “ฮิบิ! เกิดอะไรขึ้น!”

    “ม...มีใครก็ไม่รู้...ส...สาดน้ำใส่หนูค่ะ แต่พอ...น...หนูออกมาก็ไม่เจอใครแล้ว”

    ครูนากามูระมีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากได้ยินคำตอบปนกับเสียงสะอื้นไห้จนประโยคคำพูดฟังดูขาดหายไปเป็นช่วงๆ ของเธอ เขาเอ่ยขอบคุณคณะกรรมการนักเรียนทั้งสองคนนั้น จากนั้นรับช่วงพาลูกศิษย์ออกไปที่ห้องพยาบาลเพื่อขอยืมชุดมาเปลี่ยน ครูนากามูระคอยปลอบโยนเธอด้วยคำพูดตลอดเส้นทางเดินที่ฮิมิโกะอยากให้มันทอดยาวออกไปไม่รู้จบ คอยอยู่เคียงข้างปกป้องเธอที่ดูเหมือนว่าจะยังคงขวัญเสียอยู่ แต่ไม่ใช่เลย น้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลหลั่งลงมาผสานไปกับน้ำจากถังเย็นเยียบซึ่งอาบอยู่ทั่วตัวเธอในยามนี้แท้จริงแล้วมาจากความดีใจมากกว่าเสียใจ ในเมื่อเธอเป็นคนทำทุกอย่างนี้ด้วยตัวเอง...และผลตอบแทนของการทดลองนี้ก็ช่างคุ้มค่า

    ที่ฮิมิโกะรู้ว่ามันจะยังคุ้มค่าได้มากกว่านี้

    ขอเพียงแค่เธอยอมแลก

     

     

    แต่ในเช้าวันจันทร์ของสัปดาห์ถัดมา ทันทีที่เข้ามาในห้องเรียนโดยไม่ทันจะได้ทิ้งตัวลงนั่งเสียด้วยซ้ำไป ฮิมิโกะก็จะได้ยินกลุ่มสามสาวนักเที่ยวข้างหลังจับกลุ่มซุบซิบกัน ปกติพวกหล่อนมักจะพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้แก่นสารให้ฮิมิโกะเป็นต้องนึกรำคาญใจ ทว่าวันนี้มันกลับเป็นเรื่องรบกวนจิตใจมากกว่า จากหัวข้อที่นิโนมิยะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นว่า “รู้ไหมว่าเมื่อวานฉันเห็นอุมินจูที่เลิฟโฮกับชิราอิชิล่ะ!” จนมือของเธอที่กำลังถอดกระเป๋าสะพายไหล่เผลอกระตุกไปเล็กน้อย

    “จะเป็นไปได้ยังไง!” ฮายาซากะหัวเราะหยัน “ดูยังไงชิราอิชิก็อ่อยข้างเดียวชัดๆ!

    “แน่ใจนะว่าหล่อนไม่ได้ตาฝาด?” ทาจิบานะถาม

    “แน่ใจสิ! ฉันเห็นจริงๆ นะว่าสองคนนั้นที่เข้าเลิฟโฮไปด้วยกัน! ถ้ามือถือฉันไม่แบตฯหมดไปก่อนฉันคงถ่ายรูปมาให้พวกเธอดูไปแล้ว!

    หลังจากคำยืนยันที่หนักแน่นมากของเพื่อนหล่อน เสียงเยาะหยันในทีแรกของฮายาซากะก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความขุ่นข้องโดยไม่ปิดบัง “ชิราอิชิก็ใช่ว่าจะสวยอะไรนักหนา ตอแหลน่ารำคาญอีกต่างหาก อยากรู้จริงๆ ว่ายัยนั่นมีดีอะไรถึงมัดใจคนอย่างอุมินจูได้นะ”

    “เรื่องบนเตียงมั้ง...”

    “ถ้าพูดอะไรสร้างสรรค์ไม่ได้ก็หุบปากไปเลยนะหล่อนน่ะ!

    “แต่พูดก็พูดเถอะนะ ถ้าเทียบกับชิราอิชิแล้ว รูปร่างหน้าตาของพวกเราสามคนยังไงก็เหนือกว่าเห็นๆ พอคิดว่าอุมินจูนี่ตาต่ำชะมัดก็ชักจะโมโหขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ”

    ตามมาด้วยบทวิพากย์วิจารณ์ถึงชายหญิงทั้งสองอย่างเผ็ดร้อนที่พวกหล่อนดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ถูกเลื่อนเปิดจากครูประจำชั้นผู้ตะโกนส่งเสียงทักทายอย่างเริงร่าเฉกเช่นเดียวกับทุกวัน และพวกหล่อนที่ก็ตะโกนคิกคักตอบกลับไปราวกับบทสนทนาก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างทุกวัน ทว่าไม่ใช่กับฮิมิโกะที่เพียงเหลือบมองครูนากามูระเพียงครู่ขณะโดยไม่รอให้สบตา ก่อนก้มกลับลงมาบนโต๊ะไม้ที่ไม่ได้มีอะไรชวนมองเลยสักนิด ทั้งมือที่กำชายกระโปรงจนแน่ใจได้ว่ามันคงจะยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว

    ครูนากามูระที่เรียกชื่อเธอตอนเช็กชื่อแล้วร้องทักว่า “วันนี้ดูหน้าซีดๆ นะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ก่อนจะส่งยิ้มให้เมื่อเธอส่ายหัวพึมพำว่าไม่เป็นไร ดวงตาที่จะคอยจดจ้องมองเธอด้วยความห่วงใย ริมฝีปากที่จะวาดโค้งขึ้นแล้วคอยพร่ำแสดงความใส่ใจเธอ มือที่จะคอยโอบอุ้มดูแลเธอ ร่างกายที่จะคอยปกป้องเธอ ทุกอย่างของเขาก็คือของเธอ

    ครูนากามูระก็คือของเธอ

    แค่เพียงคิดว่าครูชิราอิชิได้ครอบครองทุกอย่างก่อนเธอ ทั้งดวงตาที่จดจ้อง ริมฝีปากที่ร้องเรียก มือที่ลูบไล้ ร่างกายที่สอดผสาน ก็จะทำให้สตินึกคิดของฮิมิโกะขาดผึงลงไปในชั่วพริบตา

     

    ฮิมิโกะไม่อาจอดทนข่มกลั้นความรู้สึกริษยาเหล่านั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ขณะมองเห็นครูชิราอิชิเดินผ่านอาคารเรียนจากอีกตึกหนึ่งก็จะรีบวิ่งตามหลัง ก่อนเปลี่ยนจังหวะเป็นเชื่องช้าลงเมื่อทันกับหล่อนที่เดินนำหน้าโดยหาได้รู้สึกถึงใครอีกคนที่กำลังจดจ้องมองแทบไม่วางตา หล่อนออกมาสูบบุหรี่ที่บันไดทางเชื่อมกับระดับความสูงที่ฮิมิโกะนับได้ว่ามียี่สิบขั้นไม่ขาดไม่เกิน แค่เพียงเลี้ยวขวาก็จะลงไปยังที่ทิ้งขยะหลังอาคารเรียนซึ่งฮิมิโกะเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุบนท่อตะแกรงมาหมาดๆ ถึงจะไม่มีเลือดไหลซึมออกมาอีกแล้ว แต่ความรู้สึกปวดแสบในตอนที่งอเข่าหรือก้าวเดินในยบางขณะนั้นยังคงอยู่ เหมือนกับมือของเธอที่กำมีดพกในกระเป๋าเสื้อสูทเอาไว้แน่น จนปลายเล็บยาวที่ประดับตกแต่งมาอย่างดีกดลงบนผิวเนื้ออย่างที่จะทิ้งบาดแผล หากฮิมิโกะในยามนี้ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใด นอกจากความโกรธที่เบียดบัง อันมีเหตุผลมาจากนางผู้หญิงแพศยาที่ชื่อว่า

    “ครูชิราอิชิ...”

    “อ้าว ฮิบิ มีอะไรจ๊ะ?”

    หล่อนเอียงใบหน้า หันลำตัวที่พิงอยู่กับขอบบันไดชั้นบนสุดมาหาเธอ ในมือยังคงคีบแท่งบุหรี่ไว้หลังปล่อยควันเป็นวงซึ่งหล่อนดื่มด่ำกับมันอยู่อย่างสบายอารมณ์ ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่รู้สึกรู้สาแบบนั้น มือของฮิมิโกะก็ยิ่งกำแน่นขึ้นไปอีก

    หากเธอก็ถามออกไปแค่ว่า “ครูเป็นอะไรกับครูนากามูระ?”

    อาจเป็นคำถามที่ไม่คาดคิดจนทำให้หล่อนเปล่งเสียงหัวเราะรวนร่า ฮิมิโกะไม่มีทางแปลเจตนาที่แสดงถึงความเยาะหยันนั้นผิดยามหล่อนยอกย้อนชอบใจกลับมา

    “อะไรกัน? ไปได้ยินเรื่องอะไรดีๆ มาเหรอจ๊ะฮิบิ? ไหน เล่าให้ครูฟังหน่อยสิ”

    ให้ความอดทนของเธอทะลักทลายออกมาในที่สุด ยามกรีดเสียงร้องตะโกนใส่หน้าหล่อนว่า “เมื่อวานครูไปทำอะไรที่เลิฟโฮกับครูนากามูระ! ตอบหนูมาสิ! ครูนอนกับครูนากามูระแล้วเหรอ!” และการได้เห็นหล่อนยังแสดงสีหน้าเสแสร้งแกล้งทำแบบเดิมนั้นก็จะทำให้ใบหน้าของฮิมิโกะแดงก่ำ ก่อนน้ำตาจะไหลออกมาทั้งจากความโกรธขึ้งและความคับแค้นใจที่ไร้ทางออก จนเธอต้องยกแขนเสื้อสูทขึ้นป้าย หากไม่ยอมละสายตาแข็งกร้าวจากหล่อนที่กำลังแสดงสีหน้าเวทนาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

    “ตายแล้ว มีคนเห็นด้วยเหรอเนี่ย!” เสียงหัวเราะของหล่อนฟังดูน่าเกลียดเสียจนฮิมิโกะอยากจะเอาใบมีดไปเฉือนปากสีแดงแจ๋นั้นทิ้งซะ ดูสิว่าหล่อนจะเอาปากที่ไหนมาพูดพล่ามเพ้อเจ้อได้อีก “จะว่ายังไงดี ครูกับครูนากามูระมีความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่กัน ถ้าเธออยากจะเอาไปป่าวประกาศบอกทุกคนก็ได้นะ ต่อให้นักเรียนเอาไปลือกันครูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา มีแต่จะยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก ว่าไหมล่ะจ๊ะฮิบิ?”

    “โกหก! ครูนากามูระไม่ได้ชอบครู! ไม่ได้มีอะไรกับคนอย่างครูหรอก!”

    “ถ้าอยากรู้ว่าจริงไม่จริงก็ลองไปถามครูโฮมรูมของเธอดูสิ”

    “ไม่จริง...ครูโกหก...”

    ที่หล่อนก็ยังจะเอ่ยแทรกต่อไป โดยไม่สนใจฟังเสียงร้องคร่ำครวญของเด็กสาวให้ได้ระคายหูว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องแบบเด็กๆ นะฮิบิ ไม่ใช่ความชอบแบบเด็กๆ อย่างที่พวกเธอแอบปลื้มครูนากามูระกัน ความสัมพันธ์ของชายหญิงน่ะ เริ่มจากการสัมผัสกันอย่างลึกซึ้ง เธอยังไม่ได้อยู่ที่จุดเริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ”

    ไม่จริงสักหน่อย! ครูชิราอิชิไม่ได้รู้อะไรเรื่องของเธอกับครูนากามูระเลยสักนิด! เธอพ้นจากจุดเริ่มต้นมาแล้ว เธอก็แค่ไม่อยากเร่งร้อน เธออยากจะค่อยเป็นค่อยไป และฮิมิโกะก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนที่กระหายชัยชนะจนปาดหน้าคนอื่นๆ ไปด้วยวิธีที่ไร้รสนิยม เพราะไม่มีทางอยู่แล้วที่ครูนากามูระจะชอบผู้หญิงไร้ยางอายที่ออกตัวให้ท่าเขาพรรค์นี้ได้ลง

    เช่นนั้นแล้ว ถ้าหากว่าหล่อนไม่สามารถใช้เรือนร่างล่อหลอกเขาได้อีก หล่อนจะมีประโยชน์อะไรกับครูนากามูระได้อีก?

    สิ่งที่ฮิมิโกะนึกคิดปรากฏออกมาเป็นการกระทำจากความตั้งใจ ในตอนที่เธอใช้มือทั้งสองข้างผลักหน้าอกของครูชิราอิชิลงไป ด้วยไม่ทันตั้งตัว หล่อนจึงไม่ทันได้ยื่นมือไปตะเกียกตะกายไขว่คว้าสิ่งใดเพื่อเป็นหลักจับยึด ขั้นบันไดชั้นบนสุดนั้นสูงมากพอที่หล่อนจะร่วงลงไปด้านล่างสุดพร้อมกับเสียงกระดูกที่หัก แน่ใจเลยว่าต้องเป็นที่คอ ฮิมิโกะรีบวิ่งตามลงไปดูหล่อน หาใช่เพื่อให้ความช่วยเหลือ นอกจากเพื่อยืนยันว่าลมหายใจของหล่อนเลือนลับดับไปแล้วอย่างที่เธอต้องการจริงๆ ดวงตาที่เบิกโพลง ศีรษะที่พับพาบ กับท่วงท่าที่ผิดรูปผิดร่าง เหนือแอ่งเลือดสีแดงฉานที่หลั่งริน ทั้งหมดเหล่านี้ก็มากพอที่ฮิมิโกะจะแน่ใจ กระนั้นเธอก็ยังคงก้มตัวลงไป พยายามเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจหรือจังหวะการเต้นใดๆ เพื่อช่วยยืนยันอีกทอดหนึ่ง เธอไม่อาจแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้ แม้ว่ามันจะทำให้หัวใจเธอปวดแปลบขึ้นมาแค่เพียงประหวัดไปถึง แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ร่างกายอันเปื้อนแปดของหล่อนจะไม่มีวันได้ครอบครองครูนากามูระอีก ฮิมิโกะต้องพยายามกดกลั้นเสียงหัวเราะที่อยากจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ยามที่จดจ้องมองดูร่างไร้วิญญาณของหล่อน ภายใต้ริมฝีปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยว

    และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องเป็นฝ่ายแลก

    ด้วยเลือดเนื้อกับความทรมานที่สุดในชีวิต จากการทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้นแข็งเคียงข้างกับร่างไร้ลมหายใจของครูชิราอิชิ เมื่อเจตนาหาใช่ความตาย ฮิมิโกะจึงไม่ได้เลือกขั้นที่สูงมากเหมือนกับตอนที่ตั้งใจผลักหล่อนลงมาจากชั้นบนสุดเพราะกลัวจะเกิดความผิดพลาด ทว่าสุดท้ายเธอก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้อยู่ดี

    ความลังเลใจแล่นปราดขึ้นมาในชั่ววูบหนึ่ง ในเมื่อเสี้ยนหนามก็ถูกกำจัดออกจากชีวิตไปแล้ว เธอจำเป็นต้องแลกกับสิ่งสำคัญมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ? แต่เมื่อฮิมิโกะคิดว่าอยากจะล้มเลิกในวินาทีสุดท้าย มันก็สายเกินไปแล้วกับแรงโน้มถ่วงที่ฉุดดึงเธอลงไปอย่างไม่อาจขืนขัด ฮิมิโกะไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันจะหนักหนาและแสนสาหัสขนาดนี้ โชคดีที่เธอไม่จำเป็นต้องทนทรมานราวกับถูกนรกลงทัณฑ์ต่อความชั่วช้าที่กระทำลงไปอยู่กับความเจ็บปวดเนิ่นนานอย่างที่คาดไว้ เมื่อเด็กนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งจะบังเอิญเดินผ่านมาที่หลังอาคารในเวลานี้พอดี ไม่เพียงแค่นั้น คนที่เป็นจุดศูนย์กลางของบทสนทนาเจื้อยแจ้วที่ดังแว่วมาแต่ไกลก็คืออุมินจูที่พวกหล่อนแย่งกันร้องเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงสดใส

    ก่อนที่จะเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหวีดร้องดังลั่นเมื่อพวกหล่อนได้เห็นภาพเบื้องหน้า ฮิมิโกะมองเห็นครูนากามูระที่รีบวิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางที่ร้อนรนมากทันทีที่ได้เห็นว่าเป็นเธอ...ไม่ใช่ครูชิราอิชิ

    “ฮิบิ! เกิดอะไรขึ้น!

    “ครูคะ...ม...มีคนผลักหนู...กับครูชิราอิชิค่ะ” น้ำตาของเธอส่วนหนึ่งในคราวนี้มาจากความรวดร้าวเหมือนจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความหมายตรงตัวแท้จริง เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนแจ่มชัดถึงแม้ว่าครูนากามูระจะอยู่ตรงหน้า แต่มันก็ผสานไปกับความเปี่ยมสุขที่ได้เห็นว่าสายตาของเขาในเวลานี้มีเพียงแค่เธอ ขณะที่เด็กนักเรียนหญิงคนอื่นๆ จะพากันกรีดเสียงร้องละล่ำละลัก บอกว่าครูชิราอิชิตายแล้ว นางแม่มดที่ชั่วช้า...พยายามใช้ร่างกายสกปรกล่อลวงครูนากามูระของเธอก็สมควรดีแล้วนี่ ครูนากามูระรีบบอกให้พวกหล่อนโทร.เรียกรถพยาบาล ระหว่างนั้นเขาไม่ยอมผละจากเธอไปไหน เหมือนกับมือที่บีบแน่นแม้ว่ามันจะเหนอะไปด้วยเลือดที่มาจากบาดแผลอย่างอื่น เพราะฮิมิโกะเข้าใจถูกต้องแล้ว คนที่ตายไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรได้อีก คนที่ครูนากามูระแสดงความห่วงใยใส่ใจได้ก็มีแค่เธอ  แล้วฮิมิโกะก็รับรู้ได้ในทันทีถึงการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เพราะช่วงเวลานี้ที่ครูนากามูระกำลังสาดแสงมาให้ ด้วยถ้อยคำที่เขาพร่ำพูดกับเธอ...เพียงเธอคนเดียวว่า “ไม่เป็นไรนะฮิบิ ครูอยู่นี่แล้ว เธอจะไม่เป็นไร” มันก็คือความคุ้มค่า

     

    จนกลั่นออกมาเป็นความฝันอันมัวพร่าที่เริ่มต้นจากเสียงกระซิบเป็นชื่อของเธออยู่ริมใบหู ก่อนลากไล้มาจนถึงข้างแก้ม กรอบใบหน้าและริมฝีปากที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังลอยละล่องอยู่บนสวรรค์ เปลือกตาของฮิมิโกะหนักอึ้งจนลืมตื่นไม่ขึ้น แต่เสียงหอบหายใจของครูนากามูระก็มากพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเขาต้องการเธอมากแค่ไหน เขาจับข้อมือของเธอไว้ขณะที่จูบประทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นไปเร่งเร้าและรุกล้ำ กับความเจ็บในตอนที่เขากดทั้งริมฝีปากและเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบประสานไม่ต่างจากการบดขยี้ เหมือนกับความรู้สึกตอนที่เธอเคยจมดิ่งลงไปในผืนน้ำที่มืดสนิทจนแทบหายใจไม่ออก แต่นากามูระ ไคโตะสำหรับเธอคือท้องทะเลที่ส่องสว่าง ท้องทะเลเดียวที่ฮิมิโกะยินยอมให้ช่วงชิงลมหายใจไป  เธอพึมพำออกมาได้แค่ว่า

    “จากนี้ครูจะปกป้องหนูใช่ไหมคะ...”

    และเสียงตอบรับของเขาที่ว่า “ฉันจะปกป้องแค่เธอคนเดียว ฮิมิโกะ”

    ก็คือสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าบัดนี้ นากามูระ ไคโตะ ได้จิตวิญญาณทั้งหมดของเธอไปแล้วอย่างแท้จริง



    นากามูระ ไคโตะ เกลียดความน่าเบื่อหน่ายของโรงเรียนที่สุขสงบ  เกลียดความชืดชาของพวกเด็กนักเรียนที่อายุห่างจากเขาไม่มาก แต่กลับทำให้เขานึกรำคาญใจมาตลอดทั้งเสียงหัวเราะสดใส บทสนทนาเจื้อยแจ้วที่ต่างพยายามสรรหาหยิบยกมาพูดคุยกับเขาซึ่งสวมใส่หน้ากากของ อุมินจูผู้เริงร่า ทั้งที่ข้างในมีแต่ความรู้สึกสะอิดสะเอียนกับความจอมปลอมที่ก็หมายถึงตัวเขาเองด้วยออกมาจนแทบบ้า

    โรงเรียนทำให้เขานึกถึงฝูงปศุสัตว์ที่อัดแอกันอยู่ในคอกสมัยเขาไปใช้ชีวิตกับตายายช่วงวันหยุดหน้าร้อนตอนที่ยังเด็ก วันๆ เอาแต่ส่งเสียงร้อง เดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย กิน แล้วก็นอน ก่อนสุดท้ายจะถูกกินเป็นอาหารเสียเอง เหมือนกับที่พวกมันจะต้องเผชิญหลังจากเรียนจบออกไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกของผู้ใหญ่ที่แสนเฮงซวยใบนี้ ส่วนเขาก็มีหน้าที่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้มัน มองดูความน่าสมเพชเวทนาด้วยท่าทีที่เหนือกว่าราวกับพระเจ้าผู้มอบชีวิตและมอบความรู้ใส่หัวสมองกลวงๆ ให้พวกมัน เพราะพวกมันทำอะไรเองไม่ได้ พวกมันคือสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ คุณค่าของพวกมันจะเกิดขึ้นเมื่อตายไปแล้ว แต่เด็กพวกนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำแม้ในตอนที่ตายไปแล้ว สมุดสเกตช์ภาพของเขามีแต่ภาพวาดสีดำสนิทและรอยกรีดบนผิวไม้ของกระดานวาดรูปที่บาดลึกขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่เขาเข้าบรรจุเป็นบุคลากรที่นี่ เขาต้องพยายามกดกลั้นไม่ให้ลุกลามมาเป็นผิวเนื้อ...ไม่ว่าจะหมายถึงของใคร...ด้วยความตั้งใจทั้งหมด

    กระทั่งถึงตอนที่ครูประจำชั้นต้องไปเยี่ยมบ้านนักเรียนประจำปี ไม่ว่าบ้านหลังไหนๆ ก็มีแต่เสียงหัวเราะเบิกบานกับความรักใคร่อบอุ่น ถึงอาจจะไม่ใช่ครอบครัวที่มีกันพร้อมหน้าจนชวนให้สำรอก ในช่วงนั้น มีบ่อยครั้งที่มื้อค่ำของเขาได้ถูกขย้อนออกมาจริงๆ จนหลงเหลือเพียงรสขมปร่าของน้ำย่อย ไคโตะเฝ้าภาวนาให้กิจกรรมนี้เสร็จสิ้นลงไวๆ แม้จำนวนนักเรียนทั้งหมดยี่สิบสี่คนจะไม่เป็นใจนักก็ตามที

    จนเมื่อรายชื่อดำเนินมาถึงเด็กนักเรียนเลขที่ยี่สิบ คนที่ทำให้ไคโตะประหลาดใจได้มากที่สุดเมื่อมาหยุดอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ห้าชั้นที่ดูอย่างไรก็ราคาถูก ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โตสมฐานะของเธออย่างที่เขารู้มา คนที่ออกมาเปิดประตูต้อนรับเขาเข้าไปในห้องที่คับแคบเอง คนที่ชงชาและรินชาให้เขาเอง คนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับเขาแล้วเริ่มต้นพูดคุยกับเขาเอง โดยไม่มีผู้ปกครองที่เขาแน่ใจว่าเธอมีทั้งพ่อและแม่จากประวัติส่วนตัว เมื่อเขาถาม เธอก็เล่าให้ฟังโดยไม่คิดจะแก้ตัวหรือปิดบังว่าถูกไล่ออกมาอยู่คนเดียวเพราะพฤติกรรมก้าวร้าวของตัวเอง และตอนนี้เธอก็มีความสุขกับชีวิตที่ได้อยู่คนเดียวดี

    “หนูทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้”

    ตอนที่เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่จุดขึ้นบนมุมริมฝีปากสีชมพูที่เขาทันได้สังเกตมันเป็นครั้งแรก ไคโตะก็ได้มองเห็นความเย่อหยิ่งอยู่ในนั้น

    แล้วหัวใจของไคโตะก็กระตุกไหวเมื่อรู้ว่า...ไม่ใช่

    เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ แม่ของเขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงไม่ต้องมาตายด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนั้นโดยไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากลูกชายคนเดียวอย่างเขาเลยสักครั้ง หล่อนทะนงเกินไป โง่เขลาเกินไป พลันนั้นเองที่ใบหน้าฉาบเครื่องสำอางหนาเตอะของหล่อนที่ไม่มีอะไรเหมือนกับเด็กสาวคนตรงหน้านี้เลยนอกจากริมฝีปากที่แสดงความเสียดเย้ยต่อโลกใบนี้ก็ทับซ้อนขึ้นมา จนไคโตะต้องพยายามกดกลั้นปฏิกิริยาแบบเดียวกันไว้หลังแก้วเครื่องดื่ม แม้เขาจะไม่รับรู้รสชาติหรือกลิ่นหอมหวนของชาสีทองที่ชืดไปแล้วเลยก็ตาม

    ไคโตะคิดเพียงแต่ว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมแบบนั้นอีก ที่แม่ปรากฏตัวขึ้นก็เพื่อมอบโอกาสให้เขาไม่ทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอีก และคนๆ เดียวที่จะปกป้องเธอได้ก็คือเขา

    เพียงแต่เขาต้องทำลายความเชื่อมั่นของเธอเพื่อสร้างความเชื่อใจขึ้นมาเสียก่อน

    หากนับตั้งแต่วินาทีนั้น ฮิบิ ฮิมิโกะ — เด็กนักเรียนที่เขาจดจำได้แค่ว่าเป็นคนเดียวที่ตอบคำถามเรื่องทฤษฎีภาพวาดในคาบเรียนได้ถูกเสมอเมื่อถูกเรียกตอบหรือทำข้อสอบย่อย — ก็ได้กลายมามีตัวตนชัดเจนที่สุดในสายตาของไคโตะ

    เธอคือเทพธิดาที่เขาจะไม่ยอมให้แปดเปื้อนไปกับฝูงปศุสัตว์หน้าไหนทั้งนั้น

    โรงเรียนไม่น่าเบื่อหน่ายอีกต่อไป

     

     

    มันดูเหมือนเป็นเรื่องยากในทีแรก เมื่อไคโตะได้รู้จากเพื่อนนักเรียนที่เคยอยู่ห้องเก่าด้วยกันมาว่าเธอเคยถูกกลั่นแกล้งมาก่อน และสิ่งเดียวที่เธอทำก็คือการแสดงความเฉยเมย ไม่ร้องไห้ ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะฟ้องครูประจำชั้นเหมือนอย่างที่เด็กคนอื่นๆ น่าจะทำ แต่ถ้าหลักฐานมันทนโท่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องรอช่วงเวลานั้นที่อาจไม่มาถึง แค่แอบเข้ามาในโรงเรียนของคืนก่อนหน้านั้น เอาโต๊ะเก้าอี้ของเธอไปโยนทิ้ง รอจังหวะที่เธอเข้าห้องเรียน แล้วรีบตามเข้ามาเปิดประเด็นเสียเองก็จบ เขาแค่อยากจะเห็นปฏิกิริยาของเธอมากกว่าคิดหาวิธีการกลั่นแกล้งที่จริงจังหรือรุนแรงกว่านั้น และการได้เห็นเธอทำตัวเป็นปกติ หัวเราะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แม้ไคโตะจะคาดการณ์กับคำตอบของเธออยู่แล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอยู่ดี

    แต่ในตอนที่เขาก้มลงไปวางมือลงบนศีรษะของเธอ ด้วยระยะที่ชิดใกล้เสียจนทำให้เขามองเห็นประกายในตาวูบหนึ่งที่จ้องตอบมาโดยไม่เบือนหลบ กับริมฝีปากสีชมพูที่ไม่ได้วาดโค้งขึ้นเหมือนกันกับเขา แต่ขยับไหวนิดหนึ่งอย่างที่เขาแน่ใจ ไคโตะเองจึงได้เข้าใจ

    ว่าที่แท้เขาไม่ได้ต้องการแค่โอกาสครั้งที่สองเพื่อปกป้องเทพธิดา

    แต่เขาต้องการครอบครองเธอไว้แต่เพียงผู้เดียวต่างหาก

    ไคโตะต้องพยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้โน้มใบหน้าลงไปกระทำสิ่งใดอย่างที่ใจคิด แม้ว่าในตอนที่ชักมือกลับ มันจะสั่นเทาเล็กน้อยเกือบตลอดเส้นทางไปยังโรงเก็บของด้วยกันก็ตาม

    แตกต่างจากความคิดที่เขาไม่อาจต้านทานการกระทำมันจริงในวันถัดมา ด้วยการใช้กล้องปากกาที่เสียบอยู่บนอกเสื้อแอบถ่ายรูปอิริยาบถต่างๆ ของเธอไว้ตลอดทั้งวัน และใบหน้าเย่อหยิ่งอันแสนงดงามที่ไคโตะได้จดจ้องมองดูผ่านรูปถ่ายที่ติดอยู่บนกำแพงเหล่านั้นก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตของเขากลับคืนมามีสีสัน แม้กระทั่งในยามที่นอนหลับฝัน เขาก็ยังเฝ้าทะนุถนอมเธอด้วยความรักต่อเทพธิดาซึ่งเชื่อว่าบริสุทธิ์ นอกจากจุมพิตและอ้อมกอดที่อ่อนโยนแล้ว ไคโตะก็ไม่มีความปรารถนาอื่นใดต่อเทพธิดาอีก

    จนเมื่อได้เห็นเธอเดินลากขากะเผลกๆ เข้ามาในห้องพยาบาลพร้อมกับบาดแผลอาบเลือดจนย้อมสีขาวให้กลายเป็นสีแดงด้วยความไม่ระมัดระวังของตัวเอง กระนั้นเธอก็ยังคงรักษาสีหน้านิ่งสนิทเอาไว้ได้แม้ในตอนที่เขาก้มลงไปทำแผลให้ ทั้งที่มันไม่ได้เบามืออย่างที่เขาพูดติดตลกเอาไว้เลยสักนิด มันจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อเขาได้อยู่ใกล้เธออย่างที่ปรารารถนาอีกครั้งตั้งขนาดนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่ไคโตะจะไม่สังเกตเห็นความวูบไหวซึ่งเขาพยายามเฝ้ามองหามันจนจังหวะสั่นไหว เหมือนกับรอยร้าวบนกำแพงที่ค่อยๆ ปริแตกทีละน้อย และอีกไม่นานโครงสร้างอันแข็งแกร่งก็จะพังทลายลงไปเอง

    ฉับพลันนั้นเองที่จินตนาการของไคโตะจะบังเกิดความรุนแรงขึ้นมาเป็นครั้งแรก มันพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล กะเทาะทำลายความดีงามทั้งหมดทั้งปวงจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ไหว สิ่งที่เขากระทำในค่ำคืนนั้นคือการกระชากร่างบอบบางของเธอเข้ามาเพื่อบดขยี้ภายใต้เนื้อหนังที่ห่อหุ้ม คุกเข่าลงเพื่อแลบลิ้นเลียรสสนิมจากบาดแผลบนเข่าจนสีแดงฉานเปรอะไปทั่วอวัยวะส่วนต่างทั้งของเขาและเธออย่างไม่นึกรังเกียจ ตอนที่เธอส่งเสียงร้องออกมาไม่ว่าจะด้วยความเจ็บปวดหรือพึงใจอย่างที่เด็กสาวตัวจริงไม่ได้กระทำ ไคโตะก็ไม่อาจอดทนกักเก็บมันเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาเริ่มต้นรุกล้ำเข้าไปในร่างกายของเธอโดยไม่สนใจว่ามันจะพร้อมรับหรือไม่ เธอเจ็บปวดมากจนกัดริมฝีปากของเขาที่ก็เปรอะไปด้วยคราบเลือดอยู่แล้ว ทุกความรุนแรงที่เธอโต้ตอบกลับมาในทุกครั้งคราวที่เขาขยับเคลื่อนไหวอยู่เหนือร่างกายที่เปราะบางราวกับจะแหลกสลายนั้นยิ่งทำให้ความต้องการของเขาทะยานลึกเข้าไปอีก กับน้ำตาและสีหน้าอันอ่อนแอที่เธอจะแสดงออกมายามถูกเขาทำลายด้วยความรักทั้งหมดที่มี

    เมื่อลืมตาตื่น เนื้อตัวของเขาก็อาบไปด้วยเหงื่อทั้งที่เป็นหน้าหนาวจนต้องถอดเสื้อแขนยาวเหนอะหนะนั้นออก เหมือนกับที่เขาก็สัมผัสความเปียกชื้นอย่างมากมายที่ส่วนล่างได้แค่จากความฝัน

    แต่การได้เห็นเธอถูกกลั่นแกล้งจากฝีมือของใครคนอื่น ด้วยวิธีการตื้นๆ อย่างการสาดน้ำใส่ในวันที่อากาศหนาวจัดก็มากพอที่จะทำให้ข้างในอกของไคโตะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ จนแม้แต่การได้เห็นน้ำตาที่แสดงถึงความอ่อนแอของเธอเป็นครั้งแรกจากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่อาจทำให้ไคโตะรู้สึกพึงพอใจได้เลย

    เพราะคนคนเดียวบนโลกใบนี้ที่จะทำร้ายเธอได้ — เหมือนกับที่ปกป้องเธอได้ — ก็มีเพียงเขา

     

     

    การแอบติดกล้องเป็นความผิดทางกฎหมายนะคะ ครูนากามูระ”

    ไคโตะอยากจะก่นด่าตัวเองว่าไอ้โง่! งี่เง่า! บัดซบ! แกตายแน่! แกกำลังจะถึงจุดจบ! ดวงแกตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว! ถึงได้ไม่ทันระแวดระวังตัวในตอนที่พยายามเสาะแสวงหามุมที่ฮิบิมักจะเดินผ่านในโรงเรียน เพื่อติดกล้องและเครื่องดักฟังเอาไว้ในจุดที่จะไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งที่เป็นตอนย่ำค่ำของวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งมีแค่เขาเข้าเวรอยู่คนเดียวหลังจากครูฟูจิงายะกลับบ้านไปก่อนแล้ว แต่ก็ดันมีคนมาเห็นตอนที่เขาปีนขึ้นไปติดมันบนขอบหน้าต่างบานที่สามารถมองออกไปยังตำแหน่งของบันไดทางเชื่อมไปยังที่ทิ้งขยะนอกอาคารเรียนได้คาหนังคาเขา ลองหลักฐานมัดตัวขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางที่เขาจะดิ้นหลุดไปได้เลย

    ยิ่งเมื่อไคโตะจะจดจำน้ำเสียงของหล่อนที่ตั้งใจดัดให้แหลมสูงทุกครั้งคราที่สนทนากับเขาได้ ชิราอิชิเองก็ไม่ได้แตกต่างจากปศุสัตว์ในคอกเหล่านั้น แค่มองจากภายนอกก็รู้ว่าไร้คุณภาพเสียจนไม่มีโรงงานไหนอยากเอาไปชำแหละเพราะไม่มีทางที่ใครจะทนกระเดือกมันได้ลง เขาเกลียดการที่มันยังทำเป็นเชิดหน้าชูคออยู่ได้อย่างไม่รู้สา พยายามจะทัดเทียมกับเทพธิดาทั้งที่มันก็แค่ของเน่าเสีย ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขาต่อหน้าฮิบิด้วยถ้อยเสียงที่เสียดแก้วหู ซึ่งตอนนี้เคลือบแฝงไปด้วยความเสียดเย้ย ด้วยรู้ดีว่าตนเองกำลังถือไพ่ใบที่เหนือกว่า

    แหม...จะว่ายังไงดี ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอยากรู้ว่าครูทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร หรือว่าอยากจะปากโป้งหรอกนะคะ แต่ว่า...” ที่มันจะเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า โน้มใบหน้าและลำตัวเข้าใกล้เพื่อให้เนินอกอยู่ในระยะสายตาที่เขาจะก้มมองลงมา ทั้งยังแสร้งหัวเราะคิกคัก แสดงทีท่ายั่วเย้าอย่างมีจริต อีกนิด ความอดทนตลอดมาต่อนังปศุสัตว์ชั้นต่ำนี่ก็อาจจะขาดผึง

    ฉันสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับให้ ขอแค่มีข้อแลกเปลี่ยนกันเล็กๆ น้อยๆ นะคะ ครูนากามูระ”

     

    เซ็กซ์ไม่เคยใช่สิ่งสำคัญสำหรับไคโตะมาแต่ไหนแต่ไร ถ้ามีคนรักนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่มี เขาก็ไม่เคยไปไล่คว้าเอาใครก็ได้มาแก้ขัด แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายดายมากจากรูปร่างหน้าตาที่พรักพร้อม หรือแม้แต่ความคิดเรื่องการซื้อบริการจากผู้หญิงก็ไม่เคยผ่านเข้ามาในหัว บ่อยครั้งที่เขาฝันเปียกเพราะไม่ได้ช่วยตัวเอง ดังนั้นไคโตะจึงไม่เคยและไม่คิดว่าอยากมีอะไรกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รู้สึกชอบพอด้วย และไคโตะก็พอใจที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบนั้นไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนโง่ๆ ของนังอัปลักษณ์นี่! แค่คิดว่าต้องมีอะไรกับมันเขาก็อยากจะสำรอกออกมา แต่ไคโตะไม่มีทางเลือก เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญ บางครั้งเขาก็ต้องยอมลดตัวลงไปแปดเปื้อนกับสิ่งโสมมเสียเอง

    เทพธิดาของเขาไม่มีทางส่งเสียงร้องน่าเกลียดแบบนั้น ไม่มีทางทำตัวกร้านโลกเหมือนผู้หญิงหน้าไม่อายแบบนั้น แล้วยังกล้าดีมาฝากฝังรอยแผลบนท่อนแขนของเขาอีก ไคโตะไม่สามารถแม้แต่จะหลับหูหลับตาจินตนาการความอัปลักษณ์ของนังปศุสัตว์ให้เป็นเทพธิดาผู้เลอโฉมได้ ขณะที่เอากับมัน เขาก็คิดว่าอยากจะบีบคอมันให้ตายๆ คามือไปซะ แต่เขาจะยอมสูญเสียอนาคตที่จะได้ใช้ร่วมกับฮิบิไปกับคนอย่างชิราอิชิได้อย่างไร มันไม่ได้มีค่ามากพอขนาดนั้น หากไคโตะก็รู้อีกเหมือนกันว่าเขาจะปล่อยให้มันอยู่เป็นเสี้ยนหนามต่อไปไม่ได้ เพราะมันจะต้องหาโอกาสใช้เขาเพื่อทิ่มแทงทำร้ายหัวใจของฮิบิ เขาแค่ต้องหาทางวางแผนกำจัดมันด้วยความรอบคอบกว่านี้

    ไม่ใช่เพราะความหุนหันอย่างที่เธอทำ

     

    วินาทีแรกที่ไคโตะได้เห็นเทพธิดาสีขาวบริสุทธิ์นอนจมกองเลือดสีแดงฉานด้วยสภาพที่ปวดร้าว หัวใจของเขาก็คล้ายว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้ว่าชิราอิชิจะสาสมกับสิ่งนี้ดีแล้ว แต่ต้องไม่ใช่ฮิบิ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่มันบังอาจทำแบบนี้กับเธอ เขาสาบานเลยว่าจะทำให้มันต้องเผชิญกับนรกที่เลวร้ายยิ่งกว่า

    กระทั่งสายตาของเขามองไปเห็นด้ามมีดพกยื่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทของเธอ จึงรีบล้วงหยิบมันออกมาก่อนที่ใครจะทันสังเกตเข้า มีรอยเลือดสดใหม่อยู่บนนั้น เช่นเดียวกับที่บนฝ่ามือข้างเดียวกัน แม้ของเหลวเหนียวเหนอะจะเปื้อนเปรอะจนทั่ว แต่ไคโตะก็แน่ใจว่าได้เห็นรอยกรีด

    เขาไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้ที่เกี่ยวโยงไปถึงชิราอิชิ หากไคโตะก็นึกดีใจที่เขาไม่ได้ถอดกล้องซึ่งมองเห็นมุมตรงบันไดนี้แล้วยอมตามหล่อนไปเมื่อวาน หลังจากรู้ว่าฮิบิปลอดภัยและจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้ ดึกคืนนั้น เขาจึงแอบกลับเข้ามาในโรงเรียนเพื่อเอากล้องที่ซ่อนไว้ และภาพที่ได้เห็นก็จะทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

    บทเรียนเรื่องภาพเขียนของศิลปินในยุคเรเนซองส์ก่อนหน้านี้ของพวกเขาเกี่ยวข้องกับผลงานของไมเคิลแองเจโลในชื่อ การพิพากษาครั้งสุดท้าย“ในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย คนตายทั้งหมดจะได้ฟื้นคืนชีพ พวกเขาจะถูกตัดสินว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ในภาพนี้ของไมเคิลแองเจโลกลับวาดสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องสับสนขึ้นมา ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า เส้นทางไปสวรรค์และนรกนั้นมีการสับเปลี่ยน หรือก็คือสิ่งที่เป็นความดีและความชั่วนั้นมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ในตอนนั้น เธอที่ก้มหน้าลงเพื่อจดบันทึกสิ่งที่ได้ยินสลับกับการเงยดูโปรเจกเตอร์ก็ช่างงดงาม เพราะเธอคือเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่จะไม่มีวันร่วงหล่น แม้นรกจะเปิดรอท่าเขาอยู่แล้วก็ตาม

    แต่ไคโตะคิดผิด

    เธอยอมเสียเลือดเนื้อของตัวเองเพื่อเขา เรื่องนั้นยังคงทำให้เขาเจ็บปวดจนอยากจะแลกความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เอง แต่การได้เห็นว่าเธอมาไกลถึงขนาดนี้เพื่อเขา ก็ทำให้เขามีความสุขจนแทบทานทนไม่ไหว เนื้อตัวของเขาสั่นเทาขึ้นมาอย่างแรงจนต้องลงไปนั่งคู้ตัวกับเสียงหัวเราะที่พยายามกดกลั้นมันไว้

    ไม่ว่าขุมนรกของเขาและเธอจะลึกสุดหยั่งเพียงไร แต่นับจากนี้ไปไคโตะจะคอยปกป้องเธอ...รวมถึงจากตัวเธอเอง

     











    2021年12月18日
    _______________
    ★ ขอบคุณมึงก่อนเลยที่แนะนำคุณ moonkarp มาให้กูคนับ เลยได้ภาพคอมมิชที่โอ้โห เกิ๊น! ตอนแรกบรีฟจะเป็นแนวดาร์กแบบญี่ปุ่น ฉากในห้องรกๆ แต่งตัวแบบกอธิคๆ ทีนี้หาไปหามาก็คิดว่าหรือลองเปลี่ยนไปบรีฟอะไรที่หักมุมไปเลยดี เพราะในละครก็มีตอนที่ครูเปรียบว่านางเอกเป็นเจ้าหญิงตามภาพวาดอะไรสักอย่าง (นางเอกก็เปรียบครูเป็นนโปเลียน) ชื่อเรื่องก็มาจากผลงานศิลปะของจิตรกรยุคบาโร้ก ที่พอนึกถึงยุคบาโร้กกูก็แอ่อี๊แอ่ แฟนตาซีอะไรกันไป ชุดต้นแบบมาจากมินนี่ในไอเบิร์น แต่กูบอกเค้าให้ดัดแปลงชุดได้ตามใจ ละขอให้ออกแบบมงกุฎ เครื่องประดับให้หมดเลย เพราะเห็นเค้าวาดแล้วออกแบบของตัวเองสวยมาก ฉากในห้อง แจกันดอกไม้ ปกหนังสืออะไรเค้าก็ออกแบบให้หมดเลย  เกิ๊น! ดูความใส่สารพัดของกุ๊กกิ๊กเป็นหัวใจกับไม้กางเขนนี่สิ น่ารักเนาะ โทนสีน้อยแต่มาก ส๊วยสวย O_< / ปล. กูรอภาพคุรมูนหนึ่งเดือนที่ว่านานแล้ว แต่ฟิคกูก็ยังนานกว่า! ทั้งที่เป็นเรื่องที่แต่งเรื่อยๆ ตอนก่อนนอนมาตลอดทั้งเดือน แต่ช่วงที่ผ่านมาก็งานยุ่งจริง เลยได้วันละนิดละหน่อย ไหนจะต้องเกลาอีก orz แต่เฉพาะพาร์ทของฮิมิโกะก็ 5k แล้วนะ เฮ้ย! กูก็แต่งฟิคเกิน 500 คำได้นี่!
    ★ และนี่ก็คือละครที่กูแนะนำให้มึงดูเพราะกูเห็นภาพในไอจีของยามาดะ ยูกิแล้วพี่เค้าแก้ผ้าไงวะ! แต่พอมึงได้ดูแล้วกลับมาด่ากูยาวมากว่าให้ดูเรื่องเหี้ยอะไร จากนั้นด้วยหน้าที่การงานก็ชักพาให้กูได้มาดูละครเรื่องเหี้ยนี่เองแล้วก็ได้พบว่า...อีเหี้ย กูชอบมาก! (ไม่จำเป็นต้องชอบอะไรตามมึงให้ดูฉลาดมีรสนิยมป่าววะ ต่อให้มึงจะด่าแต่กูชอบแล้วไง จะอายทำไม) ถามว่าชอบเพราะอะไรก็เพราะความเหี้ยของมันนี่แหละ 55555 กูที่ชอบพล็อตเหี้ยๆ แนวโรคจิตสตอล์กเกอร์ไม่ได้มาเล่นๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าอยากเอามาแต่งอะไรเพราะมันก็เหี้ยในแบบอิหยังวะจริง จนกระทั่งดูตอนที่สองที่เฉลยว่านางเอกแกล้งตัวเองเพราะอยากให้ครูสนใจกูก็แบบ กรี๊ดดดด! พล็อตนี้มันเกิดมาเพื่อกูแล้วไหมวะ! แต่ของกูก็ไม่อุบาทว์ขนาดในเรื่องที่แอบเข้าห้องแล้วแก้ผ้า อันนั้นก็เกิ๊น (ในละครเบากว่าในมังงะที่กูอ่านมาก อันนั้นเข้าห้องไปทำเลย ทำอะไร ทำเค้กมั้ง) และแน่นอนว่าฟิคกูย่อมไม่โรคจิตขนาดนั้น กูก็มีขอบเขตของตัวเองไหมล่ะ ขอเบาๆ ซอฟต์ๆ แค่หมกมุ่น ชอบจนจะตายได้เลยก็พอ (โดนมึงตัดหน้าแต่งฟิคยันเดเระซิมูเลเตอร์ก่อนเฉย งง) ไม่น่าถามว่าทำไมต้องเป็นครูนากามูระ เพราะกูรักของกู ขอโทษได้ไหมล่ะที่ฟิคทุกเรื่องกูวางให้อุมิจริง เลือกจากพระเอกก่อนแล้วค่อยแต่งโว้ย! จะบำบัดไปทำไม ในเมื่อมีคนอยากรอแย่งกูก็ประกาศศักดาไปเลยสิว่าทุกเรื่องที่กูแต่งเค้าเป็นของกู! อยากได้นักก็แอบไปแต่งเรื่องอุบาทว์ๆ อ่านเองไป้! (แต่ไม่ต้องเอามาลงนะ เพราะถ้าเห็นแต่งเรื่องห่วยๆ ภาษากากๆ ให้เค้าผ่านตากูก็ด่าอยู่ดี :p) ไม่ก็มาอ่านพล็อตเหี้ยๆ บาปๆ ที่พวกเราแต่งให้เค้าแล้วอกแตกตายไปเลยดีกว่า :3 และเพราะว่าอยากแต่งพล็อตที่นางเอกกูจะทำทุกอย่างเพื่ออุมิแบบจริงจังสักที ที่ก็ให้บังเอิญว่าชื่อเล่นของอุมิก็ฟังแล้วน่าหมั่นไส้เหมือนในเรื่องที่เรียกไอดะว่าเลิฟรินที่กูเกลียดมาก ชีวิตจริงก็แทบไม่เคยเรียกอุมินจูเหมือนกัน ขออยู่ฝั่งอิการิแล้วกันนะ 55555
    ★ ตอนแต่งไม่ได้คิดอะไร แค่อยากให้นางเอกมาจากโอกิฯ ทีนี้พอแต่งๆ ไปไอ้ที่เปรียบเทียบกับทะเลก็ออกมาเอง ไม่ได้ตั้งใจให้พ้องกับชื่อของไคโตะ เอาจริงคือลืมด้วยซ้ำเพราะเรื่องนี้นึกถึงแต่คำว่านากามูระ 55555 / ที่จริงพิมพ์ไปแล้วไม่ชอบคำว่าฮิบิ ละครูก็ดันเรียกทั้งเรื่องด้วยนะเวร orz แต่ชอบตัวคันจิมันที่เขียนรวมกับฮิมิโกะ (คาตะ) แล้วง่ายดีเหมือนชื่อของอุมิ เลยไม่เปลี่ยนละนะ แค่นั้นแหละ TvT แต่ฟัง เดิมทีนางเอกไม่ได้ชื่อฮิมิโกะ ทีนี้ตอนกูไปเสิร์ชหาแม่มดของญี่ปุ่น (หาแต่งเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องนี้) ก็ดันไปเจอว่าฮิมิโกะคือชื่อราชินีในตำนานที่ลือกันว่าเป็นแม่มด! ซึ่งกูรู้จักชื่อนี้จากเรื่อง Btooom! (เริ่มอ่านเรื่องนี้เพราะฮนโงพากย์เป็นพระเอกในเมะ) และเพื่อนเก่าที่เป็นคุประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก็เคยเล่าให้ฟังว่านามสกุลของตัวละครในเรื่องมาจากบุคคลในประวัติศาสตร์ เช่นซากาโมโตะ, ดาเตะ, โอดะ ฯลฯ แต่มันไม่รู้ว่าชื่อฮิมิโกะมาจากไหน! ที่กูก็เพิ่งรู้วันนี้! (เพราะไม่เคยเสิร์ชหา) ละไหนๆ ฮิมิโกะก็เปรียบเปรยไคโตะด้วยชื่อแล้ว กูเลยอยากให้อุมิเปรียบเปรยฮิมิโกะด้วยชื่อบ้าง ฉะนั้นฮิมิโกะจึงได้เป็นเทพธิดา (ตอนแรกจะเป็นเจ้าหญิง แต่เทพธิดามันดูสื่อถึงภาพวาดมากกว่า) ของไคโตะนั่นเอง จบ แยก / ฉากในโรงเรียนหลายฉากมีความเว่อร์ แต่อ่านแบบไม่ต้องเอาความสมเหตุสมผล เพราะในละครมันก็เว่อร์ ครูยื่นชาให้นักเรียนคนเดียวงี้ ครูก้มลงไปใส่รองเท้าให้นักเรียนงี้ ครูตะโกนเรียกชื่อนางเอกฝ่ากลุ่มนักเรียนแล้วยืนคุยกันแค่สองคนงี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไม่สงสัย ต่อให้ไม่ใช่สายเสือกอย่างมึงยังดูออกเลยไหม ฉากที่ก็อปละครมาคือตอนสาดน้ำใส่ตัวเอง บทพูดครูชิราอิชิตอนเย้ยฮิบิ ตอนเข้าเลิฟโฮ (แต่เหตุผลไม่เหมือนในละคร) ตอนที่ครูไปเยี่ยมบ้าน แล้วก็มีปมเรื่องแม่เหมือนกัน (แต่คนละปม) ในเรื่องเลิฟรินจะเปรียบคนอื่นเป็นของแปรรูปส่วนซากุไรคือของแท้ แต่เผอิญกูทำงานสารคดีเจอปศุสัตว์พอดีแล้วคำมันก็ไหลมาเทมา ตอนพูดถึงรูปการพิพากษาครั้งสุดท้ายก็ก็อปมาหมดเลย ไม่มีดัดแปลงด้วยนะ / นิโนมิยะที่เอาเรื่องชาวบ้านมาเล่ามายุแยงตะแคงรั่วก็คือมึง ฮายาซากะ ทาจิบานะและครูชิราอิชิที่วอนท์อุมินจูก็คือกูคนเดียวนี่แหละแต่แยกร่าง ไม่ต้องเสือก
    ★ เพราะให้ครูนากามูระเป็นครูศิลปะเหมือนในละครเลยหาชื่อเรื่องมาจากชื่อภาพวาด ในเรื่องพูดถึงปีเตอร์ พอล รูเบนส์ กูเลยลองไปหาผลงานดู แม้ว่าภาพจะเป็นแนวศาสนาแต่เรื่องนี้ไม่มีการตีความทางศาสนาหรือรูปวาดอะไรทั้งนั้น ถ้ากูจะแต่งก็ได้แค่ศาสนาเบค่อนเท่านั้นแหละหนุ่ม (กูเพิ่งเห็นว่าชื่อเรื่องเหมือนฟิคฝรั่งของมึง เลี่ยมนัก) ที่ต้องเมาท์ด้วยว่าตอนดูละครแล้วเพลงเปิดขึ้นคือกูช็อก โลกต้องรู้ว่าชีส์คืออีกหนึ่งวงอินดี้ร็อคในใจกู (ขออวดว่าตอนไปญี่ปุ่นสี่ห้าปีก่อนกูซื้อซิง Tonight / Stars กลับมาด้วย ชอบจริง ชอบมาก ชอบนานแล้ว ไม่ได้โกหก T-T) เพลงอันฟอร์กิฟนี้กูก็เคยฟัง แต่ตอนนั้นไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ไม่ได้สนใจด้วยว่าเป็นเพลงประกอบละคร ว้าวซ่า
    ★ อนึ่ง อุมิเป็นคนเริ่มแกล้งฮิมิโกะเพื่อให้มาพึ่งพาตัวเองก่อนก็จริง แต่ฮิมิโกะไม่ใช่คนปกติอยู่แล้ว ใครมันจะทำร้ายตัวเอง ฆ่าคนอื่นเพื่อคนที่รักได้ถ้าไม่ได้บ้ามาตั้งแต่แรกวะ ยังไงฮิมิโกะก็โรคจิตกว่าครู ถ้าสุดท้ายอุมิไปมีคนอื่นฮิมิโกะก็จะเปลี่ยนเป็นยันเดเระซิมูเลเตอร์แน่นอน กูไม่ได้ใครก็ไม่ได้! ตายไปด้วยกันนี่แหละ! (เอาจริงกูต้องมีพล็อตสาวยันแบบจริงจังสักเรื่องได้แล้ว เรื่องนี้ยังถือว่าซอฟต์อยู่ เพราะกูมั่นใจว่าสามารถถ่ายทอดความหวงอุมิออกมาได้มากขนาดนั้น แต่ใจกูชอบหนุ่มยันมากกว่าว่ะ เห้อ แฟนตาซีของกู) และกูรู้ว่าสามารถแต่งให้แรงกว่านี้ได้ แต่เพราะอยากแต่งฟีลละครฉายตอนเที่ยงคืน ฟังเพลงชีส์ก็คิดว่าโทนเรื่องมันควรออกมาอย่างนี้ มันเลยออกมาเบาแบบนี้ ถึงอย่างนั้นกูก็พอใจมาก ตอนแต่งฉากความคิดที่หมกมุ่นของแต่ละคนก็สนุกมาก โดยเฉพาะซีนของอุมิคือสนุกที่สุดแล้วขนาดแต่งแค่ท่อนแรกอย่างเดียวยังชอบมาก มันต้องอย่างนี้สิวะ! / อนึ่ง อุมินในความคิดของฮิมิโกะคือเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ในพาร์ทของตัวเองคืออยากจะแต่งว่าเป็นคนโรคจิตที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย (แต่ก็แน่นอนว่าเป็นบทที่เราชอบนะ) ในความคิดคือมีแต่ไล่ด่าคนนั้นคนนี้ ทำเหมือนตัวเองเหนือกว่ามากมั้ง ทำได้แค่แอบถ่ายรูป แอบซ่อนกล้อง แถมยังโง่จนมีคนมาเห็น แล้วถ้าฮิมิโกะไม่ฆ่าชิราอิชิเองอุมินจะกล้าลงมือจริงเหรอ บ้าบอ ส่วนชิราอิชิที่จริงหน้าตาไม่ได้แย่นะ แค่อุมิไม่ชอบเลยด่า (จริงๆ ก็คือด่าหมดทุกคนนอกจากฮิบิ) หรือพวกนิโนมิยะที่ด่าว่าไม่สวยก็สันดานเราอ่ะ ใครแย่งคนที่ชอบก็ด่าลามหมด มั่นหน้ามั่นโหนกกันไป
    ★ ปล. อุมิแมกนี้ดีงามมาก ที่แน่นอนว่ากูเก๊าะต้องซื้อเก็บไว้บูชาแร้วสิจ๊ะ >_< (อันอันจ้าพี่) และมาร่วมแสดงความยินดีที่ในที่สุดอุมิก็จะได้ลงไฟน์บอยส์และเล่นละครเรื่องใหม่ในบท...พนักงานบริษัทต๊อกต๋อยอีกแล้วหรือว่ายังไงนะ ไม่รู้ รอประกาศแคสต์อีกที แต่กูว่าใช่ว่ะ ว่าแต่กูยังไม่เคยแต่งบทอุมิพนักงานบริษัทใช่ไหมวะ โนวินเทอร์เอนด์มึงมาก่อน 55555
    ★ รีบเกลาเอาพาร์ทอุมินจูมาลงในวันที่ 19 มกรา เนื่องจากโฮมรูมลงโมโนแม็กซ์แล้วค่า!
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×