ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #226 : Tokyo Meltdown: First

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 64


    Tokyo Meltdown
    Playlist: Beerlover – Oh, You












    .

    หมู่นี้ คนรอบข้างต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าฮินาคาวะ มาริยะ มีอะไรที่ดูผิดแปลกไปจากเดิม หรืออย่างน้อยก็ดั้งเดิมในแบบที่พวกเขารู้จัก จริงอยู่ที่ปกติเธอจะทำตัวเงียบเชียบ ยากจะเปิดประเด็นหรือให้ความเห็นใดที่ยืดยาวนักในวงสนทนา ถึงอย่างนั้น เธอก็จะยิ้มแป้น เออออรับฟังให้คู่สนทนาไม่รู้สึกเก้อดั่งพูดกับลมฟ้าอากาศบ้าง หากฮินาคาวะ มาริยะเวอร์ชั่นใหม่นี้ กลับเป็นเหมือนแอนดรอยด์ตกรุ่นที่เครื่องยนต์ดูจะพังมิพังแหล่ ถ้าเคาะแรงๆ สักโป๊กสองโป๊กก็พอกลับมาใช้งานได้อยู่ แต่จะหวังให้ทำอะไรแบบมีสติเองก็ดูจะแสนเข็ญ ครั้นถามถึงเหตุผล เธอก็จะเพียงยิ้มและบอกปัดไปว่าไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรขนาดให้เธอเดินเหม่อไปชนคนโน้นคนนี้จนล้มตึงลงไปทั้งตัวตั้งไม่รู้จะกี่ครั้ง

    ผ่านมาตั้งห้าวันเข้าไปแล้ว แต่มาริยะก็ยังสลัดเรื่องของชายแปลกหน้าผู้นั้นไปไม่พ้น

    หลังจากคืนนั้น เมื่อเธอตื่นมาเขาก็หายวับไปแล้ว เกลี้ยงเกลาอย่างสิ้นเชิง ระหว่างเธอและเขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าจูบเร่าร้อนบนรถแท็กซี่เมื่อเขาถอดรองเท้า ปรี่ไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ทันทีที่เธอไขประตูบ้านเข้าไป มันเป็นบ้านเช่าชั้นเดียวแคบๆ ในย่านชานเมืองที่ความเจริญไม่ส่งไปถึงนัก ค่าเช่าจึงถูกแสนถูก แม้จะต้องแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตระดับกลางค่อนไปทางล่างก็ยังไม่ถึงขั้นต่ำตมจนโงหัวออกมาไม่ขึ้น ดวงไฟริมถนนติดๆ ดับๆ มาตั้งแต่เธอยังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไร ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น มาริยะรู้สึกไม่ดีอยู่เหมือนกันที่ปล่อยให้เขาซึ่งแลกข้อเสนอการช่วยเหลือกับการขอค้างด้วยหนึ่งคืนต้องอยู่ในบ้านคร่ำครึแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ออกปากว่าหรือแสดงท่าทีไม่ชอบใจอะไร ที่จริง เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ ไม่แม้แต่กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเธอด้วยซ้ำ ล้มตัวลงปุ๊บก็หลับปั๊บราวกับมีสวิตช์เปิดปิด เหมือนกับตอนที่ขึ้นไปบนรถแท็กซี่ไม่มีผิด ทันใด ความคิดด้านร้ายซึ่งมักจะสว่างวาบขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยก็คิดขึ้นว่า หรือเขาจะนึกรังเกียจเธอกัน? อาจจะคิดว่าแค่จูบนิดๆ หน่อยๆ แลกกับที่พักก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่หากจะให้ถึงขั้นเกินเลยกว่านั้นกับยัยนี่ล่ะไม่ไหวแน่ๆ อย่างนั้นหรือเปล่า? หรือว่าเขาจะมีแฟนแล้ว? ถ้าอย่างนั้นการจูบผู้หญิงคนอื่นจะมีความผิดน้อยไปกว่าการหลับนอนด้วยกันตรงไหน? ว่ากันตามตรง มาริยะเองก็มั่นใจว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกของเธอนั้นไม่ได้แย่จนเกินรับได้ เอาเป็นว่าไม่เคยถูกผู้ชายแสดงท่าทีรังเกียจหรือเคยได้ยินคำวิจารณ์ลอยผ่านเข้าหูมาแต่อย่างใด เธอที่เพิ่งจะเอาผ้าห่มออกมาจากห้องนอนของตัวเอง กลับเอาแต่ครุ่นคิด ยืนจดจ้องใบหน้าของชายแปลกหน้าใต้ภวังค์หลับใหลที่สะท้อนแสงไฟสีแดงสลัว พอให้เห็นความเป็นไปในห้องรับแขกอย่างที่แม่ชอบ จะคิดหาเหตุผลเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก แม้แต่ตอนที่กลับเข้าไปนอนในห้องสุดทางเดินก็ยังจดจำความรู้สึกมวนท้องละล่องลอยเมื่อริมฝีปากแตะสัมผัสนั้นได้ เพราะเอาแต่พลิกตัวไปมา พยายามสะบัดความคิดและความรู้สึกทิ้งไปให้หมดยามที่หลับตา ก็รังแต่จะทวีคูณขึ้นจนกลายเป็นขึ้งเครียด กว่าจะรู้สึกง่วงนอนจนแทบทนไม่ไหวแล้วผล็อยหลับไปก็ใกล้รุ่งสางเต็มที จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะตื่นเอาตอนพระอาทิตย์ใกล้ลับล่วงขอบฟ้าไปอีกวัน ชายแปลกหน้าไม่ทิ้งชื่อ ไม่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ ไม่ทิ้งข้อความอะไรเอาไว้เลย นอกจากผ้าห่มที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยบนโซฟา การมีอยู่ของเขาก็ราวกับถูกสายลมระลอกใหญ่พัดหอบไปไม่เหลือร่องรอย ข้อผิดพลาดที่สุดในชีวิตของมาริยะคือหนึ่ง...ตอนที่ถูกเอเจนซี่หลอก และสอง...คือเรื่องของชายแปลกหน้าผู้นี้

    ครั้นจะให้ออกไปเตร็ดเตร่ในย่านอโคจรเผื่อว่าจะเจอเขาอีกครั้งอย่างในภาพยนตร์ เธอก็รู้สึกว่ามันออกจะน้ำเน่าเกินไป หรือจะเรื่องของโชคชะตาเหตุบังเอิญ เธอก็ไม่เชื่อ โลกของเธอนั้นสมจริงเกินไป เมื่อไม่เคยประสบ จึงทึกทักเอาว่ามันคือเรื่องเพ้อฝัน เป็นไปได้ว่าตลอดชีวิตนี้ เธออาจจะไม่มีวันได้พบเจอเขาอีกแล้วก็ได้ พอคิดเช่นนั้นก็รู้สึกเหมือนคลื่นนีออนไร้สีสรรพ์ไปในชั่วพริบตา กลายเป็นว่าช่วงที่อยู่กับเจสซี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะอย่างน้อย เขาก็มีความพยายามในการเรียกร้องความสนใจจากเธอสารพัน จนแทบจะไม่มีเวลาเหม่อไปคิดถึงเรื่องอะไรได้อีก

    “ไม่คิดว่านอกจากโง่แล้วยังปัญญาอ่อนด้วย”

    “แหม...ใครจะไปฉลาดขนาดแฮกระบบรักษาความปลอดภัยเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ล่ะ”

    เช่นเคยว่าคำยอกย้อนด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ของเธอจะส่งผลเพียงให้เขาไหวไหล่ พ่นลมหายใจออกมา “ของมันแน่ ฉันไม่ได้โง่นี่” แต่บ้าน่ะบ้าแน่ ถึงได้สรรหาเวลามาก่อกวนเธอได้ทุกวี่ทุกวัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ สาขาเทคโนโลยีที่อเมริกา และเป็นที่ต้องการตัวของหลายบริษัทที่ต่างพากันเสนอเงื่อนไขสุดพิเศษที่ใครหลายคนอาจพากันทำตาลุกวาวเสียให้ควั่ก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจทำงานเป็นเรื่องเป็นราวนอกจากเที่ยวเตร่ไปวันๆ แล้วจะมีข้อเสนออะไรที่ลูกเศรษฐีอย่างเขากระหายอยากถึงขั้นยอมละทิ้งชีวิตอิสระกันเล่า? ฝ่ายมารดาเองก็ถือหางลูกชายคนเดียวจนใกล้เคียงกับคำว่า เสียคน เข้าไปทุกที เป็นที่รู้กันว่าลูกชายคนเดียวไม่ถูกกับบิดานัก คงด้วยเหตุผลข้อนี้ คนโลภจึงทึกทักเอาเองเสร็จสรรพว่าเป็นลูกลับๆ อย่างมาริยะที่มาแย่งความรักทั้งหมดของพ่อผู้ให้กำเนิดไป การทิ้งชีวิตในดินแดนแห่งเสรีภาพซึ่งเจ้าตัวพร่ำพรรณนาว่าเป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวมายังนีโอโตเกียวที่ไม่ผูกพันเลย อาจจะสาสมดีแล้วก็ได้

    เธอปล่อยให้เขาพ่นคำโอ้อวดยาวเหยียดออกมาและรับฟังไปเงียบๆ เหมือนเช่นทุกที เมื่อไหร่ที่ความคิดเริ่มจะโบกโบยไปหาชายแปลกหน้าผู้นั้น เจสซี่ก็จะเรียกมันกลับคืนมา เหมือนการกระตุกปลายเชือกลูกโป่งได้อย่างพอเหมาะพอดีทุกทีไป ครู่หนึ่ง โทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งข้างเธอที่กำลังนั่งอยู่ริมขอบเตียงก็เริ่มสั่น

    เป็นข้อดีที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ที่ไม่ชอบเข้ามายุ่มย่ามกับการกระทำเหล่านี้ เมื่อเจสซี่ผละลุกขึ้นจากโซฟาสีขาวรองด้วยฐานของเส้นไฟนีออนหลากสีทรงกลม หน้าโทรทัศน์โอแอลอีดีจอโค้งหนึ่งร้อยยี่สิบนิ้วซึ่งค้างเติ่งอยู่ที่ช่องสารคดี เจสซี่มักจะบ่นเสมอว่าการตกแต่งที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออนมืดๆ ในห้องของเธอดูไร้รสนิยมอย่างมาก ถึงจะพูดแบบนั้น มาริยะก็ยังเห็นเขาแวะเวียนมาสิงสถิตอยู่ที่นี่ ไม่ต่างจากวิญญาณในห้องที่เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อเปิดประตูกลับเข้าห้องมาแล้วจะเจอเขาหรือไม่ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปรินไวน์ราคาแพงที่เคาน์เตอร์ในครัว หัวคิ้วของเธอพุ่งเข้าหากันพร้อมกับความคิดที่ว่า คนที่พร่ำเกลียดเธอและห้องไร้รสนิยมนี้เป็นนักหนา จะถึงขั้นหอบข้าวของราคาแพงมาทิ้งไว้ในครัวกันแบบนี้เลยหรือ? มาริยะเชื่อว่าอีกไม่นาน เขาคงจะย้ายสำมะโนครัวตัวเองจากบ้านไม่ก็อสังหาสักแห่งมาอยู่กับเธอด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่

    นัยน์ตาสีฟ้าลากกลับมายังหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วสาวสวยที่ปรากฏเป็นภาพวิดีโออยู่บนนั้นก็ฉีกรอยยิ้มกว้างเมื่อเธอกดปุ่มตอบรับ ส่งน้ำเสียงแหลมสูงทักทายมาจากห้องแต่งตัวของรายการวาไรตี้ไหนสักแห่งที่เธอเองก็คลับคลา มาริยะเองก็โบกมือทักทายเพื่อนสนิทที่แทบจะหาเวลาว่างตรงกันไม่ได้อย่างเร็วรี่ เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกกระตือรือร้นเป็นอย่างมากกับการนัดพบในคืนวันพรุ่งนี้ เจสซี่กลับขึ้นมานอนบนโซฟาพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ เขาทัชหน้าจอแล้วเปลี่ยนไปเลือกดูรายการเพลงวันอาทิตย์ย้อนหลัง ทันทีก็ได้ยินน้ำเสียงคู่สนทนาของเธอหัวเราะร่วน ตรงกันข้ามกับหญิงสาวเจ้าของห้องที่เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมนิ่วหน้าเล็กน้อย พูดคุยกันอีกนิดหน่อยแล้วคู่สนทนาก็วางสายไป

    “โลกนี้ก็มีอะไรพิลึกพิลั่น”

    มาริยะลงไปนอนแผ่ลงบนเตียง ไม่ได้โต้ตอบคำพูดของเจสซี่ ขณะหลับตาและรับฟังไลฟ์ล่าสุดของไอดอลสาวแห่งศตวรรษที่ดังก้องไป




    หลังนิ้วเรียวที่เคลือบเล็บด้วยสีแดงด้านกดปุ่มต่อสายออกไปหาหนึ่งในสามของเจ้าของรายชื่อด่วน ซึ่งเธอจะได้มองเห็นเพียงตัวอักษรสีฟ้าปรากฏบนหน้าจอสีดำสนิทนั้นว่า ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ เป็นหนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วตลอดสองวันมานี้ ความอดทนครั้งมโหฬารของเธอก็ดูจะขาดผึงลง พร้อมกับหมากฝรั่งสีชมพูที่แตกดังโพล๊ะ กระทุ้งโพรงปากรสบลูเบอร์รี่หวานล้ำ พลางสบถส่งและโยนโทรศัพท์มือถือไปบนโต๊ะเตี้ยๆ หน้าโซฟาที่เธอกำลังนั่งอยู่ด้วยความหงุดหงิดใจ ดั่งเช่นทุกคราวที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามคาด ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของชายที่ชื่อโมริโมโตะ ชินทาโร่ด้วยแล้ว ปรอทวัดความอดทนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วของเธอก็ดูจะหดสั้นลงไปกว่าเดิมอีกมาก ไม่สัมพันธ์กับส่วนสูงของคู่กรณีที่บัดนี้หายหัวไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เอาเสียเลย

    “ก็บอกแล้วว่ามันติดสาวอยู่ โทร.ไปให้ตายมันก็ไม่รับหรอก” จูริที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาอีกมุมหนึ่ง ตาก็จ้องมองจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบเก้านิ้วของโทรทัศน์รุ่นโบราณไปด้วย โดยหาได้สนใจสายตาเขียวปั๊ดซึ่งกำลังส่งรังสีพิฆาตที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเสียวสันหลังวาบแต่อย่างใดไม่ เป็นปกติวิสัยที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนอกสนใจความคิดของใครให้มากความ จากภายนอก ทานากะ จูริก็อาจดูใช้ได้ เป็นหนุ่มสมัยนิยมที่ปะปนเข้ากับปุถุชนทั่วไปได้อย่างไม่ผิดแผก แต่ความจริงแล้ว เนื้อในของเขากลับแตกต่างจากมนุษย์เหล่านั้นที่ราวกับเดินฝังไมโครชิพออกมาจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนเดียวกัน แม้ว่าหลังสงครามแย่งชิงดินแดนจะสุดสิ้น บุปผาชนเองจะพากันล้มหาย แยกย้ายออกจากห้วงฝันและเริ่มต้นใช้ชีวิตในโลกใบเส็งเคร็งกันอย่างเป็นรูปธรรม หลงเหลือเพียงความคิดแบบปัจเจกชนและวิถีเสรีสำหรับผู้ยึดถือมั่นจำนวนน้อยอย่างพวกเขา ทว่าสำหรับจูริ เขาคิดว่าด้วยอายุยี่สิบสี่ปีเพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงจุดกลับตัวที่หมายมาดไว้ในช่วงอายุสามสิบห้าปี เขายังสามารถใช้ชีวิตตามใจอยากแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ด้วยมรดกที่ได้รับสืบทอดมาจากปู่ผู้ล่วงลับ จูริไม่คิดว่าตนเองจะต้องเผชิญกับช่วงวิกฤติใดในชีวิต ต่อให้เกิดสงครามขึ้นอีกครั้งก็ตาม นอกจากเงินก้อนใหญ่มากก้อนหนึ่งแล้ว ปู่ของเขายังมีงานอดิเรกคือสะสมของเก่า เขาจึงพลอยได้อานิสงส์รู้จักแหล่งซื้อขาย หาอะไหล่ ทั้งยังซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแทบทุกชนิดเป็นตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ไม่ว่าจะโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงหายากเก่าแก่ในบ้าน ก็เป็นผลพวงยามว่างจากฝีมือของชายหนุ่มผู้นี้ด้วยกันทั้งสิ้น เขามีความสุขกับมัน เหมือนที่มีความสุขกับเทิร์นเทเบิลและเพลงของโฮคุโตะ หนังดิสโทเปียยุคเก่าบนจอกำลังฉายภาพอนาคตที่ล่มสลาย และเขาก็คิดว่ามันน่าอยู่กว่าปัจจุบันที่รุ่งเรืองเกินไปจนทำให้นัยน์ตามัวพร่า

    “แล้วตกลงว่าไลฟ์พรุ่งนี้จะเอายังไง?”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงมันก็ต้องขึ้นอยู่แล้ว”

    “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” น้ำเสียงเธอรำคาญใจ “ฉันพูดถึงเรื่องเพลงที่เรียบเรียงใหม่ต่างหาก”

    เมื่อความคิดผิดไปจากกัน จูริจึงเพียงแค่ยักไหล่ไหว หยิบป็อปคอร์นในถังเข้าปาก แล้วเคี้ยว

    การกระทำเช่นนั้นดูเหมือนจะส่งผลให้ความหงุดหงิดของมิริอะที่ถูกตีออกไปยังคนไกล วนไซด์โค้งกลับมาหาคนใกล้ เธอแหว “นายน่ะ! ก็ช่วยหัดสนใจอะไรกับเค้าบ้างได้ไหม!” ให้คนที่อยู่ๆ ก็ถูกต่อว่าหันไปส่งสีหน้าแทนวาจาว่า นั่นไง ฉันว่าแล้ว กับชายหนุ่มที่มุมห้องซึ่งพยายามตีสีหน้านิ่งไม่หลุดหัวเราะกิ๊ก ทั้งที่รู้สึกขันจะแย่ ด้วยไม่อยากเรียกเงาสีดำทะมึนจากหญิงสาวให้แผ่ขยายมายังตนจนเป็นเรื่องเป็นราวไปอีกคน

    “สนใจแต่เรื่องตัวเองอยู่ได้!

    “ก็แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า เธอโมโหไอ้ชินแล้วมาพาลลงกับฉันเฉยเลย” หากคนที่ถูกตวาดใส่โครมๆ ก็ยังมีอารมณ์ขันอยู่ได้ การโต้เถียงกับมิริอะเป็นหนึ่งในเรื่องสร้างสีสันของเขา เหมือนกับการดื่มโค้กกระป๋องเย็นเฉียบรสซาบซ่าระหว่างวัน “เอาน่าๆ เพิ่งจะคบกันได้ไม่กี่วัน มันก็หัวปักหัวปำอย่างนี้ประจำ ทำเป็นไม่ชินไปได้ เดี๋ยวพอมันเบื่อมันก็คลานกลับมาตายรังที่นี่เองแหละ”

    “เหอะ! โฮคุโตะก็มีแฟน เพิ่งคบได้ไม่กี่วันเหมือนกัน ยังไม่เห็นจะทำตัวเหลวไหล”

    คนที่อุตส่าห์นั่งกอดอกดูหนังอยู่หลังคีย์บอร์ดที่มุมห้องเงียบๆ ท่ามกลางเครื่องดนตรีหลากชิ้นอื่นๆ ภายในห้องรับแขกที่ถูกควบเป็นห้องซ้อมไปด้วยอยู่นาน จึงเป็นอันต้องได้เปิดปากเอี่ยว การกระทำเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเขามีวุฒิภาวะสูงกว่าคนอายุยี่สิบสี่ทั้งหมด ณ ที่นี้แต่ประการใด เพียงแต่โฮคุโตะไม่ชอบที่ต้องมีปัญหา หรือมีส่วนร่วมในปัญหา มิริอะเคยให้ความเห็นว่าชินทาโร่เป็นพวกสร้างปัญหา จูริเป็นพวกกระพือปัญหา ส่วนโฮคุโตะเป็นพวกหนีปัญหา ถ้าทะเลาะกัน เขาจะเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง...อาจถอยไปได้ไกลถึงบ้านหลังเล็กในเขตชานเมืองโน่นเลยก็ได้ ข้อคิดเห็นของมิริอะนี้ กระทั่งเจ้าตัวเองก็รู้สึกเห็นชอบ

    “ฉันแบ่งเวลาได้น่า”

    เธอพ่นลมหายใจอีกครั้ง คราวนี้พรูแรงกว่าเดิมด้วยน้ำเสียงเยาะ “ถ้าจูริจะแบ่งนิสัยดีๆ ของนายมาได้สักครึ่งก็คงดี”

    แม้จะเป็นคำชม แต่โฮคุโตะก็ไม่คิดว่าควรยิ้มรับ เมื่อไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ใบหน้าของเขาในเวลานี้จึงบูดเบี้ยวพิกล

    “ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงนะ ฉันว่ายังไงเธอก็ไม่พอใจอยู่ดีแหละมิริอะ ก็เธอชอบไอ้ชิน ไม่ใช่โฮ—“

    “ฉันไม่ได้ชอบชินทาโร่!” ไม่รอให้จูริได้เย้าจนจบประโยค มิริอะก็จะผุดลุกขึ้นโต้สวน หากคู่กรณีจะแค่เงยหน้าขึ้นมอง หยิบป็อปคอร์นรสหวานใส่ปากไปอีกกำ เธอแน่ใจทีเดียวว่าได้เห็นริมฝีปากนั้นหยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆ สำหรับพวกเขาที่อาศัยอยู่ด้วยกันมาตั้งเกือบหกปีเหมือนพี่น้อง ต่างก็รู้เห็นและชินชากับนิสัยด้านดีและร้ายของกันจนหมดเปลือก แต่การรับมือของจูรินั้นถือว่าน่าประทับใจที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับมิริอะ

    “ก็ได้! ก็แค่เคย แต่เลิกชอบไปนานแล้ว หัดอัพเดทข้อมูลซะบ้างนะนายน่ะ ไม่ใช่เก็บเอาแต่ข้อมูลขยะลงในฮาร์ดไดรฟ์เก่าๆ ไปวันๆ!

    เธอกระแทกน้ำเสียงแดกดัน ก้มลงไปคว้าหยิบมือถือบนโต๊ะของตนเองด้วยท่าทีปึงปัง ไม่ลืมเพ่งจ้องจูริที่ยังมีหน้ามาชื่นชมว่า “ให้ตายเถอะมิริอะ นี่เป็นหนึ่งในคำด่าที่น่าประทับใจสำหรับคนชอบของเก่าอย่างฉันจริงๆ” เธอตัดสินใจหุบปิดริมฝีปากสีแดงเงียบด้วยป่วยการจะต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้า สะบัดเรือนผมสีส้มขวับ ก่อนตอกส้นรองเท้าบู้ตฉับออกไป

    “แล้วนั่นจะไปไหน? ไม่อยู่ซ้อมแล้วไลฟ์พรุ่งนี้จะเอายังไง?”

    เธอยกนิ้วกลางทั้งสองข้างขึ้นชูแทนคำตอบโดยไม่หันไปมองหน้า ยินเสียงหัวเราะชอบใจของจูริไล่หลังตามมาก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก คล้อยหลังเธอไปโฮคุโตะก็คงจะร่วมด้วยเป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งข้อง จนแม้แต่อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงก็ดูจะไม่ช่วยอะไร










     


    2020年11月07日
    _______________
    ★ เหมือนบทของเจสซี่กับโฮคุโตะจะเปิงกับบทของอีกคนมากกว่าไหมนะ เพราะเราชอบผู้ชายปากร้าย อยากแต่งให้นางเอกด่า ว่าไม่ได้ ละเอาจริงตอนแต่งแรกสุดเราก็ชอบบทของเจสซี่มากกว่าด้วย ถึงจะพ่อเดียวกันยังไงก็ได้กันแน่นอนจ้าแม้ไม่ใช่พระเอก เพราะเราชอบของเราอย่างนี้น่ะนะ แต่แปลงมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่อยากเปลี่ยนแล้ว ถือว่าพอใจกับทุกอย่าง ทุกคน ที่จริงเราแต่งพาร์ทต่อไปได้นิดนึงคือมิริอะจะไปที่บาร์แล้วเจอผู้ชายเมกา จากนั้นก็วิพากย์เรื่องการเมือง โธ่ถุย ไม่เจียมอยากเป็นมูราคามิ สรุปฟิคเลยต้องสู่ขิตไป อนิจจา แต่เอาจริงอิทธิพลมูราคามิเยอะมากเลยนะที่พาร์ทของพวกมิริอะอ่ะ และเช่นเคยที่เพลงประกอบเลือกมาได้ดีมากทุกตอน ขนลุกเลยค่ะ โอ๊ยอยากแต่งฟิคที่ใช้เพลงแนวนี้อีกจริง / ปล. โอ๊ย เจสซี่ได้บทที่กูชอบในเรื่องไปอีกแล้วเหรอวะ ปัดโธ่เว้ย!
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×