คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #67 : CITY/POP/WAVE: Twinkling Crystal Night
ฟุคาซาวะ ทัตสึยะเพิ่งจะเห็นร่างแบบบางของเธอผู้นั้นเดินผ่านบานประตูเข้ามา เหลียวซ้ายแลขวาอย่างฉงนฉงาย ภายในห้องอพาร์ตเมนต์ชั้นสิบสามของโตเกียว เบย์ ทาวเวอร์ ที่ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมารวมตัวกัน ในสถานที่ที่ถูกจัดขึ้นอย่างครึกครื้นเนื่องจากเป็นงานวันเกิดครบรอบยี่สิบแปดปีของเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเจ้าของห้องพักสุดหรูแห่งนี้ ซึ่งได้เชิญเพื่อนร่วมงานในบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ที่เขาดำรงตำแหน่งกราฟฟิกดีไซเนอร์มาเกือบสองปีแล้วให้มาร่วมฉลองกัน แน่นอนว่าหลายคนแห่มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันมืดดีเสียด้วยซ้ำอย่างพร้อมพรัก เมื่อขึ้นชื่อว่าโตเกียว เบย์ ทาวเวอร์ที่คล้ายจะเกินเอื้อมแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขณะที่หญิงสาวทาคาดะ มิทสึกิ จากแผนกคอลัมนิสต์ และยึดงานสัมภาษณ์คนดังเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกำลังยืนหน้ามึนอยู่หน้าประตูตรงนั้น กลับเพิ่งจะเหยียบย่างมาถึงหลังจากเขาเปิดห้องต้อนรับได้เกือบสี่ชั่วโมง เป็นเวลาที่นานพอดูจนแขกบางคนขอตัวกลับไปก่อนหน้านั้นแล้วเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากหัวหน้าสั่งยกเลิกโอทีในวันนี้เพื่อมาร่วมฉลองให้แก่ลูกน้องคนสนิทเป็นพิเศษ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมาถึงดึกขนาดนี้ด้วยเรื่องงาน และเรื่องนั้นก็ทำให้ทัตสึยะรู้สึกตงิดใจอยู่ไม่น้อย เขาจึงขอตัวผละจากบทสนทนาเรื่องการท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งเริ่มจะน่าเบื่อ ตรงดิ่งไปหาเธอที่คล้ายกับกำลังจดจ้องมองหาเพื่อนสนิทจำนวนน้อยในแผนก ที่ไม่ว่าจะชะเง้อชะแง้เท่าไหร่ก็ไม่ยักกะเห็นเอาเสียเลย
“คุณทาคาดะ มาดึกนะครับ”
“ค...คุณฟุคาซาวะ! สวัสดีค่ะ!” เธอสะดุ้งโหยงไปกับการถูกทักแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนต้องรีบหันขวับกลับมาค้อมหัวทักทายปะหลกๆ ดูตื่นตูมเสียจนทัตสึยะอดที่จะขำไม่ได้
“เอ่อ สุขสันต์วันเกิดด้วยนะคะคุณฟุคาซาวะ นี่ค่ะของขวัญ”
พร้อมกับอาการลนลานในตอนที่ยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กที่ห่อไว้อย่างสวยงาม และการ์ดอวยพรที่ถือไว้ในมืออยู่แล้วส่งให้ เดาได้ว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับ ซึ่งเขาได้รับมันเป็นของขวัญมากพอควรทีเดียวในค่ำคืนนี้ โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือที่ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะสรรหาแบรนด์ราคาย่อมเบาไปจนถึงสูงลิบลิ่วต่างๆ นานามาให้ เพียงแค่เพราะเขาบอกว่าพ่อชอบสะสมนาฬิกาเท่านั้น ทัตสึยะไม่เข้าใจว่าเรื่องของพ่อมาผูกเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร แม้เขาจะมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าหญิงสาวคนตรงหน้าจะไม่บ้าจี้ตามไปด้วยอีกคน เช่นนั้นแล้วจึงกล่าวขอบคุณก่อนยื่นมือไปรับมัน หากในตอนที่ปลายนิ้วแตะโดนกันเพียงเสี้ยวนั้นเอง เธอก็คล้ายกับจะกระโดดตัวลอย รีบชักกลับไปแล้วเฉไฉทำทีเป็นยกมือข้างนั้นขึ้นทัดเรือนผมสีดำยาวที่ดัดเป็นลอนสลวยเกี่ยวเข้าข้างใบหูอย่างเก้อๆ แทน ปฏิกิริยาของเธอดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยแม้สักอย่างเดียว อันที่จริงเขาคิดว่าเห็นสีหน้าเธอแดงขึ้นจากบรัชออนสีชมพูที่ปัดมาหนึ่งระดับเสียด้วยซ้ำ
“ขอบคุณมากนะครับ ขอแกะเลยได้หรือเปล่า?”
“ม...ไม่ได้นะคะ อย่าเพิ่งแกะ! ห้ามแกะเด็ดขาด!”
เห็นท่าทางเบรกจนตัวโก่ง ยกมือขึ้นปัดป่ายซ้ำยังร้องห้ามเป็นพัลวัน เป็นอีกครั้งที่เขาต้องหลุดหัวเราะเสียงดัง พยักหน้าและตกปากรับคำกับเธอที่งุบงิบพูดว่า “ฉันอายน่ะค่ะ” ด้วยความจำยอม หากทัตสึยะคิดว่าถึงต่อให้มันจะเป็นของไม่มีราคาค่างวดอะไรก็ไม่คิดว่าเธอควรจะต้องอาย ขึ้นชื่อว่าของขวัญแล้วเขามองเห็นค่าความตั้งใจของผู้ให้ซึ่งย่อมต้องนึกถึงใบหน้าของผู้รับเสมอ ยอมรับเลยว่าเขาอยากรู้จะแย่แล้วว่าของขวัญที่เจ้าตัวนึกอับอายนี้คืออะไร รวมถึงในใจก็นึกอยากกลั่นแกล้งเธอขึ้นมาอีกหน่อย แต่สีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงออกก็ดันชวนให้นึกสงสารเสียจนทำอะไรไม่ลง
“ถ้าอย่างนั้น ดื่มอะไรหน่อยไหมครับ?”
“อ้อ ดีค่ะ งั้นฉันขอตัวเลยแล้วกันนะคะ คุณฟุคาซาวะเองก็กลับไปคุยกับเพื่อนๆ เถอะค่ะ ขอตัวนะคะ” พอพูดจบประโยคจนไม่มีช่องว่างให้เขาแล้วก็จะรีบมุดตัวแทรกผ่านผู้คนลับไปด้วยความรวดเร็วไม่แพ้กัน ทั้งที่เจตนาของเขาคือ ‘ชักชวน’ หากก็ดันถูกเข้าใจผิดไปอีกทาง ทัตสึยะได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทางพิลึกพิลั่นนั้นด้วยรอยยิ้มขัน
กระนั้นมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดสักเท่าไหร่ นับตั้งแต่ได้ทำความรู้จักกับหญิงสาวเป็นครั้งแรก เนื่องจากเธออยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึกเพราะอยากเคลียร์งานถอดเทปบทสัมภาษณ์ของวันนั้นๆ ให้เรียบร้อยจะได้ไม่มีอะไรให้ต้องค้างคา อันเป็นปกติวิสัยของทาคาดะ มิทสึกิ ประจำแผนกคอลัมนิสต์ที่ทุกคนรู้กันดี ส่วนเขาเองก็ใช้เวลาแก้งานนิดหน่อยหากก็ยังล่วงเลยมาถึงตอนค่ำนิดๆ ครั้นเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นออกไปก็ดันรู้สึกง่วงแล้วเผลองีบหลับไป มารู้สึกตัวอีกที สีส้มเรืองรองภายนอกบานกระจกใสก็กลายเป็นสีดำสนิทเหมือนมีหยดหมึกมาทาบทับเสียแล้ว เวลาสี่ทุ่มของคืนวันพฤหัสบดีหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ภายในกล่องสี่เหลี่ยมที่เหมือนกับจะทำหน้าที่อย่างเชื่องช้ากว่าทุกที คือช่วงเวลาที่ทัตสึยะ ฟุคาซาวะได้พบกับทาคาดะ มิทสึกิครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าเขาพยายามจะเปิดบทสนทนาเพียงไรก็ไม่เป็นผลเลยสักอย่าง เธอคล้ายจะเกิดอาการประหม่า แสดงท่าทางอึกๆ อักๆ อย่างไรก็บอกไม่ถูก แถมยังเอาแต่กัดริมฝีปากตัวเองในตอนที่แหงนคอจดจ้องมองตัวเลขลิฟต์แทบไม่ละจาก สุดท้ายชายหนุ่มจึงต้องยกธงขาวยอมแพ้ ความคิดที่จะชวนไปหาอะไรดื่มเป็นเพื่อนพลันสลายหายวับไปอย่างสิ้นเชิง วินาทีที่ออกจากลิฟต์มาได้ปุ๊บ เธอก็จะรีบละล่ำละลักเอ่ยทั้งคำขอบคุณ คำขอโทษ คำบอกลา ในตอนที่ค้อมศีรษะลงซ้ำไปซ้ำมาจนวุ่นไปหมด เขารู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก ได้แต่ยกมือขึ้นโบกลาอย่างงงๆ ถึงเธอจะลากรองเท้าส้นสูงเผ่นหนีไปไวๆ ราวกับเขาเป็นคนร้ายแล้วก็ตาม ภายหลังจึงหัวเราะพลางลูบท้ายทอยด้วยมือข้างเดิมนั้นกับตัวเองเป็นการแก้เก้อ แต่ไม่รู้ทำไม กลายเป็นว่าตลอดทั้งคืนเขาถึงกลับหยุดคิดเรื่องของหญิงสาวต่างแผนกรายนี้ไม่ได้เลย
หลังจากนั้น เขาลองเกริ่นถามเรื่องของเธอจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ดู และช่างผิดคาดเมื่อมิทสึกิที่ทุกคนในบริษัทรู้จักนั้นคือหญิงสาวอัธยาศัยดี บ่อยครั้งที่จะเปิดบทสนทนาขึ้นเสียเองเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศเดดแอร์ แถมยังช่างสังเกตสังกาและหยิบจับหัวข้อที่อีกฝ่ายหนึ่งสนใจมาร้อยเรียงพูดคุยได้เสมอ เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในการสัมภาษณ์คนดังที่ใครๆ ต่างก็ไว้วางใจ เขาเลยตัดสินใจลองเข้าหากลุ่มเพื่อนที่มักไปสังสรรค์ด้วยกันกับเธอ แต่ผลลัพธ์ไม่เคยเปลี่ยน เธอจะเลือกที่นั่งห่างจากเขา ถามคำก็ตอบคำสองคำ หรือไม่ก็เงียบกริบ นั่งก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าหรือกินกับแกล้มอยู่ท่าเดียว ทำบรรยากาศกร่อยไปอีก ซ้ำร้ายกว่านั้น พักหลังๆ เธอยังคอยหลบหน้าอ้างธุระไปเรื่อย พอเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ต่างลือกันให้แซ่ดว่าเธอต้องมีคนรักแน่ๆ แถมเจ้าตัวเองก็ไม่เคยปฏิเสธข่าวลือนั้นเสียด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เขาบังเอิญเจอเธอตามทางเดินหรือตะโกนทักทายบ้างแม้แค่คำสั้นๆ อย่าง “สวัสดีครับ” หญิงสาวในข่าวลือก็จะแสดงท่าทีแปร่งแปลกออกไปให้เขาได้ตระหนัก ทว่ากลับไม่เคยมีใครสังเกตความสัมพันธ์ที่กระอักกระอ่วนของพวกเขาเลย อาจเพราะปกติก็ต่างทำงานกันคนละแผนกอยู่แล้ว และชายหนุ่มผู้เป็นที่รักก็มักจะมีผู้คนมารายล้อมอยู่เสมอ จึงไม่มีใครอีกเช่นกันที่จะสังเกตสายตาที่จับจ้องมองเมื่อคอลัมนิสต์สาวแวะเวียนผ่านเข้ามา
แต่ทัตสึยะมั่นใจว่าเธอรู้...และรู้ดีเสียด้วย เพราะเธอมักจะมีท่าทีคล้ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเวลาแว่บผ่านเข้ามาในระยะ บ่อยครั้งด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายแอบเหลือบมองแล้วสะดุ้งหันขวับกลับไปเอง โดยพยายามทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มกว้างๆ ที่เขาเตรียมรออยู่ก่อนแล้วนั้นเลย
เธอปกปิดความรู้สึกตัวเองกับคนภายนอกได้สนิทดี แต่ไม่ใช่กับเจ้าตัวเลยสักนิดเดียว
โชคดีที่มิทสึกิเจอแผ่นหลังของเป้าหมายนับแต่แรกเริ่มอยู่ในห้องครัวพร้อมกับมันฝรั่งทอดและเบียร์ หากเป็นโชคร้ายที่เขากำลังยืนคุยกับหญิงสาวตัวเล็กอยู่อย่างชื่นบาน เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วจึงต้องยอมถอดใจ ด้วยรู้ดีว่าหญิงสาวตัวเล็กคนนั้นที่มีชื่อว่าสึซึกิ มิโกะจากแผนกประชาสัมพันธ์ กำลังเล็งหนุ่มตากล้องเพื่อนซี้ของเธออย่างเมกุโระ เร็นอยู่อย่างออกนอกหน้า ทันทีที่เขาเข้าไปช่วยหล่อนจากการบุกรังควานถึงบริษัทของคนรักเก่าอย่างเท่สุดๆ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ภายนอกหล่อนอาจจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่ไม่ใช่กับภายในที่มิทสึกิได้เจอทีเด็ดมาแล้วอย่างแน่นอน ก็จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ยัยเด็กสึซึกิที่เป็นตัวตั้งตัวตีสร้างข่าวไม่จริงของเธอแล้วปล่อยเมาท์กันให้แซ่ดไปทั่วทั้งบริษัท แน่นอนว่าเพื่อนซี้ของเธอก็รู้ แต่เพราะนิสัยยังไงก็ได้เลยไม่ถือสาอะไร
มิทสึกิกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องแพ้ภัยตัวเอง
ขณะที่กำลังจะเลี้ยวกลับออกไปหาเครื่องดื่มอะไรสักอย่างที่เคาน์เตอร์แทนนั้นเอง เสียงตะโกนเรียกชื่อเธอจากอีกหนึ่งสาวเพื่อนซี้ร่วมแผนกคอลัมนิสต์อย่างซาโต้ มิยูเมะก็จะดังลั่นมาก่อนตัว ถึงอาจไม่ดังกลบเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ในตอนนี้ หากก็ทำให้คนตัวสูงที่ยืนพิงขอบเคาน์เตอร์ในครัวได้หันขวับ ปรากฏสีหน้าทั้งดีใจระคนแปลกใจที่ได้เห็น จนมิทสึกิไม่อยากจะขยับคอหันไปดูแม่สาวคนที่ถูกขัดจังหวะนั้นเลยจริงๆ
แต่แม่สาวคนที่ว่าก็ไวทายาด หล่อนรีบกรีดเสียงแหลมสูงทักทายมาทันที ด้วยปฏิกิริยาที่ทั้งมิทสึกิและมิยูเมะต่างกลอกตาลงความเห็นตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ยปากว่า ‘เสแสร้งขนาดมองลงมาจากดาวอังคารก็ยังเห็น!’
“นึกว่ารุ่นพี่ทาคาดะจะไม่มาแล้วซะอีกนะคะ” หากเมื่อหญิงสาวกำลังจะขยับปากตอบ หล่อนก็จะรีบกล่าวต่อประโยคอย่างรวดเร็ว ทำเอาปิดฉับกลับลงไปแทนไม่ทัน “ที่จริงฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะคะ ก็แค่เห็นรุ่นพี่ดูไม่ชอบ... อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ฉันหมายถึงไม่สนิทกับรุ่นพี่ทัตสึยะ ก็เลยคิดว่าจะไม่มาแล้วซะอีก แต่อุตส่าห์เป็นวันเกิดทั้งที ถ้าไม่มาโดยไม่มีธุระสำคัญอะไรก็คงเป็นการเสียมารยาทนะคะ รุ่นพี่ว่าอย่างนั้นไหม?”
ขณะที่รุ่นพี่ทาคาดะอยากจะกรีดร้องใส่หน้ายัยเด็กแสบแทบบ้ากับวาจากระแหนะกระแหน — ที่ฟังจากดาวอังคารก็ยังตีความออก! ว่าแล้วหล่อนล่ะไปสนิทกับ ‘รุ่นพี่ทัตสึยะ’ ตอนไหนถึงขนาดเรียกชื่อต้นกันได้? แต่ก่อนที่เธอจะเกิดตบะแตกแล้วฉอดออกมาจริงๆ มิยูเมะก็จะรีบเข้ามากู้สถานการณ์ด้วยการกล่าวขอตัวกับคนที่ยืนคุยกันอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็จับเธอควงแขนพาเผ่นออกมาเลย
“เธอไม่น่ารีบเลยมิยูเมะ น่าจะให้ฉันได้ซัดกับยัยเด็กบ้านั่นก่อน”
“ฉันจะยอมให้เธอองค์ลงแล้วทำตัวเองขายหน้าในงานวันเกิดของคุณฟุคาซาวะได้ยังไงล่ะยะ!”
เพราะถูกจี้จุดเข้าอย่างจัง สาวเจ้าเลยได้แต่งุบงิบ เดินไปทิ้งตัวนั่งบนเคาน์เตอร์บาร์ในมุมหนึ่งซึ่งผู้คนกระจายตัวกันอยู่เป็นหย่อมๆ ส่วนรอบนอกเสียมากกว่า เป็นอันว่าเธอกับมิยูเมะจึงได้จับจองที่นั่งกันตามลำพังสองคน ขณะที่เพื่อนสาวปรี่เข้าไปชงเหล้าให้หลังเคาน์เตอร์อย่างที่ชอบทำ โดยมีมิทสึกิยึดหน้าที่เป็นผู้ชิมที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ตามแต่รสชาติจะพาไป
“ว่าแต่เธอหายไปไหนมา? ฉันก็นึกว่าเธอจะไม่มาอย่างที่ยัยเด็กบ้านั่นว่าไว้เหมือนกันนั่นแหละ”
“ดูตัว”
คำตอบเพียงสั้นๆ ที่ได้รับอย่างไม่คาดคิดทำเอานัยน์ตาของมิยูเมะเลิกกว้าง โชคดีที่หล่อนไม่ได้หลุดตะโกนออกมาทวนคำว่า “ดูตัว!” ให้รู้กันทั่วทั้งบริษัท เหมือนอย่างที่ยัยเด็กสึซึกิแกล้งทำตาโตตอนที่เห็นเธอคุยโทรศัพท์ผ่านห้องอาหารของบริษัทแล้วทำทีเป็นพูดเสียงดังเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เอ...หรือว่ารุ่นพี่ทาคาดะจะมีแฟนแล้วหรือเปล่านะคะ? จะว่าไป เมื่อวานตอนเย็นฉันเห็นรุ่นพี่เดินอยู่กับผู้ชายตัวสูงที่ชิบุยะด้วยล่ะค่ะ” พอวันต่อมา ข่าวลือก็แพร่กระจายไปทั่วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งจนหาต้นตอไม่เจอ เรื่องนี้เพื่อนต่างแผนกมาเล่าให้มิยูเมะฟังในภายหลังก่อนจะถูกส่งต่อมายังเธอ มิทสึกิจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นเธอนอนหลับอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ตลอดทั้งเย็นเพราะปวดหัวรุมๆ ต่างหาก แต่ก็ขี้คร้านเกินกว่าจะแก้ตัว
“ดูตัวกับใคร? ยังไง? เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ไม่เค้นเปล่า มิยูเมะยังยกนิ้วนางซ้ายขวาของเธอขึ้นดูให้แน่ ทั้งสร้อยคอและต่างหูที่เมื่อจำได้ว่าเป็นจี้อันโปรดจึงรอดตัวไป
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ตกลงอยู่แล้ว”
“แหงสิ” มิยูเมะแหว “ขืนตกลงฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย ทำอะไรไม่รู้เรื่องเลย”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ เขาเป็นลูกเพื่อนแม่ คนที่มีบุญคุณกับแม่ซะด้วย เพราะอย่างนั้นแม่ก็เลยอ้อนวอนขอให้ฉันไปดูตัวหน่อย แล้วใครจะกล้าปฏิเสธลง”
คำพูดที่ฟังไม่สมกับเป็นมิทสึกิคนหัวดื้อ จะทำให้เพื่อนสนิทอย่างมิยูเมะหลุดหัวเราะพรืดออกมา ถึงแม้จะถูกนัยน์ตาโตค้อนขวับเข้าให้
“แล้วนี่คุยกันถูกคอเหรอถึงนานเชียว?”
ถึงตรงนี้ มิทสึกิก็ทำหน้าเบ้สุดๆ
“มิยูเมะ ฟัง! นี่เป็นการใช้เวลาสองชั่วโมงที่สิ้นเปลืองในชีวิตของฉันเลย ฉันกะว่าสิบห้านาทีมากสุดแล้วแยกย้าย แต่ตานั่นพอเห็นฉันกะชิ่งแน่ๆ ก็รีบอวดตัวเองใหญ่เลยว่าตัวเองทำงานเป็นสถาปนิก ได้ไปต่างประเทศ กินหรูอยู่ดี ใครๆ ก็แย่งกันจีบ จริงไม่จริงฉันไม่สนหรอก แต่ท่าทางโคตรจะขี้โม้เลย ถ้าจริงจะมาดูตัวกับฉันทำไมเถอะ พูดจริงๆ ว่าถ้าไม่ได้เสียงนาฬิกาที่ฉันเผลอตั้งไว้ดูรายการทีวีสัปดาห์ก่อนดังช่วยชีวิต ให้ฉันแกล้งบอกว่าหัวหน้าโทร.มาตามไปงานเลี้ยงแล้วเผ่นออกมาเลยนะ มีหวังไม่ได้กลับ” เธอร่ายยาวออกมารวดเดียวอย่างคนอัดอั้นสุดขีด ก่อนต่อประโยคที่ต้องส่งค้อนวงใหญ่กว่าเดิมมากๆ ไปให้ว่า “ทั้งเธอทั้งเร็นก็ไม่ยอมโทร.หาฉันเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงเผ่นออกมาได้ตั้งนานแล้ว”
ทว่าเจ้าหล่อนกลับเพิกเฉยต่อคำตัดพ้อ แล้วย้อนถาม “แหม...เธอจะพลาดวันเกิดคุณฟุคาซาวะลงได้จริงเหรอ?”
“ถึงฉันพลาดไปเขาก็ไม่สนใจหรอก”
“ฉันว่าไม่ใช่หรอกน่า” มิยูเมะยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย เลื่อนแก้วค็อกเทลบรรจุเครื่องดื่มสีชมพูอ่อนสวยอย่างพิงค์เลมอนเนดที่เหมาะกับค่ำคืนฤดูร้อนมาให้เบื้องหน้าเธอที่กล่าวขอบคุณ แล้วรีบยกขึ้นจิบหมายแก้อารมณ์กรุ่นๆ มากกว่ากระหาย “เขามาถามเร็นว่าเธอจะมาไหมด้วยนะ”
“เขาก็ถามไปตามมารยาทนั่นแหละ” มือข้างที่ว่างของเธอยกขึ้นปัด ให้เพื่อนซี้เป็นต้องยกแขนขึ้นเท้าเอวแล้วส่งปลายนิ้วเรียวชี้หน้าคนฝั่งตรงกันข้าม “นี่ ฉันถามจริงๆ เถอะนะมิทสึกิ ใจคอเธอจะหลบหน้าคุณฟุคาซาวะไปถึงเมื่อไหร่? ถ้าคิดว่าชาตินี้จะไม่สารภาพรักแล้วก็ช่วยทำตัวให้เป็นปกติแล้วเลิกโกหกคนอื่นว่ามีแฟนบังหน้าซะทีเถอะ หรือไม่อย่างนั้นก็หาแฟนสักคนอย่างที่เขาลือกันได้แล้ว”
“มีตัวเลือกข้อสามที่ง่ายกว่านี้ไหม?”
ฝ่ายกองเชียร์นับตั้งแต่แรกเริ่มอย่างมิยูเมะชักจะเดือดขึ้นมากับคำยอกย้อน จนคิดว่าแค่กลอกตาและถอนหายใจก็ยังไม่เพียงพอกับความเหนื่อยหน่ายใจที่มี
“เธอนี่น่าเบื่อชะมัด ฉันไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
“เร็นก็อยู่กับยัยเด็กบ้านั่น ตอนนี้เธอก็ยังจะมาทิ้งฉันไปอีกคนเหรอมิยูเมะ? แล้วแบบนี้ฉันจะคุยกับใครล่ะ?”
“ไม่รู้สิ” หล่อนยักไหล่ กำลังจะรีบสะบัดชุดเดรสสีดำออกไป ครั้นแล้วก็หยุดกึก ก่อนเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เพิ่มวอลุ่มดังขึ้นกว่าเดิมไม่หน่อยให้มิทสึกิเป็นต้องสะดุ้งอย่างคนร้อนตัวว่า “คุณฟุคาซาวะมั้ง” ก่อนจะเผ่นแผล็วออกไป ไม่สนใจคนที่ได้แต่ฮึดฮัดไล่หลัง แต่ร้องออกมาดังๆ ไม่ได้อีกเลย
เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ของเธอจะสั่นรัวอยู่ในกระเป๋าถือพอดี ครั้นเห็นชื่อคนที่โทร.เข้ามาก็คิดว่าจะไม่รับสาย หากก็กลัวแม่จะพาลร้อนใจหรือมีปัญหากับคุณนายบ้านมิยาดาเตะอันมีบุญคุณเพราะเธอเป็นต้นเหตุอีก แต่ในนี้อึกทึกเกินไป ตอนที่ลองเหลียวมองดูรอบตัวก็เห็นบานประตูเปิดออกไปยังระเบียงพอดี ห้องพักส่วนตัวอันหรูหราย่อมมีระบบความปลอดภัยชั้นดี ทำแบบนี้น่าจะดีกว่าออกไปคุยข้างนอกห้องแล้วเคาะรอให้คนมาเปิดประตูให้เหมือนตอนขามา คิดแล้วจึงรีบก้าวฉับออกไปสูดอากาศยามค่ำคืนของฤดูร้อนที่ติดจะอบอ้าว ไม่เหมือนกับเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำภายในห้องที่เพิ่งจากมาเลย ดีอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่ระเบียงนี้มีเพียงเธอเป็นผู้ครอบครอง
จริงตามคาดที่เมื่อเธอกดรับสายปุ๊บ ก็จะโดนเอ็ดอึงใส่ปั๊บโทษฐานที่ชิ่งหนีออกมาอย่างไม่น่าให้อภัย ที่ร้ายกว่านั้นคือไม่ว่าเธอพยายามจะเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อหักล้างเรื่องที่อีตาสถาปนิกขี้โม้นั่นเอาไปฟ้องมากแค่ไหน แม่ก็ดันฝังหัวไปกับคำพูดสวยหรูของอีตานั่นจนไม่ยอมเชื่อลูกสาวอยู่ท่าเดียว เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะเถียง เธอเลยคิดว่าจะวางสายแล้วแยกย้ายกันไป ก่อนอารมณ์ของเธอจะเดือดพาลเขวี้ยงมือถือลงไปจากชั้นสิบสามเสียเดี๋ยวนี้
“แล้วอย่างแกจะหาคนที่เพียบพร้อมอย่างนี้ได้ที่ไหนอีกฮะ! ฉันล่ะจนใจ อุตส่าห์หาผู้ชายดีๆ ให้ ก็ดูนังลูกสาวมันทำให้ขายหน้ากันทั้งบ้าน”
“หนูจะบอกอะไรให้นะแม่ อีตาลูกชายบ้านมิยาดาเตะไม่ได้เพอร์เฟกต์อะไรอย่างที่โม้ขนาดนั้นหรอก แล้วคอยดูเถอะ หนูจะพาแฟนที่เพอร์เฟกต์จริงๆ ไม่ได้ดีแต่ขี้โม้ไปวันๆ ให้แม่ดู!”
“เฮอะ! อย่างแกจะไปหามาจากไหน ฝันกลางวันสิไม่ว่า”
“ก็หาที่บริษัทหนูนี่แหละ!”
“ต๊าย! เขารู้นิสัยใจคอแกหมดแล้วใครเขาจะเอา เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ฉันจะหาคู่ดูตัวให้แกอีก!”
“แม่อยากทำอะไรก็แล้วแต่เลย แต่ถึงหามาให้คราวหน้าหนูก็จะไม่ไปดูตัวแล้ว!” น้ำเสียงสุดท้ายของเธอเพิ่มระดับขึ้นสูงปรี๊ดอย่างอดไม่อยู่ และลูกสาวบ้านทาคาดะที่เพิ่งจะถูกแม่ของตัวเองปรามาสก็ทำได้แค่ทึ้งหัวตัวเองด้วยความคับข้องใจ วันนี้อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจสักอย่าง อาจถึงเวลาที่เธอควรกลับบ้านไปกินเบียร์ทุกกระป๋องที่มีในตู้เย็นให้เมาจนลืมเรื่องบัดซบเฮงซวยทั้งหมดนี่ให้เป็นอันจบวันเสียที ส่วนเรื่องบอกลาเจ้าของวันเกิดที่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้นคงไม่จำเป็น คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา หลังเก็บมือถือกลับลงไปในกระเป๋าถือแล้วหมุนตัวหันไปเงยใบหน้าจึงแทบจะเสียการทรงตัว หรือควรต้องบอกว่าเสียไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทรุดลงไปให้เขารวบเอวเอาไว้ได้พอดี
ด้วยระยะห่างเพียงช่องว่างไม่กี่คืบ ทำให้มิทสึกิมั่นใจว่าทั้งหน้าและตัวเธอคงจะร้อนเห่อไปแล้ว
“ค...คุณฟุคาซาวะ ม...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!”
เมื่อพาตัวเองถอยกรูดออกมาได้ก็รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปก่อน ไม่อย่างนั้น คนอย่างฟุคาซาวะ ทัตสึยะจะต้องหยิบยกมันขึ้นมาพูดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่ๆ
แต่เขากลับไม่ยอมตอบคำถามนั้น เพียงเท้าแขนหันมองออกไปยังทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ใจของต่างเมืองในยามค่ำคืน แล้วเปรยขึ้นว่า
“เวลาไม่สบายใจ ผมชอบมายืนดูวิวตรงนี้”
เช่นนั้นแล้วมิทสึกิจึงเปลี่ยนองศาการยืนถึงก่อนหน้าแล้วมองทอดตรงไปยังทิศทางเดียวกับเขาแทน แสงสีระรายตาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องพิสมัย แน่นอนว่าย่อมต้องรวมเธอเข้าไปด้วย ถึงได้ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลเช่นนี้ แต่ความฝันย่อมสวนทางกับความเป็นจริง แค่ไม่เห็นทั้งผีและคนปรากฏอยู่นอกห้องสตูดิโอชั้นที่สองที่ใช้ซุกหัวนอนก็ดีถมไปแล้ว
ครั้นแล้ว เมื่อสมองอันเฉื่อยชาผิดวิสัยทุกคราวเมื่อเขาอยู่ใกล้จะเริ่มประมวลผลได้ มิทสึกิก็มั่นใจว่าเขาต้องได้ยินเรื่องที่เธอคุยโทรศัพท์กับแม่ถึงหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ ขนของเธอลุกซู่ขึ้นมาทั้งที่อากาศไม่ได้เย็นวาบเพียงน้อย นอกจากเขาจะรู้ความจริงเรื่องที่ว่าเธอไม่ได้มีแฟนที่ไหนหรอกเพราะยังออกไปดูตัวกับผู้ชายคนอื่นได้ ผู้ชายในบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์นี้ที่เข้าข่าย ‘แฟนที่เพอร์เฟกต์’ ตัดรองประธาน หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ และพนักงานฝ่ายขายอีกคนที่แต่งงานกันไปหมดแล้ว ก็มีแต่หนุ่มกราฟฟิกดีไซเนอร์คนนี้คนเดียวที่เข้าข่ายแบบสุดๆ อย่างที่ไม่มีใครกล้าท้วง เป็นเรื่องที่ทุกคนลงความเห็นตรงกันโดยไม่ฟังคำปฏิเสธของเจ้าตัวที่ไม่คิดว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะสมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว มิทสึกิอยากจะเอาหัวตัวเองไปโขกกับกำแพงให้ลืมเลือนเรื่องทุกอย่างจนแทบบ้า พอคิดแล้วก็ดันเหลือบไปเห็นเขาสวมกำไลเงิน — ที่เธอฝากเพื่อนสั่งทำพิเศษให้เขา — อยู่บนข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาเสียอีก
ความคิดในหัวของหญิงสาวตีรวนขึ้นมาไม่ได้หยุด ถึงไม่แสดงออกผ่านใบหน้าที่ทำเป็นนิ่งเฉย แต่ทั้งแก้มและหูที่แดงเถือกขึ้นมาก็ทำให้คนที่ลอบมองยิ้มได้ เขารู้ว่านี่แหละเป็นโอกาสที่เธอจะต้องพูดอะไรออกมาแน่ และก็เป็นจริงตามคาด เธอขยับตัวหันมา ร้องเรียกความสนใจจากเขาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ค...คุณฟุคาซาวะคะ คือว่า... ฉ...ฉัน...”
แต่ริมฝีปากที่พะงาบขึ้นลงก่อนกลับปิดลงไป กัดมันจนสีแดงก่ำเหมือนว่าจะหลุดลอกไปเพราะการกระทำนั้น ส่วนนัยน์ตาสีเข้มก็มองข้อมือของเขาอย่างพยายามจะแลผ่าน แต่กลับไม่เนียนเอาเสียเลย มันช่างดูชวนหัวกระทั่งถึงตอนที่เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” จนทัตสึยะต้องหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนที่จะทันได้รู้ตัว เขาก็โน้มใบหน้าลงไปแตะประทับริมฝีปากคู่นั้น เอื้อมมือข้างหนึ่งไปโอบเอวบางเข้าหาตัวอีกครั้งเพราะรู้ดีว่าเธอต้องไม่ไหวแน่ ส่วนอีกข้างก็จับประคองใบหน้าของเธอเอาไว้ รู้สึกได้ถึงเนื้อตัวที่สั่นเทาและความอุ่นจนร้อนของผิวหนังที่เขาแตะสัมผัสอยู่เนิ่นนาน
“ต่อไปนี้คุณไม่ต้องไปดูตัวแล้วนะ”
มิทสึกิคิดว่าได้เห็นแสงสว่างที่ระยิบระยับยิ่งกว่าโตเกียวยามราตรีที่แสนจะเรืองรอง ผ่านนัยน์ตาสุกสกาวและรอยยิ้มที่แสนจะงดงามคู่นั้น เธอยินยอมรับจูบที่ทำให้ร้อนรุ่มยิ่งกว่าฤดูร้อนของชายคนตรงหน้าทุกคืนวัน หรือนับต่อจากนี้เรื่อยไป ด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี
_______________
ความคิดเห็น